หน่วยที่ 1 ปรัชญาและวิธีการแสวงหาความรู้ทางรัฐศาสตร์ 1.1 ปรัชญากับการแสวงหาความรู้ทางสังคมศาสตร์ ปรัชญาถือกำเนิดมาจากความต้องการแสวงหาภูมิปัญญาเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ การศึกษาด้านปรัชญามีบทบาทในการวางรากฐานองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและสังคมศาสตร์ และมีส่วนสำคัญในการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ ตั้งข้อสังเกต
และให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาในการแสวงหาความรู้ของสัตว์ทั้งสองด้าน 1.1.1 ปรัชญาเชิงจริยธรรมกับการแสวงหาความรู้ทางสังคมศาสตร์ 1.1.2 ปรัชญาธรรมชาติและอิทธิพลที่มีต่อการแสวงหาความรู้ทางสังคมศาสตร์ 1.1.3 ปรัชญาวิทยาศาสตร์ ปรัชญาสังคมศาสตร์ และกระบวนการแสวงหาความรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญาเชิงจริยธรรมกับการแสวงหาความรู้ทางสังคมศาสตร์ 1.2
ประเด็นปัญหาเชิงปรัชญาในการแสวงหาความรู้ทางรัฐศาสตร์ ประเด็นปัญหาเชิงปรัชญาในการแสวงหาความรู้ทางรัฐศาสตร์ที่สำคัญคือ ปัญหาข้อโต้แย้งด้านปรัชญาสังคมศาสตร์ในการศึกษารัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการแสวงหาความรู้ทางรัฐศาสตร์ยุคปัจจุบันอย่างกว้างขวาง และปัญหาเชิงจริยธรรมในการศึกษาวิจัย ซึ่งอาจจะไม่ส่งผลต่อการแสวงหาความรู้ทางรัฐศาสตร์รุนแรงนัก แต่ก็เป็นส่วนสำคัญประการหนึ่งในกระบวนการวิจัยอย่างไรก็ตามรัฐศาสตร์ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 21
ต้องเผชิญกับแนวคิดหลังสมัยใหม่หรือโพสต์โมเดิร์นซึ่งไม่เพียงโต้แย้งวิธีการศึกษาและแนวคิดทฤษฎีด้านรัฐศาสตร์เท่านั้นแต่ยังท้าทายความชอบธรรมของการแสวงหาความรู้ทางด้านนี้ โดยแนวคิด post modern มีลักษณะที่ต่อต้านรากฐานปรัชญาความรู้อย่างสุดขั้ว และเชื่อว่าไม่มีองค์ความรู้ใดถูกต้องที่สุด แนวคิดนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อรากฐานทางปรัชญาของการแสวงหาความรู้ทางรัฐศาสตร์ทั้งในด้านปรัชญาความรู้และในด้านปรัชญาเชิงจริยธรรม 1.2.1 ข้อโต้แย้งด้านปรัชญาสังคมศาสตร์ในการศึกษาทางรัฐศาสตร์ 1.2.2 ปัญหาเชิงจริยธรรมในการศึกษาวิจัยทางรัฐศาสตร์ 1.2.3 ประเด็นปัญหาเชิงปรัชญาในการแสวงหาความรู้ทางรัฐศาสตร์ยุคปัจจุบัน ข้อโต้แย้งทางด้านปรัชญาสังคมศาสตร์ในการศึกษาทางรัฐศาสตร์ หน่วยที่ 2 ขอบข่ายการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ 2.1 ขอบข่ายและเนื้อหาของการศึกษาวิจัยในทางรัฐศาสตร์ รัฐศาสตร์เป็นวิชาที่มีขอบข่ายของเนื้อหาสาระกว้างขวางเป็นอย่างมากครอบคลุมทุกส่วนของสังคมการเมืองเมื่อเป็นเช่นนี้การศึกษาวิจัยทางรัฐศาสตร์จึงมีขอบข่ายกว้างขวางตามไปด้วยเช่นกันแต่ในทางปฏิบัติเนื้อหาสาระโดยทั่วไปที่จะทำการศึกษาวิจัยให้ได้องค์ความรู้ใหม่ๆขึ้นมานั้นมักจะครอบคลุมอยู่ 4 เรื่องคือการศึกษาเกี่ยวกับความคิดทางการเมือง การศึกษาเกี่ยวกับสถาบันทางการเมือง
การศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มและกระบวนการทางการเมือง และการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมือง 2.1.1 การศึกษาเกี่ยวกับความคิดทางการเมือง 2.1.2 การศึกษาเกี่ยวกับสถาบันทางการเมือง 2.1.3 การศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มและกระบวนการทางการเมือง 2.1.4 การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมือง การศึกษาเกี่ยวกับความคิดทางการเมืองนั้นมีประโยชน์ต่อการวิจัยทางรัฐศาสตร์อย่างยิ่งในแง่ของการช่วยสร้างกรอบความคิดให้แก่ผู้ที่กำลังทำการศึกษาวิจัยเรื่องราวทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยให้เข้าใจถึงสิ่งต่างๆที่เป็นอยู่และที่สำคัญคือจะเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทำให้ผู้ที่ศึกษาวิจัยได้เข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆในทางการเมืองได้ดีขึ้นอีกด้วยนอกจากนี้แล้วความคิดทางการเมืองทั้งหลายคือพื้นฐานสำคัญของระบอบการเมืองการปกครองทั้งหลายดังนั้นการศึกษาวิจัยทางรัฐศาสตร์โดยเน้นไปที่เรื่องของความคิดทางการเมืองจึงเท่ากับเป็นการศึกษาวิจัยถึงแก่นแท้ของระบอบการเมืองการปกครองต่างๆนั้นเอง 2.2 ขอบเขตของการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ การวิจัยในทางรัฐศาสตร์ก็เช่นเดียวกับการวิจัยทางสังคมศาสตร์อื่นอื่นๆที่จะมีการกำหนดขอบเขตของการศึกษาวิจัยไว้อย่างแน่นอนชัดเจนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน่วยที่จะใช้ในการศึกษาหรือหน่วยในการวิเคราะห์ เรื่องเกี่ยวกับระดับของการวิจัย ตลอดจนเรื่องของระยะเวลาและพื้นที่ที่ใช้ในการศึกษาวิจัยดังกล่าว 2.2.1
หน่วยที่ใช้ในการวิจัยในทางรัฐศาสตร์. 2.2.2 ระดับของการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ 2.2.3 ระยะเวลาและพื้นที่ที่ใช้ในการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ ประชากรวิจัยหมายถึงสิ่งที่เราจะทำการศึกษาวิจัยทั้งหมดจะมีจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ส่วนตัวอย่างวิจัยหมายถึงสิ่งที่เรากำหนดเอาไว้จำนวนหนึ่งจากประชากรวิจัยเพื่อนำมาทำการศึกษาวิจัยนั่นเองในแง่ของความสัมพันธ์ก็คือตัวอย่างวิจัยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของประชากรวิจัยประชากรวิจัยคือจำนวนทั้งหมดของสิ่งที่เราจะทำการศึกษาและตัวอย่างวิจัยคือจำนวนหนึ่งของสิ่งที่เราคัดเอามาเพื่อทำการศึกษาวิจัยตัวอย่างเช่นจำนวนนักศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชทั่วประเทศ 400,000
คน(ประชากรวิจัย) แต่เราคัดเลือกเอามาจากทั่วประเทศ 2000 คน(ตัวอย่างวิจัย) เพื่อทำการศึกษาหาบทสรุปเป็นคำตอบแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชทั้งหมด 2.3 ประเภทของการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ การวิจัยคือการแสวงหาคำตอบให้แก่คำถามหรือสมมติฐานที่ได้ตั้งเอาไว้
รวมถึงการแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ๆโดยอาศัยวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์การวิจัยนั้นสามารถแยกออกเป็นประเภทต่างๆได้หลายประเภททั้งนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักวิจัยว่าจะใช้อะไรเป็นฐานความคิด สำหรับการแบ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณนั้นเป็นการแบ่งตามลักษณะของการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นสำคัญ 2.3.1 การวิจัยเชิงคุณภาพ 2.3.2 การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพคือการศึกษาค้นคว้าที่ต้องการเน้นหรือสร้างความเข้าใจในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเจาะลึกและละเอียดถี่ถ้วนโดยมีเป้าหมายอยู่ที่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆขึ้นมาจากปรากฏการณ์ต่างๆทางสังคมและที่สำคัญการวิจัยเชิงคุณภาพนี้ผู้วิจัยจำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปผูกพันใกล้ชิดกับสิ่งที่ตนกำลังศึกษาอยู่ด้วยทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงแก่นสารของสิ่งที่กำลังศึกษาอยู่นั่นเองส่วนการวิเคราะห์และตีความข้อมูลนั้นจะใช้วิจารณญาณของผู้วิจัยเป็นสำคัญ หน่วยที่ 3
กรอบแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ 3.1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับกรอบแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ กรอบแนวคิดทฤษฎีเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้วิจัยทางรัฐศาสตร์ในการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ซึ่งมีความสลับซับซ้อน 3.1.1 ความหมายของกรอบแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ 3.1.2 ความสำคัญของกรอบแนวคิด
ทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ 3.1.3 ความสัมพันธ์ระหว่างกรอบแนวคิด ทฤษฎีกับการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ กรอบแนวคิดทฤษฎีเป็นกรอบการศึกษาวิจัยที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานความรู้ที่มีผู้ศึกษาไว้แล้วและ/หรือผู้วิจัยได้ประมวลและกำหนดขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์เฉพาะที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา 3.2 การสร้างกรอบแนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ ในการสร้างกรอบแนวคิดทฤษฎีมีที่มาจากหลายแหล่งเช่น ตัวผู้วิจัย และมีขั้นตอนในการสร้างที่เป็นระบบ 3.2.1 ที่มาของกรอบแนวคิด ทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ 3.2.2 กระบวนการสร้างกรอบแนวคิด ทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ วิธีการนำเสนอกรอบแนวคิด ทฤษฎีมีอย่างน้อย 3 วิธีได้แก่
การพรรณนา แบบจำลอง และแบบผสม หน่วยที่ 4 หลักและวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 4.1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ การวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ของการค้นคว้าแสวงหาความรู้แขนงหนึ่งที่มีลักษณะตัดขวาง
เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักวิจัยที่มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคม ที่มีลักษณะที่แตกต่างไปจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ 4.1.1 ความหมายและความสำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 4.1.2 ปรัชญาพื้นฐานของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 4.1.3 ปรากฏการณ์ที่การวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์สนใจศึกษา 4.1.4 หลักการและลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ การวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์หมายถึงการแสวงหาความรู้โดยพิจารณาปรากฏการณ์ทางการเมืองจาก “สภาพแวดล้อม” หรือ “บริบท” ตามความเป็นจริงทั้งนี้เพื่อหาความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ทางการเมืองกับ “สภาพแวดล้อม” หรือ “บริบท” 4.2 กระบวนการขั้นตอนการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ การวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์มีกระบวนการขั้นตอนการวิจัยเหมือนกับกระบวนการขั้นตอนของการวิจัยเชิงคุณภาพโดยทั่วไป ที่ประกอบไปด้วยการกำหนดหัวข้อหรือความเป็นมาของปัญหา กรอบแนวคิด ทฤษฎี วิธีวิจัย การตีความ การสร้างข้อสรุปและการนำเสนอผลงานวิจัย 4.2.1 บทบาทและจรรยาบรรณของนักวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 4.2.2
กรอบแนวคิด ทฤษฎี และสมมติฐานของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 4.2.3 หน่วยในการศึกษาของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 4.2.4การตีความ
