คำถามที่พบบ่อยกรณีคนไข้ประจำเดือนขาด ไม่มาตามรอบปกติ โดยข้อกังวลที่พบคือสงสัยว่าตนเองตั้งครรภ์รึเปล่า? เมื่อเริ่มสงสัยว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ ก็ต้องตรวจครรภ์โดยสามารถรู้ข้อมูลเบื้องต้นก่อนได้ผ่านการใช้อุปกรณ์ตรวจครรภ์ แต่ถึงแม้จะทดสอบการตั้งครรภ์ แล้วพบว่าตั้งครรภ์ก็ตาม แต่คุณผู้หญิงก็ควรจะไปพบแพทย์ด้วยการตรวจปัสสาวะ หรือตรวจเลือดเพื่อดูค่าฮอร์โมนเอชซีจี (hCG) ให้แน่ใจว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นแล้วจริงๆ Show ทั้งนี้มีข้อสังเกตสำหรับคุณผู้หญิงว่าตั้งครรภ์หรือไม่ ด้วย 2 วิธี ได้แก่ 1. อาการบ่งบอกว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ (อาการแพ้ท้องแรกเริ่ม)
2. การตรวจครรภ์หาค่าฮอร์โมนเอชซีจี (hCG)การตรวจการตั้งครรภ์ใช้หลักการตรวจหาฮอร์โมนเอชซีจี (Human Chorionic Gonadotropin หรือ hCG) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากตัวรกหลังการปฏิสนธิ 6 วันขึ้นไป โดยระดับปริมาณฮอร์โมนเอชซีจี (hCG) บ่งบอกการตั้งครรภ์และอายุครรภ์คร่าวๆ ได้ ฮอร์โมนนี้มีความยาวของกรดอะมิโน 237 ตัว ชุดน้ำยาในที่ตรวจครรภ์ อ่านผลได้จากการดักจับฮอร์โมนเอชซีจี ส่วนวิธีการตรวจตั้งครรภ์ด้วยวิธีทางห้องปฏิบัติการ จะใช้ชุดน้ำยาตรวจสอบที่จับส่วนประกอบย่อยของฮอร์โมนเอชซีจี (hCG) ที่มีอยู่ 2 ส่วน ได้แก่
ทั้งนี้มีวิธีการตรวจสอบได้ 2 รูปแบบ ได้แก่2.1 การตรวจครรภ์ด้วยตัวเอง โดยอุปกรณ์ตรวจครรภ์ หรือ ที่ตรวจครรภ์ ซึ่งการแสดงผลการตรวจของ ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ จะแสดงเป็น แถบขีดสี (ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง) ถ้าขึ้นว่า 2 ขีด (ขึ้นที่ขีด C และ T) คือ ผลบวก แสดงว่า มีโอกาสตั้งครรภ์ และ ขีดเดียว (ขึ้นที่ขีด C เพียงอย่างเดียว) คือ ผลลบ แสดงว่า ไม่ตั้งครรภ์ หากตรวจแล้วไม่มีขีดใดขึ้นเลย แสดงว่าที่ตรวจครรภ์เสีย หมดอายุ หรือเกิดข้อผิดพลาดในขั้นตอนการเก็บปัสสาวะ ต้องตรวจใหม่อีกครั้ง โดยอุปกรณ์ทดสอบการตั้งครรภ์นี้แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
อย่างไรก็ตามการตรวจครรภ์ด้วยวิธีนี้จะไม่สามารถให้ผลได้ 100% ซึ่งอาจเกิดผลลบลวง หรือ ผลบวกลวงได้ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจการตั้งครรภ์ที่แม่นยำกว่า 2.2 การตรวจครรภ์ด้วยแพทย์ จะเป็นการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบการตั้งครรภ์เป็นวิธีตรวจฮอร์โมน hCG และยืนยันผลโดยนักเทคนิคการแพทย์ ด้วยวิธีการตรวจจากฮอร์โมน Beta-hCG ซึ่งจะทราบผลหลังจากปฏิสนธิ ใช้เวลารอฟังผล 1-2 ชั่วโมง ซึ่งผลการตรวจจะสามารถบ่งบอกการตั้งครรภ์ได้แน่นอนถึง 100% ทั้งนี้การตรวจครรภ์วิธีนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการตรวจให้รู้แน่ชัดโดยไว เช่น ผู้ที่มีภาวะมีบุตรยาก หรือมีประวัติแท้งบุตร ต้องการข้อมูลเพื่อวางแผนการดูแล ให้ฮอร์โมนเสริมต่างๆ เพื่อป้องกันการแท้งบุตร เป็นต้น เมื่อมาพบแพทย์ เบื้องต้นจะทำการซักถามประวัติข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่ต้องการรับการตรวจ เช่น เวลาของประจำเดือนที่มาครั้งสุดท้าย อาการที่สามารถบ่งบอกได้ว่าเกิดการตั้งครรภ์ เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ปัสสาวะบ่อย เต้านมคัด หรือความผิดปกติของประจำเดือน เป็นต้น ร่วมด้วยเพื่อให้การวินิจฉัยตรงไปตรงมาและมีความแม่นยำมากที่สุด ถ้ารู้ว่าตั้งครรภ์ ต้องทำอย่างไรบ้าง?