พาท่านสัมผัสเสน่ห์ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น นำท่านสู่ฟุกุโอกะ ชทปราสาทที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่น ปราสาทคุมาโมโตะ จากนั้นนำท่านชมคุมะมงสแควร์ หมีดำแสนน่ารักสัญลักษณ์ของคุมาโมโต้ ชมปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเคะที่ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ นำท่านสู่ บ่อนรกเบปปุ จิโกคุ เมกุริ บ่อน้ำพุร้อนขุมนรกทั้งแปด เป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เกิดขึ้น ภายหลังจากการระเบิดของภูเขาไฟ เดินชม หมู่บ้านยุฟุอินฟลอร์รัล เป็นหมู่บ้านจำลองสไตล์ยุโรป มีกลิ่นอายยุโรปโบราณ นำท่านสู่ ศาลเจ้าดะไซฟุเทมมังกู เป็นวัดชินโตเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองฟุกุโอกะ นำท่านสู่ กันดั้ม ปาร์ค ฟุกุโอกะ ชม กันดั้มตัวใหม่ล่าสุดขนาดเท่าของจริง “Nu Gundam” ศูนย์การค้า Mitsui Shopping Park Lalaport Fukuoka ถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ที่ใครมาเยือนฟุกุโอกะไม่ควรพลาด ให้ท่านได้เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปเก็บความประทับใจ ซื้อสินค้าที่ระลึกตามอัธยาศัย อิสระท่องเที่ยวเมืองฟุกุโอกะ 1 วันเต็ม จองด่วนก่อนที่นั่งเต็ม ! หน่วยเงินที่ใช้คือ "เยน" (Yen) บางทีก็ย่อกันว่า "JPY" มาจาก Japanese Yen อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ราว 30 บาท/100 เยน ผันผวนไปมาเรื่อยๆ ฟังดูเหมือนจะได้กำไร เพราะ 30 บาทได้เงินมาตั้ง 100 เยนแน่ะ! แต่จริงๆ แล้วที่ญี่ปุ่นค่าครองชีพสูงกว่าเมืองไทยหลายเท่าตัว ทำให้วันๆ นึงมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่ไทยค่ะ Show
การไปเที่ยวญี่ปุ่นนั้นได้รับยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวเป็นเวลา 15 วันด้วยกัน หากกลับไทยภายใน 15 วัน ก็ไม่ต้องทำอะไรนอกจากจัดกระเป๋า บินไปได้เลย ข้อควรระวังคือจริงๆ แล้วเขาสามารถห้ามเราเข้าประเทศได้ถ้าหากมีเหตุอันน่าเชื่อว่าเราอาจะพยายามเข้าประเทศโดยไม่ใช่การท่องเที่ยว นี่จึงเป็นอีกเหตุผลว่าเราควรเตรียมแผนเที่ยวให้พร้อมเผื่อไว้สำหรับชี้แจงเมื่อถูกสอบถาม ↑ กลับไปที่สารบัญ เที่ยวญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ไปที่ไหนดีจะตอบว่า "ตอนที่มีเงิน" ก็คงจะกำปั้นทุบดินไป อย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้วว่าญี่ปุ่นมีด้วยกัน 4 ฤดู ความแตกต่างของฤดูทำให้มีสิ่งน่าเที่ยวน่าชมแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิงค่ะ รวมถึงแต่ละจังหวัดก็มีเสน่ห์ไม่เหมือนกันอีกด้วย! ใครตัดสินใจไม่ได้ ลองมาถามตัวเองว่า "อยากไปทำอะไร" กันดีกว่า อยากไปชมดอกซากุระถ้าแบบนี้ชัดเจนมากว่าควรจะไปช่วย มีนาคม - เมษายน ค่ะ ตามปกติช่วงสงกรานต์ยังพอมีดอกซากุระบานบ้าง แต่ฟ้าฝนต้นไม้เอาอะไรแน่นอนไม่ค่อยได้ บางทีถ้าอุ่นเร็ว ซากุระบานเร็ว ดอกก็จะโรยเร็วด้วย วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือ ยิ่งเหนือ อากาศยิ่งเย็น ซากุระก็ยิ่งบานช้า ถ้ามาไม่ทันก็อาจจะปรับแผนเดินทางขึ้นเหนือสักนิดก็ได้ สำหรับสถานที่นั้นขอบอกว่ามีทั่วญี่ปุ่น จะไปที่ไหนก็ได้ สำหรับมือใหม่ขอแนะนำให้เอาที่เที่ยวหลักๆ อย่าง โตเกียว โอซาก้า เกียวโตเป็นหลักก่อน แล้วค่อยลงรายละเอียดหาจุดชมซากุระที่อยากไปเลยจ้า อ่านเพิ่มเติมได้ที่
อยากไปชมใบไม้เปลี่ยนสีเอื้อเฟื้อภาพโดย:©Akita Prefecture/©JNTO แต่ถ้าอยากชมใบไม้สีสดใสสวยงามแบบที่บ้านเราไม่มี แนะนำว่าควรไปช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายนค่ะ ใบไม้แดงนั้นทนทานกว่าซากุระ ก็จะมีระยะเวลาให้ชมได้ยาวนานกว่า และใบไม้จะเปลี่ยนสีเพราะอากาศเย็นลง จึงจะเริ่มเปลี่ยนสีจากทิศเหนือไปทางใต้ ตรงข้ามกับการบานของซากุระ ใบไม้เปลี่ยนสีนั้นชมได้ทั่วประเทศเหมือนกัน แต่เกียวโตในฤดูใบไม้ร่วงถือว่าได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ถึงสวยแต่ก็ต้องตะลุยนักท่องเที่ยวเยอะ ลองชั่งใจดูละกันนะ ส่วนที่เที่ยวใกล้โตเกียวก็จะมีนิกโก้ คามาคุระ และฮาโกเน่ที่นิยมมากเช่นกัน สองสถานที่นี้เดินทางไปกลับในวันเดียวจากโตเกียวได้ หรือจะค้างสักคืนก็ไม่เลวเลย อ่านเพิ่มเติมได้ที่
อยากไปดูหิมะสำหรับหิมะนั้นก็ต้องไปช่วงฤดูหนาว! และช่วงที่หนาวสุดๆ ของญี่ปุ่นคือช่วงมกราคม - กุมภาพันธ์ สำหรับพื้นที่เหนือสุดอย่างฮอกไกโดและพื้นที่สูงหลายแห่ง หิมะมักจะตกตั้งแต่ธันวาคมแล้ว แต่ขอเตือนก่อนเลยว่าที่เที่ยวยอดนิยมอย่างโตเกียว โอซาก้าและเกียวโตนั้น ปกติแล้วหิมะแทบไม่ตกเลย! หากใครอยากชมหิมะ แนะนำให้ไปทางเหนือเช่นแถวเซนไดขึ้นไปมากกว่าโดยอาจจะตีรถออกไปจากโตเกียวสัก 2-3 วันก็ยังได้ ใครไปทางโอซาก้าก็เลือกเดินทางไปทางเหนือแถวภูเขา ไปสกีรีสอร์ท ไปฮิดะทาคายาม่า ก็สามารถไปสนุกกับหิมะได้เหมือนกัน อีกที่ที่ไม่น่าพลาดหากอยากเล่นกีฬาฤดูหนาวด้วยก็เช่นยูซาว่า (Yuzawa) ในนีงาตะ (Niigata) เป็นต้น อยากไปช้อปปิ้งภาพจากบทความ ชินไซบาชิ แหล่งช้อปปิ้งใจกลางโอซาก้า (Shinsaibashi, Osaka) อีกที่ที่อยากแนะนำคือ "นาโงย่า" เมืองใหญ่อันดับสามของญี่ปุ่นที่มีเที่ยวบินตรงจากไทยไปถึงสนามบินชูบุเซนแทรร์ จึงเป็นอีกเมืองที่น่าเที่ยว สะดวกช้อปกลับไทยค่ะ อ่านเพิ่มเติมได้ที่
อยากไปเช็คอินที่เที่ยวสุดฮิตถ้าอยากไปสถานที่ฮิตๆ ก็คงไม่พ้นโตเกียว เกียวโตกับโอซาก้าค่ะ แถมยังเป็นจังหวัดที่มีสนามบินอีกด้วย ไงๆ ก็ต้องผ่านล่ะ แนะนำว่าลองไล่รายการสถานที่ที่อยากไประหว่างแถวโตเกียว (และโยโกฮาม่า คามาคุระ ไซตามะ ภูเขาฟูจิ ฯลฯ) แถวโอซาก้า (และเกียวโต นารา โกเบ ฯลฯ) ออกมาเพื่อดูว่าจะเลือกเที่ยวฝั่งไหนดี แต่หากใครมีเวลาเที่ยวยาวๆ หน่อย สัก 1 สัปดาห์ขึ้นไป ก็สามารถจัดทริปแบบ บินลงโอซาก้า - บินกลับจากโตเกียว