การสร้างข้อสรุป และการนำเสนอผลงานการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ บทบาทของนักวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์มีมากกว่านักวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์นอกจากนี้ยังต้องคิดเกี่ยวกับปัญหาที่ทำการวิจัยหรือหัวข้อที่จะทำการวิจัยให้ทะลุปรุโปร่งละเอียดรอบคอบขณะเดียวกันต้องตระหนักว่าความรู้ความเข้าใจทางการเมืองทั้งหลายที่นักวิจัยระบุมานั้นต้องมีหลักฐานข้อมูลสนับสนุน 4.3 ปัญหาอุปสรรค และตัวอย่างของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ ปัญหาอุปสรรคของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ที่นำมากล่าวถึง จะกล่าวถึงเฉพาะปัญหาที่สำคัญสำคัญสำหรับตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ที่นำมากล่าวถึงได้แก่ เรื่อง “ความคิดทางการเมืองในสามก๊กและเจ้าผู้ปกครอง” 4.3.1 ปัญหาและอุปสรรคของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 4.3.2 ตัวอย่างของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ ปัญหาอุปสรรคของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์มีอยู่หลายประการ อาทิ ปัญหาทางการวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้างข้อสรุปทั่วไปในแง่ที่จะเป็นที่ยอมรับหรือน่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงไรทั้งนี้เพราะ “หน่วยในการศึกษา” หรือ “หน่วยในการวิเคราะห์” มีน้อยทำให้การวิเคราะห์หรืออธิบายปรากฏการณ์ตลอดจนการสร้างข้อสรุปทั่วไปของการวิจัยเป็นได้เฉพาะกรณีที่ศึกษาเท่านั้น หน่วยที่ 5 การออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 5.1 แนวคิดทั่วไปของการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ การออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการกำหนดกรอบการดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพอันจะนำไปสู่การได้มาซึ่งคำตอบที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาการวิจัยที่กำหนดขึ้น 5.1.1 ความหมายและความสำคัญของการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ 5.1.2ลักษณะของการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ 5.1.3 ขั้นตอนของการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ การออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพหมายถึงการวางแผนเพื่อกำหนดแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการแปรหรือการตีความข้อมูล โดยเน้นไปที่ความสัมพันธ์หรือปฏิสัมพันธ์เชิงการเมืองของบุคคลภายในชุมชนหรือภายในวัฒนธรรมหนึ่งๆ เพื่อความเข้าใจสภาพการณ์ที่เป็นอยู่จริงมากกว่าการคาดการณ์และการควบคุมโดยใช้วิธีการที่หลากหลายและแข็งแกร่ง อันจะนำไปสู่ความเข้าใจสิ่งที่ต้องการศึกษาในลักษณะขององค์รวม 5.2 การทดสอบความถูกต้องของการออกแบบการวิจัยคุณภาพ ความถูกต้องของการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพสามารถกระทำได้โดยการใช้เกณฑ์การทดสอบรวมทั้งสามารถที่จะเพิ่มความถูกต้องให้สูงขึ้นได้ด้วยวิธีการที่เหมาะสม 5.2.1 เกณฑ์การทดสอบความถูกต้องของการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ 5. 2.2 วิธีการเพิ่มความถูกต้องของการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ เกณฑ์การทดสอบความถูกต้องของการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ 5.3 ประเภทของการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ การออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพที่สำคัญ ได้แก่ การออกแบบการวิจัยกรณีศึกษา การออกแบบการวิจัยเชิงพรรณนา การออกแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติ รายการออกแบบการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา 5.3.1
การออกแบบการวิจัยกรณีศึกษา 5.3.2 การออกแบบการวิจัยเชิงพรรณนา 5.3.3 การออกแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติ 5.3.4 การออกแบบการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณา สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาในการออกแบบการวิจัยกรณีศึกษาได้แก่ หน่วยที่ 6 การเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 6.1 ลักษณะของข้อมูลและจุดเน้นของการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ ลักษณะของข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์มีลักษณะดังต่อไปนี้ 6.1.1 ลักษณะของข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 6.2.2
จุดเน้นของการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ ลักษณะของข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 6.2 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ที่สำคัญสำคัญได้แก่ การสังเกตหรือการสังเกตการณ์ การสัมภาษณ์ และการใช้ข้อมูลจากเอกสาร 6.2.1 การสังเกตการณ์ 6.2.2 การสัมภาษณ์ 6.2.3 การใช้ข้อมูลจากเอกสาร การสังเกตการแบบมีส่วนร่วมหรือที่เรียกว่าการสังเกตภาคสนามหรือการสังเกตเชิงคุณภาพเป็นการสังเกตที่ตัวผู้สังเกตต้องเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มคนที่ถูกศึกษาในแง่ของการมีกิจกรรมร่วมกันมีการกระทำกิจกรรมด้วยกันขณะเดียวกันพยายามให้คนในชุมชนหรือในสังคมการเมืองที่ศึกษายอมรับว่าผู้สังเกตมีสถานภาพและบทบาทเช่นเดียวกับตน 6.3 เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลและการทดสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อถือได้ของเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ได้แก่ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แต่ไม่ว่าจะใช้เครื่องมืออะไรต้องมีการทดสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อถือได้ของเครื่องมือนั้นๆ 6.3.1 เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 6.3.2 การทดสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อถือได้ของเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 6.4 ปัญหาอุปสรรค และตัวอย่างวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ ได้แก่ ความไม่น่าเชื่อถือของการเก็บรวบรวมข้อมูลทำให้การค้นพบบางครั้งยากต่อการประเมิน ประการต่อมา การเก็บรวบรวมข้อมูลทำได้ค่อนข้างยาก เพราะข้อมูลที่เก็บรวบรวมเป็นการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความเชื่อ ความหมายทางการเมือง ดังนั้นเวลาเก็บรวบรวมข้อมูลจำต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเป็นต้น สำหรับตัวอย่างการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ที่นำมากล่าวถึง นำมาจากงานวิจัยเรื่องกลุ่มพลังประชาธิปไตย: บทบาทในการผลักดันนโยบายการปฏิรูปการเมืองพ. ศ. 2536 – 2538 6.4.1
ปัญหาอุปสรรคในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 6.4.2 ตัวอย่างวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ ปัญหาอุปสรรคในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ได้แก่ ความไม่น่าเชื่อถือของการเก็บรวบรวมข้อมูล ความยากในการเก็บข้อมูล เนื่องจากการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์เป็นการเก็บข้อมูลประเภทความคิด ความเชื่อ
ความหมายทางการเมืองเป็นต้น หน่วยที่7 การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 7.1 ลักษณะและกระบวนการในการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์มีลักษณะดังนี้ เป็นการจำแนกหมวดหมู่ของข้อมูลให้เป็นระบบ ต้องวิเคราะห์ข้อมูลในขณะที่เก็บในพื้นที่ ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ควรเป็นข้อมูลที่มีลักษณะเป็นข้อความหรือการพัฒนาที่บรรยายให้เห็นสภาพของปรากฏการณ์ทางการเมือง ประเทศกระบวนการขั้นตอนของเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น เป็นต้น สำหรับกระบวนการในการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์มีอยู่หลายขั้นตอน 7.1.1 ลักษณะของการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร 7.1.2 กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ ลักษณะของการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์เป็นกระบวนการที่กระทำซ้ำกลับไปกลับมาระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูลกับการวิเคราะห์
เป็นกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เป็นการจำแนกหมวดหมู่ของข้อมูลให้เป็นระบบ และต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลขณะที่เก็บในพื้นที่ เป็นต้น 7.2 หน่วยและระดับในการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ หน่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ได้แก่ บุคคลจนกระทั่งถึงรัฐบาลของแต่ละประเทศ ระบอบการเมือง เป็นต้น สำหรับระดับการวิเคราะห์จะมีตั้งแต่ระดับรัฐบาล ระดับประเทศ จนกระทั่งระดับทวีป 7.2.1
หน่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 7.2.2 ระดับในการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ หน่วยการวิเคราะห์ข้อมูลทางการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ไม่จำกัดเฉพาะบุคคล แต่อาจขยายไปถึงรัฐบาล คะแนนที่หน่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐประศาสนศาสตร์จะอยู่ที่บุคคล ฉันอาจจะเป็นข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น หน่วยที่ 8 หลักและวิธีการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ 8.1 รากฐานทางปรัชญาของการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ ได้แก่ ปรัชญาปฏิฐานนิยม โดยเฉพาะปรัชญาปฏิฐานนิยมเชิงตรรกวิทยาซึ่งพยายามทำให้ปัดยาเป็นวิทยาศาสตร์ และมีการนำวิธีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มาใช้ศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคม สำหรับรัฐศาสตร์ก็คือการนำกระบวนการวิจัยเชิงปริมาณมาใช้ 8.1.1
หลักปรัชญาปฏิฐานนิยม(Positivism) และปฏิฐานนิยมเชิงตรรกวิทยา (Logical Positivism) 8.1.2 วิทยาศาสตร์และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ 8.1.3 วิธีการทางวิทยาศาสตร์กับการทำวิจัย –
หลักปรัชญาปฏิฐานนิยมเน้นการนำเอาวิธีการเชิงประจักษ์มาใช้ในการศึกษาสังคม ศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริงหรือปรากฏการณ์ต่างๆซึ่งจะช่วยทำให้สามารถค้นหากฎหรือทฤษฎีที่อธิบายความสัมพันธ์เหล่านั้น 8.2 หลักการสำคัญของการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ การออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณเป็นการนำขั้นตอนของวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อตอบปัญหาวิจัยในการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณจะต้องคำนึงถึงหลักการที่สำคัญคือ หลักความแปรผันร่วม และหลักการควบคุมความแปรปรวน 8.2.1 ความหมายและความสำคัญของการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ 8.2.2หลักความแปรผันร่วม 8.2.3 หลักการควบคุมความแปรปรวน ความสำคัญการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณสำหรับการแสวงหาความรู้ทางรัฐศาสตร์คือช่วยในการศึกษาวิจัยปรากฏการณ์ทางการเมืองโดยการสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ทางการเมืองเพื่อสร้างทฤษฎีที่น่าสนใจและสามารถให้คำอธิบายแก่ปรากฏการณ์ทางการเมืองได้อย่างครอบคลุมกว้างขวางมีการร่างทฤษฎีย่อยๆเพื่อนำไปให้คำอธิบายหรือคำทำนายปรากฏการณ์ย่อยย่อยอื่นๆที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันได้ 