https://wordwall.net/th/resource/27510551 ละครไทย ในอดีตเป็นละครที่แสดงเพื่อความบันเทิงและแสดงความเป็นเลิศทางด้านศิลปะ เนื้อเรื่องมักจะ แสดงแนวคิดในอุดมคติ ผู้ชมจะชื่นชมกับตัวละครที่มีอิทธิปาฏิหาริย์ ถ้าเป็นละครรำจะเน้นลีลาท่ารำที่งดงาม เครื่องแต่งกาย และฉากที่วิจิตรตระการตา ผู้ชมจะเพลิดเพลินไปกับฉาก ระบำ รำ ฟ้อน และบทตลก ขบขัน ละครสากลจากตะวันตก เป็นการจำลองภาพชีวิตจริงและสังคม เพื่อให้ผู้ชมเกิดความคิดมีความรู้สึกร่วม และรับรู้ปัญหาของตัวละคร จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะพบว่าชาติที่มีอารยธรรมเก่าแก่ จะมีตำนานแสดงถึงผลงานการสร้างสรรค์ละคร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเพื่อรับใช้สังคม ให้ความรู้ ให้บทเรียน ช่วยกระตุ้นจิตสำนึกของผู้ชมละครให้ตระหนักในภารกิจหน้าที่ของตน ปัจจุบันมีการนำละครมาเป็นสื่อรับใช้สังคมมากขึ้น เห็นได้จากการที่งานละครเข้าไปมีบทบาทในโครงการพัฒนาสังคม ละครจึงมีอิทธิพลที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคิดและพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมได้เป็นอย่างดี ด้วยการรับหน้าที่เป็นครูทางอ้อม โดยสอดแทรกบทเรียนต่างๆ ผ่านบทบาทของตัวละครแต่ละตัว ในประเทศไทย หลักสูตรการศึกษาได้บรรจุวิชาการละครไว้ในทุกระดับชั้น ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฝนทักษะเบื้องต้นในการแสดงละคร เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้มีโอกาสสำรวจทัศนคติ ค่านิยม ประสบการณ์ค้นพบความถนัด ความสามารถในทางสร้างสรรค์ เน้นที่กระบวนการและผลผลิต โดยต้องเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการกว้างๆ ในการสร้างสรรค์ ดังนี้ วัตถุประสงค์และเป้าหมาย เช่น จัดการแสดงขึ้นเพื่อสิ่งใด จัดให้ใครชม เป็นต้น ผู้สร้างสรรค์ละครควรคำนึงถึงอายุ เพศ พื้นฐานความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับละครของผู้ชม เพื่อจะได้สื่อสารทางด้านความคิด อารมณ์ และโสตสัมผัสได้ตรงกับความต้องการ ขั้นตอนการปฏิบัติงานของทุกฝ่าย เพราะละครเป็นที่รวมของศิลปะแขนงต่างๆ ที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะเกือบทุกสาขา เพื่อให้ทีมงานทุกฝ่ายประสานสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน ผู้สร้างงานจึงจำเป็นต้องรู้ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติงานของทุกฝ่าย เช่น ผู้ออกแบบฝ่ายเครื่องแต่งกาย ฉาก แสง สี เครื่องประกอบฉาก เป็นต้น จะต้องมีความสามารถในการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ ที่เหมาะสมกลมกลืนกัน เพื่อช่วยทำให้ละครเรื่องนั้นมีบรรยากาศที่สมจริง สุนทรียภาพด้านบทประพันธ์ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ต้องมีความงามทางด้านภาษา