อัลเฟรด เวเกเนอร์ (Alfred Wegener) นักอุตุนิยมวิทยาชาวเยอรมันในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตั้งข้อสังเกตว่า รูปร่างโค้งชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้สอดรับกับโค้งชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา เขาได้ตั้งสมมติฐานว่า เมื่อประมาณสองร้อยล้านปีมาแล้ว ทวีปทั้งหลายเคยอยู่ชิดติดกันเป็นมหาทวีปชื่อว่า พันเจีย (Pangaea) ซึ่งประกอบด้วยดินแดนตอนเหนือชื่อ ลอเรเซีย (Laurasia) และดินแดนตอนใต้ชื่อ กอนด์วานา (Gondwana) ดังภาพที่ 1 โดยมีหลักฐานสนับสนุนได้แก่ รูปร่างโค้งเว้าของทวีป ฟอสซิลไดโนเสาร์และพืชโบราณ ร่องรอยของธารน้ำแข็งและภูมิอากาศในอดีต รวมทั้งโครงสร้างทางธรณีวิทยา เช่น องค์ประกอบและอายุหิน ภาพที่ 1 มหาทวีป "พันเจีย" นักธรณีวิทยาพบว่า ทวีปที่สัณนิษฐานว่า เคยอยู่ชิดติดกัน จะมีซากฟอสซิลที่เหมือนกัน เช่น ไซโนกาทัส (Cynogathus)
สัตว์เลื้อยคลานในยุคไทรแอสสิคอาศัยอยู่ในบราซิลและแอฟริกา, ลีสโทรซอรัส (Lystrosaurus) อาศัยอยู่ในแอฟริกา อินเดีย และแอนตาร์กติก, มีโซซอรัส (Mesosaurus) อาศัยอยู่ในตอนใต้ของอเมริกาใต้และแอฟริกา, ต้นกลอสโซเทรีส (Grossoteris) เคยแพร่พันธุ์อยู่ในอเมริกา แอฟริกา อินเดีย แอนตาร์กติก
และออสเตรเลีย ดังภาพที่ 2 ภาพที่ 2 การแพร่พันธุ์ของสัตว์ในอดีต นักอุตุนิยมวิทยาพบร่องรอยของธารน้ำแข็งโบราณในทวีปอเมริกาใต้ แอฟริกา อินเดีย ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติก นักธรณีวิทยาพบว่า ภายใต้พื้นที่ทะเลทรายของอเมริกาเหนือและเอเชียกลาง ซึ่งเป็นแหล่งถ่านหินและน้ำมันดิบในปัจจุบัน ในอดีตเคยเป็นเขตศูนย์สูตรซึ่งอุดมไปด้วยป่าไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งกลายเป็นแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลในปัจจุบัน ดังภาพที่ 3 นอกจากนี้นักธรณีได้ทำการตรวจสอบอายุหินฐานซึ่งวางตัวอยู่ชั้นล่างสุด ในบริเวณตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ แอฟริกา อินเดีย ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติก พบว่าหินบริเวณเหล่านี้มีอายุเก่าไล่เลี่ยกัน ภาพที่ 3 สภาพภูมิอากาศในอดีต สีเขียวคือป่าเขตร้อนสีขาวคือธารน้ำแข็ง ในปี พ.