รองเท้า Training นิ่ง ต่างจาก Running ยังไง

ย้อนกลับไปสมัยยังเรียน เราใส่รองเท้าพละคู่เดียว เล่นได้ทุกอย่าง แต่ทำไมพอโตมา เล่นกีฬาเดียว บางทีกลับมีรองเท้าหลายคู่ ยิ่งเล่นหลายกีฬา รองเท้าก็ยิ่งเต็มบ้านกันเลยทีเดียว

เนื่องจากผมทำเพจเรื่องการออกกำลังกาย มักมีคนมาถามอยู่บ่อยๆ ว่า “เข้าฟิตเนส เล่นเวต แต่ก็มีวิ่งลู่ เข้าคลาสเต้น และอื่นๆ ด้วย ควรซื้อรองเท้ารุ่นไหน” ถ้าตอบเร็วๆ ก็พอจะตอบได้ว่า อยากใส่รุ่นไหนก็ใส่ไปเถอะครับ เอาแค่เป็นรองเท้ากีฬาที่สถานที่ยอมให้ใส่เข้าไปก็พอ เพราะสำหรับการออกกำลังกายทั่วไป เล่นเวตแมชชีน ฟรีเวตที่ไม่เกินน้ำหนักตัว รองเท้าอะไรก็ไม่ต่างกันเท่าไร

หลายคนจึงมีคำถามว่า “แล้วเรื่องการรับแรงกระแทกล่ะ ถ้าเอารองเท้าทั่วไปมาใส่วิ่ง ใส่กระโดด แล้วเข่าเสื่อมขึ้นมาจะทำยังไง” คนกลุ่มนี้อาจจะมองว่า เหตุผลที่เด็กๆ ใส่รองเท้าพละเล่นทุกกีฬาได้เพราะโดนบังคับ เด็กอาจจะบาดเจ็บก็ได้ แต่มันสะสมอยู่ ยังไม่แสดงออกมา

ทักษะ หรือ รองเท้า อะไรสำคัญกว่ากัน

ผมจึงอยากยกตัวอย่างแบบนี้ เคยเห็นนักกีฬาฟรีรันนิ่ง (free running) ไหมครับ คนที่กระโดดข้ามตึก ปีนกำแพง กระโดดลงมาจากชั้นสองได้ คุณคิดว่าอะไรสำคัญสำหรับเขามากกว่ากัน ระหว่าง ‘ทักษะ’ กับ ‘รองเท้า’ ตัวผมเองมั่นใจว่าคนที่ไม่มีทักษะ ต่อให้มีรองเท้าที่รับแรงกระแทกได้ดี มีเทคโนโลยีดีขนาดไหน ก็อาจจะเจ็บหนักได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ทักษะ

หรืออีกตัวอย่าง ในกีฬาวิ่งนั้นมีการวิ่งแบบเท้าเปล่า ทั้งแบบที่เท้าเปล่าไม่สวมรองเท้าเลยจริงๆ หรือแบบที่ใส่รองเท้าชนิดที่บางมาก นักกีฬาประเภทนี้เขาวิ่งได้กันจบมาราธอนไปจนถึงอัลตร้ามาราธอน ซึ่งถ้าไปดูสถิติแปลกๆ ในงานมาราธอน ก็จะพบว่านอกจากคนวิ่งเท้าเปล่า ยังมีคนใส่รองเท้าแตะ ใส่เกี๊ยะ และใส่อีกสารพัดรองเท้าวิ่งกันได้ ดังนั้น สิ่งแรกที่ควรใส่ใจก็คือทักษะครับ

