การเขียนบทความให้ประโยชน์แก่ผู้เขียนบทความและผู้อ่านบทความอย่างไร Show ผมได้เขียนบทความต่างๆ หลายปีแล้ว เช่น บทความด้านไอทีในคอลัมน์ 1001 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , เว็บไซต์ TCDC และล่าสุดคือ Medium เป็นเวลาครึ่งปี หลายคนถามว่า เขียนบทความแล้วได้อะไร เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ไม่ดีกว่าหรือ บางคนบอกว่า เขียนไป ก็ไม่มีใครอ่านหรอก ผมจะขอเล่าว่า ได้อะไรบ้างจากการเขียนบทความครับ 1. ฝึกทักษะการเขียนไม่มีใครเขียนเก่งตั้งแต่เกิด แม้แต่คนที่เขียนไม่เก่ง แต่เขียนทุกวัน ก็เขียนได้คล่องขึ้น เก่งขึ้น การเขียนบทความบ่อยๆ ทำให้ผมรู้ว่า การเขียนคือทักษะที่ฝึกฝนได้ ไม่ว่าทำงานใดก็ตาม ถ้ามีทักษะการเขียนที่ดี จะมีประโยชน์ในการทำงานทั้งสิ้น นี่คือประโยชน์สำคัญที่สุดที่ผมได้จากการเขียนบทความครับ 2. ฝึกเรียบเรียงความคิดการเขียนคือการถ่ายทอดความคิดในหัวของตนเองออกมาเป็นรูปธรรม ดังนั้นก่อนที่เราจะเขียนเรื่องใดก็ตาม เราต้องคิดอย่างเป็นระบบหรือเรียบเรียงความคิดออกมาก่อน จึงจะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรให้ผู้อื่นอ่านได้ ถ้าเราเรียบเรียง จัดระบบความคิดในหัวของเราได้ ก็เหมือนว่า เราคิดเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทำงานด้านอื่นด้วย เช่น การนำเสนอ การสอน 3. ได้ความรู้เพิ่มถ้าเราต้องการเขียนบทความเรื่องหนึ่ง หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อมาเขียนบทความ แต่ไม่มีข้อมูลหรือไม่ทราบเรื่องนั้นมาก่อน จะทำอย่างไรครับ ? สอบถามอากู๋สิครับ การค้นคว้าหาข้อมูลในเรื่องที่เราสนใจอยากเขียน ก็จะทำให้เรามีความรู้เรื่องนั้นเพิ่มขึ้น การค้นคว้าเพื่อหาข้อมูลที่ถูกต้องในการเขียนบทความ ก็ทำให้เราเก่งขึ้น มีความรู้มากขึ้น มั่นใจมากขึ้น จนเขียนบทความได้ Source : Pixabay 4. ทำครั้งเดียวการเขียนบทความเป็นการออกแรงครั้งเดียว หลังจากนั้น แทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ไม่ว่าจะมีคนอ่าน 1 คนหรือล้านคน ก็ออกแรงเขียนเท่ากัน แน่นอนว่า อาจต้องปรับปรุงเนื้อหาในบทความให้ทันสมัยบ้าง แต่ก็ทำงานน้อยกว่าเดิมมาก และไม่ได้เขียนใหม่ทั้งหมด เหตุผลข้อนี้โดนใจคนขี้เกียจทำงานซ้ำซากอย่างผมครับ 5. แปลงกายบทความได้หลังจากที่เราเขียนบทความแล้ว เราเปลี่ยนบทความเป็นรูปแบบอื่นได้ เช่น
บทความจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดสิ่งอื่นๆ อีกมากมายครับ 6. มีรายได้เสริมถ้าเราเขียนบทความจนเป็นที่รู้จักแล้ว อาจมีผู้จ้างเราไปเขียนบทความ และให้ค่าตอบแทนด้วย แต่อย่าไปสนใจเรื่องค่าตอบแทนเลยครับ เพราะได้น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าตอบแทนที่ได้จากการทำงานอย่างอื่น ถ้าให้เลือกระหว่าง ก. ให้ค่าตอบแทน และเราไม่มีสิทธิ์ในบทความนั้นอีก ข. เขียนฟรี