8.3 กระบวนการที่สำคัญของการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ คือการกำหนดสมมติฐานวิจัย และการสร้างคำนิยามเชิงปฏิบัติการให้แก่ตัวแปร 8.3.1 การกำหนดสมมติฐานวิจัย 8.3.2 ตัวแปรและการสร้างคำนิยามเชิงปฏิบัติการให้แก่ตัวแปร การกำหนดสมมติฐานวิจัยคือการกำหนดคำตอบที่ผู้วิจัยต้องทำการพิสูจน์หลังจากนักวิจัยกำหนดปัญหาวิจัยแล้วสมมติฐานที่ดีควรมีลักษณะ 6 ประการคือ หน่วยที่ 9 การออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ 9.1 แนวคิดทั่วไปของการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ การออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณเป็นการกำหนดกรอบการดำเนินการวิจัยเพื่อช่วยทำให้ได้มาซึ่งคำตอบของปัญหาการวิจัยอย่างถูกต้อง 9.1.1 ความหมายและความสำคัญของการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ 9.1.2 ลักษณะของการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ 9.1.3 ขั้นตอนของการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ การออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณหมายถึงการวางแผนหรือการกำหนดโครงสร้างของกิจกรรมที่ต้องกระทำในการวิจัยโดยครอบคลุมประเด็นสำคัญตั้งแต่การกำหนดกรอบแนวคิดที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลความข้อมูล โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของปัญหาในการวิจัย 9.2 การทดสอบความถูกต้องของการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ ความถูกต้องของการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณสามารถกระทำได้โดยการใช้เกณฑ์การทดสอบรวมทั้งสามารถที่จะเพิ่มความถูกต้องให้สูงขึ้นได้ด้วยวิธีการที่เหมาะสม 9.2.1 เกณฑ์การทดสอบความถูกต้องของการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ 9.2.2 วิธีการเพิ่มความถูกต้องของการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ เกมที่นำมาใช้เพื่อยืนยันความถูกต้องของการออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณได้แก่ หน่วยที่ 10 การเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ 10.1 ลักษณะของข้อมูลและจุดเน้นของการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ ข้อมูลเชิงปริมาณคือข้อมูลเป็นตัวเลขที่ผู้วิจัยสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ทางสถิติต่อไปได้อย่างมีคุณภาพดีมีความเชื่อถือได้สูงนักวิจัยควรคำนึงถึงจุดเน้นของการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณโดยเฉพาะการเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมินอกจากนี้ผู้วิจัยยังควรพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเก็บข้อมูลกับขั้นตอนอื่นๆของการวิจัยด้วย 10.1.1 ลักษณะของข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ 10.1.2 จุดเน้นของการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ ข้อมูลเชิงปริมาณคือข้อมูลเป็นตัวเลขที่ผู้วิจัยสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ทางสถิติต่อไปได้คำว่า”ปริมาณ”
ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่จำนวนโดยไม่มีคุณภาพแต่หมายถึงข้อมูลเป็นตัวเลขที่อาจได้มาอย่างมีคุณภาพดีและมีความเชื่อถือได้สูง 10.2วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์มีหลายวิธีเช่น การสัมภาษณ์ การซักถามกลุ่มหรือการสนทนากลุ่ม การสังเกต การใช้แบบสอบถาม และการทดลอง นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีส่วนช่วยนักวิจัยในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณอย่างมาก โดยเฉพาะปัจจุบันมีการใช้ “ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์” (Geographic information System :GIS) 10.2.1 การสัมภาษณ์ 10.2.2 การซักถามหรือการสนทนากลุ่ม 10.2.3 การสังเกต 10.2.4 การใช้แบบสอบถาม 10.2.5 การทดลอง 10.2.6 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ การสัมภาษณ์อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท 10.3 เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลและการทดสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อถือได้ของข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ นักวิจัยทางรัฐศาสตร์ไม่สามารถซื้อหาเครื่องมือวัดสำเร็จรูปจากท้องตลาดได้ดังเช่นนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในการวัดค่าตัวแปรทางสังคมและการเมืองจึงต้องจัดทำเครื่องมือขึ้นมาใช้เองโดยต้องประดิษฐ์ให้เหมาะสมต่อสภาพข้อมูล ให้มีความเที่ยงตรง ให้มีความเชื่อถือได้ และการให้ความหมายสะท้อนค่าความเป็นจริง รวมทั้งมีความสะดวกต่อการใช้สอย แบบสอบถาม คือเครื่องมือวิจัยชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยม ที่อาจสร้างขึ้นโดยอาศัยมาตรวัดและดัชนี อย่างไรก็ตามข้อมูลที่ได้จากการวัดค่าตัวแปรใดๆหากปราศจากซึ่งความเที่ยงตรงและความเชื่อถือได้ข้อมูลที่วัดได้ก็ไร้ความหมาย ทำให้นักวิจัยเข้าใจผิดในสาระที่เป็นจริง 10.3.1 แบบสอบถาม 10.3.2 มาตรวัด ดัชนี 10.3.3 การทดสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อถือได้ของข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ สาเหตุที่นักวิจัยทางรัฐศาสตร์ต้องสร้างแบบสอบถามขึ้นด้วยตนเองเนื่องจากนักวิจัยทางรัฐศาสตร์ไม่สามารถซื้อหาเครื่องมือวัดสำเร็จรูปจากท้องตลาดได้ดั่งเช่นนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในการวัดค่าตัวแปรทางสังคมและการเมืองนักวิจัยต้องจัดทำแบบสอบถามหรือเครื่องมืออื่นอ้ายขึ้นมาใช้เองโดยต้องประดิษฐ์ให้เหมาะสมต่อสภาพข้อมูลให้มีความเที่ยงตรงความน่าเชื่อถือและการให้ความหมายสะท้อนค่าความเป็นจริงรวมทั้งมีความสะดวกต่อการใช้สอย 10.4 ปัญหาอุปสรรคและตัวอย่างการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ การรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์อาจเกิดปัญหาอุปสรรคที่มีสาเหตุมาจากองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูล 3 มุมมอง กล่าวคือ ด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ด้านเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และด้านผู้เก็บรวบรวมข้อมูล 10.4.1 ปัญหาอุปสรรคของการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ 10.4.2 ตัวอย่างการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ ปัญหาอุปสรรคของการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ หน่วยที่ 11 การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ 11.1 สมมติฐานและการทดสอบสมมติฐาน สมมติฐานสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์มี 2 ประเภทคือสมมติฐานวิจัยและสมมติฐานทางสถิติการทดสอบว่าสมมติฐานวิจัยที่ตั้งไว้ถูกต้องหรือไม่คือการทดสอบความมีนัยยะสำคัญทางสถิตินอกจากนี้ยังต้องมีการคำนวณค่าความเข้มแข็งและทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร การทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติและการวัดความเข้มข้นของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสามารถใช้ค่าสถิติได้หลายตัวทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับการวัดตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม 11.1.1 สมมติฐานวิจัยและสมมติฐานทางสถิติ 11.1.2 การทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติ 11.1.3 มาตรวัดความเข้มแข็งของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร สมมติฐานสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์มี 2 ประเภทคือ 11.2 การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตาราง การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตารางเป็นการนำเสนอข้อมูลที่สามารถนำเสนอข้อมูลให้เห็นได้ชัดเจนและสามารถพรรณนาได้ชัดเจนว่าตัวแปรทั้งสองตัวแปรมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และสามารถเลือกใช้สถิติที่ทดสอบความมีนัยสำคัญ และสถิติที่บอกความเข้มแข็งของความสัมพันธ์ที่ไม่ซับซ้อนและง่ายแก่การทำความเข้าใจการทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติมีหลายวิธี เช่น การทดสอบความมีนัยสำคัญด้วยการทดสอบไค-สแควร์และ เคนดอลล์ เทาซี 11.2.1 การสร้างตารางคูณไขว้ 11.2.2 การทดสอบความมีนัยสำคัญทางสถิติด้วยการทดสอบไค-สแควร์ 11.2.3 การทดสอบความมีนัยสำคัญของเคนดอลล์ เทา-ซี (Kendall’s tau-c) การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตารางคูณไขว้คือการนำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในรูปของเมทริกซ์ในกรณีที่ตัวแปรอิสระและตัวแปรตามวัดด้วยมาตราวัดน้ำมาตราหรือลำดับมาตราและถ้าตัวแปรทั้ง 2 ตัวหรือตัวใดตัวหนึ่งวัดด้วยมาตรวัดช่วงมาตราก็สามารถหยิบให้เป็นมาตรวัดลำดับมาตราแล้วจึงนำเสนอโดยการใช้ตารางคูณไขว้ 11.3 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยไม่ใช้ตารางคูณไขว้ 11.4 การวิเคราะห์ข้อมูลที่ประกอบด้วยตัวแปรหลายตัวและตัวอย่างการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ประกอบด้วยตัวแปรหลายตัวอาจทำโดยการใช้ตารางคูณไขว้หรือโดยไม่ใช้ตารางคูณไขว้ก็ได้ 11.4.1การวิเคราะห์ข้อมูลที่ประกอบด้วยตัวแปรหลายตัวโดยการใช้ตารางคูณไขว้ 11.4 .2วิเคราะห์ข้อมูลที่ประกอบด้วยตัวแปรหลายตัวโดยไม่ใช้ตารางคูณไขว้ 11.4 . 3 ตัวอย่างการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ที่นำเสนอคือ รายงานวิจัยเรื่อง “ทัศนคติของข้าราชการส่วนภูมิภาคต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทย” การวิเคราะห์ข้อมูลที่ประกอบด้วยตัวแปรหลายตัวโดยการใช้ตารางคูณไขว้จะทำให้สามารถหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตามโดยการนำเอาตัวแปรที่ 3
มาทำการควบคุมการควบคุมตัวแปรภายนอกในขณะที่หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตามจะทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่าความสัมพันธ์หรือไม่สัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามเป็นสภาวะเทียมหรือไม่เป็นความสัมพันธ์ทางอ้อมหรือไม่และยังสามารถตรวจสอบได้ว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์เชิงเงื่อนไขหรือไม่และเป็นเงื่อนไขในรูปแบบใด หน่วยที่ 12 การเปรียบเทียบการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ 12.1 ลักษณะเด่นของการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ การวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณต่างมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันไปซึ่งอาจมีการเปรียบเทียบกันในหลายด้านแต่ละลักษณะเด่นและข้อเสียของแต่ละประเภทต่างก็ช่วยเกื้อกูลกันและมักมีการใช้ผสมผสานกันเพื่อลดข้ออ่อนด้อยให้ถึงพร้อมซึ่งความสมบูรณ์ของการวิจัย 12 . 