แต่ถ้าถามผมว่า “ใส่รองเท้าสลับประเภทกันมีผลเสียไหม” ก็มีครับ เช่น ใส่รองเท้าวิ่งแล้วไปยกฝึกแบบโอลิมปิกลิฟติ้ง หรือพาวเวอร์ลิฟติ้ง พื้นรองเท้าอาจจะมีโอกาสยวบและทำให้ทรงตัวได้ไม่ดี หรือถ้าใส่รองเท้าวิ่งไปเล่นแบดมินตัน เล่นบาสเก็ตบอล ก็อาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการเล่นลดลงและเพิ่มโอกาสทำให้ข้อเท้าพลิกได้ เพราะรองเท้าวิ่งพื้นจะหนาและออกแบบมาเพื่อให้เคลื่อนที่ไปด้านหน้า ตัววัสดุพื้นก็ไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับกิจกรรมที่มีการเปลี่ยนทิศทางบ่อยๆ ดังนั้น ใครมีงบประมาณเพียงพอ ผมแนะนำว่าให้เลือกรองเท้าที่เฉพาะเจาะจงกับประเภทกีฬาครับ

คู่เดียว ใส่เล่นทุกอย่าง

รองเท้า Training นิ่ง ต่างจาก Running ยังไง

แต่ถ้าถามว่า “ไม่ได้เล่นกีฬาอะไรจริงจังอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ แล้วต้องซื้อรองเท้ากีฬาคู่เดียวจริงๆ แล้วล่ะก็ จะซื้อรองเท้าประเภทไหนดี” ผมแนะนำให้ซื้อรองเท้าประเภท Training ครับ ซึ่งรองเท้าแบบนี้มักถูกออกแบบให้ใช้ออกกำลังกายทั่วไปในฟิตเนส เป็นรองเท้าที่นักกีฬาใช้ใส่ฝึกซ้อม เพราะมีบางวันที่นักกีฬาเองก็ต้องซ้อมกีฬาหลายประเภททั้งวิ่ง ทั้งกายบริหาร โดยรองเท้าพวกนี้มีลักษณะที่ดี คือ

– พื้นรองเท้าสูงเสมอกัน ส้นไม่หนา ปลายไม่เชิด
– พื้นแน่น ไม่ยวบ แต่รองรับแรงกระแทกได้บ้าง
– ตัวรองเท้ายืดหยุ่นพับงอได้
– หน้ากว้าง กางนิ้วเท้าได้เต็มที่ทรงตัวดี
– พื้นด้านข้างตัด ไม่โค้งมนเกินไป ทำให้เคลื่อนไหวเปลี่ยนทิศทางได้ดี

ดังนั้น ถ้าจะมีรองเท้าสักคู่ที่ใส่เต้นแอโรบิก เล่นฟิตเนส วิ่ง เล่นกีฬาอื่นๆ ได้ จบในคู่เดียว ก็ลองรองเท้าหมวด Training ดูนะครับ คิดเสียว่าเป็นรองเท้าพละของผู้ใหญ่ แต่ก็แนะนำให้เลือกดีๆ นะครับ บางรุ่นของรองเท้าเทรนนิ่ง จะเป็นเฉพาะสำหรับกีฬาเวตเทรนนิ่งจริงจัง ครอสฟิต หรือ พาวเวอร์ลิฟติ้ง แบบนี้พื้นก็จะแข็งไป

ทักษะ สำคัญที่สุด

จากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ในอดีตผมเคยเป็นนักกีฬาตัวแทนมหาวิทยาลัย ทั้งบาสเก็ตบอล รักบี้ เทควันโด้ ยังไม่เคยเจ็บจากการออกกำลังกาย แต่พอเรียนจบแล้วหันมาวิ่ง ระยะแค่มินิมาราธอน (10 กิโลเมตร) เท่านั้นก็เกิดอาการบาดเจ็บที่เข่าทุกครั้งหลังวิ่ง ตอนนั้นผมมีสองทางเลือกคือ เปลี่ยนรองเท้าที่มีการช่วยซัพพอร์ตมากขึ้น กับเปลี่ยนท่าวิ่งดู ซึ่งผมก็ลองทำทั้งสองแบบ ตอนแรกใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนรองเท้าก่อน พบว่าอาการเจ็บก็หายไป แต่ผมเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ จึงได้ไปลองหัดวิ่งสไตล์เท้าเปล่าดู แล้วก็พบว่าอาการบาดเจ็บก็หายไปเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อเรามีทักษะที่ดีติดตัวแล้ว เราก็กลับมาใส่รองเท้าวิ่งปกติคู่เดิมที่เคยใส่แล้วเจ็บ ก็เจ็บน้อยลง ทำความเร็วได้ดีขึ้น และปลอดภัยขึ้น

