ในโลกแห่งการสื่อสารไร้ขีดจำกัดด้วยวิธีง่ายๆ แค่มีสมาร์ทโฟนและการเชื่อมต่อผ่านอินเตอร์เน็ตเพียงเท่านั้น แต่การใช้งานระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายหรือที่เรียกว่า Mobile Internet มีให้เลือกหลายแพ็กเกจและข้อจำกัดต่างๆการใช้งานให่เหมาะสม กับคุณนั้นควรจะเป็นแบบใดบ้างมาดูวิธีเลือกใช้งานกัน Mobile Internet คืออะไร Mobile Internet พัฒนามาจากอินเตอร์เน็ตแบบใช้สายที่ใช้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คทำงานเป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ แต่เมื่อระบบอินเตอร์เน็ตกลายเป็นที่นิยมจึงถูกพัฒนาให้ใช้อินเตอร์เน็ตแบบมือถือไร้สายได้ ในยุคแรกเรียกว่า WAP (Wireless Application Protocol) เสมือนอินเตอร์เน็ตในคอมพิวเตอร์ แต่หน้าตาจะไม่สวยเหมือนในคอมพิวเตอร์ จนถูกพัฒนาระบบมาเรื่อยๆ เป็น HSCSD, GPRS, EDGE, ซึ่งเป็นระบบเก่าที่เรียกว่า 2G ยุค 3G และ 4G เมื่อระบบสื่อสารพัฒนาเข้าสู่ยุคที่ 3 ซึ่งได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของมาตรฐาน IMT-2000 ภายใต้กลุ่มของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ มาตรฐานโทรศัพท์มือถือยุคที่ 3 หรือที่เรียกว่า ระบบ UMTS หรือ W-CDMA ในระบบ GSM ใช้ช่วงความถี่ตั้งแต่ 850, 900, 1800,1900และ2100ผสานเทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน มีความสามารถในการนำเสนอข้อมูล ใช้งานด้านมัลติมีเดีย ส่งผ่านข้อมูลทั้งภาพและเสียงในระบบไร้สายด้วยความเร็วที่สูง ส่วนระบบ 4G จะสามารถเล่นบนคลื่นความถี่ 2100,2500 และ 2600 ขึ้นอยู่กับภูมิภาคและผู้ให้บริการ ในขณะนี้ประเทศไทยได้มีแค่การรับรองแค่ 2100 เท่านั้น วิธีใช้ Mobile Internet ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของคุณ สมาร์ทโฟนในปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นหลากหลายคอยอัพเดตตลอดเวลาเมื่อทำการเปิดการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต บางคนมีการใช้งานอินเตอร์เน็ตทั้งวันเพื่อทำการสื่อสารทางด้านธุรกิจ อัพเดตพยากรณ์อากาศ อัพเดตสภาพขนส่งบนถนนทางบก เป็นต้น ดังนั้นการจะเลือกใช้ Mobile Internet ให้เหมาะสมก็ควรเลือกตามแพ็กเกจที่ค่ายมือถือแต่ละค่ายได้นำเสนอมาว่าแบบไหนเหมาะสมกับผู้ใช้งานมากที่สุด อย่างถ้าเราไม่ได้เล่นเกมอะไรมากบวกกับปกติมีการเชื่อมต่อ Wi-Fi เป็นประจำอยู่แล้วก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้งานในราคาสูงมากเกินไป แต่ถ้าหากว่าจำเป็นต้องใช้งาน Mobile Internet เป็นประจำ ต้องเดินทางตลอด ไม่สามารถหาจุดเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ง่าย การเลือกใช้ที่ตรงตามคุณภาพก็เป็นเรื่องดีที่ช่วยให้การทำงานหรือการใช้ชีวิตอันจำเป็นต้องมีอินเตอร์เน็ตติดตัวคือเรื่องสะดวกสบายและคุ้มค่าการใช้งานสุดๆ การเปิดใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน 3G หรือ 4G ย่อมมีค่าใช้จ่ายตามแพ็กเกจที่เลือกใช้จากผู้ให้บริการ ทั้งนี้ผุ้ใช้ควรเลือกสมาร์ทโฟนที่รองรับระบบข้อมูลมือถือด้วย บางเครื่องรองรับ 3G ทุกเครือข่าย บางเครื่องยังไม่รองรับ 4G หรือบางเครื่องก็จำกัดเฉพาะบางเครือข่าย ทั้งนี้ควรศึกษาสเปคของเครื่องเพื่อให่เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้เองและทำให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด ที่มา : http://www.netcentrex.net/mobile-internet-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89/
