ศิลปะการแสดงไทย Show
๑. อิทธิพลด้านความเชื่อในเรื่องพิธีการไหว้ครู ครอบครู นาฏศิลป์และดนตรี โดยก่อนเริ่มต้นศึกษา ผู้ศึกษาต้องเข้าพิธีไหว้ครู ครอบครู ซึ่งพิธีกรรมเหล่าเป็นพิธีกรรมที่ได้อิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ฮินดู และศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดียโบราณ ในพิธีกรรมจะมีการสร้างสรรค์ศีรษะเทพเจ้าที่เชื่อว่าเป็นครู เป็นผู้สร้างสรรค์ท่ารำให้กับมนุษย์โลก หลายองค์ ซึ่งองค์ที่เป็นหลักคือ พระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม ตรงตามความเชื่อของศาสนาพรหมณ์ฮินดู
ละครชาตรีในยุคโบราณ จากตัวอย่างได้มีการพัฒนาในเรื่องผู้แสดงที่เพิ่มจำนวนมากกว่า ๓ คน และมีการพัฒนาในเรื่องการแต่งกาย ที่เลียนแบบจากละครกษัตริย์ ๓. อิทธิพลด้านวิธีการแสดงไม่ว่าจะเป็นการแสดงละคร โขน การแสดงเบิกโรง แม้กระทั่งการมีตัวตลกตามพระเอก นางเอก การแสดงละครไทยโดยเฉพาะละครชาวบ้านที่เรียกว่าละครชาตรีเชื่อว่าได้อิทธิพลจากละครยาตราของอินเดีย เพราะมีรูปแบบวิธีการแสดงที่เหมือนกันในเรื่องจำนวนผู้แสดงที่ใช้เพียง ๓ คน เรื่องที่นิยมแสดง แต่ละครชาตรีของไทยต่อมาได้มีการพัฒนามาโดยตลอดจึงทำให้รูปแบบการแสดงดูแตกต่างออกไป
ส่วนการแสดงโขนไทย เชื่อว่าได้อิทธิพลจากการแสดงกถักลิของอินเดีย เนื่องจากมีรูปแบบการแสดงที่คล้ายคลึงกันหลายด้าน เช่น การแสดงโขนไทยถือกำเนิดในราชสำนัก เช่นเดียวกับกถักลิที่เกิดจากวรรณชั้นสูงของอินเดีย โขนแสดงเรื่องรามเกียรติ์ที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเก่าแก่ของอินเดียเรืองรามายณะ โขนมีการพากย์เจรจา มีการใช้ภาษาท่าทาง ซึ่งกถักลิของอินเดียมีรูปแบบการแสดงไม่ต่างกับโขน แต่ด้วยเหตุผลที่โขนของไทยถือกำเนิดภายหลัง จึงเชื่อว่าคงได้อิทธิพลจากของอินเดียมา
ในขณะที่การแสดงเบิกโรงที่ไทยนิยมนำมาแสดงก่อนการแสดงละครใน และโขนนั้นก็มีการสันนิษฐานว่าน่าจะได้อิทธิพลมาจากการแสดงชุด "ปริวรรตนะ" ของอินเดียที่นิยมนำมาแสดงโดยให้ผู้แสดงถือธงออกมาร่ายรำเพื่อบูชาธงและเทพเจ้าตามความเชื่อก่อนแสดงเป็นเรื่องราว ทั้งนี้ไทยได้นำมาปรับปรุงให้เป็นการแสดงเบิกโรงโดยให้ผู้แสดงสมมติตนเองเป็นเทวดาถือหางนกยูงออกมารำเพื่อความเป็นมงคล แล้วเรียกการแสดงชุดนี้ว่า "ประเลง" ตำนานการฟ้อนรำที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เป็นตำนานที่ปรากฏใน “โกยิลปุราณะ” ฉบับอินเดียใต้ เป็นตำนานเกี่ยวกับการกำเนิดท่ารำของมนุษย์ในศาสนาฮินดู ได้กล่าวไว้ ดังนี้ กาลครั้งหนึ่งมีเหล่าฤษีกลุ่มหนึ่งตั้งอาศรม(ที่พักอาศัย)อยู่กับภรรยาในป่าตาระคา(ตาระกา) ต่อมาฤษีกลุ่มนี้ประพฤติผิดเทวะบัญญัติ ทำให้พระศิวะเทพเจ้าขัดเคืองจึงชวนพระนารายณ์ลงมาปราบ โดยทำอุบายแปลงกายเป็นฤษีสองสามีภรรยามาอยู่ร่วมกับเหล่าฤษีในป่าแห่งนี้ ด้วยเหตุที่ฤษีแปลงทั้งสองพระองค์มีรูปโฉมงดงามทำให้เหล่าฤษีมนุษย์และภรรยาพากัน ลุ่มหลงทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทแย่งชิงกันด้วยอำนาจราคะจริต แต่ฤษีแปลงทั้งสองไม่ปลงใจด้วยจึงสร้างความโกรธแค้นให้เหล่าฤษีและภรรยา สาปแช่งฤษีแปลงทั้งสององค์ แล้วช่วยกันเนรมิตเสือให้มาทำร้าย พระศิวะจึงฆ่าเสือนำหนังเสือมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม เหล่าฤษีไม่ยอมแพ้เนรมิตพญานาคให้พ่นพิษทำร้าย พระศิวะจึงจับมาทำเป็นสังวาลประดับองค์ เหล่าฤษีไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ช่วยกันเนรมิตยักษ์ค่อมมีกายใหญ่โตผิวสีดำชื่อ อสูรมูลาคนี (มุยะละคะ หรือ มุละยะกะ) ก็ถูกพระศิวะแปลงกายใหญ่โตกว่าแล้วใช้เท้าขวาเหยียบยักษ์จนหลังหัก ขณะที่ต่อสู้กันในระหว่างนั้นพระศิวะจะแสดงท่าร่ายรำไปด้วย เมื่อยักษ์ค่อมล้มลงจึงใช้เท้าเหยียบยักษ์ไว้แล้วแสดงท่าร่ายรำต่อจนจบกระบวนท่ารำ เหล่าฤษีเห็นดังนั้นจึงสิ้นฤทธิ์ยอมรับผิดแล้วขอขมา สัญญาจะประพฤติตนอยู่ในเทวะบัญญัติอย่างเคร่งครัดต่อไป เมื่อกลับจากปราบฤษี พระนารายณ์ได้เล่าเรื่องราวให้พญาอนันตนาคราชผู้เป็นบัลลังก์นาคฟัง พญานาคอยากเห็นพระศิวะร่ายรำ พระนารายณ์แนะให้ไปบำเพ็ญภาวนาเพื่อขอพรจากพระศิวะที่เชิงเขาไกรลาศ ในที่สุดพระศิวะก็เสด็จมาร่ายรำให้พญานาคดูตามคำขอโดยเนรมิต “นฤตสภา” ขึ้นในเมืองมนุษย์ที่ตำบลจิทรัมพรัมในแคว้นมัทราชทางตอนใต้ของประเทศอินเดียแล้วทรงแสดงท่ารำให้พญานาคดูเป็นครั้งที่สอง ต่อมาพระพรหมต้องการรวบรวมท่ารำไว้เป็นตำราสำหรับมนุษย์โลกจึงโปรดให้พระภรตฤษี (ภารตะมุนี หรือนารทฤษี) ไปทูลเชิญให้พระศิวะร่ายรำเป็นครั้งที่สาม การร่ายรำครั้งนี้พระศิวะทรงเชิญพระอุมามเหสีเป็นประธาน ให้พระสรัสวดีดีดพิณ พระอินทร์เป่าขลุ่ย พระพรหม ตีฉิ่ง พระนารายณ์ตีโทน พระลักษมีขับร้อง ท่ารำที่บันทึกไว้ชาวอินเดียเรียกว่า “กรณะ” มีท่ารำพื้นฐาน ๓๒ ท่ารำ เมื่อนำมาผสมผสานท่าทางเข้าด้วยกันจะได้ทั้งหมด ๑๐๘ ท่า
ระบำกรีดยาง สร้างจากแนวคิดการดำรงชีพของชาวภาคใต้ โดยการปลูกยางพารา ๑. การแสดงที่สร้างสรรค์ขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว เช่น โขน ละครไทย หรือ การแสดงที่ไม่เป็นเรื่องราวประเภทรำบำ รำ ฟ้อน