สุดท้าย ย้ำกันอีกครั้งว่าทักษะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการออกกำลังกายให้ปลอดภัย เมื่อเราได้ฝึกฝนจนชำนาญแล้ว อุปกรณ์ที่เหมาะสมก็จะมาเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายให้ดียิ่งขึ้นครับ

การวิ่งก็เป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะเป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องลงทุนเยอะ แค่มีรองเท้ากีฬาสำหรับวิ่งดี ๆ สักหนึ่งคู่ก็พอแล้ว อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรเลือกจากรูปลักษณ์ความสวยงามของรองเท้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัย การรองรับน้ำหนัก และประสิทธิภาพของวัสดุด้วย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะแตกต่างกันไปตามระดับการวิ่งอีกด้วย  แต่เราจะเลือกรองเท้าวิ่งอย่างไร และรองเท้าวิ่งต่างจากรองเท้าผ้าใบทั่วไปอย่างไร แล้วรองเท้าวิ่งยี่ห้อไหนถึงจะดี ในวันนี้ เราจะมาบอกวิธีการเลือกรองเท้ากีฬาวิ่งที่มือใหม่ทุกคนควรทราบ พร้อมคำแนะนำจากเทรนเนอร์โดยเฉพาะ และที่สำคัญ เรายังมี 10 อันดับ รองเท้าวิ่ง จากแบรนด์ชั้นนำ เช่น NIKE, adidas, Saucony, HOKA ทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิงเพื่อให้ตัดสินใจง่ายมากขึ้นและช่วยให้คุณเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับคุณที่สุดกันได้ค่ะ

Training shoes support a range of movement, including: cutting, stopping, breaking, jumping, and changing direction quickly. This makes a training shoe versatile and good for many different types of workouts. You can think of training shoes as your all-in-one gym shoe. You can usually tell a shoe is a training shoe by how much flatter the shoe is. The technical term here is the “heel drop,” which refers to the distance from the heel height to the toe height.

What Are Training Shoes Good For:High-intensity gym classes and outdoor boot camps – cushioning for high-impact and run trainingWeight lifting – heel support so you can go lower into squats and then stand upStrength training – a training-specific last makes for extra space in the forefootAgility training – grooves and outsole patterns for traction during plyometric and multi-directional movementYou can even do short distances on a treadmill. Anything longer than a 5K is usually better with running shoes for shock absorption.

How Should Training Shoes Fit?

Training shoes have a comfortable upper and flexible midsole for multi-directional movement. A lower heel drop puts you closer to the ground to push off and pivot. Training shoes are lightweight for easy and efficient movement.

Shop Training Shoes

รองเท้า Training นิ่ง ต่างจาก Running ยังไง

Risks of Using The Wrong Shoes For Your Workout?

Wearing the wrong shoes may lead to problems such as:

  • Discomfort
  • Lowered performance
  • Injuries

Discomfort

The wrong type of shoes can cause discomfort in many different ways. You may experience blisters, aches and pains, or soreness. It may be the reason your shoe doesn't feel quite right. The best shoes don’t get in your way at all – letting you do your workout without hardly noticing them.

Lowered Performance

Wearing the wrong type of shoe can keep you from performing your best. When you’re putting in the hard work to get better, the last thing you need is your shoe to be holding you back. Running shoes during plyometrics can keep you from pivoting quickly. You won't have the grip, traction, and flexibility of the sole a training shoe provides. Without running shoe cushioning and support, it may be harder to up mileage or get faster.