และเราเป็นเจ้าของบทความ ผมเลือก ข. ครับ 7. ทำให้ผู้อื่นรู้จักใครๆ ก็พูดถึง Personal branding ในยุคนี้ ซึ่งทำได้หลายวิธี การเขียนบทความเป็นวิธีหนึ่งในการสร้าง personal branding ทำให้คนอ่านรู้จักเราครับ ถ้าเราโฟกัสแนวของบทความ ไม่เขียนสะเปะสะปะมากนัก จะทำให้ผู้อ่านรู้ว่า เราเชี่ยวชาญเรื่องอะไร และเราได้ผู้อ่านที่สนใจแนวนั้นติดตามอ่านงานเขียนของเราครับ 8. เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นสิ่งที่ทำให้ผมดีใจที่สุดคือ มีผู้อ่านบอกว่า ได้ประโยชน์ เช่น ความรู้ ความสนุกจากบทความที่ผมเขียน นี่เป็นสิ่งที่นักเขียนบทความภูมิใจมาก และทำให้มีแรงในการเขียนบทความอย่างต่อเนื่อง Credit : Pexels
ผมจะดีใจมาก ถ้าผู้อ่านได้ประโยชน์จากบทความนี้ หรือเกิดแรงบันดาลใจในการเขียนบทความครับ ถ้าผู้อ่านอยากฝึกการเขียนบทความ ขอแนะนำให้อ่านบทความเรื่อง “Medium : ยูทูบของบทความที่มาแรงที่สุด” และเริ่มเขียนบทความใน Medium ช่วยกดรูปปรบมือ เพื่อให้ผมมีกำลังใจในการเขียนบทความอย่างต่อเนื่องด้วยครับ เชิญสมัครเป็นสมาชิกจดหมายข่าว “ไฟฉาย” ของผมที่จะส่องไอเดียน่าสนใจทุกวันที่ 1 และวันที่ 15 ของทุกเดือน เช่น แอป คอร์สออนไลน์ หนังสือ วิดีโอ บทความ เพจ ไฮไลท์จากหนังสือ เป็นต้น สมัครเพื่ออ่านทางอีเมลได้อย่างสะดวกสบายได้ที่ thongchairoj.substack.com
"ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร" 1. เป็นผู้ที่มีเจตนาแน่ชัดที่จะให้ผู้อื่นรับรู้จุดประสงค์ของตนในการส่งสาร แสดงความคิดเห็น หรือวิจารณ์ ฯลฯ 2. เป็นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาของสารที่ต้องการจะสื่อออกไปเป็นอย่างดี 3. เป็นผู้ที่มีบุคลิกลักษณะที่ดี มีความน่าเชื่อถือ แคล่วคล่องเปิดเผยจริงใจ และมีความรับผิดชอบ ในฐานะเป็นผู้ส่งสาร 4. เป็นผู้ที่สามารถเข้าใจความพร้อมและความสามารถในการรับสารของผู้รับสาร 5. เป็นผู้รู้จักเลือกใช้กลวิธีที่เหมาะสมในการส่งสารหรือนำเสนอสาร 2. สาร (message) หมายถึง เรื่องราวที่มีความหมาย หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูปของข้อมูล ความรู้ ความคิด ความต้องการ อารมณ์ ฯลฯ ซึ่งถ่ายทอดจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารให้ได้รับรู้ และแสดงออกมาโดยอาศัยภาษาหรือสัญลักษณ์ใด ๆ
ที่สามารถทำให้เกิดการรับรู้ร่วมกันได้ เช่น ข้อความที่พูด ข้อความที่เขียน บทเพลงที่ร้อง รูปที่วาด เรื่องราวที่อ่าน ท่าทางที่สื่อความหมาย เป็นต้น 3. สื่อ หรือช่องทาง (media or channel) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการสื่อสาร หมายถึง สิ่งที่เป็นพาหนะของสาร ทำหน้าที่นำสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ผู้ส่งสารต้องอาศัยสื่อหรือช่องทางทำหน้าที่นำสารไปสู่ผู้รับสาร
