ประวัติ ผู้ แต่ง เจ้าชายน้อย

ประวัติ ผู้ แต่ง เจ้าชายน้อย

“เป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่เป็นการลืมวัยเด็กซะมากกว่า”

เจ้าชายน้อย หรือ The Little Prince เป็นวรรณกรรมคลาสสิกชื่อดังจากฝรั่งเศส ด้วยเนื้อหาที่ให้แง่คิดที่ลึกซึ้ง ใครอ่านมาก็ต้องไปนั่งคิดจินตนาการต่อ ทำให้วรรณกรรมเรื่องนี้กลายเป็นหนังสือขึ้นหิ้งในตำนานของคนหลายๆคน และหลายๆมหาวิทยาลัยก็ได้นำไปใช้สอนประกอบหลักสูตร

อย่างผมเองก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับเรื่อง The Little Prince ครั้งแรก ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 ในคลาส Innovation Management ซึ่งพอได้อ่านจบก็มีความรู้สึกประทับใจมาก และได้ตั้งคำถามกับตัวเองหลายๆอย่างกับแนวคิดของเจ้าชายน้อยที่เจอในเรื่อง

เวลาผ่านไปหลายปี ความทรงจำเนื้อเรื่องของผมที่เกี่ยวกับ The Little Prince ก็เริ่มลืมเลือน แต่ความรู้สึกใจประทับใจก็ยังคงอยู่ ด้วยที่ผมได้ผ่านชีวิตในโลกการทำงานและธุรกิจมาจนเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และคิดว่าการมองโลกของเราอาจมีการเปลี่ยนไป ก็เลยถือโอกาสมาปัดฝุ่นเอาหนังสือ The Little Prince กลับมาอ่านใหม่ และก็ได้ไปเจอ The Little Prince เวอร์ชันภาพยนต์ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

ภาพยนต์ The Little Prince เป็นการเอาเนื้อเรื่องจากหนังสือ มาผสมผสานกับเนื้อเรื่องใหม่ที่เสียดสีกับสังคมในปัจจุบัน โดยใช้ตัวละครเด็กหญิงเป็นตัวเอกดำเนินเรื่อง

ในบทความนี้ผมจะขอเล่าเรื่องเจ้าชายน้อยในมุมมองของบทภาพยนต์ เพราะ ในบท เขาสรุปออกมาได้ค่อนข้างกระชับ และได้มีการนำข้อคิดของเจ้าชายน้อยมาสะท้อนใช้กับชีวิตในโลกการทำงานยุคปัจจุบันบางส่วนแล้ว

— — ——— — -สปอย— — — — — —

เนื้อเรื่องเปิดมาเริ่มจากที่ผู้เขียนหนังสือเล่าเรื่อง The Little Prince ถูกดับความฝันการเป็นจิตรกรจากผู้ใหญ่ ที่เขาได้วาดรูปงูยักษ์เขมือบช้างออกมา แต่ผู้ใหญ่ดันไม่เข้าใจเขาซะเลย และต้องการคำอธิบายรูปภาพที่เขาวาดเป็นตุเป็นตะ จนสุดท้ายผู้เขียนหมดความฝันกับการเป็นจิตรกร และผันตัวกลายเป็นนักบิน ผู้ต้องการอิสละแทน

ประวัติ ผู้ แต่ง เจ้าชายน้อย

ภาพตัดมาที่เนื้อเรื่องสร้างใหม่ในภาพยนต์ เริ่มจากเด็กหญิงได้ถูกกำหนดกรอบให้ดำเนินตารางชีวิตตามที่แม่จัด ทุกวัน ทุกนาที ทุกวินาที เพื่อที่จะได้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ (มั้ง!?)