มีความไพเราะ สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนตรงกับจุดมุ่งหมายของการแสดง สุนทรียภาพด้านดนตรีและการขับร้อง ดนตรีเป็นปัจจัยหลักของการแสดงละคร ที่จะช่วยสร้างอารมณ์ตามบทบาทของตัวละคร เช่น อารมณ์เศร้าโศก เสียใจ อารมณ์ตื่นเต้น เร้าใจ เป็นต้น ทั้งการบรรเลงและการขับร้อง ถ้าผสมกลมกลืนกับบทบาทของตัวละคร จะทำให้เกิดสุนทรียภาพในการแสดง ผู้ชมก็จะเกิดความเข้าใจ ซาบซึ้งไปกับการแสดง สุนทรียภาพจากตัวผู้แสดง ผู้แสดงต้องมีบุคลิกลักษณะผสมกลมกลืนไปกับบทบาทที่แสดง มีความสามารถในการสื่อความหมาย ทำให้ผู้ชมเกิดความเชื่อ และรู้สึกคล้อยตามบทบาท ทั้งนี้ ผู้แสดงที่ได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถจะต้องเป็นผู้ที่สร้างความสะเทือนอารมณ์ให้แก่ผู้ชมได้ สุนทรียภาพจากเครื่องแต่งกาย เครื่องแต่งกายของผู้แสดงจะต้องเน้นบุคลิกของตัวละครให้เห็นฐานะทางสังคม รสนิยม มีความสง่างาม และต้องผสมกลมกลืนไปกับฉากละคร สุนทรียภาพจากองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ฉาก แสง สี เสียง เป็นต้น ต้องมีความประณีตในการตกแต่ง เพราะต้องกลมกลืนกับตัวละครและเครื่องแต่งกาย ต้องให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม ประเพณี และยุคสมัย รวมทั้งต้องเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของผู้ประพันธ์ด้วยสุนทรียภาพของการแสดงละครจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ชม โดยผู้ชมจะพิจารณาบทละคร ดนตรีบุคลิกลักษณะของตัวละคร บทบาท และองค์ประกอบอื่นๆ ต้องประสานกันอย่างกลมกลืน การเข้าใช้งานระบบ SRRU e-Learning Platform Moodle
เว็บบราวเซอร์ที่คุณใช้ต้องอนุญาตให้รับ cookies บุคคลทั่วไปสามารถเข้าชมได้เฉพาะรายวิชาที่มี สัญลักษณ์หน้าคนติดอยู่ นั่นคือ อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าศึกษาได้ นอกนั้น สำหรับท่านที่เป็นสมาชิกเท่านั้น หลักการสร้างสรรค์นาฏศิลป์ไทย สิ่งสำคัญในการสร้างสรรค์ท่ารำทางนาฏศิลป์ไทย คือ ผู้สร้างสรรค์จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของท่ารำพื้นฐาน และสามารถปฏิบัติท่ารำพื้นฐานได้ ซึ่งได้แก่ นาฏยศัพท์ที่หมายถึง คำศัพท์ ทางนาฏศิลป์ไทยที่ใช้เรียกลักษณะท่ารำต่างๆ เช่นตั้งวงบน จีบหงายก้าวหน้า เป็นต้น และภาษาท่าทางนาฏศิลป์ซึ่งเป็นท่ารำที่นำกิริยาท่าทางการแสดงอารมณ์ความรู้สึกตามธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์หรือคำพูด มาสร้างสรรค์เป็นท่ารำที่สวยงามและมีความหมาย
ศึกษาการรำขั้นพื้นฐาน การแสดงละครแบบราชสำนักไทย การประดิษฐ์สร้างสรรค์ท่ารำ การประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลง
การประดิษฐ์ท่ารำสร้างสรรค์ หมายถึง การตีท่ารำตามเนื้อร้องของบทเพลงต่างๆ เช่น บทเพลง ที่แต่งขึ้นประกอบการแสดงละคร บทเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในโอกาสงานสำคัญ ได้แก่ บทถวายพระพร บทอวยพรวันเกิด บทเพลงประจำโรงเรียน เป็นต้น การใช้ท่ารำจะต้องคำนึงถึงเพลงและดนตรีเป็นสำคัญ ดังนั้นท่าทางประกอบบทร้องจึงมีการปรับปรุงท่ารำมาจากท่ารำแบบแผนละครไทยมาเป็นแบบสามัญมากขึ้น เช่น ท่ารำประกอบเพลงปลุกใจรักชาติ ก็จะใช้ท่ารำที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยมีการเดินแปรแถว มีท่ารำที่อ่อนช้อยลดน้อยลง 1.กรอบความคิดในการออกแบบประดิษฐ์ท่ารำ พื้นฐานเบื้องต้นที่ใช้เป็นกรอบความคิดในการออกแบบประดิษฐ์ท่ารำหรือที่เรียกว่า“ นาฏยประดิษฐ์ ” นั้นประกอบไปด้วยเรื่องต่อไปนี้
2.การประดิษฐ์ท่ารำ การประดิษฐ์ท่ารำควรยึดเนื้อร้องหรือเนื้อหาของบทเพลง ซึ่งมีหลักสำคัญดังนี้
การประดิษฐ์ท่ารำแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 2.1 การประดิษฐ์ท่ารำที่เป็นคู่ 1) การประดิษฐ์ท่ารำแนวอนุรักษ์ ส่วนมากจะใช้ท่ารำเป็นแบบแผนมาตั้งแต่ดั้งเดิม คือ เพลงช้า–เพลงเร็ว เป็นท่ารำในกลอนตำรานั้นเป็นการตีความหมายตามบทร้อง และทำนองเพลง 2) การประดิษฐ์ท่ารำแนวความคิดสร้างสรรค์ จะเป็นการประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่โดยได้แนวคิดมาจากการรับอิทธิพลของต่างประเทศทางตะวันออก และตะวันตก การประดิษฐ์ท่ารำให้กับผู้รำที่เป็นคู่ ผู้ประดิษฐ์ท่ารำจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 1. รูปแบบการรำที่เป็นคู่ หมายถึง การรำเพียง 2 คน แต่งโบราณมักนิยมรำในการเบิกโรง คือ การแสดงชุดสั้นๆ ก่อนการแสดงละครใน เช่น รำประเลง รำกิ่งไม้เงินทอง หรือการรำตัดตอนมาจากละครเรื่องใหญ่ เช่น พระรามตามกวาง รจนาเสี่ยงพวงมาลัย เป็นต้น จะต้องมีการกำหมดรูปแบบการรำให้ชัดเจน เช่น คู่ชาย -หญิง คู่พระ-นาง ชายคู่–หญิงคู่ การประดิษฐ์ท่ารำก็จะต้องมีความสอดคล้องกันไม่ใช่ต่างคนต่างรำ 2. จังหวะ ทำนองเพลง บทร้อง มีความสำคัญต่อการรำดังนี้ (1) การประดิษฐ์ท่ารำให้ตรงกับจังหวะ ทำนองเพลง บทร้อง อย่างกลมกลืน (2) สำเนียงเพลงต่างชาติ เช่น จีน พม่า ลาว มอญ เป็นต้น การประดิษฐ์ท่ารำ จะต้องนำท่ารำของชาตินั้นมาใส่ให้กลมกลืนกับท่ารำของนาฏศิลป์ไทย (3) เครื่องแต่งกาย เป็นองค์ประกอบสำคัญในการประดิษฐ์ท่ารำ ดังคำกล่าวที่ว่า “ เพลงดี เครื่องแต่งกายงาม จะส่งผลให้ท่ารำงามตามไปด้วย ” การรำเป็นนอกจากจะเป็นการรำเพื่ออวดฝีมือรำแล้ว เครื่องแต่งกายก็จะส่งผลทำให้การแสดง นั้นสวยงามด้วย การประดิษฐ์เครื่องแต่งกายจะยึดท่ารำเป็นหลัก และแต่งกายตามลักษณะรูปชุดแบบการแสดง เช่น ท่ารำแนวอนุรักษ์ส่วนมากจะยึดเครื่องแต่งกายพระ-นาง แต่ถ้าการรำเป็นนางทั้งคู่จะต้องแต่งแบบนางใน เป็นต้น เรื่องของสีจะต้องเลือกให้เหมาะสม เช่น สีเขียวคู่กับสีแดง หรือแต่งสีเดียวกัน และต้องให้สอดคล้องการการแสดง บุคลิกของผู้รำ 2.2 การประดิษฐ์ท่ารำที่เป็นหมู่
