ถึง แม้ว่า นิดจะทำข้อสอบไม่ได้แต่เธอก็ไม่ คิด ลอก ข้อสอบของเพื่อน

ผมมาโรงเรียนอีกครั้งในวันที่แสนปกติอีกวันหนึ่ง แต่มันกลับไม่ได้ปกติอย่างที่ผมคิดเมื่อผมได้ยินเสียงโวยวายดังลั่นของอาจารย์ศรีสุดาหน้าห้องเรียนของผม

“ไปตามเพื่อนเธอมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!! เรื่องนี้แย่มาก ครูรับไม่ได้เลย!!” ผมเดินเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและถามเธอด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือครับครู”

“ธันวา!! อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าเธอทำแบบนี้ได้ยังไง??”

“ครับ?” ผมยิ้มเจื่อนๆด้วยความงุนงง “เอ่อ… ผมทำอะไรงั้นหรือครับ”

“น่ะ...นี่...นี่เธอ กล้าลอกข้อสอบในวิชาของฉันตั้งแต่เก็บคะแนนครั้งแรก แล้วยังมีหน้ามายิ้มระรื่นอีกอย่างนั้นหรอ???”

“เอ๊ะ??” ผมเบิกตากว้าง “พูดอะไรกัน...เดี๋ยวนะครับครู มันเรื่องอะไรกันแน่”

“เฮ้ย! ธันวา” เสียงของพละที่ยืนตรงข้ามผมดังขึ้นอย่างหงุดหงิด “มึงทำไม่ได้ก็ส่งกระดาษเปล่าไม่ก็กามั่วเอาดิวะ มาลอกของกูทำไม”

“หา?? ผม… ผมเนี่ย??!” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “นี่ผม...ตอบเหมือนพละขนาดนั้นเลยหรอครับ อีกอย่างมันเป็นข้อเขียนด้วยนี่ครับ ไม่...บังเอิญเกินไป”

“บังเอิญก็บ้าแล้ว เหมือนขนาดนั้นน่ะ” เพื่อนที่ยืนมุงอยู่ด้วยแย้งทันควัน “ลอกก็ยังไม่ยอมรับอีกหรอ เป็นคนยังไงกันแน่เนี่ยนายน่ะ”

ซุบซิบ ซุบซิบ…

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนๆในห้องที่มุงรอบพวกเราสามคนอยู่ดังขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับเสียงของผึ้ง ผมงุนงง เวียนหัว ตาลาย ผมไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมเนี่ยนะ...ลอกข้อสอบ?? บ้า...บ้าไปใหญ่แล้ว

“ผมไม่ได้ลอกนะครับ ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ ขอผมตรวจดูข้อสอบนั่นอีกครั้งเถอะครับ”

“อยากดูเท่าไรก็ดูเลย!!”

อาจารย์ยัดกระดาษใส่มือของผมก่อนที่จะวิ่งร้องไห้ออกไปจากตรงนี้ ผมมองดูกระดาษสองใบที่อยู่ในมือ มันเป็นกระดาษข้อสอบที่ผมสอบเมื่อสามวันก่อน

ผมมองดูกระดาษแผ่นซ้ายมือของผมที่เป็นของพละ ผมอ่านคำตอบที่ถูกเขียนด้วยลายมือหวัดทั้งหมดสิบข้อ แล้วค่อยดูกระดาษอีกแผ่นหนึ่งที่อยู่ในมือขวาเป็นชื่อที่ผมเขียน ใช้ลายมือหัวกลมเป็นระเบียบเพียงแต่ว่า…

คำตอบในกระดาษข้อเขียนนี้...ทุกๆอย่าง...คำตอบทุกอย่างเหมือนกันหมดเลย

“ผมไม่ได้ตอบแบบนี้แน่ๆ ผมจำได้ จะให้ผมเขียนใหม่อีกรอบผมก็ทำได้ แต่ว่าไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ” ผมมองหน้าของพละที่เขม็งมาทางผมเหมือนกับว่าผมกำลังโกหกไม่เข้าเรื่องก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมๆกับเพื่อนๆที่แยกย้ายกันไป

ผมนั่งกุมขมับอยู่บนโต๊ะจ้องมองกระดาษสองใบนี้มานานกว่าครึ่งชั่วโมงได้ ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมโดดเข้าแถวและเป็นครั้งแรกที่ถูกแกล้งได้แรงจนอยากจะลาออกไปจากโรงเรียนนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยทีเดียว

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจและขยี้ผมของตัวเองเพื่อคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเสียงกินป๊อกกี้ของไอรีนก็กำลังรบกวนประสาทของผมอย่างมาก

“แจ๊บ แจ๊บ แจ๊บ” ป๊อกกี้รสนมถูกดันเข้าไปในปากพร้อมๆกับเปลี่ยนหน้านิยายอย่างมีความสุข

ปึง!!