เซิ้ง มักมีแนวคิดในการสร้างสรรค์ให้ผู้ชมได้รับรู้ หลังจากชมการแสดง อาจนำเสนอออกมาเป็นแนวคิดของเรื่องราวที่ชม หากเป็นการแสดงที่เป็นเรื่องราว หรือผู้ชมจะเกิดความเข้าใจในการแสดงว่านำเสนอให้เห็นหรือเข้าใจในเรื่องอะไร เช่นความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิต สิ่งที่การแสดงนำเสนอ หากเป็นการแสดงที่ไม่เป็นเรื่องราวประเภท ระบำ รำ ฟ้อน เซิ้ง เป็นต้น
การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุด ลักสีดา แสดงให้เห็นถึง การรำบท การรำหน้าพาทย์ การใช้นาฏยศัพท์ในท่ารำ และการแสดงภาษาท่า
รูปแบบการแสดง “ระบำ” ได้รวมเอารูปแบบของ “ฟ้อน” “เซิ้ง” “ตารี” เข้าไว้ด้วย เพราะวิธีการแสดง และรูปแบบการแสดงมีลักษณะเหมือนกัน แยกให้เห็นความแตกต่างของท้องถิ่นแต่ละภาคในด้านลีลาการร่ายรำ การแต่งกาย และภาษาคำร้อง ตามท้องถิ่น วัฒนธรรม และประเพณีนิยม
ระบำแบบมาตรฐาน คือระบำที่ประกอบด้วยท่ารำ บทร้อง และเพลงหน้าพาทย์ตามแบบนาฏศิลป์ไทย ซึ่งครูอาจารย์ทางนาฏศิลป์ในอดีตได้กำหนดแบบแผนกระบวนการรำที่มีลักษณะเฉพาะเป็นที่ยอมรับกันมานานการแต่งกายนิยมให้แต่งยืนเครื่องพระ – นาง หรือเลียนแบบเครื่องทรงของกษัตริย์ สมมติให้ผู้แสดงเป็นเทวดานางฟ้า ได้แก่ ระบำสี่บท ระบำพรหมมาสตร์ ระบำย่องหงิด ระบำดาวดึงส์ และระบำกฤดาภินิหาร เป็นต้น
เรื่องรามเกียรติ์ จัดเป็นระบำมาตรฐาน ระบำแบบปรับปรุงขึ้น เป็นระบำที่สร้างขึ้นใหม่ คำนึงถึงความเหมาะสมต่อการนำไปใช้ในโอกาสต่าง ๆ อาจปรับปรุงเลียนแบบจากระบำมาตรฐาน โดยยึดแบบและลีลาตลอดจนความสวยงามตามระบำแบบมาตรฐานไว้ เช่น เลียนแบบลีลาท่ารำที่สำคัญ เลียนแบบการแต่งกาย เลียนแบบกระบวนการจัดรูปแบบแถวบนเวที ฯลฯ เปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ดูงามขึ้น หรือเพื่อความเหมาะสมกับสถานที่และโอกาสที่นำไปแสดง เช่น ระบำถวายพระพรเนื่องในวันเฉลิมพระชนพรรษาของพระมหากษัตริย์ หรือเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ เป็นต้น หรือปรับปรุงจากพื้นบ้าน ประดิษฐ์สร้างสรรค์ขึ้นโดยได้แนวคิดจากวิถีความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นหรือคนพื้นบ้าน อาจแสดงให้เห็นถึง วิถีชีวิต การประกอบอาชีพ ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี หรือเรื่องราวความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น