ปัญหาอ้วนลงพุง รอบเอวที่มากเกินไป ตลอดจนระบบเผาผลาญไม่ดีดังเดิม ทั้งหมดนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะเมแทบอลิกซินโดรมที่นำไปสู่ความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ อาทิ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และอัมพาต (Stroke) เป็นต้น ดังนั้นการรู้เท่าทันสาเหตุ หมั่นสังเกตความผิดปกติ และดูแลใส่ใจร่างกายอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะเมแทบอลิกซินโดรม รู้ให้ทันเมแทบอลิกซินโดรมภาวะเมแทบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) คือ ภาวะที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารของร่างกายที่ผิดปกติไป ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันสูง ซึ่งต่อมาภาวะเหล่านี้จะส่งผลให้มีปัญหาต่อหลอดเลือดและหัวใจ เกิดหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ในที่สุด ซึ่งภาวะเมแทบอลิกซินโดรมนี้มักพบในผู้ป่วยที่ไขมันในช่องท้องมากขึ้น หรือที่เราเรียกว่า อ้วนลงพุง (Central Obesity) ซึ่งไขมันเหล่านี้จะทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ ความสมดุลของฮอร์โมนที่ผิดปกติ รวมถึงการออกฤทธิ์ของอินซูลินทำได้ไม่ดี (Insulin Resistance) ทำให้เกิดเบาหวานและอาการต่าง ๆ ดังกล่าว ต้นเหตุของโรคสาเหตุหลักของภาวะเมแทบอลิกซินโดรม ได้แก่
การตรวจวินิจฉัยเกณฑ์ในการวินิจฉัยภาวะเมแทบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) มีอยู่หลายเกณฑ์ด้วยกัน ในที่นี้ขอใช้เกณฑ์ของ The National Cholesterol Education Program Adult Treatment Panel III (NCEP ATP III) (2005) เพื่อให้ง่ายต่อการประเมินวินิจฉัยภาวะเมแทบอลิกซินโดรมและการประเมินเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะนี้สำหรับคนเอเชียที่มักมีสัดส่วนไขมันเยอะกว่าสัดส่วนกล้ามเนื้อ โดยต้องมีความผิดปกติ 3 ใน 5 ข้อ ได้แก่
รักษาเมแทบอลิกซินโดรมสิ่งสำคัญในการรักษาภาวะเมแทบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) คือ การแก้ปัญหาโรคอ้วนและภาวะดื้อต่ออินซูลินไปพร้อมกับการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่น ๆ ได้แก่
1) การผ่าตัดส่องกล้องลดขนาดกระเพาะ Laparoscopic Sleeve Gastrectomy เป็นการผ่าตัดปรับรูปร่างของกระเพาะให้มีความจุเหลือ 150 ซีซี โดยตัดกระเพาะและส่วนที่ผลิตฮอร์โมนกระตุ้นความหิวออกประมาณ 80% โดยใช้วิธีผ่าตัดแบบส่องกล้องบริเวณหน้าท้อง โดยเปิดแผลเล็กขนาด 0.5 – 1 เซนติเมตร ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องเพื่อลดน้ำหนักโดยตรง 2) การผ่าตัดส่องกล้องลดขนาดกระเพาะและทำบายพาส Laparoscopic Gastric Bypass การผ่าตัดแยกกระเพาะอาหารให้มีขนาดเล็กลงเป็นรูปกระเปาะ มีความจุ 30 ซีซี จากนั้นตัดแยกลำไส้เป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งมาต่อกับกระเพาะเพื่อบายพาสอาหารความยาว 100 – 150 เซนติเมตร การผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักดังกล่าวทำให้ผู้ได้รับการรักษาสามารถควบคุมการรับประทานอาหาร ทั้งปริมาณและความอยากได้ดีขึ้น เนื่องจากได้ตัดฮอร์โมนกระตุ้นความหิวออกไปบางส่วนแล้วยังส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สารอาหารที่ทานเข้าไปดูดซึมได้น้อยลงและปริมาณการทานอาหารได้น้อยลงด้วย ภาวะเมแทบอลิกซินโดรมไม่จำเป็นจะต้องพบในผู้ที่เป็นโรคอ้วนเสมอไป ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันในเลือดสูง มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ทั้งสิ้น แต่ผู้ที่เป็นโรคอ้วน ซึ่งจะวัดจากน้ำหนักและค่าดัชนีมวลกายเป็นสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนลงพุงมีความเสี่ยงมากกว่า นอกจากนี้การรักษาจะเน้นที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดน้ำหนัก รวมถึงการทานยาก่อน หากไม่เป็นผลแพทย์เฉพาะทางจะพิจารณาให้เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดมักได้ผลดีในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคอ้วนร่วมด้วย เพราะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง มีรูปร่างที่เหมาะสม ห่างไกลจากโรคเรื้อรัง |