วาล์วไอดีจะเปิดรับไอดีในจังหวะใด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วาล์วไอดีจะเปิดรับไอดีในจังหวะใด

ภาพเคลื่อนไหวแสดงการทำงานของเครื่องยนต์สี่จังหวะ
1 ‐ ดูดไอดี
2 ‐ อัดไอดี
3 ‐ จุดระเบิด
4 ‐ คายไอเสีย

เครื่องยนต์สี่จังหวะ (อังกฤษ: four-stroke engine) เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในประเภทหนึ่ง ซึ่งลูกสูบมีช่วงชักเต็มกระบอกสูบอยู่สี่ชัก ได้แก่:

  1. ดูด (Intake): ลูกสูบเลื่อนลง สูบไอดีเข้ามา ลิ้นไอดีเปิด เพื่อดูดไอดีเข้ามาในกระบอกสูบ ลิ้นไอเสียปิด
  2. อัด (Compression): ลูกสูบเลื่อนขึ้น จากศูนย์ตายล่าง ขึ้นสู่ศูนย์ตายบน ลิ้นไอดีและลิ้นไอเสียปิดสนิท ไอดีถูกแรงดันอัดอย่างรวดเร็ว จนอุณหภูมิสูงถึง 700-900 องศาเซลเซียส
  3. ระเบิด (ignite): ลูกสูบเลื่อนขึ้นไปกระแทกหัวเทียน(ในเครื่องยนต์เบนซิน)จุดประกายไฟเผาไหม้ไอดี เกิดการระเบิดขึ้นในห้องเผาไหม้ แรงระเบิดทำให้ลูกสูบเลื่อนลง ทำให้เพลาข้อเหวี่ยงเกิดการหมุน เครื่องยนต์ได้พลังงานในช่วงชักนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนเป็นพลังงานกล
  4. คาย (Exhaust): ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้น ลิ้นไอดีปิด ลิ้นไอเสียเปิด แก๊สไอเสียออกจากกระบอกสูบผ่านลิ้นไอเสีย, ท่อไอเสีย และออกสู่ชั้นบรรยากาศภายนอกเครื่องยนต์

ไอดีคือส่วนผสมของไอระเหยหรือละอองเชื้อเพลิงผสมกับอากาศ ไอดีจะถูกดูดเข้ากระบอกสูบหรือฉีดเข้ากระบอกสูบโดยหัวฉีดในช่วงชักดูด และไอดีจะถูกอัดให้มีอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 700-900 องศาเซลเซียส แล้วไอดีถูกจุดระเบิดโดยประกายไฟแรงดันประมาณ 25,000 โวลต์จากเขี้ยวหัวเทียน เรียกช่วงชักนี้ว่าช่วงชักระเบิด หรือ "ช่วงชักงาน" แรงระเบิดทำให้ลูกสูบเลื่อนลง เครื่องยนต์ได้งานในช่วงชักนี้ ทำให้เพลาข้อเหวี่ยงเกิดการหมุน เป็นการเปลี่ยนพลังงานความร้อนเป็นพลังงานกล ช่วงชักคายลูกสูบเลื่อนขึ้น ลิ้นไอดี "ปิด" ลิ้นไอเสีย "เปิด" ไอเสียออกจากกระบอกสูบทางลิ้นไอเสียผ่านท่อไอเสียออกสู่ภายนอก เครื่องยนต์ทำงานครบ 4 ช่วงชัก

อ้างอิง[แก้]

1. จังหวะดูด (Intakeลูกสูบเริ่มต้นที่จุดสูงสุด เลื่อนลงมาขณะเดียวกันวาล์วไอดี (Intake valve) จะเปิด และวาล์วไอเสีย (Exhaust valve) ปิด ดูดส่วนผสมเชื้อเพลิง และอากาศที่เรียกว่า “ไอดี” เข้ามาในกระบอกสูบ ลูกสูบจะเลื่อนลงจนถึงจุดต่ำสุด นี้คือจังหวะดูด