นำมา สร้างสรรค์นำเสนอในเป็นรูปแบบระบำต่างๆ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ประจำถิ่นเช่น เซิ้งบั้งไฟ เต้นกำรำเคียว ระบำงอบ ระบำกะลา ระบำชาวนา ฟ้อนสาวไหม ตารีมาลากัส เป็นต้น หรือปรับปรุงจากเหตุการณ์ คิดประดิษฐ์ขึ้นเพื่อนำไปแสดงในโอกาสที่เหมาะสม เช่น ระบำพระประทีป ระบำโคมไฟ ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อนำไปแสดงในวันลอยกระทง รำอวยพรที่มีบทร้องเหมาะสมหรือเกี่ยวข้องกับโอกาสที่แสดง เช่น แสดงความยินดี อวยพรวันเกิดงานวันเกษียณอายุ เป็นต้น หรือ ปรับปรุงขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสื่อนำเข้าสู่บทเรียนเหมาะสำหรับเด็กๆ เป็นระบำง่าย ๆ เร้าความสนใจใช้ประกอบบทเรียนต่าง ๆ เช่น ระบำสูตรคูณ ระบำวรรณยุกต์ ระบำปลาน้ำจืด – น้ำเค็ม ระบำนก ระบำผ้า ระบำไก่ เป็นต้น
ของชาวไทย โดยเฉพาะภาคกลาง ระบำประเภทปรับปรุงขึ้นใหม่นี้ ลักษณะท่ารำไม่ตายตัว มีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ ตัวบุคคล ตลอดจนฝีมือ และความสามารถของผู้สอน และตัวผู้เรียนเอง รำ หมายถึง ศิลปะของการรำเดี่ยว รำคู่ รำหมู่ รำอาวุธ ข้อสังเกตในการที่จะเรียกการแสดงชุดหนึ่งชุดใดว่า “รำ” นั้น สังเกตได้ ดังนี้
เป็นการแสดง “เดี่ยว” (รำคนเดียว) เรียกได้ว่า “รำ” เช่น รำฉุยฉายต่าง ๆ ได้แก่ ฉุยฉายพราหมณ์ ฉุยฉายเบญจกาย รำกริชเดี่ยว รำมโนห์ราบูชายัญ รำพลายชุมพล เป็นต้น
รำคู่ ชุด รจนาเสี่ยงพวงมาลัย
การแสดง “คู่” ให้พิจารณาที่ “บท” ว่ารำบทเดียวกันหรือไม่ ถ้าบทเดียวกันจะออกไปในรูปของ “ระบำ” ถ้าใช้คนละบทมักเรียกว่า “รำ” เช่น รำคู่ชุดเงาะรจนาเสี่ยงพวงมาลัย ออกมารำ 2 คน แต่ก็รำคนละบท ลีลาของตัวละครต่างกัน หรือรำอาวุธ เราก็เรียกว่ารำ เพราะตัวละครทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันด้วยลีลาคนละแบบ หากการแสดงออกมาเป็นหมู่ เช่น รำสีนวล รำแม่บท แต่ยังเรียกว่า “รำ” ไม่เรียกว่า “ระบำ” ต้องพิจารณาว่า การแสดงชุดนั้นตัดตอนออกมาจาก การแสดง ”โขน” หรือ ”ละคร” หรือไม่ ถ้ามาจากการแสดงโขน หรือ ละคร และการรำนั้นมักเป็นการรำของตัวละครตัวเดียวมาก่อนถึงแม้จะตัดตอนออกมาแสดงแล้วจัดการแสดงเป็นหมู่ก็ยังนิยมเรียกว่า “รำ” ตามคำเรียกเดิมของการแสดงชุดนั้น เช่น รำสีนวล เป็นการรำของนางวิฬา(นางแมว) ที่เป็นตัวละครในเรื่องไชยเชษฐ์รำแม่บทมาจากเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนารายณ์ปราบนนทุก เป็นบทรำของนางนารายณ์แปลง รำล่อให้นนทุกรำตาม เป็นต้น