แต่ชีวิตที่อยู่ในกรอบของเธอก็เปลี่ยนไป เมื่อเธอได้ไปเจอลุงข้างบ้านผู้เขียน The Little Prince ที่ได้เล่าเรื่องการพบกับเขาและเจ้าชายน้อย

ผู้เขียนได้ไปเจอเจ้าชายน้อยตอนขับเครื่องบินตกที่ทะเลทรายซะฮารา โดยครั้งแรกที่ผู้เขียนเจอเจ้าชายน้อย เขาได้ขอให้ผู้เขียนวาดแกะให้ แต่ผู้เขียนวาดยังไงก็ไม่ได้แกะที่เจ้าชายน้อยอยากได้เสียที บ้างก็ว่าแก่ไป เหมือนแพะไป จนผู้เขียนเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวที่แต่เดิมเคยโดนทลายความฝันจากการเป็นจิตรกรอยู่แล้ว เขาเลยวาดกล่องส่งๆไป และบอกว่ามีแกะอยู่ในกล่อง ปรากฏว่าสิ่งที่เขาวาดกลับกลายเป็นแกะที่เจ้าชายน้อยกำลังต้องการ

ประวัติ ผู้ แต่ง เจ้าชายน้อย

นั่นเป็นความประทับใจแรกที่เขาได้เจอเจ้าชายน้อย และทำให้เขาฉุกคิดว่าหลังจากที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาลืมสิ่งสำคัญอะไรไปหรือเปล่า?

ระหว่างอยู่บนทะเลทรายรอซ่อมเครื่องบิน เขาก็ได้คุยกับเจ้าชายน้อย และได้รู้ว่าเจ้าชายน้อยนั้นไม่ใช่เป็นชาวโลก แต่เป็นผู้ที่มาจากดาวเคราะห์น้อย B612

ดาว B612 เป็นดาวดวงเล็กๆที่มีเจ้าชายน้อย อาศัยอยู่กับดอกกุหลาบที่เขารัก พร้อมกับแกะที่เป็นตัวช่วยคอยกินต้นบัลบับที่พอโตแล้วมันจะกัดกินดาว

แต่เจ้าชายน้อยเด็กเกินที่จะรู้จักรักอย่างมีค่า สุดท้ายเขาได้ตัดสินใจหนีจากดอกกุหลาบที่เขารักมาเพราะว่าเธอนั้นโอ้อวดหลงตน ความจู้จี้จุกจิกของเธอทำให้เขาทรมานจนทนไม่ไหว ซึ่งการจากไปเป็นก้าวแรกนั้นแหละที่เขาทำให้กลับมาหาเธอ จากการที่เขาเสียความรู้สึกกับเธอไป

ก่อนมาถึงโลกเจ้าชายน้อยได้เดินทางไปดาวต่างๆมากมาย แต่ก็ยังไม่เจอใครที่สามารถคบหาเป็นเพื่อนได้เลย แถมก็ต้องแปลกใจกับแนวคิดกับคนที่ไปเจอเริ่มตั้งแต่

  • ดาวพระราชา ที่พระราชากล่าวว่าสั่งได้ทุกสิ่ง แต่เจ้าชายน้อยขอให้สั่งตะวันตกดินเลย แต่ดันทำไม่ได้
  • ดาวคนหลงตัวเอง ที่มีชายใส่หมวก ที่มีหมวกเอาไว้โค้งคำนับเมื่อมีคนชื่นชม แต่กลับกลายเป็นทั้งดาวมีคนอยู่คนเดียว ไม่รู้จะไปชื่นชมใคร
  • ดาวชายขี้เมา ที่มีคนกินเหล้าเพื่ออยากลืมเรื่องน่าอายว่าตัวเองกินเหล้า
  • ดาวนักธุรกิจ ที่มีคนนั่งทำงานไม่ลืมหูลืมตาเพื่อเป็นเจ้าของดวงดาวนับล้าน เพื่อตัวเองจะได้เป็นเศรษฐี ไม่มีเวลามานั่งฝัน ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
  • ดาวโคมไฟ ที่มีคนจุดโคมไฟ แต่ไม่มีใครอยู่บนดาว แต่จุดเพราะเป็นหน้าที่
  • ดาวนักภูมิศาสตร์ ที่นักภูมิศาสตร์ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง เพราะ เขายิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะไปสำรวจเอง

ดาวที่ 7 คือ ดาวโลก เจ้าชายน้อยได้ท่องไปสถานที่ต่างๆของโลกมากมาย จนไปพบกับสวนที่เต็มไปด้วยกุหลาบ 5 พันดอก ที่ทำให้เจ้าชายน้อยฉุกคิดได้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไป เพราะ เขาไม่ใช่ผู้ที่ครอบครองดอกกุหลาบที่แสนพิเศษหนึ่งเดียวในจักรวาลแล้ว