2. จังหวะอัด (Compression) ลูกสูบเคลื่อนที่จากจุดต่ำสุดขึ้นไป วาล์วไอดี และวาล์วไอเสีย จะไม่เปิด ลูกสูบเลื่อนขึ้นจนถึงจุดสูงสุดเพื่อทำการอัดส่วนผสมไอดีให้มีปริมาตรที่เล็กลง และจะเกิดความดันภายในห้องเผาไหม้จากการอัด นี้คือจังหวะอัด

3.จังหวะระเบิด, ได้งาน (Combustion) หรือจังหวะเผาไหม้ เมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นสูงสุดแล้ว วาล์วไอดี และไอเสียยังปิดอยู่ หัวเทียนจะทำการจุดระเบิดไอดีที่มีความดันเกิดจากจังหวะอัด เกิดการระเบิดภายในห้องเผาไหม้อย่างรุนแรง ถีบให้ลูกสูบเลื่อนลง จังหวะนี้คือจังหวะที่นำไปใช้งานในการเคลื่อนที่ของรถยนต์ เป็นจังหวะเดียวที่ได้งานในจำนวน 4 จังหวะ

4. จังหวะคายไอเสีย (Exhaust) ลูกสูบจะเคลื่อนที่ขึ้น ขณะเดียวกันวาล์วไอเสียจะเปิด ขับไล่ไอเสียออกจากกระบอกสูบ วาล์วไอดียังคงปิดอยู่ นี้คือจังหวะคาย

เมื่อทำงานถึงวัฏจักรที่ 4 ต่อไปก็จะ วนกลับมาทำงานในวัฏจักรที่ 1 ต่อไปวนเวียนเช่นนี้จนกระทั่งดับเครื่องยนต์

ลูกสูบ (Piston) ที่อยู่ในกระบอกสูบ (Cylinder) ลูกสูบจะวิ่งขึ้นลงทำงาน จะต่อกับเพลาข้อเหวี่ยง (Crankshaft) โดยมีตัวเชื่อมต่อคือ ก้านสูบ (Connecting rod) เพลาข้อเหวี่ยงจะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงพลังงานจากการระเบิด ไปเป็น การหมุน (พลังงานความร้อน ไปเป็น พลังงานกล)

ข้อน่าสังเกต การเคลื่อนที่ของลูกสูบภายในกระบอกสูบเป็นการเคลื่อนที่ขึ้นลง เป็นเส้นตรง แต่จะถูกแปลงไปเป็นการหมุนโดยมีเพลาข้อเหวี่ยงเป็นตัวแปลงให้เป็นการหมุนของเพลา เพื่อขับเคลื่อนยานยนต์

