น้ำมูกเขียว (ไซนัสอักเสบ) เมื่อไรต้องให้ยาปฏิชีวนะ ? “ลูกมีน้ำมูกเขียวต้องกินยาฆ่าเชื้อแล้วล่ะ!” “น้ำมูกเขียวแสดงว่าเป็นไซนัสอักเสบสงสัยต้องกินยาฆ่าเชื้อแล้ว!” คิดว่าคุณพ่อคุณแม่หลายคนคงเคยอ่านหรือได้ยินได้ฟังแบบนี้มาบ้าง ว่าแต่น้ำมูกเขียวแปลว่าต้องกินยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะจริงหรือไม่ ? ลองอ่านบทความนี้เพื่อไขข้อข้องใจกันค่ะ น้ำมูกเขียวเกิดจากอะไร ? เยื่อจมูกอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ภูมิแพ้ หรือเกิดจากการติดเชื้อทั้งไวรัสและแบคทีเรีย เมื่อมีการอักเสบของเยื่อจมูกจะทำให้เยื่อบุโพรงจมูกบวมและมีสารคัดหลั่งหรือน้ำมูกเพิ่มขึ้นกว่าปกติ ในรายที่มีการติดเชื้อจะมีเม็ดเลือดขาวมาทำหน้าที่ดักจับทำลายเชื้อโรคโดยส่วนที่เหลือของเม็ดเลือดขาวจะมีการออกซิไดซ์ทำให้น้ำมูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือเหลือง ดังนั้นการที่น้ำมูกเปลี่ยนสีจึงไม่ได้บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียและไม่ใช่ข้อบ่งชี้ในการให้ยาปฏิชีวนะ เช่นเดียวกับการมีน้ำมูกเขียวไม่ได้หมายความว่าเป็นไซนัสอักเสบเสมอไป การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยประวัติและอาการแสดงทางคลินิกอื่นๆร่วมด้วย บทความนี้จะขอกล่าวเกี่ยวกับโรคไซนัสอักเสบในแง่อาการทางคลินิก การวินิจฉัยและการรักษาพอสังเขป ดังนี้ โรคไซนัสอักเสบ หมายถึง การอักเสบและการติดเชื้อของเยื่อบุโพรงจมูกและโพรงอากาศข้างจมูก แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
อาการและอาการแสดงของไซนัสอักเสบ อาการหลักที่พบบ่อย ได้แก่ อาการคัดหรือแน่นจมูก มีน้ำมูกไหลออกมาทางรูจมูกด้านหน้าหรือไหลลงคอ มีอาการปวดหรือแน่นบริเวณใบหน้า มีการรับกลิ่นเสียไป มีไข้ (ในไซนัสอักเสบเฉียบพลัน) และบางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ ปวดหู ปวดฟัน ไอ เป็นต้น การวินิจฉัย การวินิจฉัยไซนัสอักเสบวินิจฉัยจากอาการแสดงทางคลินิกเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องทำการถ่ายภาพรังสีหรือเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ยกเว้นในรายที่สงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน สำหรับการส่งเพาะเชื้ออาจทำในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการให้ยาต้านจุลชีพหรือสงสัยเชื้อดื้อยา การรักษา
ภาวะแทรกซ้อนจากไซนัสอักเสบ
อาการที่ควรสงสัยไซนัสอักเสบเฉียบพลันจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ ไข้หวัดที่อาการไม่ดีขึ้นนานกว่า 10 วัน หรืออาการกลับแย่ลงทั้งที่อาการเคยทุเลาลงแล้ว หรือมีอาการรุนแรงตั้งแต่แรก ได้แก่ ไข้สูงร่วมกับน้ำมูกข้นหรือปวดใบหน้าติดต่อกันเกิน 3-4 วันตั้งแต่เริ่มป่วย รวมถึงมีอาการที่สงสัยภาวะแทรกซ้อนจากไซนัสอักเสบทางตาและทางสมองดังกล่าวข้างต้น ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงแบบนี้ หลายคนก็จะเริ่มมีอาการคัดจมูกโดยมีสาเหตุมาจากการแพ้อากาศ ซึ่งก็ชวนให้น่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง เพราะบางครั้งก็หายใจไม่ออก บางครั้งก็น้ำมูกไหลตลอดทั้งวัน จะทำอะไรก็ไม่สะดวกถ้าไม่เอาทิชชู่อุดจมูกไว้ข้างหนึ่ง เราจึงขอแนะนำวิธีรักษาอาการคัดจมูกแบบง่าย ๆ ที่ได้ผลดีมาฝากกัน 1.