หรือบินลงโอซาก้า - บินกลับจากโตเกียวได้เหมือนกัน! ไปตามใจอยากเหนือสิ่งอื่นใด ไปเที่ยวทั้งทีก็ต้องไปตามที่ใจอยากสิ! หากมีสถานที่ในดวงใจแล้ว เริ่มจากศึกษาวิธีไป และหาสนามบินนานาชาติใกล้เคียง หากจะเอาง่ายๆ ก็เป็นสนามบินที่มีเที่ยวบินตรงจากไทยอย่างสนามบินคันไซ (โอซาก้า) สนามบินฮาเนดะหรือสนามบินนาริตะ (โตเกียว) สนามบินชูบุเซนแทรร์ (นาโงย่า) และสนามบินฟุกุโอกะ (ฟุกุโอกะ) หลังจากนั้นจึงค่อยคิดว่าจะเอาเวลาที่เหลือจากสถานที่ในดวงใจไปเที่ยวที่ไหนได้อีกบ้าง โดยหาจากสถานที่เที่ยวใกล้เคียง ถ้าหากมีสถานที่อยากไปหลายที่อาจจะต้องลองดูระยะห่างต่อกัน แล้วค่อยวางแผนว่าจะเดินทางจากไหนไปไหนอย่างไรค่ะ อีกสองที่ที่มีเที่ยวบินตรงคือสนามบินนาฮะ (ในโอกินาว่า) และสนามบินชินจิโตเสะ (New Chitose) ในฮอกไกโด อาจจะไม่สะดวกในการเที่ยวส่วนอื่นของญี่ปุ่นต่อเท่าไหร่ แต่ถ้ามีเป้าหมายอยู่ที่สองที่นี้ก็เหมาะจะใช้บริการมากค่ะ ↑ กลับไปที่สารบัญ เที่ยวญี่ปุ่นใช้งบประมาณกี่บาทปัญหาโลกแตกอีกอย่างหนึ่งก็คือจะต้องเตรียมเงินสักเท่าไหร่!? แต่ละคนก็มีวิธีเที่ยวและความล่ำซำต่างกัน คำถามนี้จึงยากจะฟันธงลงไป แต่เราก็พอจะมาอธิบายเป็นอย่างๆ ให้เห็นภาพกันค่ะ ค่าเครื่องบิน ตามปกติแล้วจ่ายครั้งเดียวเท่านั้น! หากใครมีวาสนาช่วงชิงตั๋วโปรโมชั่นมาได้ อาจได้ถูกถึงแค่ราวไปกลับ 3,000 บาทเลยทีเดียว แม้วาสนาจะไม่ถึงขั้นก็สามารถซื้อตั๋วสารการบินราคาประหยัดหรือตั๋วโปรโมชั่นของสายการบินฟูลเซอร์วิสได้ในราคาประมาณ 10,000 - 13,000 บาท ส่วนราคาตั๋วเครื่องบินแบบฟูลเซอร์วิสนั้นโดยปกติจะอยู่ที่ไปกลับราวตั้งแต่ 15,000 - 20,000 บาท ทั้งนี้ราคาเครื่องบินนั้นจะแตกต่างไปตามช่วงเวลา ราคาอาจสูงหรือต่ำกว่านี้ได้อีก สำหรับฤดูกาลที่ตั๋วถูกที่สุดมักจะเป็นช่วงฤดูร้อน เพราะอากาศร้อนและมีฝนเป็นบางช่วงค่ะ ตั๋วเครื่องบินนั้นถ้าจองล่วงหน้ามักจะได้ราคาถูกกว่า ฉะนั้นควรจองแต่เนิ่นๆ หรือไม่ก็ติดตามข่าวสารโปรโมชั่นกันให้ดีนะ ค่าที่พัก ที่พักในญี่ปุ่นมีหลากแบบหลายราคา ในเมืองใหญ่มักจะมีราคาแพงกว่า แนะนำให้เลือกประเภทที่พักให้เหมาะกับงบ ความสะดวก รสนิยม และผู้ร่วมทีมเที่ยวของเราค่ะ ถ้าหากว่างบไม่เยอะ อาจใช้บริการเป็นโฮสเทลหรือโรงแรมแคปซูลที่มีราคาถูกมาก บางครั้งอาจตกราคาคืนหนึ่งไม่ถึง 1,000 บาท แต่หากชอบความเป็นส่วนตัวหรือมากันหลายคน อาจเลือกเป็นโรงแรมแบบบิซิเนสโฮเตลแทน โดยปกติแล้วจะราคาคืนละ 1,000 บาทขึ้นไป หรือถ้าอยากสัมผัสประสบการณ์แบบญี่ปุ่นอาจเลือกนอน "เรียวกัง" ที่พักแบบญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ราคาจะเริ่มตั้งแต่ราวๆ 2,000 บาทไปจนถึงแบบหรูหราราคาแพงมากๆ เลยก็มี และถ้าใครมาเป็นกลุ่มใหญ่หน่อยก็สามารถพักพวก Airbnb ที่เหมือนได้บ้าน/คอนโดไปเลยห้องนึงก็ดีไปอีกแบบ หากเป็นสายช้อปปิ้ง แนะนำว่าควรเลือกที่พักที่ใกล้สถานีรถไฟ เพราะเราอาจะต้องแบกของหนักทั้งระหว่างทริปและวันที่ขนของไปสนามบินก็ได้ แต่ถ้าหากเป็นสายเดินเล่นชิลล์ๆ จะหาที่พักห่างจากสถานีสักนิด (แนะนำไม่เกิน 10 นาที) ราคาที่พักมักจะถูกลงอีกเล็กน้อยค่ะ ค้นหาและจองที่พักกับ Booking.com จากบทความ นั่งรสบัสไม่จำกัดจำนวนเที่ยวด้วย Japan Bus Pass ซื้อตั๋วเจอาร์พาสประเภทต่างๆ ที่ KLOOK ค่าอาหาร (ต่อวัน) ค่าอาหารเป็นอีกอย่างที่แต่ละคนใช้จ่ายไม่เท่ากัน หากจะคำนวณคร่าวๆ ก็ลองดูจากสไตล์การทานตามนี้ได้เลย ข้าวปั้น ขนมปังร้านสะดวกซื้อ 100 - 300 เยน เครื่องดื่มขวดละ 100-200 เยน ร้านอาหารจานด่วน (เช่น ข้าวหน้าเนื้อ) 500 - 700 เยน ร้านอาหารทั่วไป (มื้อกลางวัน) 800 - 1,300 เยน ร้านอาหารทั่วไป (มื้อเย็น) 1,500 - 2,500 เยน คาเฟ่หรือร้านขนม 1,000 - 2,000 เยน ร้านอาหารระดับที่ค่อนข้างแพงจะอยู่ที่คนละราว 4,000 เยนเป็นต้นไปค่ะ จากบทความ 9 ขนม ที่ซื้อเป็นของฝากได้ที่มินิมาร์ทหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต อ่านเพิ่มเติมได้ที่
↑ กลับไปที่สารบัญ สถานที่เที่ยวยอดนิยมสำหรับมือใหม่สถานที่เที่ยวยอดนิยมนั้นเหมาะกับมือใหม่หัดเที่ยวตรงที่หาข้อมูลง่าย รวมถึงคนในพื้นที่ ร้านค้ามักจะเจอกับคนต่างชาติเยอะอยู่แล้ว จึงค่อนข้างให้บริการได้ สื่อสารภาษาต่างประเทศได้บ้าง สถานีรถไฟ ป้ายบอกทางก็มีภาษาอังกฤษกำกับ หากใครอยากลองเริ่มเที่ยวแบบมือใหม่ๆ ขอแนะนำให้ลองเช็คสถานที่เหล่านี้ว่าถูกใจหรือไม่แล้วจัดแผนเลยจ้า โดยจะขอแบ่งญี่ปุ่นออกคร่าวๆ เป็น โซนตะวันออก (คันโต - โตเกียว) โซนตะวันตก (คันไซ - โอซาก้า) และโซนทางเหนือ (ฮอกไกโด) โซนตะวันออก เน้นไปทาง "ภูมิภาคคันโต" มีจังหวัดหลักๆ ที่ทุกคนรู้จักแน่นอนก็คือโตเกียวนี่เอง! สถานที่เที่ยวในโตเกียวมีหลากหลาย แล้วแต่สไตล์เที่ยวเลย ที่เด่นๆ ก็ได้แก่ อาซากุสะที่มีวัดเซนโซจิ ช้อปปิ้งทุกสิ่งก็ต้องไปชินจูกุ ชิบูย่า หรืออิเคะบุคุโระก็มีร้านมากมาย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสินค้าการ์ตูนก็ไปที่อากิฮาบาระ ช้อปปิ้งของราคาสุดคุ้มที่อุเอโนะ ชมวิวและช้อปปิ้งไปโอไดบะ ดูเมืองสวยๆ ไฮโซซื้อของก็กินซ่า นอกจากนี้ยังมีแลนด์มาร์คอย่างหอคอยโตเกียวและโตเกียวสกายทรี แล้วอย่าลืม Tokyo Disneyland และ Tokyo Disney Sea ด้วยล่ะ! โซนตะวันตก เน้นไปทาง "ภูมิภาคคันไซ" ที่โด่งดังสุด ก็คือ โอซาก้าและเกียวโต อยากช้อปกระจาย ทานของอร่อย โอซาก้ามีทั้งโดทงโบริ ชินไซบาชิ หรือจะไปชมปราสาทโอซาก้าก็ดี แต่ถ้าใครอยากเต็มอิ่มกับเมืองเก่าก็ต้องไปเกียวโตเลย จังหวัดอื่นๆ รอบข้างก็มีหลายรสให้เลือกสรร อยากชมเมืองเก่า สวนกวาง พระใหญ่ให้ไปนารา ชมวัดเก่ามรดกโลกไปวากายามะ (วัดโคยะ) หรือจะไปเมืองท่ากับบรรยากาศฝรั่งนิดๆ ก็ไปโกเบได้ด้วยนะ ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือสวนสนุก Universal Studio Japan (USJ)! ราวๆ กึ่งกลางของสองโซนยังมี "นาโงย่า" ในจังหวัดไอจิ ที่ตอนนี้มีเที่ยวบินตรงแล้วเหมือนกัน นาโงย่าเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของญี่ปุ่นรองจากโตเกียวแลโอซาก้าเลย จะเที่ยวนาโงย่าไปด้วยแล้วเดินทางไปไหนต่อก็ดีนะคะ ส่วนโซนทางเหนือ ที่คนไปกันเยอะสุดก็ต้อง "ฮอกไกโด" อยู่แล้ว ใครอยากเจอหิมะเต็มๆ อย่าพลาดที่นี่! ส่วนในฤดูร้อนก็จะมีทุ่งลาเวนเดอร์ อากาศกำลังสบาย ที่นี่อาหารทะเลอร่อย บรรยากาศสุดโรแมนติก มีวิวกลางคืนที่ติดอันดับว่างดงามที่สุดในโลกด้วย *ภูมิภาคของญี่ปุ่นมีมากกว่านี้ บทความนี้เพียงเลือกเฉพาะที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมานำเสนอเท่านั้น ↑ กลับไปที่สารบัญ ควรใช้ JR Pass หรือไม่อีกหนึ่งคำถามยอดนิยมเลยคือ ทริปของฉันควรซื้อ JR Pass ไหม? อาจะเพราะเจ้า JR Pass นี่มันดูสะดวกสบาย แต่ถ้าไม่ศึกษาสักหน่อย เราอาจจ่ายแพง ใช้ไม่คุ้มก็ได้นะ ประการแรกคือ JR Pass เป็นตั๋วฟรีพาสแบบนั่งไม่อั้นในขอบเขตที่กว้างมาก ใบที่เรียกง่ายๆ ว่า JR Pass นั้นครอบคลุมแทบจะทั่วญี่ปุ่นเลย ราคาจึงสูงที่ 29,110 - 81,870 เยน แล้วแต่จำนวนวันและประเภทที่นั่ง ฉะนั้นหากเราไม่เดินทางระยะไกลๆ ด้วยรถไฟด่วนหรือชินคังเซ็น ก็ถือว่าไม่มีทางคุ้มแน่นอน ฉะนั้นแทนที่จะซื้อพาสเลย แนะนำให้ลองคิดค่าเดินทางข้ามจังหวัดว่าเท่าไหร่ หากแพงหรือถูกกว่าพาสเพียงเล็กน้อย แนะนำให้ซื้อพาสเลย เพราะพาสนั้นใช้งานแสนสะดวกแถมมักใช้กับพาหนะในท้องถิ่นได้ด้วย แต่ถ้าคิดออกมาแล้วยังถูกกว่าพาสมาก ก็ไม่ต้องซื้อพาส ไปทำบัตรเติมเงิน IC CARD ไว้แปะตื้ดๆ เป็นรอบๆ แทนดีกว่า อ่านเพิ่มเติมได้ที่
↑ กลับไปที่สารบัญ ได้เวลาจองแต่ละอย่างแล้ว!จองตั๋วเครื่องบินและที่พัก เมื่อคิดได้แล้วว่าจะไปที่ไหน มีงบไปสักกี่วัน ก็ได้เวลาของการจองตั๋วเครื่องบินและที่พักกันก่อนเลย! - ค้นเที่ยวบินกับ Skyticket จองตั๋วต่างๆ หรือซื้อตั๋วรถไฟ หากแผนแน่นอนแล้ว หากแผนเที่ยวแน่นอน ไม่เปลี่ยนใจแล้ว ก็อาจจองตั๋วต่างๆ ที่จำเป็นได้เลย เพราะตั๋วบางอย่างสามารถซื้อล่วงหน้าได้ แถมตั๋วรถไฟบางชนิดที่ขายเพียงนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น พวก JR Pass ทั้งหลาย จะมีราคาถูกกว่าเมื่อซื้อจากตัวแทนจำหน่ายนอกประเทศญี่ปุ่นอีกด้วยนะ ส่วนอีเวนท์ พิพิธภัณฑ์ สวนสนุก หรือรถบัสทางไกล บางทีอาจต้องซื้อตั๋วล่วงหน้า อย่าลืมเช็ควิธีการซื้อตั๋วและเงื่อนไขว่าซื้อตั๋วได้ล่วงหน้าก่อนวันไปกี่วัน จะได้เตรียมตัวซื้อตั๋ว ไม่พลาดเที่ยวกัน - ค้นหาพร้อมจองตั๋วและกิจกรรมต่างๆ ที่ KLOOK อ่านเพิ่มเติมได้ที่
↑ กลับไปที่สารบัญ เอาไงกับอินเตอร์เน็ทดี? ซิมการ์ด? Pocket Wifi?การมีอินเตอร์เน็ทระหว่างเที่ยวนอกจากจะสะดวกในการติดต่อกับคนที่ไทยหรืออัพภาพสวยๆ ลงโซเชียลแล้ว ก็ยังเป็นตัวช่วยที่ดีเวลาต้องการดูแผนที่อีกด้วย แต่ก็จะมีคำถามลอยมาเสมอว่าจะเลือกใช้บริการแบบไหนดี Pocket Wifi นั้นมีข้อดีตรงที่มักจะใช้เน็ทได้ไม่จำกัดเลย แถมยังเชื่อมต่อได้ทีละหลายๆ เครื่อง รวมถึงปกติมักจะไม่ต้องเซ็ตติ้งอะไรให้ยุ่งยากมากมาย ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 100 - 300 บาท/วัน ส่วนซิมการ์ดนั้นมีข้อดีที่สะดวกสบาย เอาใส่มือถือหรือ Tablet ตัวเองได้เลย ไม่มีสัมภาระอะไรให้พกเพิ่ม เที่ยวเสร็จก็ไม่ต้องคืนของหรือทำอะไรเป็นพิเศษด้วย สำหรับวิธีการก็ยังมีอีก 2 แบบ คือ เปิดบริการ roaming ของโทรศัพท์มือถือตนเอง หรือจะไปซื้อซิมการ์ดสำหรับนักท่องเที่ยวของที่ญี่ปุ่นใช้ ไม่ต้องจองล่วงหน้าแล้วลุ้นว่ามีของหรือไม่ มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณวันละ 300 บาท สำหรับการ roaming หรือประมาณ 1,000 บาท/7 วันสำหรับการซื้อหาซิมเน็ทที่ญี่ปุ่น (ราคาแล้วแต่แพคเกจและผู้ให้บริการ) ลองดูความต้องการของตัวเราและทีมเที่ยว แล้วเลือกวิธีการที่เหมาะกับทริปตัวเองได้เลย อ่านเพิ่มเติมได้ที่
↑ กลับไปที่สารบัญ ก่อนออกเดินทางพอวันเดินทางใกล้เข้ามา มีหลายสิ่งที่ต้องเตรียมหรือระวังกันด้วยนะ อัพเดทข้อมูลหรือเตรียมรายละเอียดปลีกย่อยมาถึงจุดนี้แล้ว ก็เรียกว่าแผนเที่ยวญี่ปุ่นของเราเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วล่ะ! ที่เหลือก็แค่ตามเก็บข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ หรืออาจจะคอยตามอัพเดทสภาพอากาศ การบานของดอกไม้ หรือสถานที่เที่ยว ร้านอาหารน่าสนใจ เผื่อปรับแผนไปได้ถ้าเจออะไรที่น่าสนใจกว่า เราขอแนะนำให้ลองเช็ค "ของฝากที่น่าซื้อ" เตรียมเอาไว้ด้วยก็ดีนะ จะได้ไม่พลาดของน่าสนใจหรือของฝากที่ถูกใจคนอื่น และถ้าไม่แน่ใจ กลัวหลง กลัวพลาด ก็ทำแผนเที่ยวโดยละเอียด จากไหนไปไหน ต้องเดินอย่างไร ใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ เตรียมไว้เลยก็ได้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่
แลกเงินเงินๆ ทองๆ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หลังจากคำนวณเงินที่จะใช้คร่าวๆ แล้ว โดยสามารถแลกได้ตามธนาคาร หรือที่สนามบิน แต่หากมีเวลา เดี๋ยวนี้ร้านแลกเงินใหญ่ๆ ก็มีหลายที่ที่มักจะให้เรทดีกว่าที่อื่นๆ อ่านเพิ่มเติมได้ที่
อย่าลืมประกันการเดินทางอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้เสมอ! เหมือนที่เราเคยอ่านข่าวคนไปป่วยหนักกระทันหันที่ญี่ปุ่นแล้วไม่มีเงินค่ารักษา หรือไม่ต้องถึงขั้นนั้น แค่อาจจะไปเจออากาศเปลี่ยนแล้วต้องไปหาหมอ การมีประกันเดินทางจะช่วยให้สบายใจได้ทั้งเรื่องเจ็บป่วยที่ญี่ปุ่น หรือเริ่มตั้งแต่สนามบินที่ประกันนี้จะช่วยชดเชยให้เราในกรณีที่เครื่องบินล่าช้า ยกเลิก ไปจนถึงกระเป๋าเดินทางเสียหาย หรือหายจ้อยไปเลย ... อ่านเพิ่มเติมได้ที่