ที่ออกมาเยาะเย้ยพระไชยเชษฐ์ในละครนอกเรื่อง ไชยเชษฐ์ จากทำนองนี้ได้มีการนำมาประกอบบทร้องที่แต่งใหม่ เรียกการแสดงว่า รำสีนวล เป็นการรำหมู่
การแสดงไม่เป็นเรื่องราวของไทย เป็นการแสดงที่ใช้เวลานำเสนอระยะสั้น ในรูปแบบคำว่า รำ ระบำ ฟ้อน เซิ้ง ตารี การแสดงประเภทนี้อาจการสร้างสรรค์ไว้และสืบทอดท่ารำต่อกันมานานที่เป็นลักษณะระบำมาตรฐาน
หรืออาจเป็นการแสดงที่มีการสร้างสรรค์ประดิษฐ์/ปรับปรุงขึ้นมาใหม่ โดยจะนำมาใช้ได้หลายโอกาส ทั้งนี้การสร้างสรรค์การแสดงจะขึ้นอยู่กับวิธีการสร้างสรรค์ อาจมีแนวทางที่ต่างกันออกไป ตามโอกาสที่นำเสนอ สุนทรียภาพของนาฏศิลป์ไทยพิจารณาได้จากอะไรบ้าง *สุนทรียภาพของการแสดงนาฏศิลป์ไทย คือการรู้สึกคุณค่าของความงามอันเกิดจากมีประสบการณ์ที่ได้เห็นลีลาท่ารำ ได้ยินเสียงขับร้องและบรรเลงที่ไพเราะ รูปแบบของสุนทรียภาพในการแสดงนาฏศิลป์ไทยมีดังนี้. 1 สุนทรียภาพทางวรรณกรรม ... . 2 สุนทรียะทางดนตรีและการขับร้อง ... . 3 สุนทรียจากลีลาท่ารำ. ความงามของนาฏศิลป์ไทย มีอะไรบ้างความงามของนาฏศิลป์ไทย เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่มีการประดิษฐ์คิดค้นอย่างมีแบบแผนและมีความประณีตงดงามจากภูมิปัญญาไทย เป็นการบูรณาการความงามหลากหลายด้านมาประกอบกันจากวัฒนธรรมในรูปแบบต่างๆ ทั้งความงดงามจากท่ารำนาฏศิลป์ไทย จากนาฏศิลป์ไทยโขน จากภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปแบบนาฏศิลป์พื้นเมือง จากความไพเราะของดนตรีไทย รวมทั้งการ ...
นาฏศิลป์เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความดีงามในด้านใด1. ให้คุณค่าด้านความเพลิดเพลินบันเทิงใจต่อผู้รับชม 2. ให้คุณค่าด้านการอนุรักษ์และเผยแพร่ เพราะเป็นศิลปะการแสดงที่เป็น มรดกของชาติให้คงอยู่สืบไป 3. ให้คุณค่าด้านพิธีกรรม เพราะมีการแสดงนาฏศิลป์ในงานพิธีต่าง ๆ เช่น รำอวยพร หรือการแสดงเกี่ยวกับความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เซิ้งบั้งไฟ
ความงามของนาฏศิลป์ไทยเกิดขึ้นด้วยปัจจัยอะไรบ้างนาฏศิลป์ไทยเกิดขึ้นจากอารมณ์ ความรู้สึก และความเชื่อต่าง ๆ เช่น ความสุข หรือความทุกข์ ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นท่าทางแบบธรรมชาติและ ประดิษฐ์ขึ้นเป็นท่าทางและลีลาการฟ้อนรำา หรือ เกิดจากลัทธิความเชื่อในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการเต้นรำา ขับร้อง ฟ้อนรำา เพื่อความพึงพอใจ
|