ล้างจมูกด้วยเบกกิ้งโซดา นำเกลือไอโอดีน 3 ช้อรโต๊ะ ผสมกับน้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง แล้วเดิมเบกกิ้งโซดา (ผงฟู) ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ คนให้ทุกอย่างละลายแล้วใช้หลอดไซริงค์ดูดขึ้นมาเพื่อนำไปล้างจมูก เกลือและเบกกิ้งโซดาจะทำหน้าที่ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่อยู่ภายในจมูก จึงทำให้น้ำมูกหยุดไหลได้ไประยะหนึ่ง และทำให้หายใจได้สะดวก เมื่อใดก็ตามที่คัดจมูก ควรใช้สูตรนี้ล้างจมูกอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง 2.จิบชาร้อนๆ ให้จิบชาเขียวร้อน หรือชาดำร้อนที่ผสมด้วยน้ำผึ้งและมะนาวอย่างละ 1 ช้อนชา ไปเรื่อย ๆ ทั้งวัน มะนาวและน้ำผึ้งจะทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อหวัดและเชื้อแบคทีเรียออกจากร่างกาย จึงช่วยให้อาการสามารถทุเลาลงได้ ส่วนความร้อนของชาก็จะช่วยให้ร่างกายเกิดความสบายตัวยิ่งขึ้น และยังช่วยขยายหลอดเลือดในโพรงจมูกทำให้หายใจโล่งกว่าเดิม 3.ทานวิตามินซี อาการป่วยของร่างกายในบางครั้ง อาจเกิดจากการที่ภูมิต้านทานไม่สามารถทำงานได้ตามปกติเพราะขาดวิตามินซี เพราะฉะนั้นเมื่อไรก็ตามที่เกิดการเป็นหวัดหรือคัดจมูกขึ้น ให้ทานอาหารที่มีส่วนผสมของวิตามินซีในปริมาณสูง เช่น ส้ม สตรอเบอร์รี่ บล็อคโคลี่ หรือจะซื้อวิตามินซีที่เป็นอาหารเสริมมาทานเลยก็จะได้ผลเร็วยิ่งขึ้น 4.รักษาด้วยหอมแดง กำลังจะเข้านอน แต่อาการคัดจมูกก็มารบกวนจนนอนไม่หลับ โดยเฉพาะอาการหายใจไม่ออก ให้นำหอมแดงไปล้างให้สะอาดแล้วบุบให้พอแตก ใส่ถ้วยเล็ก ๆ ไปวางไว้ที่หัวนอน กลิ่นของหอมแดงจะช่วยให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น และช่วยหยุดการไหลของน้ำมูกได้ 5.พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่มียาไหนที่จะวิเศษไปกว่าการที่ร่างกายของเราได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้หลั่งฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ ออกมาต้านทานเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส และถ้าอยากให้หายเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม ก็ควรออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเสริมการทำงานของภูมิต้านทานให้แข็งแรง เมื่อไรก็ตามที่เริ่มมีสัญญาณเตือนของอาการคัดจมูก เช่น การจามตลอดทั้งวัน ก็เตรียมตัวรักษาตัวเองด้วยวิธีการต่าง ๆ เหล่านี้ได้เลย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทนหงุดหงิดกับอาการที่จะเริ่มรุนแรงขึ้นในวันต่อ ๆ ไป |