เกณฑ์การแบ่ง ประเภทของสื่อ ตัวอย่าง 1. แบ่งตามวิธีการเข้า และถอดรหัส สื่อวัจนะ (verbal) สื่ออวัจนะ (nonverbal) คำพูด ตัวเลข สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง หนังสือพิมพ์ รูปภาพ 2. แบ่งตามประสาทการรับรู้ สื่อที่รับรู้ด้วยการเห็น สื่อที่รับรู้ด้วยการฟัง สื่อที่รู้ด้วยการเห็นและการฟัง นิตยสาร เทป วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ วีดิทัศน์ 3. แบ่งตามระดับการสื่อสาร หรือจำนวนผู้รับสาร สื่อระหว่างบุคคล สื่อในกลุ่ม สื่อสารมวลชน โทรศัพท์ จดหมาย ไมโครโฟน โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ 4. แบ่งตามยุคสมัย สื่อดั้งเดิม สื่อร่วมสมัย สื่ออนาคต เสียงกลอง ควันไฟ โทรศัพท์ โทรทัศน์ เคเบิล วีดิโอเทกซ์ 5. แบ่งตามลักษณะของสื่อ สื่อธรรมชาติ สื่อมนุษย์หรือสื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อระคน อากาศ แสง เสียง คนส่งของ ไปรษณีย์ โฆษก หนังสือ นิตยสาร ใบปลิว วิทยุ วีดิทัศน์ ศิลาจารึก สื่อพื้นบ้าน หนังสือ ใบข่อย 6. แบ่งตามการใช้งาน สื่อสำหรับงานทั่วไป สื่อเฉพาะกิจ จดหมายเวียน โทรศัพท์ วารสาร จุดสาร วีดิทัศน์ 7. แบ่งตามการมีส่วนร่วมของผู้รับสาร สื่อร้อน สื่อเย็น การพูด การอ่าน 4. ผู้รับสาร (receiver) หมายถึง บุคคล กลุ่มบุคคล หรือมวลชนที่รับเรื่องราวข่าวสาร จากผู้ส่งสาร และแสดงปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback) ต่อผู้ส่งสาร หรือส่งสารต่อไปถึงผู้รับสารคนอื่น ๆ ตามจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร เช่น ผู้เข้าร่วมประชุม ผู้ฟังรายการวิทยุ กลุ่มผู้ฟังการอภิปราย ผู้อ่านบทความจากหนังสือพิมพ์ เป็นต้น หลักในการสื่อสาร การสื่อสารจะประสบความสำเร็จตรงตามจุดประสงค์หรือไม่ผู้ส่งสารควรคำนึงถึงหลักการสื่อสาร ดังนี้ (ภาควิชาภาษาไทย สถาบันราชภัฏเทพสตรี ลพบรี, 2542: 13-14) 1. ผู้ที่จะสื่อสารให้ได้ผลและเกิดประโยชน์ จะต้องทำความเข้าใจเรื่ององค์ประกอบในการสื่อสาร และปัจจัยทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับระบบการรับรู้ การคิด การเรียนรู้ การจำ ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพ ในการสื่อสาร 2. ผู้ที่จะสื่อสารต้องคำนึงถึงบริบทในการสื่อสาร บริบทในการสื่อสาร หมายถึง สิ่งที่อยู่แวดล้อมที่มีส่วนในการกำหนดรู้ความหมายหรือความเข้าใจในการสื่อสาร 3. คำนึงถึงกรอบแห่งการอ้างอิง (frame of reference) มนุษย์ทุกคนจะมีพื้นความรู้ทักษะ เจตคติ ค่านิยม สังคม ประสบการณ์ ฯลฯ เรียกว่าภูมิหลังแตกต่างกัน ถ้าคู่สื่อสารใดมีกรอบแห่ง การอ้างอิงคล้ายกัน ใกล้เคียงกัน จะทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น 4. การสื่อสารจะมีประสิทธิผล เมื่อผู้ส่งสารส่งสารอย่างมีวัตถุประสงค์ชัดเจน ผ่านสื่อหรือช่องทาง ที่เหมาะสม ถึงผู้รับสารที่มีทักษะในการสื่อสารและมีวัตถุประสงค์สอดคล้องกัน 5. ผู้ส่งสารและผู้รับสาร