ศ.2509 นักธรณีวิทยาชาวแคนาดาชื่อ จอห์น ทูโซ วิลสัน (John Tuzo Wilson) ได้ตั้งสมมติฐานว่า เปลือกโลกถูกทำลายและสร้างขี้นใหม่ในลักษณะรีไซเคิลทุกๆ 500 ล้านปี เนื่องจากโลกของเรามีเส้นรอบวงยาวประมาณ 40,000 กิโลเมตร จึงคำนวณได้ว่า เปลือกโลกเคลื่อนที่ด้วยความเร็วปีละ 4 เซนติเมตร ดังนั้นเปลือกโลกซึ่งแยกตัวออกจากกันในซีกโลกหนึ่ง จะเคลื่อนที่ไปชนกันในซีกโลกตรงข้ามโดยใช้เวลาประมาณ 500 ล้านปี ดูรายละเอียดในภาพที่ 4 ภาพที่ 4 วัฏจักรวิลสัน เปลือกโลกมหาสมุทรเกิดขึ้นใหม่จากการโผล่ขึ้นของหินหนืดในจุดร้อน (Hot spot) ใต้เปลือกโลก หินหนืดจากฐานธรณีภาคดันเปลือกทวีปทั้งสองให้แยกจากกัน และเคลื่อนที่ไปชนกับเปลือกโลกมหาสมุทรในซีกโลกฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่าให้จมตัวลง การชนกันทำให้มหาสมุทรทางด้านตรงข้ามมีขนาดเล็กลง ดังภาพที่ 4 (ก) จากนั้นเปลือกโลกทวีปเคลื่อนที่ไปชนกัน ทำให้เกิดมหาทวีปในซีกโลกหนึ่ง (เช่น พันเจีย) และเกิดมหาสมุทรขนาดใหญ่ในซีกตรงข้าม ดังภาพที่ 4 (ข) เมื่อเวลาผ่านไป หินหนืดที่เกิดจากจุดร้อนใต้เปลือกโลก ดันให้เปลือกโลกทวีปเแยกออกจากกัน เกิดเปลือกโลกมหาสมุทรขึ้นมาใหม่ ดันเปลือกทวีปให้แยกตัวจากกัน และเคลื่อนที่ไปชนกับเปลือกโลกมหาสมุทรในซีกตรงข้าม มหาสมุทรจึงมีขนาดเล็กลง ดังภาพที่ 4 (ค) และท้ายที่สุดเปลือกทวีปทั้งสองก็จะชนกันเป็นมหาทวีปอีกครั้ง กระบวนการเช่นนี้เรียกว่า วัฏจักรวิลสัน (Wilson's cycle) ต่อให้เป็นยุคนี้ พ.ศ. นี้ ถ้าเราพอจะนึกออกว่าแต่ละทวีปของโลกมันกว้างใหญ่แค่ไหน ใครจะไปกล้าคิดละว่าทวีปต่างๆ จะเคลื่อนที่ได้ แต่เชื่อไหมว่าถ้าย้อนกลับไปซักประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว มีชายเยอรมันคนหนึ่งที่คิดเรื่องพรรณนี้ อัลเฟรด เวเกเนอร์ (Alfred Wegener) เป็นที่รู้จักในฐานะนักสำรวจขั้วโลกเหนือตัวยง ชีวิตของเขาส่วนใหญ่ก็เลยหนักไปทางสำรวจพื้นที่ใหม่ๆ บนเกาะกรีนแลนด์ ทั้งในหมวกของนักธรณีวิทยาสำรวจหิน ดิน แร่ รวมไปถึงนักอุตุนิยมวิทยาที่คอยตรวจวัดสภาพอากาศในพื้นที่เขตหนาว ผลงานการสำรวจของเวเกเนอร์มีมากมายและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจากแวดวงวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าจะให้หยิบงานชิ้นโบว์แดง ที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้ก็น่าจะเป็นการที่ เวเกเนอร์เป็นคนเยอรมัน ที่กล้าเดินเข้าไปกลางวงประชุมวิทยาศาสตร์ สหรัฐอเมริกา แล้วประกาศว่า…