ด้วยความโมโหสุดขีดผมเผลอทุบโต๊ะเสียเต็มแรงเล่นเอาเธอสะดุ้ง

“อะไรของนายเนี่ย คนกำลังมีสมาธิเลย”

“ขะ...ขอโทษนะ แต่ว่าช่วย...หุบปากเคี้ยวหน่อยจะได้มั้ย”

“อะไร? นี่ฉันผิดหรอเนี่ย คนที่ผิดมันไอ้พละไม่ใช่หรอ ทำไมไม่ไปโทษมันเล่า”

“เปล่า คือแบบ…” แล้วผมก็สะดุดกับคำพูดของเธอ “เดี๋ยว...เมื่อกี้เธอว่าไงนะ พละ...เป็นคนทำงั้นหรอ”

“เฮ้ย เอาจริงดิ แค่นี้คิดไม่ได้จริงง่ะ มันก็เห็นโต้งๆอยู่แล้วปะ”

“หมายความว่ายังไงน่ะ เธอรู้หรอว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือว่า...เธอรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้??”

เมื่อไอรีนได้ฟังสิ่งที่ผมพูดเธอก็หุบยิ้มทันที เธอปิดหนังสือนิยายในมือและเอาแท่งป๊อกกี้ชี้หน้าผม

“อย่าเอาฉันไปรวมกับไอ้พวกสมองกลวงพวกนั้นอีกเป็นอันขาด”

“อึก…” ผมกลืนน้ำลาย ยกมือสองข้างขึ้นเพื่อแสดงถึงการยอมจำนนทำให้ไอรีนลดป๊อกกี้ในมือของเธอลง เมื่อเห็นเธอใจเย็นลงแล้วผมก็เข้าเรื่องต่อ “เอ่อ… ถ้าอย่างนั้นเธอก็เห็นใช่มั้ยว่าพละทำอะไรกับข้อสอบน่ะ”

“ไม่เห็นหรอก แต่มั่นใจได้เลยว่าหมอนั่นแหละเป็นคนร้าย”

“เธอมีหลักฐานด้วยหรอ”

“ถ้าคิดไปตามแบบย้อนกลับก็น่าจะได้คำตอบได้ไม่ยากนักหรอก”

“คิดแบบย้อนกลับ...” ผมทวนคำของไอรีนอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าเธอต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ เพราะยิ่งหลังสอบเสร็จคราวนั้นเธอก็ยังทำตัวแปลกๆด้วยแล้วไอ้ท่าทางมั่นใจนั่นอีก

ไอรีนต้องช่วยบอกอาจารย์ให้ผมได้แน่ แล้ว...เธอจะยอมช่วยผมงั้นหรอ

ผมกลัวเธอจะปฎิเสธจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พูดออกไปด้วยความหวังทั้งหมดที่ผมมี

“ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยเราพูดกับอาจารย์หน่อยได้มั้ย เธอรู้นี่ว่าพละทำได้ยังไงน่ะ”

ผมรอคอยคำตอบจากเธออย่างใจจดใจจ่อ เธอเหล่ตามองผมเหมือนกำลังคิดว่า ช่วยหมอนี่ไปแล้วจะได้อะไร แต่ชั่วครู่เธอก็พยักหน้า

“ได้สิ ไม่มีอะไรเสียหายนี่ อีกอย่างดูๆแล้ว ถ้าฉันเปิดโปงวิธีการของไอ้พละนั่นได้ เจ้านั่นต้องอึ้งจนพูดไม่ออกแน่ หิๆๆๆ หน้าของหมอนั่นต้องน่าสมเพชมากแน่ๆ”

ไอรีนหัวเราะเบาๆพร้อมจินตนาการหน้าถอดสีของพละอย่างสนุกสนาน ดีแล้วที่ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับคนแบบเธอ แค่นี้ก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าเธออันตรายขนาดไหน

“เอ่อ… ถ้าอย่างนั้นไปหาอาจารย์ศรีสุดากันเลยมั้ย”

“อืม แน่นอน แต่ฉันขอเวลาซักหน่อยนะ ฉันต้องจัดการบางอย่างก่อน สิ่งที่นายต้องทำก็คือพายายแก่นั่นกับพละไปที่ห้องพักครูวิทยาศาสตร์ซะ จนกว่าฉันจะไปถึงห้ามไม่ให้สองคนนั้นหนีไปไหนเด็ดขาด” พูดเสร็จไอรีนก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอและเดินนำผมออกไป

“จะจัดการเรื่องอะไรหรอ”

“หลักฐานกับพยานไงล่ะ ไม่ต้องห่วง ทำหน้าที่ของนายให้สำเร็จก็พอ ที่เหลือฉันจัดการเอง”

“จะให้ฉันไปคนเดียว...จริงๆน่ะหรอ” ผมรู้สึกหวั่นเกรงอย่างมาก ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ควรทำอย่างไรถึงจะทำให้พวกเขายอมมากับผมได้ ประมาณว่าผมมีสิทธิ์อะไรไปสั่งพวกเขา เขาจะเชื่อผมอย่างนั้นหรอ พละจะยอมรับง่ายๆจริงๆงั้นหรอ

“ยืนบื้ออะไรล่ะ รีบไปซะสิ”

“แต่ว่า… ถ้าเธอคิดผิดล่ะ พวกเราควรจะทำยังไงดี”

“...” ไอรีนหลี่ตามองผม “นาย...กำลังดูถูกฉันอยู่อย่างนั้นหรอ”

“มะ… ไม่ใช่นะ ฉันรู้ว่าเธอเก่ง แต่ว่าถ้าหากมันผิดพลาดขึ้นมา…”

“ฉันไม่มีวันผิดพลาดหรอกย่ะ สิ่งที่ฉันคิดมันถูกต้องแล้ว!” เธอขึ้นเสียงด้วยความโมโห “รู้มั้ย สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือคนที่ดูถูกความฉลาดของฉัน และคนที่ฉันเกลียดยิ่งกว่าก็คือคนที่เอาแต่ดูถูกตัวเอง!!”

คำพูดคำจาของเธอไม่รื่นหูเลยก็จริงแต่นั่นก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ผมมันไก่อ่อน...ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาแต่เลือกที่จะหนีมันอยู่ตลอด ไม่ใช่แค่เรื่องนี้...แต่แทบจะทุกๆเรื่อง

แต่ว่า...ในเมื่อผมขอร้องให้เธอช่วยแล้ว ผมจะทำให้เธอผิดหวังอย่างนั้นหรอ??

“งะ… งั้นเราไปตามครูกับพละมานะ” ผมรีบก้าวฝีเท้าเดินผ่านไอรีนไปเพื่อตามหาครูศรีสุดากับพละ ผมจะต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาและแสดงความบริสุทธิ์ของผม ใช่แล้ว ผมไม่ผิด พละต่างหาก

ไอรีนจะต้องคิดถูก ผมเชื่อแบบนั้น

ทันทีที่ผมเเยกกับไอรีนและลงบันไดมาถึงชั้นสาม ผมก็พบกับอาจารย์ศรีสุดาและพละที่ขึ้นมาพร้อมกันพอดี พวกเขาดูคุยกันสนุกสนานจนกระทั่งพวกเขาสังเกตเห็นผม

“เอ่อ...ขอโทษนะครับ” แต่ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อพวกเขาก็เมินและกำลังจะเดินผ่านผมไป ทำให้ผมเผลอตะโกนออกมาสุดเสียง “เดี๋ยวก่อนครับ!!”

พวกเขาหยุดชะงักและหันมาหาผม

“มีอะไรจะแก้ตัวอีก” อาจารย์พูดเสียงเรียบ “ฉันไม่อยากจะฟังคำพูดของเด็กแบบเธอนักหรอกนะ”

“อาจารย์ครับ ผมน่ะรู้แล้วครับว่าใครเป็นคนทำและมีหลักฐานพิสูจน์ด้วย!!”

“ว่าไงนะ” อาจารย์กระตุกเล็กน้อย

“ไร้สาระน่ะครับอาจารย์ หมอนี่ก็แค่แก้ตัวแล้วโบ้ยความผิดให้คนอื่น”

“ถ้าผมคิดจะลอกจริงๆล่ะก็ผมคงไม่โง่เขียนเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วแบบนั้นแน่ครับ ยังไงนี่ก็เป็นข้อสอบข้อเขียนใช่มั้ยล่ะครับ เพราะงั้นการเปลี่ยนคำแต่อยู่ในความหมายเดียวกัน นั่นก็ไม่มีทางที่จะถูกจับได้ แต่นี่เหมือนกันทุกตัวอักษร อาจารย์ไม่คิดว่านี่มันแปลกงั้นหรอครับ?”

“...” ท่าทางของอาจารย์เหมือนกำลังครุ่นคิด แล้วพละก็แย้งขึ้นมาอีก

“อย่าไปฟังเลยครับ มันลอกผมก็เห็นชัดอยู่แล้ว”

“เงียบก่อน พละ” เธอขมวดคิ้วเริ่มเข้าใจสิ่งที่ผมพูด “เธอพูดถูกธันวา มันมีบางอย่างแปลกๆ เธอบอกว่าเธอมีหลักฐานสินะ”

“ครับ ช่วยมาที่ห้องพักครูกับผมด้วยเถอะนะครับ นายด้วยนะพละ”

“ฉะ...ฉันด้วยหรอ??”

“หรือว่านายกลัวล่ะ”

“...” พละตะกุกตะกักแต่เขาก็พยักหน้า “ก็ได้ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครทำแบบนี้”

เท่านี้ก็จะได้เริ่มกันซะที ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับไอรีนแล้วว่าเธอจะหาพยานในคราวนี้ยังไงให้พวกเราเป็นฝ่ายชนะ

ผมพาอาจารย์ศรีสุดากับพละมาที่ห้องพักครูวิทยาศาสตร์ที่อยู่ชั้น 5 ได้สำเร็จก็จริง แต่ไอรีนก็ยังไม่มาซักที

“เพื่อนเธอเมื่อไรจะมาน่ะ นี่มันกว่าครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้วนะ”

“รออีกซักหน่อยนะครับ”

เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่านะ ทำไมเธอถึงยังไม่มาเสียที หรือว่า...จะมีปัญหากับพยาน…

“กำลังถ่วงเวลาพวกเราอยู่งั้นสินะ” พละที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะของอาจารย์ศรีสุดาลุกขึ้น “ถ้าให้ฉันเดา นายคงกำลังให้เพื่อนนายหาพยานปากเอกเพื่อให้นายพ้นข้อหางั้นสิ”

“...”

“แต่ดูเหมือนว่าพยานปากเอกคนนั้นจะไม่ยอมมา เพราะเขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง...อะไรแบบนี้ ฮะๆๆ พยายามได้ดีเลยนะธันวา แต่ว่ามาถึงขนาดนี้แล้วการยอมรับตรงๆน่าจะเป็นท่าที่ง่ายที่สุดนะ”

ท่าทางสบายใจของพละทำให้ผมรู้สึกหวั่นใจยิ่งกว่าเดิม แต่ผมก็ยังคงจ้องมองไปที่ประตูห้องโดยหวังว่าจะพบไอรีนที่กำลังเปิดประตูเข้ามา

“ขอโทษนะธันวา แต่ครูจะสายไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

“รออีกซักนิดเถอะครับ บอกยกคลาสไปเลยก็ได้ ขอร้องล่ะครับ”

“ธันวา เธอกำลังเอาเรื่องของเธอคนเดียวมาทำให้คนอื่นลำบากไปด้วยนะ”

“เดี๋ยวครับ รอก่อน อย่าเพิ่งไปเลยครับ!!” ผมพยายามยื้ออาจารย์ที่กำลังเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวไปสอน “ครูครับ!!”