โหลดแอปพลิเคชั่น MATCHA (และที่จำเป็นอื่นๆ)(แอปพลิเคชั่นของ MATCHA มีทั้งใน Android และ iPhone รวมถึงสามารถปรับเป็นภาษาไทยได้) ได้เวลาโฆษณาแอปของ MATCHA! แค่โหลดแอปพลิเคชั่นของเราเอาไว้ ก็สามารถเช็คสถานที่เที่ยวน่าสนใจได้ตลอดเวลาในมือเลยนะ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น MATCHA iOS | Android ↑ กลับไปที่สารบัญ เตรียมสัมภาระขึ้นเครื่องและโหลดใต้เครื่องการจัดสัมภาระเองก็สำคัญมากเหมือนกัน การเดินทางไปต่างประเทศนั้นมีข้อห้ามทั้งจากประเทศนั้นๆ และสายการบิน การจะจัดกระเป๋าแนะนำให้ลองดูตามนี้นะ นอกจากสิ่งผิดกฏหมายที่ก็แน่นอนว่าห้ามพกพาไปแล้ว สิ่งของต้องห้ามในการไปญี่ปุ่นและขึ้นเครื่องบิน ได้แก่ ของมีคม อาวุธต่างๆ วัตถุไวไฟ สินค้าปลอม ที่ควรระวังมากคือผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ต่างๆ ไส้กรอก ไส้อั่ว พวกนี้ไม่ได้หมด ผักผลไม้ที่ไม่มีใบรับรอง บางคนอยากเอาไปเป็นของฝากหรือกลัวทานอาหารญี่ปุ่นไม่ได้ ไม่ถูกปากระหว่างเที่ยว ควรพกพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือน้ำจิ้มโดนใจไปจะดีกว่าค่ะ ส่วนใครที่ทานยาอยู่ ควรมีใบรับรองแพทย์สำหรับยานั้นๆ หรือถ้าซื้อยาเองจากร้านก็ควรถือยามาทั้งบรรจุภัณฑ์เลย ไม่ควรแกะเป็นเม็ดๆ ใส่ซองไว้เฉยๆ ข้าวของที่จะถือขึ้นเครื่อง (carry on) จะมีข้อระวังหลายอย่างเลยค่ะ อย่างแรกคือน้ำหนัก โดยปกติอยู่ที่ไม่เกิน 7 กิโลกรัม ขนาดกระเป๋าประมาณ 20 นิ้ว ขนาดและน้ำหนักที่กำหนดของแต่ละสายการบินจะแตกต่างกันเล็กน้อย ลองตรวจสอบกับสายการบินเอาไว้ค่ะ เนื่องจากถ้าใส่ของเต็มที่ถึง 7 กิโลกรีม ถือว่าหนักเหมือนกัน อาจจะใช้กระเป๋าแบบที่มีล้อลากไปเลยค่ะ นอกจากกะเป๋าใบนี้แล้วเราสามารถมีกระเป๋าติดตัวใบเล็กได้อีกใบหนึ่งสำหรับใส่ข้าวของส่วนตัวไม่มาก นอกจากนี้เอกสารสำคัญต่างๆ ให้พกติดตัวไปด้วยเลยทั้งพาสปอร์ต แผนเที่ยว หลักฐานการจองต่างๆ หลักฐานที่จะต้องนำไปแลก JR Pass และอื่นๆ ของที่เหลือสามารถให้โหลดใต้เครื่องไปได้เลยค่ะ เช่น เสื้อผ้าที่เหมาะสมกับฤดูกาลที่เราจะไป ของใช้ส่วนตัวต่างๆ นานา รวมถึงของเหลวที่มีขนาดเกิน 100 มิลลิลิตรด้วย ไอเท็มที่อยากแนะนำก็คือ ปลั๊กไฟพ่วง ถ้าใครมีอุปกรณ์ต้องเสียบปลั๊กไปเยอะ หรือไปกันหลายคน จะได้ไม่ต้องแย่งกัน และหัวแปลงปลั๊กไฟ เพราะปลั๊กไฟในญี่ปุ่นเป็นแบบขาแบนสองขา ถ้าอุปกรณ์ที่พกไปเป็นขาแบบอื่น ก็ควรมีเตรียมไปนะ อ่านเพิ่มเติมได้ที่
↑ กลับไปที่สารบัญ ได้เวลาออกเดินทาง ไปสนามบิน!เตรียมทุกอย่างพร้อม ก็ได้เวลาเดินทางแล้ว ในการไปขึ้นเครื่องขอเตือนเลยว่าให้ตรงต่อเวลานะคะ หากไปเช็คอินสายอาจจะทำให้ตกเครื่อง หรือถ้าไปถึงเกทขึ้นเครื่องช้าก็จะสร้างความลำบากให้เพื่อนร่วมทางด้วย มารักษาเวลากันนะ เราควรไปถึงสนามบินก่อนเวลาเครื่องขึ้นราวชั่วโมงครึ่งหรือสองชั่วโมงเพื่อความปลอดภัย เพราะต้องทำการเช็คอินสายการบินและผ่านด่านตรวจ กับเหลือเวลาเดินเล่นชิลล์ๆ ในร้านสินค้าปลอดภาษีก่อนขึ้นเครื่อง ↑ กลับไปที่สารบัญ เดินทางถึงญี่ปุ่นปราการด่านสุดท้าย "ตม." (ด่านตรวจคนเข้าเมือง)เมื่อเท้าแตะพื้นแดนอาทิตย์อุทัยก็แฮปปี้ดี้ด๊ากัน! ... แต่ยังเหลือ "ด่านตรวจคนเข้าเมือง" ที่เรียกง่ายๆ ว่า "ตม." อยู่ค่ะ ด่านนี้เขามีหน้าที่สกัดบุคคลที่จะเข้าประเทศโดยผิดกฏหมาย ฉะนั้นเขาอาจจะมีการสอบถามอะไรเราบ้าง จึงแนะนำให้พกเอกสารจองและแผนเที่ยวไว้กับตัว และเตี๊ยมเพื่อนร่วมทริปให้ดีๆ หากถูกถามจะได้ตอบได้ฉะฉานนั่นเองค่ะ อ่านเพิ่มเติมได้ที่