ปี พ. ศ. 2458 เขาปล่อยหนังสือเรื่อง The Origin of Continents and Oceans ออกสู่สาธารณะเพื่อยืนยันความมั่นใจของเขา และตั้งชื่อชุดความคิดที่นี้ว่า แนวคิดทวีปเคลื่อน (continental drift) โดยเขาเรียกทวีปโบราณขนาดใหญ่ที่เคยเป็นแผ่นเดียวกันนั้นว่า มหาทวีปแพนเจีย (Pangaea Supercontinent) ซึ่งมีความหมายว่า ออล์แลนด์หรือดินแดนทั้งหมด โดยแบ่งย่อยเป็น 2 ส่วนหลักตามภูมิศาสตร์ คือ 1) ลอเรเซีย (Laurasia) ที่หมายถึงกลุ่มทวีปที่อยู่ทางซีกโลกเหนือ และ 2) กอนด์วานาแลนด์ (Gondwanaland) หรือกลุ่มทวีปที่อยู่ทางซีกโลกใต้ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานสนับสนุนคำพูดของเขาอยู่ในกระเป๋าแค่ 4 ชิ้น แต่ก็พอจะเดาใจเวเกเนอร์ในวันนั้นได้ว่าทั้ง 4 ชิ้นนั้นก็คงจะเด็ดน่าดู เวเกเนอร์ถึงกล้าประกาศออกไปอย่างนั้น แบบจำลองมหาทวีปแพนเจีย ตามแนวคิดทวีปเคลื่อน ของเวเกเนอร์
ชิ้นที่ 1 : รูปร่างทวีปหลักฐานชิ้นแรกที่เวเกเนอร์นำมากล่าวอ้างในที่ประชุมตอนนั้น คือเขาสังเกตเห็นว่าถ้าหยิบแผนที่โลกมาตัดพื้นที่ส่วนที่เป็นมหาสมุทรออกไป แนวชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกาและชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ รวมทั้งทวีปอื่นๆ ดูเหมือนจะเชื่อมต่อกันได้แบบจิ๊กซอว์ที่เราต่อๆ กัน และเมื่อเขาลองสมมุติ ลากขอบทวีปออกไปนอกชายฝั่ง ที่ระดับความลึกประมาณ 1 กิโลเมตร ใต้ระดับน้ำทะเลปัจจุบัน เขาพบว่าขอบทวีปต่างๆ ต่อกันสนิทสุดๆ เขาเลยเชื่อว่าตอนที่ทวีปแตกออกจากกัน ขอบของรอยแตกน่าจะอยู่ที่ความลึก 1 กิโลเมตร ส่วนขอบทวีปที่มีช่องว่างหรือมีการซ้อนทับกันบ้างในบางที่ เวเกเนอร์อธิบายว่าอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น 1) การพังทลายของขอบทวีประหว่างการแยกตัว ทำให้มีช่องว่างระหว่างรอยต่อ 2) การสะสมตัวของตะกอนบริเวณชายฝั่งนับตั้งแต่ทวีปเริ่มแยกออกจากกัน ก็อาจทำให้มีบางพื้นที่รอยต่อที่ซ้อนทับกันบ้างนิดหน่อย หรือ 3) การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลที่ไม่เหมือนกันในช่วงตอนนั้นกับปัจจุบันนี้ ชิ้นที่ 2 : ชนิดหินนอกจากนี้ เวเกเนอร์ยังพบว่าหินที่มีอายุมากกว่า 2,000 ล้านปี บริเวณขอบตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือและขอบตะวันตกของทวีปแอฟริกา ซึ่งปัจจุบันอยู่ห่างไกลกันและมีมหาสมุทรแอตแลนติกกั้นกลาง แต่กลับเป็นหินชนิดเดียวกันเป๊ะ การกลับมาอยู่ที่ต้นกำเนิดเดียวกันของหิน (พื้นที่สีน้ำตาล)ยิ่งไปกว่านั้น เขายังพบชิ้นส่วนของแนวเทือกเขาโบราณคาลีโดเนียน หรือในทางวิชาการธรณีวิทยาเรียกว่า ตะเข็บภูเขาคดโค้งคาลีโดเนียน (Caledonian Fold Belt) กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ทั้งบนเกาะกรีนแลนด์ แคนาดา ไอร์แลนด์ อังกฤษ สกอตแลนด์และแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งเมื่อเขานำชิ้นส่วนของทวีปต่างๆ มาต่อกัน ชิ้นส่วนของเทือกเขาโบราณที่ว่าก็ประกอบร่างกันเป็นแนวยาวพอดิบพอดี นั่นยิ่งทำให้เวเกเนอร์เชื่อในสิ่งที่เขาคิดมากยิ่งขึ้น ชิ้นที่ 3 : ฟอสซิลบังเอิญว่าเวเกเนอร์ไปอ่านเจอรายงานการค้นพบฟอสซิลหรือซากดึกดำบรรพ์ชนิดเดียวกันในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้ ซึ่งรายงานเล่มนั้นสรุปในตอนท้ายว่า ในอดีตน่าจะมีแนวแผ่นดินคล้ายสะพานเชื่อมต่อทั้ง 2 ทวีป จึงทำให้ฟอสซิลตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ แต่เวเกเนอร์ยังไม่ได้เชื่อตามนั้น และหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการค้นพบฟอสซิลทั่วโลก ซึ่งเขาก็พบว่ามีสิ่งมีชีวิตอย่างน้อย 4 สายพันธ์เด่นๆ ที่มีลักษณะการกระจายตัวของฟอสซิลข้ามทวีปแบบนี้ 1. Cynognathus เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีขนาดพอๆ กับหมาป่าปัจจุบัน มีชีวิตอยู่ในช่วงต้นถึงกลางยุคไทรแอสซิก (250-240 ล้านปีก่อน) ซึ่งพบฟอสซิลเฉพาะในทวีปแอฟริกาใต้และอเมริกาใต้เท่านั้น Cynognathus (ที่มา : www.deviantart.com)2. Lystrosaurus เป็นสัตว์เลื้อยคลานกินพืช ลำตัวยาวประมาณ 1 เมตร มีชีวิตอยู่ในช่วงต้นยุคไทรแอสซิกตอน (250 ล้านปีก่อน) พบเฉพาะในทวีปแอนตาร์กติกา อินเดียและทวีปแอฟริกาใต้ Lystrosaurus (ที่มา : www.eurekalert.org)3. Mesosaurus เป็นสัตว์เลื้อยคลานหน้าตาคล้ายกับจระเข้น้ำจืด ยาวประมาณ 1 เมตร มีชีวิตอยู่ในช่วงต้นยุคเพอร์เมียนตอนต้น (286-258 ล้านปีก่อน) พบแค่ทางใต้ของทวีปแอฟริกาและทางตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ Mesosaurus (ที่มา : https://blog.frontiersin.org)4. Glossopteris เป็นไม้พุ่มใบเหมือนลิ้น มีชีวิตอยู่ตลอดช่วงยุคเพอร์เมียน (299 ล้านปีก่อน) ฟอสซิลพบในทวีปออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ อเมริกาใต้ อินเดียและทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งทั้ง 3 ทวีปมีภูมิอากาศในปัจจุบันที่แตกต่างกันมาก เวเกเนอร์จึงตงิดใจว่ามันน่าจะผิดธรรมชาติไปหน่อย ถ้าจะบอกว่า Glossopteris อยู่ง่ายกินง่าย อยู่ได้ทั้งอากาศร้อนและหนาว Glossopte (ที่มา : https://science.howstuffworks.com)จากการค้นพบฟอสซิลสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน มีชิวิตอยู่ในยุคเดียวกัน แต่กระจายไปตามทวีปต่างๆ เวเกเนอร์ลองประมวลความคิดเพื่อหาคำอธิบายง่ายๆ ที่พอจะเป็นไปได้ ซึ่งก็มีอยู่ 3 แนวทาทงว่าอาจจะเป็นเพราะ 1) สิ่งมีชีวิตพวกนั้นอยู่คนละทวีปตั้งแต่ต้น