ต่อมาเจ้าชายน้อยได้ไปเจอสุนัขจิ้งจอก และพยายามเล่นกันมัน แต่สุนัขจิ้งจอกบอกว่าเจ้าชายน้อยเล่นกับมันไม่ได้หรอก ถ้ามันยังไม่ได้ถูกฝึกให้เชื่อง ซึ่งเจ้าชายน้อยก็สงสัยว่าการฝึกให้เชื่องคืออะไร สุนัขจิ้งจอกบอกว่ามันก็คือการสร้างความสัมพันธ์

เธอก็เป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆ เหมือนเด็กอื่นๆ เป็นร้อยเป็นพัน ฉันไม่ต้องการเธอ เธอก็ไม่ต้องการฉันเหมือนกัน และสำหรับเธอ ฉันก็เหมือนสุนัขจิ้งจอกอื่นๆ นับร้อยนับพันนั้น แต่ถ้าเธอฝึกให้ฉันเชื่อง เราก็จะต้องการกันและกัน เธอจะเป็นหนึ่งเดียวในโลกสำหรับฉัน และฉันก็ จะเป็นหนึ่งเดียวในโลกสำหรับเธอ

เจ้าชายน้อยได้สานสัมพันธ์กับสุนัขจิ้งจอก และนั่นทำให้เขาหวนนึกถึงสิ่งที่เขาเคยรัก นั่นคือ กุหลาบ ของเขาที่อยู่บนดาว

สุนัขจิ้งจอกกล่าวว่า “เขาไม่ใช่กุหลาบทั่วไป แต่เขาเป็นกุหลาบของเธอ ถึงเวลาที่เธอต้องทุ่มเทตัวเอง เพื่อให้กุหลาบของเธอสำคัญ เธอต้องกลับไปหาเขา”

มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่จะมองเห็นความจริง สิ่งที่สำคัญไม่ได้มองเห็นด้วยตา

ประวัติ ผู้ แต่ง เจ้าชายน้อย

วกกลับมาที่ทะเลทรายที่เจ้าชายน้อยได้เจอกับผู้เขียน สุดท้ายพวกเขาก็ได้เจอบ่อน้ำ

เจ้าชายน้อยมองไปที่บ่อน้ำ และพูดกับผู้เขียนว่า…

โลกของคุณปลูกกุหลาบ 5,000 ต้น แต่กลับไม่เคยค้นพบสิ่งที่ค้นหา สิ่งที่เขาค้นหาอาจจะพบในกุหลาบดอกเดียว หรือในน้ำหนึ่งจิบ

สุดท้ายผู้เขียนก็ซ่อมเครื่องบินเสร็จ และก็ได้ไปเห็นเจ้าชายน้อยนั่งบนโขดหินเจองู ซึ่งผู้เขียนก็ชักปีนขึ้นมา แต่สุดท้ายงูก็เลื้อยหนีหายไป ซึ่งทั้งคู่ก็รู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องจากกันแล้ว

ผู้เขียนรู้สึกเศร้าใจที่จะต้องจากกัน ซึ่งเจ้าชายน้อยได้ให้ของขวัญผู้เขียนอย่างหนึ่งก่อนไป คือ การให้มองไปเหล่าดวงดาวที่เหมือนกำลังหัวเราะ เหมือนดาวที่เขาอยู่และกำลังหัวเราะนั่นเอง

แล้วสุดท้ายคืนนั้นเจ้าชายน้อยก็จากไป

ซึ่งเนื้อเรื่องเป็นอย่างไรต่อไป ผู้แต่งก็ไม่รู้ กุหลาบจะโดนแกะบนดาวกินไหม? หรือว่าสุดท้ายเขาจะไปอยู่กับกุหลายอย่างมีความสุข?