Injuries

Running and training shoes provide specific types of support to prevent injury. Here are some of the ways a mismatch of shoe to workout may increase your chances of injury:

Running shoes for lateral movement: higher heel drops make for a higher chance of ankle sprains during lateral movement

Running shoes for plyometric workouts: the extra cushioning and support from running shoes can keep you from landing properly and can increase your chances of a knee or ankle injury 

  • Running in training shoes: without the cushioning and support of running shoes, you can increase your chances of getting plantar fasciitis
  • Not enough running support: stress fractures can occur from running without proper support, which can happen when using minimalist shoes lacking cushioning to absorb shock
  • The wrong type of running shoes: tendonitis can happen when you aren’t wearing the running shoe for your pronation type – whether it’s an overpronator needing a more structured shoe or a neutral runner wearing a shoe with too much arch support
  • Lifting weights in cushioned shoes – it’s best to do lifting in shoes with little cushioning

Don’t forget shoe size. Too small of shoes can cause your toenails to turn black from bruising and fall off. You should be sizing up at least a half size to account for the natural movement and swelling of your feet during workouts. You may also need to find the right shoe width for your comfort.

If you’re still unsure about what shoe is best for you, find an ASICS Store for expert guidance or your local specialty sports store.

รองเท้าเทรนนิ่งกับรองเท้าวิ่งต่างกันยังไง

รองเท้า Training Shoes จะมีลักษณะเด่นๆ คือ ผิวด้านข้างจะมน ปลายมน ส้นมน ไม่ยกส้น ลักษณะไม่โดดเด่น หมายถึงออกแบบให้อยู่ในที่ร่ม ไม่แสดงถึงความโฉบเฉียว ส่วนรองเท้า Running Shoes จะออกแบบให้ดูโดดเด่นสะดุดตา เพื่อเวลาวิ่งตามถนน คนอื่นจะได้สังเกตเห็นได้เร็ว และบางยี่ห้อจะมีการเพิ่ม Reflection Spot เข้ามาด้วย

รองเท้า เดิน กับ วิ่ง ต่างกัน ยัง ไง

โดยทั่วไปแล้ว รองเท้าวิ่งจะมีน้ำหนักเบากว่ารองเท้าเดินทั่วไป เนื่องจากการออกกำลังกายจะมีการขยับร่างกายที่รวดเร็วไปพร้อมๆ กับการยกเท้า ขณะที่รองเท้าเดินทั่วไปจะมีน้ำหนักมากกว่าและโครงสร้างรองเท้าที่แข็งเพื่อความมั่นคงสำหรับการเดินในแต่ละก้าว

รองเท้าโร้ดรันนิ่ง คืออะไร

Outsole เป็นส่วนของพื้นรองเท้าด้านล่างที่สัมผัสกับพื้น Insole เป็นส่วนของพื้นรองเท้าที่สัมผัสกับเท้า Midsole เป็นส่วนของรองเท้าที่อยู่ระหว่าง Outsole และ Insole ส่วนนี้จะช่วยควบคุมการทรงตัว ลดแรงกระแทก และป้องกันการบาดเจ็บต่าง ๆ จากการวิ่ง

วิ่งออกกำลังกายใส่รองเท้าอะไร

ลักษณะรองเท้าแตะวิ่งที่ดี ส่วนส้นเท้าสำคัญที่สุดครับ ควรเป็นวัสดุที่รับแรงกระแทกได้ดี (ลดแรงสะเทือนมาที่เท้า ข้อเท้า เข่า) และวิ่งแล้วส่งแรงได้ดีด้วย (ดีดเด้ง) ส่วนที่สัมผัสเท้า ควรมีหน้าเท้ากว้าง กระชับอุ้งเท้า โอบอุ้มส้นเท้า (เพิ่มความมั่นคง) ส่วนที่สัมผัสพื้นถนน ต้องไม่ลื่น วิ่งไม่ไถล ซับแรงกระแทกและมีแรงส่งที่ดี