หน่วยที่ 2

                 ระบบเครื่องยนต์

แบบฝึกหัดก่อนเรียน

เครื่องยนต์ คือ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเปลี่ยนพลังงานความร้อนให้เป็นพลังงานกล
ถ้าแบ่งชนิดของเครื่องยนต์ตามลักษณะการเผาไหม้แล้ว สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
1. เครื่องยนต์สันดาปภายนอก (External Combustion Engine) เป็นเครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้หรือการเกิดพลังความร้อนอยู่ภายนอกระบอกสูบ
2. เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine) เป็นเครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้หรือการเกิดพลังงานความร้อนอยู่ภายในกระบอกสูบโดยตรง
ชนิดของเครื่องยนต์ สามารถแบ่งออกได้ เช่น
1. แบ่งตามชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิง แบ่งได้เป็น เครื่องยนต์แก๊สโซลีน, เครื่องยนต์ดีเซล เป็นต้น
2. แบ่งตามกลวัตรการทำงาน แบ่งได้เป็น เครื่องยนต์ 2, 4 จังหวะ และเครื่องยนต์โรตารี่ เป็นต้น
ตำแหน่งที่สำคัญต่าง ๆ ของเครื่องยนต์
ศูนย์ตายบน (TDC = Top Dead Center) คือ ตำแหน่งลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นสูงสุดและไม่สามารถจะเคลื่อนที่ต่อไปได้อีก
ศูนย์ตายล่าง (BDC = Bottom Dead Center) คือ ตำแหน่งที่ลูกสูบเคลื่อนที่ต่ำสุดและไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้อีก
ระยะชัก (Stroke) หมายถึง ระยะการเคลื่อนที่ของลูกสูบที่วัดจากจุดศูนย์ตายบนไปยังจุดศูนย์ตายล่างที่มีระยะชัดของลูกสูบหน่วยวัดเป็น มิลลิเมตร
2.1 ชิ้นส่วนและหน้าที่สำคัญของเครื่องยนต์
ฝาสูบ (Cylinder Head) ทำหน้าที่ปิดส่วน Q ของกระบอกสูบ เป็นส่วนหนึ่งของห้องเผาไหม้ เป็นที่ติดตั้งของหัวเทียน ฝาสูบส่วนใหญ่จะมาจากอะลูมิเนียมผสม (Aluminium Alloy)
เสื้อสูบและกระบอกสูบ (Jacket And Cylinder) เป็นส่วนประกอบเข้าด้วยกันโดยกระบอกสูบจะสวมอัดอยู่ในเสื้อสูบ ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของห้องเผาไหม้และประคองการเคลื่อนที่ขึ้นลงของลูกสูบ
ลูกสูบ (Piston) เป็นชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่ขึ้นลงภายในกระบอกสูบ เป็นส่วนหนึ่งของห้องเผาไหม้ ทำหน้าที่รับเร่งที่เกิดจากการเผาไหม้ส่งไปยังก้านสูบไปยังเพลาข้อเหวี่ยง
แหวนลูกสูบ (Piston Ring) ประกอบอยู่ในร่องส่วนบน ร่องส่วนบนของลูกสูบ ทำหน้าที่ป้องกันการไหลของแก๊สภายในกระบอกสูบไม่ให้รั่วไหลลงสู่ห้องเพลาข้อเหวี่ยง และยังช่วยลดการเสียดสีระหว่างลูกสูบกับกระบอกสูบให้น้อยลง
สลักสูบ (Piston Pin) ทำหน้าที่ยึดระหว่างลูกสูบกับก้านสูบให้เชื่อมต่อกันเพื่อถ่ายถอดกำลังงาน
ก้านสูบ (Connecting Rod) ทำหน้าที่ถ่ายทอดกำลังจากลูกสูบในแนวตรง แล้วส่งไปยังเพลาข้อเหวี่ยง
เพลาข้อเหวี่ยง (Crankshaft) ทำหน้าที่รับกำลังออกจากลูกสูบแล้วเปลี่ยนการเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงจากก้านสูบ ให้เป็นการเคลื่อนที่ในแนววงกลมเพื่อส่งไปใช้งาน
ล้อแม่เหล็ก (Flywheel Magneto) ในรถจักยานยนต์ส่วนใหญ่จะใช้ล้อแม่เหล็กเป็นล้อช่วยแรง ประกอบด้วยแม่เหล็กถาวร 2 คู่ เพื่อหมุนตัดกับขดลวดผลิตกระแสไฟฟ้า และทำหน้าที่ตุนกำลังงานจากการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยง เพื่อใช้ในจังหวะที่เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง
2.2 หลักการทำงานของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ
การทำงานของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ แยกเป็นแต่ละจังหวะได้ดังนี้
1. จังหวะดูด (Intake Stoke)

วาล์วไอดีจะเปิดรับไอดีในจังหวะใด

2. จังหวะอัด (Compression Stroke)

วาล์วไอดีจะเปิดรับไอดีในจังหวะใด

3. จังหวะระเบิดหรือจังหวะงาน (Power Stroke)

วาล์วไอดีจะเปิดรับไอดีในจังหวะใด

4. จังหวะคาย (Exhaust Stroke)