อย่างไรก็ดีในบทภาพยนต์ก็ได้ทำเนื้อเรื่องสานต่อจากหนังสือ ภาพตัดกลับมาที่เด็กผู้หญิงที่ต้องการสานต่อเจตจำนงค์ของผู้เขียน โดยเด็กผู้หญิงได้ขับเครื่องบินออกไปตามหาเจ้าชายน้อยต่อเพื่อไปดูตอนจบต่อว่าเป็นอย่างไร ซึ่งกลับพบว่าเจ้าชายน้อยยังกลับไปไม่ถึงดาว B612 บ้านเกิดของตน จนตอนนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และได้ลืมเรื่องราววัยเด็กทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เด็กหญิงได้เข้าไปช่วยเขาให้นำความทรงจำเรื่องวัยเด็กกลับคืนมา และได้รู้ว่าการเติบใหญ่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด แต่ว่า

เป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่เป็นการลืมวัยเด็กมากกว่า

หลังจากนั้นเด็กผู้หญิงก็ได้พาเจ้าชายน้อยกลับไปถึงดาวของเขา แต่พอไปถึงดาวก็พบว่ากุหลาบที่เจ้าชายน้อยรักได้เหี่ยวเฉาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่อยู่ดีๆปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น โดยเจ้าชายน้อยกับเด็กผู้หญิงก็ได้เห็นดอกกุหลาบที่เขารักสถิตลอยอยู่บนท้องฟ้า และเจ้าชายน้อยก็ได้กล่าวว่า

เธอไม่ใช่ดอกกุหลาบทั่วไป เธอเป็นดอกกุหลาบดอกเดียวในจักรวาล

เธอยังไม่จากไปไหน

มีเพียงหัวใจที่มองเห็นสิ่งที่เป็นจริง เขาจะอยู่กับฉันเสมอ

ประวัติ ผู้ แต่ง เจ้าชายน้อย

สุดท้ายเจ้าชายน้อยก็ได้อยู่กับกุหลาบที่อยู่ในใจเขาอย่างมีความสุข

ส่วนเด็กผู้หญิงก็ได้เดินทางกลับบ้าน และพบบทสรุปที่แสนประทับใจ

ก็จบบริบูรณ์ครับ

เพื่อนๆหลังจากที่อ่านเรื่องราวจบแล้ว คิดอย่างไรกันบ้างครับ..?

ส่วนตัวผม สิ่งที่กินใจ และทำให้ผมฉุกคิดเกี่ยวกับข้อคิดในชีวิตการทำงาน คือ

เรื่องการที่เราได้โตเป็นผู้ใหญ่ และเหมือนเราได้ลืมสิ่งสำคัญในวัยเด็กอะไรบางอย่าง ทำให้เราต้องอยู่ในกรอบสังคมมากจนเกินไป

หลายคนโดนที่บ้าน สังคม เพื่อนๆ กดดัน

ถูก Expect ถูกเปรียบเทียบ

จนสุดท้ายรู้ว่าโลกของการเติบใหญ่ มันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด

และเราก็จะกลายเป็นคนที่ถูกกลืนจากสังคม

ความสวยงามของการเป็นเด็กคือเหมือนการได้อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์

ทำอะไรก็ดูสวยงาม ไม่ต้องคิดมาก ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรยุบยับ

ไม่ต้องกลัวว่าที่จะวาดรูปงูเขมือบช้างอยู่ในท้อง ไม่จำเป็นต้องกลัวที่จะวาดรูปแกะอยู่ในกล่องสีเหลี่ยม

ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบ สามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการโดยที่ไม่ต้องกลัวสายตาใคร

สิ่งนั้นผมขอเรียกว่า “ความไร้เดียงสา” ละกันนะครับ

แล้วสิ่งนี้มันไม่ดีเหรอ มันถึงได้หายไปจากเรา

การเป็นเด็กไม่ดีอย่างไร?