ควรเตรียมตัวและเตรียมการล่วงหน้า เพราะจะทำให้การสื่อสารราบรื่น สะดวก รวดเร็ว เป็นไปตามวัตถุประสงค์และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที หากจะเกิดอุปสรรค์ ที่จุดใดจุดหนึ่ง 6. คำนึงถึงการใช้ทักษะ เพราะภาษาเป็นสัญลักษณ์ที่มนุษย์ตกลงใช้ร่วมกันในการ 7. คำนึงถึงปฏิกิริยาตอบกลับตลอดเวลา ถือเป็นการประเมินผลการสื่อสาร ที่จะทำให้คู่สื่อสารรับรู้ผลของการสื่อสารว่าประสบผลดีตรงตามวัตถุหรือไม่ ควรปรับปรุง เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขข้อบกพร่องใด เพื่อที่จะทำให้การสื่อสารเกิดผลตามที่ต้องการ วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร คณาจารย์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (2551: 17) กล่าวถึง วัตถุประสงค์ของการสื่อสารไว้ดังนี้ 1. เพื่อแจ้งให้ทราบ (inform) ในการทำการสื่อสาร ผู้ทำการสื่อสารควรมีความ ต้องการที่จะบอกกล่าวหรือชี้แจงข่าวสาร เรื่องราว เหตุการณ์ หรือสิ่งอื่นใดให้ผู้รับสารได้รับทราบ 2. เพื่อสอนหรือให้การศึกษา (teach or education) ผู้ทำการสื่อสารอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อจะ ถ่ายทอดวิชาความรู้ หรือเรื่องราวเชิงวิชาการ เพื่อให้ผู้รับสารได้มีโอกาสพัฒนาความรู้ให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น 3. เพื่อสร้างความพอใจหรือให้ความบันเทิง (please of entertain) ผู้ทำการสื่อสารอาจ ใช้วัตถุประสงค์ในการสื่อสารเพื่อสร้างความพอใจ หรือให้ความบันเทิงแก่ผู้รับสาร โดยอาศัยสารที่ตนเองส่งออกไป ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของการพูด การเขียน หรือการแสดงกิริยาต่าง ๆ 4. เพื่อเสนอหรือชักจูงใจ (Propose or persuade)
ผู้ทำการสื่อสารอาจใช้วัตถุประสงค์ใน การสื่อสารเพื่อให้ข้อเสนอแนะ หรือชักจูงใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อผู้รับสาร และอาจชักจูงใจให้ผู้รับสารมีความคิดคล้อยตาม หรือยอมปฏิบัติตามการเสนอแนะของตน ประเภทของการสื่อสาร การจำแนกประเภทของการสื่อสาร มีผู้จำแนกไว้หลาย ๆ ประเภท โดยใช้เกณฑ์ในการพิจารณา ตามจุดประสงค์ของการศึกษาหรือวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะนำเสนอ ซึ่งสรุปได้ตามตารางดังนี้ เกณฑ์การแบ่ง ประเภทของการสื่อสาร ตัวอย่าง 1. จำนวนผู้ทำการสื่อสาร 1.1 การสื่อสารภายในตัวบุคคล (intrapersonal communication) - การพูดกับตัวเอง - การคิดคำนึงเรื่องต่าง ๆ - การร้องเพลงฟังเอง - การคิดถึงงานที่จะทำ เป็นต้น 1.2 การสื่อสารระหว่างบุคคล (interpersonal communication) - การพูดคุยระหว่างบุคคล 2 คนขึ้นไป - การพูดคุย - การเขียนจดหมาย - การโทรศัพท์ - การประชุมกลุ่มย่อย เป็นต้น 1.3 การสื่อสารกลุ่มใหญ่ (large group communication) - การอภิปรายในหอประชุม - การพูดหาเรื่องเลือกตั้ง - การปราศรัยในงานสังคม - การกล่าวปาฐกถา ในหอประชุม - การบรรยายทางวิชาการ ณ ศูนย์เรียนรวม เป็นต้น 1.4 การสื่อสารในองค์กร (organizational communication) - การสื่อสารในบริษัท - การสื่อสารในหน่วยงาน ราชการ - การสื่อสารในโรงงาน - การสื่อสารของธนาคาร เป็นต้น 1.5 การสื่อสารมวลชน (mass communication) การสื่อสารที่ผ่านสื่อเหล่านี้ คือ - หนังสือพิมพ์, นิตยสาร - วิทยุ - โทรทัศน์ - ภาพยนตร์ เป็นต้น 2.การเห็นหน้ากัน 2.1 การสื่อสารแบบเผชิญหน้า (face to face communication) - การสนทนาต่อหน้ากัน - การประชุมสัมมนา - การสัมภาษณ์เฉพาะหน้า - การเรียนการสอนในชั้นเรียน - การประชุมกลุ่มย่อย เป็นต้น 2.2 การสื่อสารแบบไม่เผชิญหน้า (interposed communication) - เอกสารการสื่อสารที่ผ่าน สื่อมวลชนทุกชนิด คือ - หนังสือพิมพ์ - วิทยุ - โทรทัศน์ - วีดิทัศน์การสื่อสารที่ผ่าน สื่อมวลชนทุกชนิด - จดหมาย/โทรเลข/โทรสาร - อินเตอร์เน็ต เป็นต้น 3. ความสามารถในการโต้ตอบ 3.1 การสื่อสารทางเดียว (one-way communication) การสื่อสารที่ผ่านสื่อมวลชนทุกชนิด คือ - วิทยุ/โทรทัศน์/วีดิทัศน์ - โทรเลข/โทรสาร - ภาพยนตร์ เป็นต้น 3.2 การสื่อสารสองทาง (two-way communication) - การสื่อสารระหว่างบุคคล - การสื่อสารในกลุ่ม - การพูดคุย / การสนทนา เป็นต้น 4. ความแตกต่างระหว่าง ผู้รับสารและผู้ส่งสาร 4.1 การสื่อสารระหว่างเชื้อชาติ (interracial communication) - ชาวไทยสื่อสารกับคน ต่างประเทศ - คนจีน, มาเลย์, อินเดีย ใน ประเทศมาเลเซีย สื่อสารกัน เป็นต้น 4.2 การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม (gosscultural communication) - การสื่อสารระหว่างคนไทยภาคใต้กับภาคเหนือหรือ ภาคอื่น ๆ - ชาวไทยสื่อสารกับชาวเขา เป็นต้น 4.3 การสื่อสารระหว่างประเทศ (international communication) - การเจรจาติดต่อสัมพันธ์ทางการทูต - การเจรจาในฐานะตัวแทน รัฐบาล เป็นต้น 5. การใช้ภาษา 5.1 การสื่อสารเชิงวัจนภาษา (verbal communication) - การพูด, การบรรยาย - การเขียนจดหมาย, บทความ เป็นต้น 5.2 การสื่อสารเชิงอวัจนภาษา (non-verbal communication) - การสื่อสารโดยไม่ใช้ถ้อยคำ, คำพูด - อาการภาษา, กาลภาษา, เทศภาษา, สัมผัสภาษา, เนตรภาษา, วัตถุภาษา และปริภาษา เป็นต้น อุปสรรคในการสื่อสาร อุปสรรคในการสื่อสาร หมายถึง สิ่งที่ทำให้การสื่อสารไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ ของผู้สื่อสาร และผู้รับสาร อุปสรรคในการสื่อสารอาจเกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอนของกระบวนการสื่อสาร ดังนั้นอุปสรรค ในการสื่อสารจากองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้ 1. อุปสรรคที่เกิดจากผู้ส่งสาร 1.1 ผู้ส่งสารขาดความรู้ความเข้าใจและข้อมูลเกี่ยวกับสารที่ต้องการจะสื่อ 1.2 ผู้ส่งสารใช้วิธีการถ่ายทอดและการนำเสนอที่ไม่เหมาะสม 