ตัวอย่าง งานวิจัย R&D ภาษาอังกฤษ

         การวิจัยและพัฒนา (The Research and Development) เป็นลักษณะหนึ่งของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ที่ใช้กระบวนการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มุ่งพัฒนาทางเลือกหรือวิธีการใหม่ๆ เพื่อใช้ในการยกระดับคุณภาพงานหรือคุณภาพชีวิต
ข้อสังเกตของการวิจัย R&D 
1.ปัญหาการวิจัย R&D
    ปัญหาการวิจัยของ R&D ต้องตอบสนองความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  มี    2   ลักษณะ คือ ต้องการแก้ปัญหา  ต้องการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ 

ตัวอย่างการเขียนปัญหาวิจัย
   1. สิ่งใดจะช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ดีขึ้น
   2.  รูปแบบใดที่สามารถพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนได้ดี
   3.  เครื่องมือใดทำให้ผู้ป่วยมีความเจ็บน้อยลง
   4 . อะไรทำให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
   5.  รูปแบบใดที่เหมาะสมกับสภาพการจัดการศึกษาในปัจจุบัน
   6.  รูปแบบการบริหารใดที่ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 รู้ไว้ใช่ว่า..  ปรัชญาของ R&D  คือ Need  หมายถึงความต้องการ
                 สิ่งที่ได้จาก R&D คือ นวัตกรรม

ตัวอย่าง งานวิจัย R&D ภาษาอังกฤษ

2.การตั้งชื่อเรื่องวิจัย R&D
      หลักการตั้งชื่อสำหรับวิจัยและพัฒนาจะความแตกต่างจากวิจัยประเภทอื่น ๆ และมีหลักในการตั้งชื่อ ดังนี้
1.นิยมตั้งเป็นประโยคบอกเล่า
2.มีคำว่า "พัฒนา"อยู่ช่วงต้นของประโยค
3.อาจมี หรือไม่มีคำว่า "วิจัย" อยู่ที่ชื่อเรื่องก็ได้
4.ปัญหาที่ต้องการวิจัยอยู่ช่วงต้นของประโยค
5.กลุ่มเป้าหมายอยู่ช่วงกลางของประโยค
6. ถ้าส่วนท้ายของประโยคบ่งบอกสถานที่  งานวิจัยนั้นจะใช้ได้เฉพาะพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น  แต่ถ้าไม่ได้ระบุสถานที่ จะใช้ได้ทุกที่ เป็นการเปิดกว้าง

ตัวอย่างชื่อวิจัย R&D
    - การวิจัยและพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในภาคกลาง
    - การพัฒนาระบบการสร้างสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ
    - การพัฒนารูปแบบการสอนทักษะชีวิตนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

รู้ไว้ใช่ว่า...
         ข้อสังเกตชื่อเรื่องของวิจัย R&D แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ

         ส่วนแรก จะบ่งบอกถึงความต้องการของผู้วิจัย ส่วนที่สองจะบ่งบอก  
 ถึงนวัตกรรมของวิจัย และส่วนสุดท้ายบ่งบอกถึงเป้าหมายว่าทำวิจัยกับใคร มีกระบวนการอย่างไร

                                   

ตัวอย่าง งานวิจัย R&D ภาษาอังกฤษ

3.การเขียนวัตถุประสงค์ของ R&D
    การเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจัยและพัฒนามีหลักในการเขียนดังนี้
    1.นิยมเขียนเป็นข้อ ๆ  (มากกว่า 1 ข้อ)
    2.ขึ้นต้นด้วยคำว่า  "เพื่อ"
    3.เขียนเรียงลำดับข้อให้เป็นไปตามวิธีวิจัยที่ใช้
    4.ส่วนแรกของประโยคควรเป็นการวิจัย แล้วตามด้วยการพัฒนา  การประเมินสิ่งที่ได้จากการวิจัยหรือประเมินผลการใช้นวัตกรรม   และมีการขยายผลสิ่งที่ได้

   ตัวอย่างการเขียนวัตถุประสงค์ของ R&D
   1.เพื่อศึกษาระบบการสร้างสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ
   2.เพื่อพัฒนาระบบการสร้างสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ
   3.เพื่อประเมินการใช้ระบบการสร้างสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ
   4.เพื่อศึกษาและขยายผลการใช้ระบบการสร้างสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ

ตัวอย่าง งานวิจัย R&D ภาษาอังกฤษ

4.ตัวแปร R&D

  

วิธีแบ่งตัวแปรที่นิยมกันมากที่สุดคือแบ่งเป็นตามลักษณะการใช้ ดังนี้
     1 ตัวแปรต้น (Independent Variable) หมายถึงคุณลักษณะที่เกิดก่อน หรือเป็นสาเหตุของตัวแปรตาม หรืออาจจะเรียกว่า ตัวแปรอิสระ สามารถจำแนกได้เป็น 2 แบบ คือ ตัวแปรอิสระที่สามารถจัดกระทำได้ (Active Variable) และตัวแปรอิสระที่ไม่สามารถจัดกระทำได้(Attribute Variable) โดย ตัวแปรอิสระทั้ง 2 ชนิดเป็น ตัวแปรสาเหตุเช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกัน คือตัวแปรอิสระที่ไม่สามารถจัดกระทำได้ ผู้วิจัยเป็นเพียงผู้เลือกว่ากลุ่มใดมีลักษณะอย่างไร แต่ไม่สามารถสร้างลักษณะนั้นขึ้นมา ในขณะที่ตัวแปรอิสระที่สามารถจัดกระทำได้ ผู้วิจัยสามารถสร้างลักษณะนั้นขึ้นมาได้
     2 ตัวแปรตาม (Dependent Variable) หมายถึง คุณลักษณะที่คาดว่าจะได้รับ หรือเป็นผลที่ได้รับจากตัวแปรอิสระ ตัวอย่างเช่น การวิจัยที่ศึกษาอายุของผู้สอนและสภาพของห้องเรียนว่ามีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือไม่ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ตัวแปรตามได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
     3 ตัวแปรที่มีผลกระทบต่อข้อสรุปของการวิจัย (Confounding Variable) หมายถึง ตัวแปรที่มีผลกระทบต่อการสรุปความเป็นสาเหตุของตัวแปรต้นที่มีต่อตัวแปรตาม จำแนกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ
          1) ตัวแปรแทรกซ้อน (Extraneous Variable) เป็นตัวแปรที่มีผลต่อตัวแปรตามเช่นเดียวกับตัวแปรอิสระ แต่เป็นสิ่งที่ผู้วิจัยไม่ได้สนใจที่จะศึกษา ดังนั้นจึงต้องมีการควบคุม ไม่เช่นนั้นตัวแปรแทรกซ้อนอาจทำให้ผลที่ศึกษาไม่ได้ข้อสรุปอย่างที่สรุปไว้ก็ได้ ทำให้ผลที่ได้คาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
         2) ตัวแปรสอดแทรก (Intervening Variable) เป็นตัวแปรที่สอดแทรกอยู่ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตาม

รู้ไว้ใช่ว่า...

    โดยทั่วไปแล้ว การแยกตัวแปรอิสระออกจากตัวแปรตาม มีหลักง่าย ๆ ดังนี้           1. ถ้าตัวแปรใดเกิดก่อน ให้ถือว่าตัวแปรนั้นเป็นตัวแปรอิสระ ส่วนตัวแปรที่เกิดภายหลังเรียกตัวแปรตาม เช่น เพศ กับ ระดับการศึกษาจะต้องถือว่า เพศ เป็นตัวแปรอิสระ (เพราะเกิดก่อน) ระดับการศึกษาเป็นตัวแปรตาม
          2. ถ้าตัวแปรใดเป็นสาเหตุของอีกตัวแปรหนึ่ง ตัวแปรนั้นถือว่าเป็นตัวแปรอิสระ ส่วนตัวแปรที่เป็นผลนั้นถือว่าเป็นตัวแปรตาม

       ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ในงานวิจัยและพัฒนา
       ในงานวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา ตัวแปรต้น (Independent Variable) คือ ตัวนวัตกรรมหรือปฏิบัติการ (Treatment) ที่นักวิจัยให้กับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งอาจหมายถึง สื่อ/ ชุดสื่อ หรือวิธีการใหม่ๆ ในการจัดการศึกษา ส่วนตัวแปรตาม คือ ตัวแปรที่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการใส่ปฏิบัติการ เช่น ความรู้ ความพอใจ เจตคติ ทักษะ หรือสภาพการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เป็นต้น
     สรุปตัวแปรใน R&D  
   -ในงานวิจัย R&D ไม่นิยมเขียนตัวแปรแยก ตัวแปรต้น กับตัวแปรตาม 
   -จะเขียนตัวแปรไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
   -ไม่ระบุว่ามีตัวแปรกี่ตัว  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการรีวิวในบทที่ 2 