แต่มีวิวัฒนาการทางสายพันธุ์มาบังเอิญเหมือนกันพอดี แต่ก็ขัดแย้งแบบสุดๆ กับ ทฤษฎีวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิต (Theory of Evolution) ของชาลส์ ดาร์วิน หรือ 2) สัตว์ต่างๆ ได้ว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรไปยังทวีปอื่นๆ เพื่อสร้างประชากรกลุ่มที่สอง แต่ก็อย่างที่บอกว่าดูตั้งแต่หัวจรดเท้า สภาพฟอสซิลสัตว์แต่ละชนิดก็ไม่น่าจะสามารถว่ายน้ำข้ามทวีปไปสร้างเทือกเถาเหล่าก่อใหม่ได้ หรือจะเป็น 3) แนวคิดสะพานแผ่นดินที่เชื่อมต่อทุกทวีปเข้าด้วยกัน ซึ่งมันก็จะเป็นวันเดอร์แลนด์แดนมหัศจรรย์มากเกินไป ดังนั้นเวเกเนอร์จึงให้น้ำหนัก แนวคิดทวีปเคลื่อน (continental drift) ของตัวเองเสียมากกว่า ปัญหาการพบฟอสซิลสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันแต่อยู่กันคนละทวีป กำลังถูกอธิบายด้วยแนวคิดทวีปเคลื่อนของเวเกเนอร์ยิ่งไปกว่านั้น เวเกเนอร์ยังพบหินที่แสดงหลักฐานว่าเคยมีธารน้ำแข็งปิดทับอยู่หรือธารน้ำแข็งเคยไถลผ่านมา กระจายตัวอยู่ในหลายทวีป ทั้งในแอนตาร์กติกา แอฟริกา อเมริกาใต้ อินเดียและทวีปออสเตรเลีย ซึ่งถ้าหากว่าทวีปไม่เคยย้ายที่ไปไหนจริงๆ แสดงว่าธารน้ำแข็งเคยแผ่ซ่านปกคลุมตั้งแต่ขั้วโลกไปจนถึงเส้นศูนย์สูตร แต่หินในยุคเดียวกันในพื้นที่อื่นๆ กลับไม่พบหลักฐานการสะสมตัวจากธารน้ำแข็ง ก็แทบจะอธิบายต่อไม่ได้เลยว่าตอนนั้นน้ำแข็งปกคลุมทั้งโลก ซึ่งบางพื้นที่โดนธารน้ำแข็งครูด แต่บางพื้นที่กลับไม่โดน ร่องรอยขัดสีบนหิน (glacial striation) ที่ถูกขัดสีจากเม็ดตะกอนเล็กๆ ที่อยู่ใต้ชั้นธารน้ำแข็ง พบในอุทยานแห่งชาติเมาท์เรนเนียร์ รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ดูเหมือนกับว่าหินถูกขัดด้วยกระดาษทราย (ที่มา : www.wikipedia.org) แนวร่อง (glacial groove) ที่เกิดจากการครูดของก้อนหินขนาดพอตัวที่ถูกอมและลากมากับธารน้ำแข็ง ในอุทยานแห่งรัฐเกาะเคลลี่ส์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา (ที่มา : www.wikipedia.org)แต่ถ้าลองนำทวีปต่างๆ มาต่อกันเป็นจิ๊กซอว์ เหมือนกับหลักฐานชิ้นที่ 1 ของเวเกเนอร์ จุดที่พบหลักฐานการครูดถูของธารน้ำแข็งจะกระจุกตัวรวมเป็นพื้นที่เดียวกัน เวเกเนอร์จึงเชื่อมั่นว่าในอดีตทุกทวีปน่าจะเคยอยู่ติดกัน และพื้นที่กระจุกน้ำแข็งก็น่าจะเป็นขั้วโลกในเวลานั้น วิบากกรรมของเวเกเนอร์ว่ากันว่าหลังจากที่เวเกเนอร์นำเสนอหลักฐานสนับสนุนแนวคิดทวีปเคลื่อนของเขา นักวิทยาศาสตร์ในที่ประชุมก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรเพราะเชื่อในหลักฐานที่เขามี