เมื่อทราบแล้วว่าตั้งครรภ์ ขั้นตอนต่อไป คือ การฝากครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์จะต้องตรวจสุขภาพด้วยการเจาะเลือดตรวจโดยแพทย์ก่อน ได้แก่ ตรวจความสมบูรณ์เม็ดเลือด (CBC) และตรวจคัดกรองหมู่เลือด (ABO), การตรวจหากลุ่มเลือด Rh เป็นการตรวจว่าเลือดคุณพ่อและคุณแม่มี Rh เป็นอย่างไร, ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่ ตรวจหาเชื้อฟิซิลิส (VDRL) ตรวจหาเชื้อไวรัส (HIV) ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg), ตรวจหาภูมิไวรัสตับอักเสบบี (HBsAb), ตรวจหาธาลัสซีเมีย (Hb typing) หากคุณเป็นโรคโลหิตจางแพทย์จะส่งตรวจว่าคุณเป็นโรคธัลลาสซีเมียหรือไม่ เพื่อป้องกันเด็กในครรภ์, ตรวจหาภูมิคุ้มกันโรคหัดเยอรมัน (Rubella IgG) หากไม่มีภูมิต้องฉีดวัคซีนก่อนการตั้งครรภ์, ตรวจปัสสาวะ (Urine Analysis) และ ตรวจคัดกรองเบาหวาน (GCT 50 gm) เพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือด ปกติคนท้องมักจะมีระดับน้ำตาลไม่เกิน 90 มก% หากสูงจะต้องส่งตรวจเพื่อให้ทราบว่าเป็นเบาหวานในขณะตั้งครรภ์หรือไม่ ซึ่งการตรวจเหล่านี้เพื่อป้องกันภาวะต่างๆ ที่จะเป็นอันตรายต่อคุณแม่ และทารกในครรภ์ พร้อมทั้งการวางแผนการดูแลสุขภาพในด้านต่างๆ ในระยะต่อไป พร้อมทั้งให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพครรภ์อย่างถูกต้อง การปฏิบัติตัวต่างๆ ในช่วงตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามการตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ ต้องทำในตอนเช้า เนื่องจากปัสสาวะจะมีความเข้มข้นสูงสุดของฮอร์โมนในเวลานี้ และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากเกินไปไว้ล่วงหน้า เพราะจะทำให้ระดับ hCG ในปัสสาวะของคุณลดลง ทั้งนี้โปรดพบแพทย์ทันทีที่คุณคิดว่าคุณตั้งครรภ์ ไม่ว่าคุณจะทำการทดสอบการตั้งครรภ์แล้วหรือไม่ก็ตาม และหากคุณพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ คุณควรเริ่มต้นการฝากครรภ์โดยเร็วที่สุด เราจะรู้ได้ยังไงว่าท้อง9 อาการคนท้อง ที่บอกให้รู้ว่า นี่แหละ “ตั้งครรภ์”. 1.ประจำเดือนขาด ... . 2.คลื่นไส้ – อาเจียน ... . 3.เหม็นนั่นเหม็นนี่ ... . 4.หน้าอกบวมและเจ็บ ... . 5.เหนื่อยล้า ง่วงเพลีย ... . 6.เลือดออกทางช่องคลอด ... . 7.ท้องป่อง ... . 8.ปัสสาวะบ่อย. จะรู้ได้ไงว่าท้อง 1 อาทิตย์ลักษณะหน้าท้องของคนท้อง 1 สัปดาห์ - 1 เดือนแรก เตรียมตัวอย่างไรเมื่อร่างกายเริ่มแสดงอาการคนท้อง. เต้านม และหัวนมมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีอาการคัดเต้านม ... . ตกขาวมากกว่าปกติ ... . ปัสสาวะบ่อย ... . อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลง ... . เหนื่อยล้า ... . อาการคลื่นไส้ หรืออาการแพ้ท้อง ... . อารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดง่าย ... . ท้องอืด. นานแค่ไหนถึงจะรู้ว่าท้องการตรวจการตั้งครรภ์ตั้งแต่ระยะแรก จึงเป็นการตรวจจากการวัดระดับฮอร์โมน เอชซีจี (HCG) ซึ่งจะเริ่มตรวจพบได้ ประมาณ 6 วันหลังการปฏิสนธิ แต่ระดับฮอร์โมนระดับ HCG ยังต่ำมาก และจะเพิ่มอย่างรวดเร็วจนถึงช่วงอายุครรภ์ประมาณ 12 สัปดาห์ มีวิธีการตรวจอยู่ถึง 4วิธี ดังนี้
นับยังไงว่าท้องกี่สัปดาห์นับอายุครรภ์จากวันที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้าย หรือ “วันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย” โดยเราจะถือว่า วันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย หรือครั้งล่าสุด คือ วันแรกของการตั้งครรภ์ เช่น ประจำเดือนครั้งล่าสุดคือ วันที่ 1-5 มีนาคม วันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย หรือครั้งล่าสุด คือ วันที่ 1 มีนาคม ก็เท่ากับ วันแรกของการตั้ง ...
|