การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ from DuangdenSandee มี 50 เทคนิค (อ่านเพิ่มเติมจากหนังสือของ อ.อุทุมพร จามรมาน) แต่ที่ใช้กันมากมี 10 วิธี ซึ่งครอบคลุมพัฒนาการ 5 ด้าน ของนักเรียน (ร่างกาย จิตใจ สังคม สติปัญญาและทักษะ) สรุปเครื่องมือวัดผล-ประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน มีดังนี้
เทคนิคการวัดผล-ประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน ที่ใช้โดยทั่วไปสรุปในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 เทคนิคการวัดผล-ประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน Assessment Techniquesวัด-ประเมินอะไร1. การสอบ (Testing) 1.1 เครื่องมือเรียกแบบทดสอบ 1.2 แบบทดสอบมี 2 ประเภท คือแบบเป็นปรนัย (เลือกตอบจับคู่ผิด-ถูก) และแบบเป็นอัตนัย (เติมคำเขียนวลี) 1.3 การจัดสอบทำได้หลากหลาย สอบแบบปิด หนังสือ เปีดหนังสือ สอบในห้อง ที่บ้าน สอบเดียว สอบกลุ่ม 1.4 แบบทดสอบมีทั้งที่ใช้ตัวอักษร รูปภาพสัญลักษณ์ 1.5 คะแนนสอบมีผิด-ถูก วัด Cognitive หรือความสามารถทางสมอง(ความรู้ ความคิด) ความรู้คือความจำ ความเข้มใจ การนำความรู้ไปใช้ ความคิดมีหลายประเภท เช่น คิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ 2. การวัดลักษณะคน2.1 เครื่องมือเรียก มาตร (Scale) 2.2 วัด 2 ระดับ คือความรู้สึกในใจกับพฤติกรรมที่แสดง 2.3 แบบวัดลักษณะทางจิตวิทยา เช่น Rating Scale Ranking Self Report 2.4 คะแนนไม่มีผิด-ถูกวัด Psychological หรือวัดสิ่งที่อยู่ในใจกับพฤติกรรมที่แสดงออก เช่น บุคลิกภาพ จริยธรรม คุณธรรม ความดี3. การวัดผลงานภาคปฏิบัติ 3.1 ตัวอย่าง เช่น ผลการทำกิจกรรม โครงงาน 3.2 เครื่องมือวัดมี 3 อย่าง (1) วัดความรู้ในงานคือแบบทดสอบ (2) เช็ดขั้นตอนว่าครบคือ แบบ Check List แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ (3) ประเมินคุณภาพผลงานคือ แบบประเมิน และแบบสอบถามความคิดเห็น 3.3 นำคะแนนทั้ง 3 ส่วนมาพิจารณาวัด Psycho-motor หรือ Practical Performance หรือทักษะ 3. ข้อเสนอแนะในการวัดผล-ประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนยุคโควิค-19กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดรูปแบบการจัดการเรียนการสอนยุคโควิค-19 ทั้ง 5 รูปแบบ หากแต่ยังขาดประเด็นวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนและเทคนิคการวัดผล-ประเมินผล ในบทความนี้จะเสนอแนะการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่อิงวัตถุประสงค์และเทคนิคการวัดผล-ประเมินผลที่เป็นระบบ OLA ในยุคโควิด-19 ครูสอนจริงได้เพียง 4-5 ครั้ง ๆ ละ 1 ชั่วโมงต่อภาคเรียน (20 สัปดาห์) ดังนั้นครูจะต้องเตรียมการดังนี้ 1. ครูต้องอ่านเนื้อหาสาระที่จะสอนรายวิชาใน 1 ภาคเรียนให้เข้าใจและสังเคราะห์ออกมาเป็นประเด็นหลักหรือ Concept (ความรู้รวบยอด) เพียง 4-5 ประเด็นเพื่อสอนจริง ตัวอย่างประเด็นหลักหรือ Concept ในวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง “การรวม” คือ การบวก คูณ ยกกำลัง ตัวเลขหลักเดียวและหลายหลัก ครูสามารถสอน “การรวม” ไปพร้อมกันได้ใน 1 ชั่วโมง และวางแผนการสอนจริงในรูปแบบ On Site Online On Air On Demand ในขณะเดียวกันครูต้องจัดทำเอกสารให้นักเรียนอ่านแบบฝึกหัด การบ้าน กิจกรรมต่างๆเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้เรื่อง “การรวม” 2) แฟ้มผลงานแสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้าของผู้เรียน การประเมินผลตามสภาพจริงและการประเมินด้วยแฟ้มสะสมงานจึงมีความเหมาะสม สอดคล้องกับแนวคิดใหม่ในการจัดการเรียนรู้ที่ค านึงถึงการเรียนรู้ในสภาพจริง บริบทจริงการให้คำปรึกษา เป็นการช่วยเหลือรูปแบบหนึ่ง ที่อาศัยความสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับการ ปรึกษา เพื่อให้ผู้รับการปรึกษาเกิดความเข้าใจตนเอง เข้าใจปัญหา ได้ความรู้และทางเลือกในการแก้ปัญหานั้นอย่างเพียงพอมีสภาพอารมณ์และจิตใจ ที่พร้อมจะคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง หลักการที่สำคัญในการให้คำปรึกษา เนื่องจากการให้คำปรึกษาเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เป็นทั้งผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษา ต้องมีระบบระเบียบ มีเทคนิควิธีในการเข้าใจ การสร้างมนุษยสัมพันธ์ การช่วยเหลือ การวางแผน การตัดสินใจ การเปลี่ยนแปลงในหลายด้านในตัวผู้รับคำปรึกษา ดังนั้นในการให้คำปรึกษาจึงจำเป็นต้องมีหลักการที่สำคัญ (สวัสดิ์ บรรเทิงสุข .2542) ดังนี้ ประเภทของการให้คำปรึกษา การให้คำปรึกษาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทดังนี้ 1. การให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล (Individual Counseling) การให้คำปรึกษาประเภทนี้เป็นแบบที่ได้รับความนิยม และถูกนำมาใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ การให้คำปรึกษาจะเป็นการพบกัน ระหว่างผู้ให้คำปรึกษา 1 คน กับผู้ขอคำปรึกษา 1 คน โดยร่วมมือกัน การให้คำปรึกษาแบบนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยให้ผู้ขอรับคำปรึกษาให้สามารถเข้าใจตนเอง เข้าใจปัญหา และสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง หรือเพื่อให้สมาชิกในองค์การ เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้สูงขึ้น ทำให้คนในองค์การได้ตระหนักถึง ความรู้สึกเกี่ยวกับปฏิกิริยาและการแสดงออกของอารมณ์ของตนและผู้อื่น เข้าใจความสำคัญของทัศนคติ ความเชื่อ ค่านิยม แรงจูงใจ พฤติกรรมต่าง ๆของบุคคล เข้าใจความสำคัญของการเสริมแรงและการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนสามารถกำหนดเป้าหมายและการประพฤติปฏิบัติของตนเองได้ กระบวนการให้คำปรึกษา กระบวนการให้คำปรึกษา อาจสรุปได้ 5 ขั้นตอนดังนี้คือ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างสัมพันธภาพ ผู้ให้คำปรึกษาต้องทำให้ผู้รับคำปรึกษาเกิด ความอบอุ่น สบายใจ และไว้วางใจ หลักพื้นฐานของการให้คำปรึกษากลุ่ม