                                     

ตัวอย่าง งานวิจัย R&D ภาษาอังกฤษ

5.กรอบแนวความคิดในการวิจัย  (Conceptual  Framework)

          การนำเสนอภาพรวมๆ  ของงานวิจัยที่ผู้วิจัยจะทำโดยกำหนดออกมาให้เห็นรูปธรรมชัดเจน  จากการศึกษาวิเคราะห์เอกสารตำรา  ทฤษฎี  ตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างครอบคลุม  แล้วนำเสนอหรือสรุปเป็นภาพรวมให้ชัดเจนให้ง่ายต่อความเข้าใจในปัญหาและวิธีการวิจัยเป็นกรอบของการวิจัย  ด้านเนื้อหาสาระ  ประกอบด้วย  ตัวแปร  และการระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

   การเสนอกรอบแนวความคิด  สามารถทำได้ 3 รูปแบบ คือ 
            1.  แบบพรรณนาหรือบรรยาย  เป็นการเขียนบรรยายเพื่อให้เห็นว่า                 - ในการวิจัยนี้มีตัวแปรอะไรบ้างที่สำคัญเกี่ยวข้องกับปัญหาหรือประเด็นของการวิจัย  
             -ตัวแปรเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตามอย่างไร
             -มีเหตุผลหรือทฤษฎีอะไรมาสนับสนุน        
            2. แบบแผนภาพ
                                                        
             -แผนภาพที่แตกต่างกันช่วยให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นว่าผู้วิจัยมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร                                              
             - ผู้วิจัยที่มีตัวแปรเดียวกันจำนวนเท่ากันอาจมีแนวความคิดแตกต่างกัน              3. การบรรยายและนำเสนอสรุปเป็นแผนภาพ           

   หลักการในการเลือกกรอบแนวความคิดในการวิจัย    
        
1.ความตรงประเด็น  พิจารณาได้จากเนื้อหาสาระของตัวแปรและระเบียบวิธีที่ใช้ในการศึกษา    
         2.ความง่ายและไม่สลับซับซ้อน ควรเลือกทฤษฎีที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษาได้  จำนวนตัวแปรและรูป แบบของความ สัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่มีอยู่ในทฤษฎีไม่ซับซ้อน
         3.ความสอดคล้องกับความสนใจ เนื้อหาสาระเกี่ยวกับตัวแปรหรือความ สัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสอดคล้องกับความสนใจของผู้วิจัย                      
         4.ความมีประโยชน์เชิงนโยบาย คำนึงถึงประโยชน์ทางด้านนโยบายหรือการพัฒนาสังคม การศึกษา ผู้วิจัยจึงควรเลือกตัวแปรที่เกี่ยวข้อง

                                          

ตัวอย่าง งานวิจัย R&D ภาษาอังกฤษ

 6.การทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง
     เป็นการสืบค้นข้อมูลในรูปแบบต่างๆ มีการวางกรอบทบทวนเอกสารไว้ก่อน จะทำให้ไม่หลงทิศทาง และสามารถรวบรวมเอกสารได้ครบถ้วนและตรงกับงานวิจัยที่ทำ
     เอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย  หมายถึง ตำรา หนังสือ เอกสารอ้างอิง   รายงานการวิจัย  บทคัดย่อ   การวิจัย  วารสาร   นิตยสาร  ฯลฯ  ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับเรื่องที่วิจัย 