1.3 ผู้ส่งสารไม่มีบุคลิกภาพที่ไม่ดี และไม่เหมาะสม 1.4 ผู้ส่งสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการส่งสาร 1.5 ผู้ส่งสารขาดความพร้อมในการส่งสาร 1.6 ผู้ส่งสารมีความบกพร่องในการวิเคราะห์ผู้รับสาร 2. อุปสรรคที่เกิดจากสาร 2.1 สารไม่เหมาะสมกับผู้รับสาร อาจยากหรือง่ายเกินไป 2.2 สารขาดการจัดลำดับที่ดี สลับซับซ้อน ขาดความชัดเจน 2.3 สารมีรูปแบบแปลกใหม่ยากต่อความเข้าใจ 2.4 สารที่ใช้ภาษาคลุมเครือ ขาดความชัดเจน 3. อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากสื่อ หรือช่องทาง 3.1 การใช้สื่อไม่เหมาะสมกับสารที่ต้องการนำเสนอ 3.2 การใช้สื่อที่ไม่มีประสิทธิภาพที่ดี 3.3 การใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมกับระดับของการสื่อสาร 4. อุปสรรคที่เกิดจากผู้รับสาร 4.1 ขาดความรู้ในสารที่จะรับ 4.2 ขาดความพร้อมที่จะรับสาร 4.3 ผู้รับสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้ส่งสาร 4.4 ผู้รับสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อสาร 4.5 ผู้รับสารมีความคาดหวังในการสื่อสารสูงเกินไป ที่มาของข้อมูล : http://www.ipesp.ac.th/learning/thai/Chapter1.html
ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารธุรกิจ แหล่งที่มาของข้อมูล : การเขียนภาษาไทยมีประโยชน์อย่างไร1.คุณค่าของภาษาไทย ภาษาไทยมีคุณค่าต่อคนไทยและชาติไทย 8 ประการคือ 1) ใช้เป็นสื่อกลาง 2) เสริมสร้างวัฒนธรรม 3) สำแดงเอกลักษณ์ 4) พิทักษ์เอกราช 5) ประสาทวิทยา 6) พัฒนาความคิด 7) กอบกิจการงาน 8) ประสานสามัคคี
ได้อะไรจากการเรียนวิชาภาษาไทยทำไมเราต้องเรียนวิชาภาษาต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะวิชาภาษาไทย การเรียนวิชาภาษาไทยน้อง ๆ จะได้อะไรบ้าง ข้อแรกวิชาภาษาไทยเป็นเครื่องมือสื่อสารความคิดและความรู้สึกในรูปแบบการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน หากเราใช้ภาษาไทยเพื่อสื่อสารในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง จะทำให้คนอื่นสามารถเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเรา
การเรียนภาษาไทยมีความสําคัญอย่างไรภาษาไทยเป็นเครื่องมือของคนในชาติเพื่อการสื่อสารทำความเข้าใจกันและใช้ภาษาในการประกอบกิจการงานทั้งส่วนตัว ครอบครัว กิจกรรมทางสังคมและประเทศชาติ เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ การบันทึกเรื่องราวจากอดีตถึงปัจจุบัน และเป็นวัฒนธรรมของชาติ ดังนั้นการเรียนภาษาไทย จึงต้องเรียนรู้เพื่อให้เกิด ทักษะอย่างถูกต้อง เหมาะสมในการสื่อสาร ...
ทำไมภาษาไทยถึงสำคัญภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระการงานและดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาชาติได้อย่างสันติสุขและเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ...
|