1.1 ลักษณะเด่นของการวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 12.1.2 ลักษณะเด่นของการวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ 12.1.3 การเปรียบเทียบลักษณะเด่นของการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ 12.1.4 การผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ ลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพมีดังต่อไปนี้ 12.2 ความแตกต่างระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ ความแตกต่างของการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์มีหลายด้าน ได้แก่ ปรัชญาพื้นฐานและหน่วยในการศึกษา วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การตีความปรากฏการณ์ทางสังคมและการนำเสนอผลงาน 12.2.1 ความแตกต่างด้านปรัชญาพื้นฐานและหน่วยในการศึกษา 12.2.2ความแตกต่างด้านวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 10 2.2.3 ความแตกต่างด้านการวิเคราะห์ข้อมูล 12.2.4 ความแตกต่างด้านการตีความปรากฏการณ์ทางสังคมและการนำเสนอผลงาน การวิจัยเชิงคุณภาพเน้นการศึกษาภายใต้ปรัชญา “ปรากฏการณ์วิทยา” (phenomenology)และมีหน่วยในการศึกษาเป็น
“ปรากฏการณ์ทางการเมืองต่างๆ” ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณเน้นการศึกษาภายใต้ปรัชญา “ปฏิฐานนิยมเชิงตรรกะ” (logical ppositivism) และมีหน่วยในการศึกษาเป็น “พฤติกรรมทางการเมืองของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล” 12.3 ข้อดี ข้อเสีย และตัวอย่างงานวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ การวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณต่างมีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งสิ้นการวิจัยแบบใดจะมีความเหมาะสมต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และลักษณะของข้อมูลที่ศึกษา 12.3.1 ข้อดีข้อเสียของการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ 12.3.2 ตัวอย่างงานวิจัยเชิงคุณภาพในทางรัฐศาสตร์ 12.3.3 ตัวอย่างงานวิจัยเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ 12.3.4 ตัวอย่างงานวิจัยกึ่งเชิงคุณภาพและเชิงเชิงปริมาณในทางรัฐศาสตร์ หากพิจารณาการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณในแง่มุมต่างๆสรุปเป็นข้อดีและข้อเสียของการวิจัยแต่ละประเภทได้ดังนี้ หน่วยที่ 13 แหล่งข้อมูลการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ 13.1 แนวคิดและความสำคัญเกี่ยวกับข้อมูลการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ ข้อมูลการวิจัยในทางรัฐศาสตร์เป็นฐานสำคัญของการแสวงหาความรู้หรือหาคำตอบให้กับคำถามหรือสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการคำถามข้อมูลจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการที่จะนำไปสู่การเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆทางการเมืองและการสร้างองค์ความรู้ในทางรัฐศาสตร์ 13.1.1 แนวคิดเกี่ยวกับข้อมูลการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ 13.1.2 ความสำคัญของข้อมูลการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิในการวิจัยทางรัฐศาสตร์ หน่วยที่ 14 การเขียนโครงการและรายงานการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ 14.1 การเขียนโครงการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ การเขียนโครงการวิจัยจัดเป็นขั้นตอนแรกของการทำวิจัยเป็นการเขียนรายละเอียดที่ชี้ทิศทางและขั้นตอนในการดำเนินการวิจัยเพื่อให้ผู้วิจัยดำเนินการจนบรรลุจุดมุ่งหมายของโครงการวิจัยที่ได้กำหนดไว้ 14 .1.1 แนวคิดและหลักการของการเขียนโครงการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ 14.1.2 โครงสร้างและวิธีการเขียนโครงการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ โครงการวิจัยคือแผนงาน โครงสร้าง และวิธีการทำวิจัยที่ได้กำหนดหรือวางแนวทางไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะดำเนินการวิจัยซึ่งจะช่วยชี้ทิศทางและขั้นตอนของการดำเนินงานวิจัยตั้งแต่ต้นจนจบ 14.2 แนวคิด หลักการ และโครงสร้างรายงานการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ การเขียนโครงการวิจัยจะต้องยึดรูปแบบและวิธีการตามที่หน่วยงานหรือผู้พิจารณาโครงการจะเป็นผู้กำหนดรายละเอียดโดยทั่วไปการเขียนโครงการวิจัยจะมีโครงสร้าง 3 ส่วนคือ โครงสร้างส่วนหน้า โครงสร้างส่วนระเบียบวิธีวิจัยหรือวิธีดำเนินการวิจัย และโครงสร้างส่วนเสริม 14.2.1 ความหมาย วัตถุประสงค์ และหลักของการเขียนรายงานการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ 14.2.2 ประเทศและโครงสร้างรายงานการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ รายงานการวิจัยเป็นกระบวนการสื่อสารที่จะสะท้อนให้ทราบถึงรายละเอียดกระบวนการขั้นตอนแต่ละขั้นตอนที่ได้มีการดำเนินการเพื่อแสวงหาคำตอบให้กับคำถามหรือโจทย์ของการวิจัยที่ได้กำหนดไว้เพื่อให้สามารถนำคำตอบหรือสิ่งที่ค้นพบมาใช้อ้างอิงหรือเป็นหลักฐานที่สามารถนำไปตรวจสอบความถูกต้องหรือนำไปใช้ให้ก่อเกิดประโยชน์ต่อไป หลักสำคัญของการเขียนรายงานการวิจัยในทางรัฐศาสตร์คือ ขั้นตอนในการเขียนรายงานการวิจัยในทางรัฐศาสตร์คือการเขียนโครงสร้างรายงานการวิจัยการเขียนร่างรายงานวิจัยครั้งแรก การตรวจสอบ และวิจารณ์ และการเขียนรายงานขั้นสุดท้าย การแบ่งประเภทของรายงานการวิจัยมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับเหตุผลของการแบ่งเช่น โครงสร้างรายงานความก้าวหน้าของการวิจัยมี 2 ส่วนคือ ส่วนนำ(ประกอบด้วยชื่อโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการ ระยะเวลาดำเนินการวิจัย งบประมาณ ช่วงระยะเวลาที่รายงาน) และส่วนเนื้อหา (ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ของโครงการ ผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว) โครงสร้างรายงานการวิจัยแบบเขียนเป็นบทความลงพิมพ์ในวารสารประกอบด้วย ชื่อเรื่องของโครงการวิจัย ชื่อผู้ทำวิจัย หน่วยงานที่สังกัด แหล่งหรือสถาบันที่ให้เงินทุนสนับสนุนการทำวิจัย ปีที่ทำการวิจัย ความงามหรือบทนำ วิธีดำเนินการวิจัย ผลการวิจัย การอภิปรายผลการวิจัย สรุปผล และข้อเสนอแนะ เอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม 14.3 วิธีการเขียนรายงานการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ โครงสร้างของการเขียนรายงานการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ โครงสร้างส่วนนำ โครงสร้างส่วนเนื้อหา ร้านโครงสร้างส่วนเสริม 14.3.1 วิธีการเขียนรายงานการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ส่วนนำ 14.3.2 วิธีการเขียนรายงานการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ส่วนเนื้อหา 14.3.3 วิธีการเขียนรายงานการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ส่วนเสริม การเขียนบทคัดย่อคือการเขียนข้อความสรุปสาระหรือเนื้อหาสำคัญของการวิจัยที่จะทำให้ผู้อ่านทราบถึงเนื้อหาของการวิจัยได้อย่างรวดเร็วโดยจะต้องเขียนให้ครอบคลุมประเด็นสําคัญคือวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยโดยสังเขป ขั้นตอน วิธีการดำเนินการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผลการศึกษา วิธีการเขียนเชิงอรรถมี 2 วิธีคือการเขียนเชิงอรรถแบบที่เขียนแยกออกจากเนื้อเรื่อง และการเขียนเชิงอรรถแบบแทรกปนเนื้อหา บรรณานุกรมมี 3 ประเภทคือ บรรณานุกรมสมบูรณ์ บรรณานุกรมเลือกสรร และบรรณานุกรมแบบอ้างอิง หน่วยที่ 15 การวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทย 15.1 พัฒนาการและสภาพการวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทย การวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทยพัฒนาการควบคู่มากับการเปลี่ยนแปลงทางรัฐศาสตร์ที่มีการจัดการเรียนการสอนโดยสถาบันอุดมศึกษาของรัฐไทยมาเป็นเบื้องต้น แล้วยังคงเป็นสถาบันการศึกษารัฐศาสตร์ที่สำคัญในยุคปฏิรูปการเมืองไทยจนถึงปัจจุบัน การวิจัยทางรัฐศาสตร์ส่วนใหญ่จึงเป็นงานเกี่ยวกับการเรียนการสอนของหลักสูตรรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยของรัฐเป็นสำคัญ โดยหลักสูตรจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะสอดคล้องกับสภาพการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย และอิทธิพลของสังคมโลก 15.1.1 พัฒนาการของการวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทย 15.1.2 สถานภาพของการวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทย การวิจัยทางด้านรัฐศาสตร์ในยุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคมพ. ศ. 2516 ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงก้าวหน้ามากขึ้น 15.2 ทิศทางและประเด็นของการวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทย ประเด็นของการวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทยนอกจากจะมุ่งเน้นเพื่อการผลิตตำราและหนังสือทางรัฐศาสตร์และประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายและการบริหารงานภาครัฐที่มีมาตั้งแต่เริ่มต้นมีหลักสูตรและการเรียนการสอนตามหลักสูตรรัฐศาสตร์สมัยใหม่แล้ว เมื่อสถานการณ์ของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากสังคมโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคมพ. ศ. 2516 มาจนถึงยุคโลกาภิวัตน์ ประเด็นการวิจัยก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ทิศทางการวิจัยทางรัฐศาสตร์จึงมีแนวทางไปสู่การตอบปัญหาต่างๆทางการเมืองมากขึ้น 15 .2.1 ทิศทางของการวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทย 15.2.2 ประเด็นของการวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทย การที่จะทำให้การวิจัยทางรัฐศาสตร์เกิดคุณค่าต่อสังคมจนส่งผลให้การวิจัยทางรัฐศาสตร์มีทิศทางที่เข้มแข็งมากขึ้นผู้วิจัยและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งผู้ให้เงินทุนสนับสนุนต้องเอาใจใส่อย่างจริงจังต้องให้อิสระทางวิชาการในการวิจัยอย่างเต็มที่และต้องมีการนำเอาผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง 15.3 การใช้ประโยชน์ อุปสรรค แนะแนวโน้มของการวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทย ในระยะเริ่มต้น การใช้ประโยชน์ในการวิจัยทางรัฐศาสตร์จะเน้นสนองตอบต่อการเรียนการสอนตามหลักสูตรของแต่ละสถาบันเป็นหลัก ในระยะต่อมาจึงมีการนำไปใช้ประโยชน์กว้างขวางขึ้น รวมทั้งการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในบางด้าน อย่างไรก็ตามการวิจัยทางรัฐศาสตร์มีอุปสรรคหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ด้านเงินทุน แนวโน้มของการวิจัยรัฐศาสตร์ในประเทศไทยคาดว่าจะมีกว้างขวางมากขึ้นตามลำดับ แม้นว่าจะมีอุปสรรคอยู่มากก็ตาม 15.3.1การใช้ประโยชน์จากการวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทย 15.3.2 อุปสรรคของการวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทย 15.3.3 แนวโน้มของการวิจัยทางรัฐศาสตร์ในประเทศไทย บริจาคเพื่อเป็นกำลังใจให้เจ้าของบล็อคได้นะคะ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงคร่าาา |