เรื่องราวกำลังจะไปได้สวยและแนวคิดทวีปเคลื่อนของเขาก็กำลังจะได้รับการยอมรับ แต่ก็อย่างที่บอกไปในตอนต้น ใครจะไปกล้าคิดว่าทวีปใหญ่ยักษ์ขนาดนั้นมันจะเคลื่อนที่ได้ แล้วถ้ามันเคลื่อนที่ได้จริงๆ มันจะเคลื่อนที่แบบไหน ด้วยกลไกผลักดันอะไร เวเกเนอร์ พยายามอธิบายว่าทวีปเคลื่อนที่ได้เป็นเพราะแรงเหวี่ยงจากการหมุนของโลก เขาคิดว่าเดิมทีมหาทวีปแพนเจียน่าจะอยู่ใกล้กับขั้วโลกใต้ ซึ่งผลจากการหมุนรอบตัวเองของโลกทำให้เกิดแรงเหวี่ยงดึงทวีปแตกเป็นแผ่นย่อยๆ และเคลื่อนที่ขึ้นไปใกล้เส้นศูนย์สูตร สมมุติฐานแรงเหวี่ยงจากการหมุนของโลกถูกคัดค้าน เพราะถ้าลองคำนวณดูดีๆ จะพบว่าแรงเหวี่ยงที่ได้ไม่น่าพอที่จะเคลื่อนย้ายทวีป แรงเหวี่ยงจากการหมุนรอบตัวเองขอโลก คือสิ่งที่เวเกเนอร์คิดว่าเป็นกลไกที่ทำให้ทวีปเคลื่อนที่นอกจากนี้เวเกเนอร์ ยังพยายามอธิบายการเคลื่อนตัวของทวีปอเมริกาไปทางทิศตะวันตกว่าเกิดจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่กระทำกับโลก ซึ่งสมมุติฐานนี้ก็ถูกปฏิเสธอย่างทันที มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในวันนั้น และผลสรุปก็ออกมาว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าทวีปต่างๆ สามารถเคลื่อนที่ไปไหนต่อไหนได้ และสถานการณ์ก็ลุกลามไปถึงขนาดที่ว่า หลักฐานที่เวเกเนอร์นำมาแสดงนั้นอาจเป็นแค่ความบังเอิญของธรรมชาติ หลังจากวันนั้น เวเกเนอร์กลับเยอรมันและใช้ชีวิตตามปกติ โดยตลอดช่วงระยะเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ แนวคิดทวีปเคลื่อนไม่เคยถูกพูดอีกเลย ถึงแม้ว่าในปี พ.ศ. 2472 ซึ่งถือเป็นบั้นปลายชีวิตของเวเกเนอร์ นักวิทยาธรณีวิทยาอังกฤษที่ชื่อ อาร์เธอร์ โฮล์มส์ (Arthur Holmes) ได้นำเสนอแนวคิดที่เรียกว่า กระแสพาความร้อน (convection current) ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับการที่เนื้อโลกที่มีอุณหภูมิสูงลอยขึ้นมาแทนที่เนื้อโลกที่เย็นกว่าและจมตัวลง ทำให้เกิดการหมุนวนของเนื้อโลก แบบจำลองกระแสพาความร้อน (ซ้าย) ตัวอย่างการพาความร้อนในหม้อต้มน้ำ (ขวา) แบบจำลองภายในโลกโฮมยังบอกอีกว่าการพุ่งขึ้นของเนื้อโลกที่ร้อนมากระแทกแผ่นเปลือกโลกด้านบนอย่างซ้ำๆ มีพลังพอพอที่จะทำให้เปลือกโลกปริแตก และแยกตัวออกจากกันไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยมีกระแสพาความร้อนเป็นเหมือนสายพานลำเลียงแผ่นเปลือกโลกให้เคลื่อนที่ไปในที่ต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นจริงอย่างที่โฮมว่า