ลำดับขั้นของการให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม ขั้นที่ 1 ขั้นก่อตั้งกลุ่ม ในขั้นนี้สมาชิกที่เข้ากลุ่มยังไม่กล้าเปิดเผยตนเอง เพราะยังไม่ไว้วางใจในกลุ่ม ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องชี้แจงวัตถุประสงค์ของการให้คำปรึกษา และสร้างสัมพันธภาพที่ดี ให้เกิดขึ้นในกลุ่ม และต้องให้เวลาแก่สมาชิกกลุ่มพอสมควรอย่ารีบเร่ง ขนาดของกลุ่ม ในการให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม ขนาดของกลุ่มที่ดีที่สุดจะอยู่ระหว่าง 4-8 คน เพราะถ้ากลุ่มมีขนาดใหญ่เกินจำนวน 8 คน การถ่ายโยงจะค่อย ๆอ่อนลงจนกระทั่งสมาชิกแทบ จะไม่มีความหมาย และแทบจะไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันและกัน กลุ่มทำหน้าที่เสมือนการรวมกลุ่มย่อยหลาย ๆกลุ่ม และผู้ให้คำปรึกษาจะมีความยากลำบากในการชักจูงให้สมาชิกแต่ละคน สนใจกลุ่ม แต่ถ้ากลุ่มเป็นกลุ่มขนาดเล็กสมาชิก จะมีโอกาสสื่อความหมายซึ่งกันและกันได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าขนาดของกลุ่มใหญ่ขึ้น สมาชิกจะได้รับประสบการณ์ตรงและมีส่วนร่วมในกลุ่มน้อยมาก สมาชิกจะพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับผู้นำ ผู้พูด และผู้แสดงเท่านั้น และสมาชิกจะปฏิบัติหน้าที่เหมือนกับอยู่ในชั้นเรียน และคอยพึ่งพิงผู้นำมากขึ้น เวลาและจำนวนครั้งในการให้คำปรึกษากลุ่ม ในการให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม ผู้ให้คำปรึกษาควรจัดให้มีการให้คำปรึกษาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ถ้ามีเวลาอันจำกัด อาจจัดให้มีการให้คำปรึกษา สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งได้ ส่วนจำนวนในการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มทั้งหมดควรประมาณ 6-10 ครั้ง ส่วนเวลาที่ใช้ในการให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม จะเป็นเวลานานเท่าใดนั้น จะแตกต่างกันไปตามวัยผู้มาขอรับคำปรึกษา ถ้าเป็น นักเรียนระดับประถมศึกษา ควรใช้เวลาครั้งละ 1 ชั่วโมง ส่วนนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ควรใช้เวลาประมาณ 1-1 ½ ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นนักศึกษาระดับอุดมศึกษาหรือผู้ใหญ่ควรใช้เวลาประมาณ 1 ½ - 2 ชั่วโมง ทั้งนี้หมายความว่าในการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มนั้น เวลาที่ใช้ในการให้คำปรึกษาแต่ ละครั้งอย่างมากที่สุดไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง ลักษณะของกลุ่มในการให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม ในการให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม ลักษณะของกลุ่มควรเป็นกลุ่มแบบปิด ( Closed Groups) หมายถึง เป็นกลุ่มที่ประกอบด้วย สมาชิกที่เป็นคนเดิมตั้งแต่เริ่มต้น การให้คำปรึกษา จนกระทั่งถึงขั้นยุติการให้คำปรึกษา ไม่ควรเป็นกลุ่มแบบเปิด ( Opened Groups ) เพราะกลุ่มลักษณะนี้จะมีการเข้าออกของ สมาชิกกลุ่มอยู่ตลอดเวลา คือสมาชิกเก่าออกไปสมาชิกใหม่เข้า มาแทนที่ ทำให้การให้คำปรึกษาขาดความต่อเนื่อง การที่กลุ่มจะมีพัฒนาการไปถึง ขั้นการวางแผนแก้ปัญหา จะทำได้ยากและความรู้สึกปลอดภัยจะลดลง เพราะสมาชิกกลุ่มจะต้องคอยปรับตัวต่อสถานการณ์ ที่มีสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเจริญงอกงามของกลุ่มได้ |