อาหาร เบาหวาน ในผู้ สูงอายุ

โรคเบาหวาน คือ อะไร?

   ภาวะปกติของร่างกาย หมายถึง เมื่อรับประทานอาหารเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น หลังจากนั้นร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจาะนำพาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์

   โรคเบาหวาน หมายถึง โรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อน ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยกว่าปกติ หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่

โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ชนิด ได้แก่

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน ส่วนใหญ่พบในเด็ก จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาอินซูลิน
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากร่างกายมีภาวะดื้ออินซูลิน ส่วนใหญ่พบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวานร่วมด้วยในระยะแรกสามารถรับประทานยาลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ถ้าเป็นนานๆ บางรายจำเป็นต้องใช้ยาอินซูลิน
  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ วินิจฉัยขณะตั้งครรภ์ และภาวะนี้มักหายไปหลังจากคลอด
  • โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคที่ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางชนิด หรือการรับประทานยาที่มีสารสเตียรอยด์

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2

  • อายุ 35 ปีขึ้นไป
  • มีโรคอ้วน หรือ รอบเอวเกินมาตรฐาน (มากกว่า 90เซนติเมตรในผู้ชาย หรือ 80 เซนติเมตรในผู้หญิง) และมีพ่อ แม่ พี่ น้องเป็นโรคเบาหวาน
  • มีโรคความดันโลหิตสูง หรือรับประทานยาความดันโลหิตอยู่
  • ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ (ระดับไตรกลีเซอไรด์ มากกว่า 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับคอเลสเตอรอล เอสดีแอล < 35มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
  • มีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • เคยได้รับการตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ เช่น ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร 100 – 125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับน้ำตาลสะสม 5.7 – 6.4 %
  • มีโรคหัวใจและหลอดเลือด

อาการเริ่มแรกของโรคเบาหวาน คือ

ผู้ป่วยเบาหวานในระยะแรกที่ระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่สูงมาก อาการจะไม่เด่นชัดอย่างไรก็ตาม อาจไปพบแพทย์ด้วยอาการต่างๆ ดังนี้

  • อาการของระดับน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ รับประทานเก่งขึ้น หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย ถ้าระดับน้ำตาลสูงนานๆ และยังไม่ได้รับการรักษาจะมีน้ำหนักตัวลดลงตามมา
  • อาการของภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น ตามัว ไตวาย ชาปลายมือปลายเท้า โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง
  • อาการของน้ำตาลสูงเฉียบพลัน เช่น อ่อนเพลียมาก คลื่นไส้อาเจียน หายใจหอบเหนื่อย ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ซึมลง หรือหมดสติ
  • อาการหรือโรคที่สัมพันธ์กับโรคเบาหวาน เช่น แผลเรื้อรังหรือแผลหายช้ากว่าปกติ โรคติดเชื้อบางชนิด เช่น การติดเชื้อราที่ช่องคลอด การติดเชื้อราที่ผิวหนัง
  • ตรวจพบจากการตรวจเช็คสุขภาพหรือก่อนทำการผ่าตัด

น้ำตาลสะสม หรือน้ำตาลเฉลี่ยคืออะไร?

          น้ำตาลสะสม หรือ น้ำตาลเฉลี่ย หรือฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1C) คือ ค่าที่ช่วยบ่งชี้การควบคุมระดับน้ำตาลในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และช่วยแพทย์ในการเฝ้าติดตามผู้ป่วยเบาหวานว่าสามารถควมคุมระดับน้ำตาลได้ดีเพียงใด ควบคู่ไปกับการดูระดับน้ำตาลหลังงดอาหาร 6-8 ชั่วโมง (Fasting plasma glucose; FPG) โดยแนะนำให้ตรวจระดับน้ำตาลสะสมอย่างน้อยปีละ 1 – 2 ครั้ง ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน

อาหาร เบาหวาน ในผู้ สูงอายุ

ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันของโรคเบาหวาน

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นภาวะที่ร่างการยมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิกรรัม/เดซิลิตร

เมื่อมีอาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ควรตรวจดูค่าน้ำตาลปลายนิ้วเพื่อยืนยันถ้าค่น้ำตาลในเลือดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เข้าเกรณฑ์ว่ามาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

หลักการแก้ไขภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำกรณียังรู้สึกตัว คือ 15, 15

รับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม เช่น  

ตรวจน้ำตาลปลายนิ้วซ้ำ 15 นาที หลังรับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม

หากค่าน้ำตาลยังน้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ให้รับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัมซ้ำ และอีก 15 นาที ให้ตรวจดูค่าน้ำตาลปลายนิ้วอีกครั้ง
หากค่าน้ำตาลน้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ให้ทำซ้ำเช่นเดิม
หากค่าน้ำตาลมากกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ให้รับประทานอาหารมื้อหลักทันที เมื่อถึงมื้ออาหาร

          หากมีภาวะน้ำตาลในเชือดต่ำระดับรุนแรง อาจทำให้มีอาการชักถึงขั้นหมดสติไม่รู้สึกตัว ห้าม! ให้อาหารทางปากเด็ดขาด เพราะอาจสำลักลงหลอดลมแนะนำควรส่งโรงพยาบาลใกล่เคียงทันที

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน แบ่งเป็น 2 ภาวะ ได้แก่

1. ภาวะคีโตเอซิโดซิส (Diabetic Ketoacidosis; DKA) คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ร่วมกับภาวะกรดเมตาบอลิกจากกรดคีโตนคั่งในร่างกาย

2. ภาวะไฮเปอร์ไกลซีมิกไฮเปอร์ออสโมล่าร์ (Hyperosmolar Hyperglycemic State; HHS) คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 60 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แต่ไม่มีภาวะกรมเมตาบอลิกจากกรดคีโตนคั่งในร่างกาย

ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังของโรคเบาหวาน ได้แก่ 

1. ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดเล็ก

  • เบาหวานขึ้นตา
  • ไตวาย
  • เส้นประสาท ได้แก่ ชาปลายเท้า เจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง

2. ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดใหญ่

  • กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
  • อัมพฤกษ์ อัมพาต
  • หลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน ทำให้เกิดแผลที่เท้าง่าย และมีโอกาสถูกตัดนิ้ว/ขา

ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้สามารถป้องกันและชะลอได้ โดยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติ และควบคุมโรคร่วมที่สำคัญ เช่น โรคความดันโลหิตสูงและโรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

คำแนะนำในการปฎิบัติตัวสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

  • ควรดื่มน้ำสะอาดมากกว่า 8 แก้วต่อวัน
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต ไขมันในเลือดและน้ำหนักตัวให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
  • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ครบทั้ง 3 มื้อ แม้จะไม่หิวก็ตาม ลดหรือหลีกเลี่ยงการรับประทานของว่างที่ไม่จำเป็น
  • รับประทานข้าว/แป้งไม่ขัดสีในปริมาณที่หมาะสม (1-3 ทัพพีต่อมื้อ)
  • รับประทานผลไม้สดเป็นประจำ 2-3 มื้อต่อวัน ปริมาณ 6-8 ชิ้นคำต่อมื้อ หากเลือกผลไม้ขนาดกลาง ½ ผลต่อมื้อ หรือขนาดค่อนข้างเล็ก 1-2 ผลต่อมื้อ
  • รับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดหนังและไม่ติดมันในปริมาณที่เหมาะสม
  • เน้นผักใบให้มาก
  • ใช้น้ำมันพืชในการประกอบอาหารได้ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว
  • แนะนำให้ดื่มนมรสจืดพร่องมันเนย หรือขาดมันเนยประมาณ 250 มิลลิลิตรต่อวัน หรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติไม่เกิน 1 ถ้วยต่อวัน
  • อ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้ออาหารทุกครั้ง
  • ออกกำลังกายวันละ 30 นาที ย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • รับประทานยา หรือฉีดยาตามคำสั่งแพทย์
  • สำรวจเท้า และทาโลชั่นทุกวันทันทีหลังจากทำความสะอาด หากพบความผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์
  • ควรตรวจฟันและช่องปากทุก 6 เดือน
  • ลดการรับประทานอาหารหวาน เครื่องดื่มที่มีรสหวาน หรือให้ใช้น้ำตาลเทียม หรือสารให้ความหวานเทียมแทนน้ำตาล
  • ลดการรับประทานอาหารมัน เช่น อาหารจานเดียว อาหารทอดและอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ รวมถึงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน หมูยอ กุนเชียง เป็นต้น
  • ลดการรับประทานอาหารเค็ม เช่น ขนมมกรุบกรอบ อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารหมักดอง อาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง และเครื่องปรุงรส เป็นต้น รวมถึงการลดการรับประทานน้ำซุปต่างๆ หรือใช้หลักการตักเนื้อทิ้งน้ำ และลดการรับประทานน้ำจิ้ม
  • งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! คลินิกเบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ ชั้น 4 โซน D

โรคเบาหวาน คือ อะไร?

   ภาวะปกติของร่างกาย หมายถึง เมื่อรับประทานอาหารเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น หลังจากนั้นร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจาะนำพาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์

   โรคเบาหวาน หมายถึง โรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อน ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยกว่าปกติ หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่

โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ชนิด ได้แก่

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน ส่วนใหญ่พบในเด็ก จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาอินซูลิน
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากร่างกายมีภาวะดื้ออินซูลิน ส่วนใหญ่พบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวานร่วมด้วยในระยะแรกสามารถรับประทานยาลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ถ้าเป็นนานๆ บางรายจำเป็นต้องใช้ยาอินซูลิน
  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ วินิจฉัยขณะตั้งครรภ์ และภาวะนี้มักหายไปหลังจากคลอด
  • โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคที่ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางชนิด หรือการรับประทานยาที่มีสารสเตียรอยด์

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2

  • อายุ 35 ปีขึ้นไป
  • มีโรคอ้วน หรือ รอบเอวเกินมาตรฐาน (มากกว่า 90เซนติเมตรในผู้ชาย หรือ 80 เซนติเมตรในผู้หญิง) และมีพ่อ แม่ พี่ น้องเป็นโรคเบาหวาน
  • มีโรคความดันโลหิตสูง หรือรับประทานยาความดันโลหิตอยู่
  • ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ (ระดับไตรกลีเซอไรด์ มากกว่า 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับคอเลสเตอรอล เอสดีแอล < 35มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
  • มีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • เคยได้รับการตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ เช่น ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร 100 – 125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับน้ำตาลสะสม 5.7 – 6.4 %
  • มีโรคหัวใจและหลอดเลือด

อาการเริ่มแรกของโรคเบาหวาน คือ

          ผู้ป่วยเบาหวานในระยะแรกที่ระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่สูงมาก อาการจะไม่เด่นชัดอย่างไรก็ตาม อาจไปพบแพทย์ด้วยอาการต่างๆ ดังนี้

  • อาการของระดับน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ รับประทานเก่งขึ้น หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย ถ้าระดับน้ำตาลสูงนานๆ และยังไม่ได้รับการรักษาจะมีน้ำหนักตัวลดลงตามมา
  • อาการของภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น ตามัว ไตวาย ชาปลายมือปลายเท้า โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง
  • อาการของน้ำตาลสูงเฉียบพลัน เช่น อ่อนเพลียมาก คลื่นไส้อาเจียน หายใจหอบเหนื่อย ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ซึมลง หรือหมดสติ
  • อาการหรือโรคที่สัมพันธ์กับโรคเบาหวาน เช่น แผลเรื้อรังหรือแผลหายช้ากว่าปกติ โรคติดเชื้อบางชนิด เช่น การติดเชื้อราที่ช่องคลอด การติดเชื้อราที่ผิวหนัง
  • ตรวจพบจากการตรวจเช็คสุขภาพหรือก่อนทำการผ่าตัด

น้ำตาลสะสม หรือน้ำตาลเฉลี่ยคืออะไร?

   น้ำตาลสะสม หรือ น้ำตาลเฉลี่ย หรือฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1C) คือ ค่าที่ช่วยบ่งชี้การควบคุมระดับน้ำตาลในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และช่วยแพทย์ในการเฝ้าติดตามผู้ป่วยเบาหวานว่าสามารถควมคุมระดับน้ำตาลได้ดีเพียงใด ควบคู่ไปกับการดูระดับน้ำตาลหลังงดอาหาร 6-8 ชั่วโมง (Fasting plasma glucose; FPG) โดยแนะนำให้ตรวจระดับน้ำตาลสะสมอย่างน้อยปีละ 1 – 2 ครั้ง ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน

อาหาร เบาหวาน ในผู้ สูงอายุ

ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันของโรคเบาหวาน

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นภาวะที่ร่างการยมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิกรรัม/เดซิลิตร

เมื่อมีอาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ควรตรวจดูค่าน้ำตาลปลายนิ้วเพื่อยืนยันถ้าค่น้ำตาลในเลือดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เข้าเกรณฑ์ว่ามาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

หลักการแก้ไขภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำกรณียังรู้สึกตัว คือ 15, 15

รับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม เช่น  

ตรวจน้ำตาลปลายนิ้วซ้ำ 15 นาที หลังรับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม

หากค่าน้ำตาลยังน้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ให้รับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัมซ้ำ และอีก 15 นาที ให้ตรวจดูค่าน้ำตาลปลายนิ้วอีกครั้ง
หากค่าน้ำตาลน้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ให้ทำซ้ำเช่นเดิม
หากค่าน้ำตาลมากกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ให้รับประทานอาหารมื้อหลักทันที เมื่อถึงมื้ออาหาร

          หากมีภาวะน้ำตาลในเชือดต่ำระดับรุนแรง อาจทำให้มีอาการชักถึงขั้นหมดสติไม่รู้สึกตัว ห้าม! ให้อาหารทางปากเด็ดขาด เพราะอาจสำลักลงหลอดลมแนะนำควรส่งโรงพยาบาลใกล่เคียงทันที

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน แบ่งเป็น 2 ภาวะ ได้แก่

1. ภาวะคีโตเอซิโดซิส (Diabetic Ketoacidosis; DKA) คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ร่วมกับภาวะกรดเมตาบอลิกจากกรดคีโตนคั่งในร่างกาย

2. ภาวะไฮเปอร์ไกลซีมิกไฮเปอร์ออสโมล่าร์ (Hyperosmolar Hyperglycemic State; HHS) คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 60 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แต่ไม่มีภาวะกรมเมตาบอลิกจากกรดคีโตนคั่งในร่างกาย

ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังของโรคเบาหวาน ได้แก่ 

1. ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดเล็ก

  • เบาหวานขึ้นตา
  • ไตวาย
  • เส้นประสาท ได้แก่ ชาปลายเท้า เจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง

2. ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดใหญ่

  • กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
  • อัมพฤกษ์ อัมพาต
  • หลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน ทำให้เกิดแผลที่เท้าง่าย และมีโอกาสถูกตัดนิ้ว/ขา

ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้สามารถป้องกันและชะลอได้ โดยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติ และควบคุมโรคร่วมที่สำคัญ เช่น โรคความดันโลหิตสูงและโรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

คำแนะนำในการปฎิบัติตัวสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

  • ควรดื่มน้ำสะอาดมากกว่า 8 แก้วต่อวัน
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต ไขมันในเลือดและน้ำหนักตัวให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
  • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ครบทั้ง 3 มื้อ แม้จะไม่หิวก็ตาม ลดหรือหลีกเลี่ยงการรับประทานของว่างที่ไม่จำเป็น
  • รับประทานข้าว/แป้งไม่ขัดสีในปริมาณที่หมาะสม (1-3 ทัพพีต่อมื้อ)
  • รับประทานผลไม้สดเป็นประจำ 2-3 มื้อต่อวัน ปริมาณ 6-8 ชิ้นคำต่อมื้อ หากเลือกผลไม้ขนาดกลาง ½ ผลต่อมื้อ หรือขนาดค่อนข้างเล็ก 1-2 ผลต่อมื้อ
  • รับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดหนังและไม่ติดมันในปริมาณที่เหมาะสม
  • เน้นผักใบให้มาก
  • ใช้น้ำมันพืชในการประกอบอาหารได้ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว
  • แนะนำให้ดื่มนมรสจืดพร่องมันเนย หรือขาดมันเนยประมาณ 250 มิลลิลิตรต่อวัน หรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติไม่เกิน 1 ถ้วยต่อวัน
  • อ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้ออาหารทุกครั้ง
  • ออกกำลังกายวันละ 30 นาที ย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • รับประทานยา หรือฉีดยาตามคำสั่งแพทย์
  • สำรวจเท้า และทาโลชั่นทุกวันทันทีหลังจากทำความสะอาด หากพบความผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์
  • ควรตรวจฟันและช่องปากทุก 6 เดือน
  • ลดการรับประทานอาหารหวาน เครื่องดื่มที่มีรสหวาน หรือให้ใช้น้ำตาลเทียม หรือสารให้ความหวานเทียมแทนน้ำตาล
  • ลดการรับประทานอาหารมัน เช่น อาหารจานเดียว อาหารทอดและอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ รวมถึงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน หมูยอ กุนเชียง เป็นต้น
  • ลดการรับประทานอาหารเค็ม เช่น ขนมมกรุบกรอบ อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารหมักดอง อาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง และเครื่องปรุงรส เป็นต้น รวมถึงการลดการรับประทานน้ำซุปต่างๆ หรือใช้หลักการตักเนื้อทิ้งน้ำ และลดการรับประทานน้ำจิ้ม
  • งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! คลินิกเบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ ชั้น 4 โซน D