ระบบค้นหาข้อมูล (search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลอินเตอร์เน็ตโดยครอบคลุมทั้งข้อความรูปภาพ ภาคเคลื่อนไหว เพลง ซอฟแวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่นๆ ซึ่งแตกต่างกันไป แล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริหารแต่ละราย ระบบค้นหาข้อมูลส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่คิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องขึ้นมาในปัจจุบัน ระบบค้นหาข้อมูลบางชนิด เช่น กูเกิล (google) จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้นมาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อไป โดยทั่วไปการค้นหาข้อมูลมี 2 วิธี คือ 1.การค้นหาในรูปแบบ Index Directory 2.การค้นหาในรูปแบบ Search Engine 1.การค้นหาในรูปแบบ Index Directory ค้นหาข้อมูลแบบ Index นี้ข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าการค้นหาข้อมูลด้วยวิธีของ Search Engine โดยมันจะถูกคัดแยกข้อมูลออกมาเป็นหมวดหมู่ และจัดแบ่งแยก site ต่างๆ ออกเป็นประเภท สำหรับวิธีใช้งานสามารถที่จะ Click เลือกข้อมูลที่ต้องการจะดูได้เลยใน Web Browser ต่อจากนั้นที่หน้าจอก็จะแสดงรายละเอียดของหัวข้อปลีกย่อยลึกลงมาอีกระดับหนึ่ง ปรากฏขึ้นมาให้เราเลือกอีกส่วนจะแสดงออกมาให้เลือกเยอะแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของฐานข้อมูลใน Index ว่าในแต่ละประเภทจัดรวบรวมเก็บเอาไว้มากน้อยเพียงใด 2.การค้นหาในรูปแบบ Search Engine วิธีการอีกอย่างที่นิยมใช้การค้นหาข้อมูลคือการใช้ Search Engine ซึ่งผุ้ใช้ส่วนใหญ่กว่า 70 % จะใช้วิธีการค้นหาแบบนี้ หลักการทำงานของ Search Engine จะแตกต่างจาการใช้ Index ลักษณะของมันจะเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่มหาศาลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป บน Internet ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็นลำดับขั้นของความสำคัญ การใช้งานจะเหมือนการสืบค้นฐานข้อมูลอื่นๆคือ จะต้องพิมพ์คำสำคัญ (Keyword) ซึ่งเป็นการอธิบายถึงข้อมูลที่ต้องการจะเข้าไป ค้นหานั้นๆเข้าไป จากนั้น Search Engine ก็จะแสดงข้อมูลและ site ต่างๆที่เกี่ยวข้องออกมา ข้อแตกต่างระหว่าง Index และ Search Engine วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index จะใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวมและทำระบบฐานข้อมูลขึ้นมา ส่วนแบบ Search Engine นั้นระบบฐานข้อมูลของมันจะได้รับการจัดสร้างใช้ Software ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้โดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุมและจัดการ ซึ่ง Software ตัวนี้จะมี ชื่อเรียกว่า spiders การทำงานของมันจะใช้วิธีการเดินลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่างๆที่เชื่อมโยงถึงกันอยู่เต็มไปหมดใน Internet เพื่อค้นหา Website ที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ รวมทั้งยังตรวจสอบหาความเปลี่ยนแปลงของข้อมูลใน Site เดิมที่มีอยู่ ว่าที่ใดถูกอัพเดตแล้วบ้าง จากนั้นมันก็เอาข้อมูลทั้งหมดที่สำรวจเข้ามาได้เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนอัตโนมัติ หลักการค้นหาข้อมูลของ Search Engine สำหรับหลักในการค้นหาข้อมูลของ Search Engine แต่ละตัวจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าทางศูนย์บริการต้องการจะเก้บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีกลไก ในการค้นหาที่ใกล้เคียงกัน หากจะแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมากน้อยขนาดไหน และพอจะนำเอาออกมาบริการให้กับผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรือเปล่า ซึ่งลักษณะของปัจจัยที่ใช้ค้นหาโดยหลักๆจะมีดังนี้ 1.