การเดินทางออกจากสนามบินรถไฟแบบธรรมดา ราคาประหยัดแต่ใช้เวลามากนิด หรือขึ้นรถไฟด่วน ใช้เวลาน้อยกว่า เก้าอี้สบายกว่า แต่ก็แพงขึ้นมาอีกหน่อย หรือใครจะใช้บริการรถบัสรับส่งลีมูซีนต่างๆ ก็จะแพงขึ้นมาอีกนิด แต่สะดวกสบายตรงที่เอาของไปเก็บท้ายรถ ไม่ต้องห่วง นั่งชมเมืองหรืองีบเอาแรงก่อนเที่ยวได้เลย ↑ กลับไปที่สารบัญ อ่านเพิ่มเติมได้ที่
แนะนำครบเครื่องกันไปแล้วในบทความเดียว ที่เหลือก็ขอบอกว่าเปิดดูบทความอื่นๆ ของเว็บไซต์เรา หาที่เที่ยวกันได้เลย! นึกถึงข้อมูลเที่ยวญี่ปุ่น นึกถึง MATCHA เพราะเรามีข้อมูลให้เพือนๆ หลากหลาย มือใหม่มือเก๋าเที่ยวญี่ปุ่น อ่านสนุกกันทั้งนั้น! ไปเที่ยวญี่ปุ่นต้องใช้เงินกี่บาทเป็นไงคะงบไม่เกิน 15,000 บาท ฮานะทำได้ต่ำสุด 12,300 บาท แถมเหลือเงินช้อปอีกนิดหน่อย ซึ่่งขอย้ำว่าการกินเที่ยวญี่ปุ่นให้ได้ราคานี้ ต้องใช้วิทยายุทธ์สูงอย่างยิ่ง ต้องทำตามคำแนะนำที่ให้ไป ซึ่งถ้าเที่ยวแบบปกติแบบไม่ต้องรัดเข็มขัดมากก็จะอยู่ที่ประมาณ 30,000-40,000 บาท
ไปเที่ยวญี่ปุ่นกี่วันระยะเวลา 3-4 วัน ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเที่ยวเมืองใหญ่ได้ 1 เมืองเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่อย่างโตเกียว โอซาก้า นาโกย่า หรือฟุกุโอกะ และอาจแวะไปเที่ยวเมืองรองใกล้เคียงได้อีกประมาณ 1-2 เมือง หลายคนอาจมองว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไปสำหรับการท่องเที่ยว แต่ถ้ามองในเรื่องของความสะดวกสบายในการเดินทางในญี่ปุ่น ...
ญี่ปุ่นมี ตม.ไหมประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่คนไทยสามารถท่องเที่ยวภายใน 15 วัน โดยไม่ต้องทำวีซ่าไปก่อน อย่างไรก็ตามนั่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่เดินทางไปจะสามารถเข้าประเทศได้ทันที เพราะจะต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเสียก่อน สำหรับคนที่เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกอาจเกิดความสงสัย ว่าก่อนเข้าประเทศต้อง ผ่าน ตม ญี่ปุ่น อย่างไร ทำอย่างไร วัน ...
ไปเที่ยวญี่ปุ่นใช้เงินกี่เยนโดยปกติแล้ว ผู้เขียนจะมีสูตรส่วนตัวในการคำนวณค่าใช้จ่ายในการเที่ยวญี่ปุ่นแบบคร่าวๆ คือ วันละ 3,000 บาท (หรือ 10,000 เยน) เลขกลมๆ แบ่งเป็นค่าที่พัก 1,000 บาท ค่าอาหาร 1,000 บาท และค่าใช้จ่ายจิปาถะเช่นค่าเดินทางหรือค่าเข้าสถานที่อีก 1,000 บาท (หากไม่มีตรงนี้ก็นำไปบวกเพิ่มงบที่พักหรืออาหาร) ราคานี้คือเที่ยวแบบสนุกและไม่ ...
|