หลักเกณฑ์ในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1.แสวงหาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยให้มากที่สุด ศึกษาเนื้อหาสาระของทฤษฎี  แนวคิด  หลักการที่เกี่ยวข้องให้มาก
2.พิจารณาว่าเอกสารนั้นมีความทันสมัย  หรือเหมาะที่จะใช้อ้างอิงหรือไม่
3.พิจารณาว่าเอกสารนั้นเป็นเครื่องชี้นำในการศึกษาข้อมูลในเรื่องนั้น ๆ ได้หรือไม่ 4.พิจารณาว่าเอกสารนั้นมีหนังสืออ้างอิงพอที่จะแนะแนวทางในการศึกษาข้อมูลในเรื่องนั้น ๆ ได้หรือไม่
5.พิจารณาคัดเอาส่วนที่มีประโยชน์ของการวิจัยของตน
6.ทำการศึกษาแบบวิเคราะห์ เช่น ดูความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องที่จะศึกษา ระหว่างส่วนต่าง ๆ ข้อความต่าง ๆ สมเหตุสมผลหรือไม่ ผู้เขียนแย้งตนเองหรือไม่  ข้อมูลได้มาอย่างไร  เพียงพอหรือไม่  น่าเชื่อถือหรือไม่  ข้อสรุปมีเหตุผลน่าเชื่อถือหรือไม่  เป็นต้น

หลักการเขียน เอกสารที่เกี่ยวข้อง
1. เสนอแนวคิดตามทฤษฎี  แบ่งเป็นหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อยลงไป (ไม่ควรนำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการวิจัยมาเขียนไว้)
2. อธิบายปัญหาหรือสถานการณ์ที่ยังมีข้อสงสัย  และความรู้ที่เป็นปัจจุบันในหัวข้อที่วิจัย
3. ต้องเขียนอ้างอิง ( ชื่อคน/ชื่อหนังสือ . ปี  : หน้า)

ข้อเสนอแนะเรื่อง เอกสารที่เกี่ยวข้อง

1. การเลือกเอกสารที่เกี่ยวข้อง ให้ดูจาก   - ชื่อเรื่อง   - จุดมุ่งหมาย
   - ขอบเขต(ตัวแปร)   - เครื่องมือ,นวัตกรรม,เทคโนโลยีที่เราใช้
2. เลือกเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้อง
3. คำพูดที่ไม่สามารถนำมาสรุปแล้วสละสลวยเหมือนของเดิมให้ใส่เครื่องหมาย   “...ข้อความ...”และบอกอ้างอิงด้วย
4. เรียงลำดับความสำคัญ  เช่น 1) หลักสูตร  2) สื่อ
5.  การพูดถึงหลักสูตร ต้องมี- โครงสร้าง-สาระ-มาตรฐาน-ประเมินผลอย่างไร
6.  การพูดถึงสื่อ  ต้องมี
- ความหมาย - ประโยชน์ - ประเภท - การออกแบบ
                  - การใช้    - การประเมิน
7. การประเมินผลสื่อ   - คุณภาพสื่อ - ดัชนีประสิทธิภาพ
                 - ดัชนีประสิทธิผล   - ความเชื่อมั่น
8. ถ้าเป็นงานวิจัยประเภทพัฒนาต้องมี เครื่องมือ (แบบวัดต่างๆ)
      - คิดวิเคราะห์   - คิดวิจารณญาณ

ตัวอย่าง งานวิจัย R&D ภาษาอังกฤษ
ตัวอย่าง งานวิจัย R&D ภาษาอังกฤษ
ตัวอย่าง งานวิจัย R&D ภาษาอังกฤษ
ตัวอย่าง งานวิจัย R&D ภาษาอังกฤษ

  7. การทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

          เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง  ได้แก่   ผลการวิจัยสื่อที่นำมาศึกษาวิจัยและพัฒนาหรือนำมาเปรียบเทียบ หรือประเมินผล ที่ได้จากการผลิตสื่อ สถาบันที่เข้าไปใช้ในการวิจัย  เนื้อหาในหลักสูตร ความหมาย ประเภทและรูปแบบ ประโยชน์และคุณค่าของการวิจัย
         งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง   เป็นส่วนของงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ประโยชน์ของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