ผมว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สวยงามนะ และเป็นสิ่งที่ไม่ควรละทิ้งตอนทำงาน

แต่เราดันไปลืมมันไป เพราะเราได้ถูกสังคมกลืนกิน ดังในเรื่องที่กล่าวไว้ว่า

เป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่เป็นการลืมวัยเด็กมากกว่า

สิ่งรอบข้างไม่ได้เปลี่ยนแปลง เป็นตัวเรานั่นแหละที่เปลี่ยน ที่เราไม่สามารถ Maintain สิ่งดีๆให้คงอยู่กับตัวเราเหมือนเดิมได้

แน่นอนการไม่ละทิ้งสิ่งนั้น ผมเชื่อว่าข้อดีคือ มันทำให้เพื่อนๆสามารถทำงานได้อย่างสบายใจ เป็นคน Positive Thinking และสุดท้ายคือเพื่อนๆจะกลายเป็นคน Innovative Thinker ที่หลุดจากกรอบเดิมๆ ที่ผมเชื่อว่าเป็นสิ่งที่องค์กรยุคใหม่ๆหลายองค์กรกำลังมองหาอยู่

ยกตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จหลายคน เช่น Elon Musk, Albert Einstein คนพวกนี้ก็เป็นคนหลุดกรอบ ที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่นทั้งนั้นใช่มั้ยครับ

อะไรเป็นสิ่งที่บอกว่า สิ่งที่คนทำก่อนหน้านั้นเป็นสิ่งที่ดี ถูก หรือผิด

สิ่งที่ดีในอดีต ไม่ได้การันตีว่าเป็นสิ่งที่ดีในอนาคต

ถ้าเรายังคงยึดมั่นกับแต่สิ่งเดิมๆ โลกของเราก็คงจะน่าเบื่อแย่

ความสวยงาม ของแต่ละคน คือ ความ Uniqueness เพราะ เราเป็นสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่หุ่นยนต์

เราต้อง Break Free ยึดมั่นในความ Uniqueness และพยายามไม่ให้สังคมกลืนกิน

คุณจะเป็นกุหลาบ 5 พันดอก หรือเป็นกุหลาบแสนพิเศษของเจ้าชายน้อยล่ะ

ทุกคนมีคุณค่า แค่เราจะกล้าทำตามเสียงของหัวใจรึเปล่าแค่นั้นเอง

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบ คือ เรื่องความสัมพันธ์ของกุหลาบ

สิ่งที่เรารัก สิ่งที่ตามหา แม้เราจะพยายามตะเกียดตะกายไปหาไกลสักเท่าไร

สุดท้ายตอนจบ มันก็อยู่ที่จุดเริ่มต้น

อย่างเจ้าชายน้อยที่ผจญภัยไปดวงดาวถึง 7 ดวง แต่สุดท้ายก็วกกลับมาหากุหลาบที่ดาวบ้านเกิดเริ่มต้นอยู่ดี

อย่างตอนชีวิตการทำงาน ที่เรากำลังค้นหาตัวเองว่าเราชอบอะไรกันแน่?

เสียงของหัวใจเรามันอยู่ไหน?

ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่ทำเรากำลังอยู่ ที่รู้สึกเบื่อหน่าย หรือคิดว่าเราเกลียด

จริงๆแล้วอาจเป็นสิ่งที่เรารักที่จะทำมันสุดก็ได้นะ

ลองพยายามหาความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ก่อน ลองไตร่ตรองดีๆว่าสิ่งที่เราทำอยู่ เราเกลียดมันจริงไหม?

กล้าที่จะทำตามเสียงหัวใจ แต่ถ้ายังหาเสียงหัวใจไม่เจอ ก็ลองหาเสียงที่มันดังใกล้ตัวเราซะ — Nut P.

สรุปส่งท้าย

เป็นอย่างไรบ้างครับเพื่อนๆกับ Little Prince และข้อคิดชีวิตการทำงานในมุมมองของผม ความจริงแล้วเสนห์ของหนังสือ Little Prince คือการที่เอาไปคิดต่อได้นี่แหละ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนที่อ่านจบคงสามารถตีความออกมาต่างจากผมได้อีกหลายแนวแน่ๆ ยิ่งในเรื่องความรัก ผมเชื่อว่าสามารถเขียนตีความออกมาได้เพิ่มอีกเป็นหลายหน้ากระดาษเลย

ก็เพื่อนๆมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อเพิ่มเติมยังไง สามารถมาเมนต์ต่อได้เลยนะฮะ วันนี้ผมก็ขอจบเพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ต่อไปตอนหน้า ขอบคุณครับ

ประวัติ ผู้ แต่ง เจ้าชายน้อย