ซึ่งทันทีที่อาจารย์ดึงประตูเปิด พวกเราสามคนก็ถึงกับชะงัก

“อา.. ดูเหมือนฉันจะสายไปหน่อยสินะ”

ในที่สุดไอรีนก็ปรากฏตัวขวางประตูเอาไว้ เธอเหงื่อโชกเหมือนวิ่งออกกำลังกายมาซึ่งด้านหลังของเธอก็คือวิว เพื่อนที่อยู่ห้อง 4 สายอังกฤษ-ศิลปะ

“ไอรีนหรอ?? แล้วยัง...วิวอีก” พละดูตกใจมากเมื่อเห็นเธอ

“อะไรกันธันวา ไม่ได้บอกหรอว่าคนที่หมอนั่นต้องรอคือฉันเนี่ย ฉันเป็นแม่งานนี้นะ เสียมารยาทจริง”

“อะ..อืม ขอโทษที”

“พวกเธอคือคนที่จะมาเป็นพยานให้ธันวางั้นหรือ” อาจารย์มองไอรีนกับวิวด้วยความสงสัย แต่คนที่อาจารย์สงสัยมากกว่าคือไอรีน “ไม่คิดเลยนะว่าเด็กที่ไม่สนใจคนอื่นแบบเธอจะยอมช่วยใครด้วย”

“อาจารย์นี่รู้จักหนูมานานเกินไปนะคะ ใช่ค่ะ หนูไม่ใช่คนประเภทนั้น แต่ว่าหนูก็แค่รู้สึกว่ามันน่าสนุกก็เท่านั้นเองค่ะ สนุกที่จะมองเห็นหน้าตลกๆของพละเขาน่ะค่ะ”

“หน้าตลกๆของพละงั้นหรอ” อาจารย์ศรีสุดาหันกลับไปมองพละ

“อะไรของเธอน่ะ หน้าตลกๆของฉัน?”

“ปั้นหน้าเป็นคนดีนี่มันน่าจะเมื่อยนะ ลองปล่อยสีหน้าชั่วๆของนายออกมาบ้างก็ได้นะ หิๆๆๆ”

“นี่… ไอ้ธันวามันจ้างเธอเท่าไร ถึงมาโบ้ยความผิดให้ฉันโต้งๆแบบนี้เนี่ย ก็เห็นๆอยู่ว่ามันลอกฉันน่ะ”

“จ้างงั้นหรอ? ฮะๆๆๆ ฉันน่ะรวยพอแล้ว ไม่ต้องการเศษตังค์เหมือนนายหรอกน่า”

“ว่ะ...ว่าไงนะ??” หน้าถอดสีของพละทำให้ไอรีนยิ้มเจ้าเล่ห์

“ฉันไม่สุงสิงกับใครก็จริงแต่อย่าลืมสิว่าฉันเข้าโรงเรียนนี้มาตั้งแต่ป.1 ไม่มีทางที่ฉันจะไม่รู้จักธาตุแท้ของเพื่อนรุ่นเดียวกันแต่ละคนหรอกนะ”

“…”  พละไม่ได้พูดอะไรนอกจากคิ้วที่ผูกเสียเป็นปม

ผมไม่รู้หรอกว่าไอรีนเคยทำอะไรมา เธอถึงได้สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้โดยไม่สนใจว่าใครจะมาแกล้งเธอไหม แต่ที่สำคัญคือทุกคนเหมือนจะกลัวเธอ อาจจะเหมือนที่ผมกลัวหรือยิ่งกว่าที่ผมคิด

“เอ้า วิว หาที่นั่งตามสบายเลยนะ” วิวที่ไม่ได้พูดอะไรเลยมาตั้งแต่ต้นเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล แล้วจากนั้นไอรีนก็เริ่มพูดต่อ “เอาล่ะ ในเมื่อตัวละครทั้งหมดประจำที่ของตัวเองแล้ว โชว์ที่ทุกท่านรอคอยก็จะเริ่มต้นกันซักทีนะคะ”

เธอยิ้มหวานให้กับผม พละ วิว และอาจารย์ศรีสุดาที่นั่งอยู่ตรงหน้าก่อนที่จะปล่อยคำพูดที่น่าตกใจที่สุดออกมา

“เรื่องคราวนี้ไม่ใช่การลอกข้อสอบ แต่เป็นการสลับข้อสอบต่างหากล่ะ”