ข้อคำนึงในการประดิษฐ์ท่ารำเป็นหมู่ คือ (1) การแปรแถว การแสดงนาฏศิลป์โบราณไม่นิยมแปรแถวที่หลากหลายเหมือนในปัจจุบัน มักจะนิยมแถวตรง แถวเรียงเดี่ยวหน้ากระดาน หรือแถวตอนคู่ หรือลักษณะวงกลมโดยจะประดิษฐ์ท่ารำให้เหมือนกัน ปัจจุบันได้รับอิทธิพลการแสดงจากต่างประเทศจึงนำมาประดิษฐ์ท่ารำนาฏศิลป์ไทยให้มีการแปรแถว ตั้งซุ้ม ซึ่งผู้ประดิษฐ์จะต้องคำนึงถึงความกลมกลืนเป็นหลักด้วย (2) ท่ารำจะต้องสัมพันธ์กับเพลง การคิดท่ารำจะต้องฟังบทเพลงก่อนแล้วจึงคิดท่ารำให้สอดคล้องกลมกลืนกับบทเพลง ส่วนเครื่องแต่งกายจะยึดท่ารำเป็นหลักในการออกแบบ การเลือกสี ส่วนมากการแสดงเป็นหมู่จะแต่งกายแบบเดียวกัน (3) ท่ารำเป็นหมู่คณะ ลักษณะการรำเป็นหมู่คณะจะใช้ผู้แสดงเป็นจำนวนมาก จะต้องคำนึงถึงความพร้อมเพียงเป็นหลัก ไม่ให้ความสำคัญกับท่ารำมากนัก (4) ท่ารำที่มีบทร้อง จะต้องยึดความหมายของบทร้องเป็นหลักจะต้องประดิษฐ์ท่ารำให้ถูกต้องตามหมายหมายของบทร้อง (5) ท่ารำที่มีการแต่งทำนองเพลง การประดิษฐ์ท่ารำที่ไม่มีบทร้องมีแต่ทำนองเพลง ให้ยึดท่วงทำนองของเพลงที่บรรเลง เช่น อารมณ์เพลงที่แสดงถึงความรัก ความโกรธ ความตื่นเต้น คึกคักสนุกสนาน เป็นต้น องค์ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์ หมายถึง การฟ้อนรำที่อาศัยการเคลื่อนไหวตามจังหวะและทำนองโดยมีหลักการแสดงการแสดงนาฏศิลป์ที่สมบูรณ์จะมีองค์ประกอบทางนาฏศิลป์ที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
เพลงไทยสำหรับประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย
2) เพลงขับร้องรับส่ง เพลงไทยทีนำมาบรรจุไว้ในบทโขน–ละคร อาจนำมาจากเพลงตับ เถา หรือเพลงเกร็ด เพื่อบรรเลงขับร้องประกอบการรำบทหรือใช้บทของตัวโขน ละครหรือเป็นบทขับร้องในเพลงสำหรับการรำและระบำ เช่น เพลงช้าปี่ เพลงขึ้นพลับพลา เพลงนกกระจอกทอง เพลงลมพัดชายเขา เพลงเวสสุกรรม เพลงแขกตะเขิ่ง เพลงแขกเจ้าเซ็น เป็นต้น
1) เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ - เพลงประกอบการฟ้อนเล็บได้แก่ เพลงแหย่งหลวง - ฟ้อนเทียน ได้แก่ เพลงลาวเสี่ยงเทียน - ฟ้อนสาวไหม ได้แก่ เพลงปราสาทไหวและสาวสมเด็จ - ระบำซอ ได้แก่ ทำนองซอยิ๊ และซอจ๊อยเชียงแสน บรเลง เพลงลาวจ้อย ต้อยตลิ่ง 2) เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง - เพลงประกอบการเต้นรำกำเคียว ได้แก่ เพลงระบำชาวนา เป็นต้น 3) เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน - เพลงประกอบการแสดงเซิ้งโปงลาง บรรเลงเพลงลายโปงลาง เซิ้งภูไทย บรรเลงลายลำภูไทย เป็นต้น 4) เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ - เพลงประกอบการแสดงลิเกป่า นิยมใช้เพลงตะลุ่มโปง เพลงสร้อยสน เพลงดอกดิน - การแสดงชุดรองเง็งบรรเลงเพลงลาฆูดูวอ เพลงมะอีนังลามา เพลงลานัง เป็นต้น |