กระแสพาความร้อนก็จะเป็นตัวช่วยอธิบายกลไกการเคลื่อนที่ของทวทีปให้กับแนวคิดทวีปเคลื่อนของเวเกเนอร์ได้อย่างดี แต่โชคร้าย แนวคิดนี้ได้รับความสนใจน้อยมากจากแวดวงวิทยาศาสตร์ในเวลานั้น อย่างที่เล่าไปในตอนต้น เวเกเนอร์หลงใหลในการสำรวจขั้วโลกเหนือเป็นชีวิตจิตใจ ตลอดชีวิตของเขามีโอกาสไปเยือนขั้วโลกเหนือ (กรีนแลนด์) ถึง 4 ครั้ง โดยใน 3 ครั้งแรก เขาและทีมงานประสบความสำเร็จอย่างมากในการสำรวจ รัฐบาลเยอรมันจึงสนับสนุนเงินทุนให้เวเกเนอร์เพื่อเดินทางไปเป็นครั้งที่ 4 ในปี พ. ศ. 2473 ( 1 ปี หลังจากโฮมนำเสนอเรื่องกระแสพาความร้อน แต่ยังไม่ได้รับความสนใจ) โดยมีเป้าหมายหลักในการประเมินความหนาของชั้นน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะสำเร็จในการสำรวจและกลับเยอรมันได้อย่างปลอดภัย แต่ครั้งที่ 4 เขาประเมินความโหดร้ายของสภาพอากาศต่ำไป ในระหว่างการออกสำรวจ อุณหภูมิลดต่ำลงถึง -60 องศาเซลเซียส การเดินทางครั้งนี้จึงจบลงด้วยการสูญเสีย เขาและเพื่อนต้องฆ่าสุนัขลากเลื่อนกินเพื่อประทังชีวิต แต่เวเกเนอร์เสียชีวิตจากความอ่อนเพลีย ขณะพยายามกลับค่ายที่พัก โดยราสมุส วิลลัมเซ็น (Rasmus Villumsen) เพื่อนบัดดี้ที่เดินทางไปด้วยกัน ฝังเขาไว้ระหว่างทางและปักสกีเอาไว้เป็นเครื่องหมาย ส่วนวิลลัมเซ็นคาดว่าคงจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา นักสำรวจหลังพบร่างของเวเกเนอร์จากสกีที่ปักไว้ แต่ไม่พบร่างของวิลลัมเซ็นซึ่งคาดว่าจะถูกหิมะกลบทับอยู่ที่ไหนซักแห่งในแถบนั้น (ซ้าย) อัลเฟรด เวเกเนอร์ (ขวา) ราสมุส วิลลัมเซ็น ถ่ายที่เกาะกรีนแลนด์ ปี พ.ศ. 2473ถึงแม้ว่าตลอดช่วงชีวิตของเวเกเนอร์ แนวคิดทวีปเคลื่อน (continental drift) จะไม่เคยได้รับการยอมรับ แต่เชื่อไหมว่า ในอีก 30 ปี ต่อมา แนวคิดนี้ถูกยกมาพูดถึงอีกครั้ง จากการสนับสนุนของ แนวคิดมหาสมุทรแผ่กว้าง (sea-floor spreading)ของแฮรีย์ เฮสส์ ในปี พ.ศ. 2504-2505 ซึ่งสอดรับกับ แนวคิดกระแสพาความร้อน (convection current) ของอาร์เธอร์ โฮล์มส์ ที่เริ่มเป็นที่ยอมรับในปี พ.ศ. 2503 กลไกการเคลื่อนที่ของทวีปได้รับการอธิบายอย่างกระจ่าง และต่อมาแนวคิดทวีปเคลื่อนก็ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของ ทฤษฏีธรณีแปรสัณฐาน (Tectonic Theory) ซึ่งเป็นทฤษฏีที่พูดคุยกันในเรื่องแผ่นเปลือกโลก และถือได้ว่า อัลเฟรด เวเกเนอร์ เป็นหนึ่งในบิดาด้านธรณีแปรสัณฐานในปัจจุบัน แม้ว่าเวเกเนอร์จะไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าทวีปของเขา แต่ถึงวันนี้ ถ้าได้รับรู้ เชื่อว่าเขาคงชื่นใจ
|