การค้นหาจากชื่อของตำแหน่ง URL ใน เว็บไซต์ต่าง 2.การค้นหาจากคำที่มีอยู่ใน Title (ส่วนที่Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้าน ซ้ายบนของหน้าต่างที่แสดง) 3.การค้นหาจากคำสำคัญหรือคำสั่ง Keyword (อยู่ใน tag คำสั่งใน html ที่มีชื่อว่า meta) 4.การค้นหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรือบอกลักษณะ Site 5.ค้นหาคำในหน้าเว็บเพจด้วยBrowser ซึ่งการค้นหาคำในหน้าเว็บเพจนั้นจะใช้สำหรับกรณีที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูลที่เว็บ เพจใด เว็บเพจหนึ่ง แล้วภายในมีข้อความปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะนั่งไล่ดูทีละบรรทัดไม่สะดวก ในลักษณะนี้เราใช้ browser ช่วยค้นหาให้ เทคนิค 11 ประการที่ควรรู้ในการค้นหาข้อมูล ในการค้นหาข้อมูลด้วย Search Engine ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่ผู้ใช้งานน่าจะพบเห็น หรือประสบอยู่เสมอๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นข้อมูลที่ค้นหาได้มีขนาดมากจนเกินไป ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการใช้งานจึงน่าจะเรียนรู้เทคนิคต่างๆเพื่อช่วยลดหรือจำกัดคำที่ค้นหาให้แคบลงและตรงประเด็นกับเรามากที่สุด ดังวิธีการต่อไปนี้
ที่มา : http://portal.edu.chula.ac.th/peng/blog/view.php?Bid=1277613762810293
อินเทอร์เน็ต นั้นย่อมาจากคำว่า “International network” หรือ “Interconnection network”ซึ่งหมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการสื่อสาร และการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน โดยอาศัยตัวเชื่อมเครือข่ายใต้มาตรฐ่านการเชื่อมโยงเดียวกัน นั่นก็คือ TCP/IP Protocol ซึ่งเป็นข้อกำหนดวิธีการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย ซึ่งโปรโตคอลนี้จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ที่มีฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างกันสามารถติดต่อถึงกันได้ การที่มีระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายข่าวสารข้อมูลจากที่หนึ่งได้โดยไม่จำกัดระยะทาง ส่งข้อมูลได้หลายรูปแบบ ทั้งข้อความตัวหนังสือ ภาพ และ เสียง โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนับเป็นอภิระบบเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่มากมีเครื่องคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องทั่วโลกเชื่อมต่อกับระบบทำให้คนในโลกทุกชาติทุกภาษาสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปโลกทั้งโลกเปรียบเสมือนเป็นบ้านหนึ่งที่ทุกคนในบ้านสามารถพูดคุยกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย แต่เกิดประโยชน์ต่อสังคมโลกปัจจุบันมาก ประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต เครือข่ายอินเทอร์เน็ตถือกำเนิดมาในยุคสงครามเย็น ระหว่างสหรัฐกับรัฐเซีย ในปี ค.ศ.1960 ซึ่งกระทรวงกลาโหมประเทศสหรัฐอเมริกาเห็นว่าระบบคอมพิวเตอร์สำหรับสั่งการต้องเป็นระบบเครือข่ายที่ใช้งานได้ตลอดเวลา หากมีการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูที่เมืองใดเมืองหนึ่ง ระบบคอมพิวเตอร์บางส่วนอาจถูกทำลาย แต่ส่วนที่เหลือทำงานได้ เป้าหมายการวิจัยและการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ดังกล่าวจึงกลายเป็นโครงการชื่อ ARPAnet หรือ Advance Research Project Agency net โดยมอบหมายให้กลุ่มมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ทำการวิจัยและเชื่อมโยงเครือข่าย ในปี ค.ศ. 1983 ได้มีการนำ TCP/IP Protocol หรือ Transmission Control Protocol มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบเป็นครั้งแรก จนกระทั่งได้กลายเป็นมาตรฐานในการติดต่อในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาจนถึงปัจจุบัน ในปี ค.ศ. 1986 มีการกำหนดชื่อโดเมน(Domain name System) เพื่อสร้างฐานข้อมูลในแต่ละเครือข่าย และใช้ ISP (Internet Service Provider ) ในการจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ทั่วโลกล้วนแต่เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึงกว่าเดิม