วาล์วไอดีจะเปิดรับไอดีในจังหวะใด

ไดอะแกรมแสดงการปิด-เปิดของวาล์ว (Valve Timing Diagram)
1. ลิ้นไอดีเปิด (Inlet Valve Open) เปิดก่อน TDC
2. ลิ้นไอดีปิด (Inlet Valve Close) ปิดหลัง BDC
3. ลิ้นไอเสียเปิด (Exhaust Valve Open) เปิดหลัง BDC
4. ลิ้นไอดีปิด (Inlet Valve Open) ปิดก่อน TDC
2.3 หลักการทำงานของเครื่องยนต์ 2 จังหวะ
เครื่องยนต์ 2 จังหวะไม่มีวาล์วสำหรับการปิด-เปิดไอดี ไอเสีย ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์ 4 จังหวะ กลไกต่าง ๆ จะง่ายกว่า โดยจะต้องใช้ช่อง (Port) แทนในการบรรจุไอดีและคายไอเสีย เช่น ช่องไอดี (Intake Port) ช่องทางไอดี (Transfer Port) ช่องไอเสีย (Exhaust Port) เป็นต้น

วาล์วไอดีจะเปิดรับไอดีในจังหวะใด

เครื่องยนต์ 2 จังหวะ สามารถแบ่งได้เป็น 4 แบบ คือ
1. แบบลูกสูบ (Piston Valve Type)
เครื่องยนต์แบบนี้ การบรรจุไอดี และการถ่ายไอเสีย จะใช่ส่วนบนและล่างของลูกสูบเป็นตัวกำหนด เวลาช่องปิดเปิดช่องไอดี-ไอเสีย ดังนั้นตำแหน่งการบรรจุไอดี และคายไอเสียจึงคงที่ตลอดเวลา
2. แบบรีดวาล์ว (Reed Valve)
เครื่องยนต์แบบนี้ได้มีการปรับปรุงเพื่อป้องกันสาเหตุที่ไอดีสามารถไหลย้อนกลับไปทางคาร์บูเรเตอร์ โดยกการติดตั้งลิ้นกับกลับที่เรียกว่า "รีดวาล์ว" (Reed "Valve) ซึ่งทำจากแผ่นเหล็กสปริงที่มีความเหนียวและแข็งแรงต่อแรงกระแทกได้ดี
3. แบบโรตารี่ (Rotary Valve)
เครื่องยนต์แบบนี้การคายไอเสียจะใช้ส่วนบนของลูกสูบเปิดหรือปิดช่องไอเสีย การบรรจุไอดีเข้าห้องเพลาข้อเหวี่ยงจะใช้แผ่นโรตารี่วาล์วเปิดหรือปิดช่องไอดี ดังนั้นการบรรจุไอดีเพิ่มหรือลดจึงทำได้โดยง่าย อัตราแร่งและกำลังของเครื่องยนต์จะมีมากที่ความเร็วต่ำและสูง
4. แบบเพาเวอร์รีด (Power Reed)
เครื่องยนต์แบบนี้จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างแบบลูกสูบกับแบบรีดวาล์ว ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์สูง ทั้งขณะที่เครื่องยนต์มีความเร็วรอบต่ำและสูง
5. แบบแคร้งค์เคสรีดวาล์ว (Crank Case Reed Valve)
เครื่องยนต์แบบนี้จะให้ไอดีไหลเข้าในห้องเพลาข้อเหวี่ยงโดยตรง (ไม่ผ่านเสื้อสูบ) และใช้รีดวาล์วเป็นอุปกรณ์ป้องกันการไหลกลับการไหลของไอดีเช่นเดียวกันกับแบบรีดวาล์ว ทำให้ระยะทางการไหลของไอดีสั้นลงทำให้สามารถบรรจุไอดีเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมีผลให้รถมีอัตราเร่งดีขึ้น


แบบฝึกหัดหลังเรียน