1.ช่วยให้เข้าใจทฤษฎี  แนวความคิด  ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่วิจัย
2.ช่วยป้องกันการทำวิจัยซ้ำซ้อนกับคนอื่นที่วิจัยไปแล้ว
3.ช่วยให้เราทราบผลงานวิจัยที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่วิจัยว่ามีการศึกษากว้างขวางมากน้อยแค่ไหน  ในแง่มุมใด  ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่จะนำมาประกอบเหตุผล ในการตั้งสมมติฐานของผู้วิจัยและนำมาประกอบเหตุผลในการอภิปรายผลการวิจัย
4.เป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัย เลือกตัวแปรที่จะศึกษา ออกแบบการวิจัย  สร้างเครื่องมือ  วิเคราะห์ข้อมูล  แปลผล  สรุปผล  และเขียนรายงานการวิจัย
5.เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพของเรื่องที่จะทำวิจัย  เพราะในการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยอย่างกว้างขวางจริงจัง  จะช่วยให้เข้าใจในเรื่องที่จะศึกษาอย่างลุ่มลึก  ในการศึกษาผลงานวิจัยต่าง ๆ ทำการพิจารณาถึงจุดอ่อนและจุดดีของแต่ละเรื่อง แล้วหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดจุดอ่อนและเสริมสร้างจุดดีเหล่านั้นให้เกิดขึ้นในการวิจัยของตน

ขั้นตอนการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ขั้นแรก อ่านราบละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ ให้รู้เรื่องทั้งหมด
ขั้นที่สอง วิเคราะห์เรื่องที่อ่าน โดยจับประเด็นใหญ่ๆมาสรุปเป็นตาราง ดังนี้
ก. ปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์ สมมติฐาน
ข. รูปแบบการวิจัย ขนาดตัวอย่าง ตัวแปรที่สำคัญ
ค. เครื่องมือวัดวิธีเก็บข้อมูล วิธีวิเคราะห์ข้อมูล
ง. ผลการวิจัย
ขั้นที่สาม เขียนเรียบเรียงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเรียบเรียงเรื่องที่อ่านในขั้นที่สองให้ต่อเนื่องกัน ลักษณะของความต่อเนื่องอาจพิจารณาได้หลายลักษณะ ลักษณะที่สำคัญและพบมากในการเขียนรายงานวิจัยลงในวารสารวิชาการ ก็คือ ลักษณะการต่อเนื่องของผลการวิจัยและตัวแปรสำคัญๆที่มีบทบาทต่อผลการวิจัย สำหรับหัวข้ออื่นๆที่จะนำมาเขียนขึ้นอยู่กับว่า ผู้วิจัยต้องการนำประเด็นนั้นมาเกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่จะทำมากน้อยแค่ไหน เช่น ขนาดของตัวอย่าง หรือวิธีสุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวัด หรือแบบการทดลอง เป็นต้น

หลักในการเขียนเรียบเรียงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1. การเขียนเรียบเรียงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ให้เลือกเอาเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่จะศึกษาจริงๆ เท่านั้นมาเขียน
2. การเขียนเรียบเรียงต้องเน้นในลักษณะของการเชื่อมโยง และความต่อเนื่องของเนื้อหาในประเด็นที่เป็นปัญหาการวิจัย ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญมากกว่าที่จะเขียนในลักษณะเรียงต่อเนื่องกันตามระยะ เวลาก่อนหลังของผู้ที่ศึกษาวิจัย และจุดอ่อนข้อนี้มักจะพบบ่อยๆในรายงานวิจัยทั่วๆไป คือ จะเอางานวิจัยของแต่ละคนมาเรียงต่อกันตามระยะเวลาก่อนหลังที่ทำการวิจัยใน แต่ละย่อหน้าไปเลย โดยไม่ได้มีการเชื่อมโยงในเนื้อหาที่สำคัญๆแต่อย่างใด
3. ต้องมีการเขียนสรุปในตอนท้ายด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ข้อความขาดตอนทิ้งค้างไว้เฉยๆ ข้อความที่สรุปจะเป็นส่วนเชื่อมโยงระหว่างการวิจัยที่ศึกษามาแล้วกับงาน วิจัยที่จะศึกษานี้นั้นมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร ถ้าไม่สามารถสรุป เพื่อชี้จุดตรงนี้ให้เห็นได้ การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่ทำมาแล้ว ก็แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย แนวทางของการเขียนสรุปสามารถเขียนได้ในหลายลักษณะขึ้นอยู่กับประเด็นสำคัญ ๆ ที่ได้จากการอ่านเอกสารและรายงานนั่นเอง

                                        

ตัวอย่าง งานวิจัย R&D ภาษาอังกฤษ