สตาร์ทอัพด้านเกษตร แหล่งเงินทุนเกษตรกรBrennan Costello หัวหน้าฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง FarmAfield สตาร์ทอัพมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในอเมริกา ไลบีเรีย รวมทั้งไทย พวกเขาจึงต้องการสร้างพื้นที่การทำงานร่วมกับเกษตรกร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก ด้วยการเชื่อมโยงการเกษตรเข้ากับเทคโนโลยี นำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เทคโนโลยีกำลังเคลื่อนไปข้างหน้า แต่จะทำอย่างไรให้เกษตรสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ สตาร์ทอัพจึงนำโมเดลธุรกิจใหม่เข้ามาพัฒนาธุรกิจเกษตรกรรม เกิดเป็นตัวช่วยด้านเงินทุนในแบบที่ไม่ต้องกู้ยืม ช่วยให้เกษตรกรที่ประสบปัญหาได้รับโอกาสในการพัฒนาเกษตรกรรมของตนเองต่อไปได้ แพลตฟอร์มเชื่อมต่อเกษตรกรกับผู้บริโภคลงทุนและมีส่วนร่วมกับการผลิต แพลตฟอร์ม www.farmafield.com เชื่อมต่อระหว่างผู้บริโภคและเกษตรกร ยกตัวอย่าง การให้ผู้บริโภคเข้ามาลงทุนและเป็นเจ้าของวัวเนื้อร่วมกับเกษตรกร แม้ว่าเกษตรกรรมในอเมริกา จะเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญและถือเป็นกระดูกสันหลังอย่างหนึ่ง ปัจจุบันมีพื้นที่เพาะปลูกรวม 2,314 ล้านไร่ โดยในปีที่ผ่านมาทำรายได้ประมาณ 133 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับมีจำนวนเกษตรกรเพียง 2.2 ล้านคน หรือคิดเป็น 2 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเท่านั้น และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ FarmAfield เป็นสตาร์ทอัพที่กำเนิดจากเมืองลินคอล์น มลรัฐเนบราสกา สหรัฐอเมริกา ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุนในอุตสาหกรรมการเกษตรในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดย Brennan Costello หัวหน้าฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง FarmAfield เล่าว่า FramAfield มีแนวคิดสำคัญคือ การพัฒนาแพลตฟอร์ม www.farmafield.com ที่ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับกระบวนการผลิตของเกษตรกรได้ โดยเชื่อมต่อระหว่างผู้บริโภคและเกษตรกร ทำให้ผู้บริโภค (นักลงทุน) เป็นเจ้าของเกษตรกรรมด้วยตัวเองผ่านการลงทุนในกลุ่มเกษตรกรที่เลือก โดยนักลงทุนสามารถเลือกระดับการลงทุนได้ตั้งแต่ 5 ดอลลาร์ หรือไม่กี่ร้อยบาท และจะได้รับหุ้นและกำไรเป็นผลตอบแทน นักลงทุนได้กำไรเกษตรกรได้ความมั่นคง “เราคิดว่าจะหาวิธีการอย่างไร ที่จะสามารถสร้างเสถียรภาพด้านรายรับให้กับเกษตรกรทั้งในอเมริกาและไลบีเรีย ขณะเดียวกันจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเกษตรกร แต่จะต้องลดความเสี่ยงและให้ความมั่นคงในการพัฒนาผลผลิต ซึ่งเราพบว่า ผู้บริโภคในอเมริกา เริ่มคิดถึงที่มาของผลิตภัณฑ์ที่เขาบริโภค และมีความคิดว่าเกษตรกรทำเกษตรกรรมด้วยวิธีไหนบ้าง ด้วยวิธีการนี้เอง จึงนำมาสู่วิธีการคิดที่จะให้ผู้บริโภคเชื่อมต่อเข้าสู่สายการผลิตโดยตรงผ่านกระบวนการทำงานร่วมกับชาวนา ในการเลี้ยงดูปศุสัตว์ การเพาะปลูก” Brennan กล่าว ยกตัวอย่าง เช่น การให้ผู้บริโภคเข้ามาลงทุนและเป็นเจ้าของวัวเนื้อร่วมกับเกษตรกรที่เลี้ยงวัวเนื้อ โดยเกษตรกรจะเป็นผู้เลี้ยงดูสัตว์เหล่านี้ และคอยแลกเปลี่ยนข้อมูลให้ผู้ลงทุนทราบว่า วัวเป็นอย่างไร และเมื่อขายสู่ตลาดแล้ว ผู้ลงทุนจะได้รับทุนคืนพร้อมทั้งผลกำไร “เราเปลี่ยนวัวเป็นการลงทุนผ่านการทำสัญญาการผลิต นักลงทุนจะจ่ายเงินสำหรับเลี้ยงวัวให้กับเกษตรกร วิธีการดังกล่าว จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนเลี้ยงวัวของเกษตรกร ทำให้เขาสามารถปรับตัวเข้ากับแหล่งเงินลงทุนใหม่ๆ ได้ ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลผลิต ซึ่งหากเราไม่ใช้วิธีการนี้เกษตรกรจะต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาในตลาดวัวเนื้อ และไม่สามารถลงทุนกับผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ได้ ดังนั้นการเปิดโอกาสให้เกษตรกรรับเงินทุนจากภายนอก จะช่วยให้ฟาร์มเล็กๆ อย่างในไลบีเรีย สามารถมีรายรับที่มั่นคง และพัฒนาเกษตรกรรมของเขาขึ้นไปได้” Brennan กล่าว พัฒนาแอพพลิเคชั่นรองรับสร้างสัมพันธ์กับเกษตรกรและชุมชน
“นอกจากการนำเทคโนโลยีเข้าไปเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรแล้ว มองว่าสิ่งสำคัญอีกประการคือ การสร้างความสัมพันธ์กับเกษตรกร และการทำงานในพื้นที่ชุมชน ในลักษณะพาร์ตเนอร์ พร้อมทั้งสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อให้เกษตรกรเกิดความเชื่อมั่น และเข้ามาร่วมเป็นส่วนสนับสนุนในการสร้างชุมชนและทีมกับเรา” Brennan กล่าว
ใช้ Blockchain ช่วยเกษตรกร แก้ปัญหาความยากจน ทีมสานฝัน ผู้ก่อตั้งโครงการ Farmerhope เจนจิรา ธาราพันธ์ หัวหน้าทีมสานฝัน เล่าว่า มีตัวเลขพบว่า
โดยข้อมูลทุกอย่างจะเป็นสาธารณะตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่ www.farmerhope.fund ผู้บริจาคเงินสามารถติดตามได้ว่า เงินของคุณนำไปช่วยเหลือชาวนากลุ่มไหน ในจังหวัดอะไร และนำไปใช้ทำอะไรบ้าง จนไปสู่ผลลัพธ์ด้านการทำรายได้ โดยผู้บริจาคจะเห็นเป็นกำไรสะสมอีกด้วย “เราช่วยเหลือเกษตรกรผ่าน 2 แนวทาง โดยการนำเทคโนโลยีเข้าไปแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เพื่อให้ผู้บริจาคเห็นว่า เงินที่พวกเขาบริจาคนั้นเข้าถึงเกษตรกรจริง ไม่ใช่เป็นการให้เงินแล้วหมดไป แนวทางต่อมาคือ การนำเงินมาเป็นทุนให้กับคนเกษตรกรในลักษณะการยืมเป็นทุนพัฒนาความรู้ โดยเรามีการดูแลและผลักดันเกษตรกรอย่างใกล้ชิด โดยการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติ หรือผู้นำชุมชน เพื่อให้เกษตรกรสามารถสร้างกำไรได้อย่างแท้จริง และเมื่อพวกเขาทำกำไรได้ จะมีการคืนเงินเข้าสู่ระบบเพื่อหมุนเวียนไปช่วยเหลือคนอื่นต่อไป” เจนจิรา กล่าว เจนจิรา ยังกล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนคุ้นเคยกับการทำเกษตรกรรม เชื่อว่า เกษตรกรไทยมีประสิทธิภาพที่สามารถพัฒนาคุณภาพการทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผลิตผล การลดต้นทุน โดยเมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้ว เชื่อว่ายังสามารถพัฒนาได้อีกมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องอาศัยการปรับวิธีการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น แต่เดิมการปลูกข้าวหนึ่งไร่จะต้องใช้ข้าวถึง 25 กิโลกรัม แต่ถ้าใช้เครื่องหยอดข้าวเข้ามาช่วย จะใช้ข้าวเพียงแค่ 8 กิโลกรัมต่อไร่ หากทำเช่นนี้แล้ว จะช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุน และมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงผลิตผลที่เพิ่มมากขึ้นด้วย |