ที่มา : http://computer.bcnnv.ac.th/hnwy-kar-reiyn-ru2
ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีบทบาทและมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของคนเราเป็นอย่างมาก เพราะทำให้วิถีชีวิตเราทันสมัยและทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตจะมีการเสนอข้อมูลข่าวปัจจุบัน และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ผู้ใช้ทราบเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน สารสนเทศที่เสนอในอินเทอร์เน็ตจะมีมากมายหลายรูปแบบเพื่อสนองความสนใจและความต้องการของผุ้ใช้ทุกกลุ่ม อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งสารสนเทศสำคัญสำหรับทุกคนเพราะสามารถค้นหาสิ่งที่ตนสนใจได้ในทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปค้นคว้าในห้องสมุด หรือแม้แต่การรับรู้ข่าวสารทั่วโลกก็สามารถอ่านได้ในอินเทอร์เน็ตจากเว็บไซต์ต่างๆของหนังสือพิมพ์ ดังนั้นอินเทอร์เน็ตจึงมีความสำคัญกับวิถีชีวิตของคนเราในปัจจุบันเป็นอย่างมากในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่อยู่ในวงการธุรกิจ การศึกษา ต่างก็ได้รับประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตด้วยกันทั้งนั้น 1.ด้านการศึกษา อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญ ดังนี้ 1.สามารถใช้เป้นแหล่งข้อมูลค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลด้านการบันเทิง ด้านการแพทย์และอื่นๆ ที่น่าสนใจ 2.ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ 3. นักเรียนนักศึกษาสามารถใช้อินเทอร์เน็ตติดต่อกับมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนอื่นๆ เพื่อค้นหาข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่ได้ ทั้งที่ข้อมูลที่เป็นข้อความเสียง ภาพ เคลื่อนไหวต่างๆ 2.ด้านธุรกิจและการพาณิชย์ อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญ ดังนี้ 1.ค้นหาข้อมูลต่างๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ 2.สามารถซื้อขายสินค้า ทำธุรกรรมผ่านระบบเครือข่าย 3.เป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ โฆษณาสินค้า ติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ 4.ผู้ใช้ที่เป็นบริษัท หรือองค์กรต่างๆก็สามารถเปิดให้บริการ และสนับสนุนลูกค้าของตนผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ เช่น การให้คำแนะนำ สอบถามปัญหาต่างๆ ให้แก่ลูกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรมทดลองใช้ โปรแกรมแจกฟรี 3.ด้านการบันเทิง อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญ ดังนี้ 1.การพักผ่อนหย่อนใจ สันทนาการ เช่น การค้นหาวารสารต่างๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า Magazine Online รวมทั้งหนังสือพิมพ์และข่าวสารอื่นๆ โดยมีภาพประกอบที่จอคอมพิวเตอร์เหมือนกับวารสารตามร้านหนังสือทั่วๆไป 2.สามารถฟังวิทยุหรือดูรายการโทรทัศน์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ 3.สามารถดึงข้อมูล ภาพยนตร์มาดูได้ ที่มา : https://sites.google.com/site/is4054is/2-ray-chux-phu-hi-brikar-xinthexrnet/2-1-khwam-saakhay-khxng-xinthexrnet |