ตรัง - นายก อบต.เกาะสุกร หวั่นผลกระทบจากดิน และหินที่ถล่มลงมา 2 จุด เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หวั่นเกรงจะเกิดอันตรายต่อชีวิตของนักท่องเที่ยวในอนาคต วอนหน่วยงานระดับสูงขึ้นไปลงมาช่วยแก้ไขโดยเร็ว ทาง อบต.ทำได้แค่ออกประกาศแจ้งเตือนเท่านั้น Show ไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า หลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของเกษตรอินทรีย์ก็คือ การจัดการดินให้มีความอุดมสมบูรณ์และสมดุล ทั้งนี้เพราะเกษตรอินทรีย์ถือว่า “ถ้าดินดี พืชย่อมแข็งแรงและสมบูรณ์” ซึ่งการปรับปรุงดินในแนวทางเกษตรอินทรีย์นี้จะใช้แนวทางชีวภาพเป็นหลัก ทั้งนี้โดยมีเป้าหมายเพื่อการฟื้นฟูบำรุงดินและปรับปรุงสมดุลของธาตุอาหารใน ดินไปพร้อมกัน ในการปรับปรุงดินด้วยชีววิธีนี้มีหลายวิธี อาทิ การจัดการอินทรีย์วัตถุในไร่นา (เช่น การไม่เผาฟาง), การจัดการใช้ที่ดินอย่างอนุรักษ์ (เช่น การป้องกันดินเค็ม หรือการป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน) หรือการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ประเภทต่างๆ เช่น ปุ๋ยคอก, ปุ๋ยหมัก, ปุ๋ยพืชสด และปุ๋ยชีวภาพ ความสำคัญของดินต่อการเกษตรเป็นเรื่องที่ตระหนักรับรู้กันมานาน ภูมิปัญญาพื้นบ้านมีวิธีการในการจำแนกและวิเคราะห์ดิน ตลอดจนการคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการทำการเกษตรแต่ละประเภท ความสำคัญของดินต่อการเพาะปลูกนั้นไม่เพียงเพราะว่า ดินเป็นจุดศูนย์กลางของวงจรธาตุอาหารพืช โดยเฉพาะไนโตรเจนและคาร์บอน แต่ยังรวมถึงการที่ดินเป็นแหล่งกำเนิดและที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตมากมายมหาศาล ตลอดจนปัญหาความไม่ยั่งยืนของการเกษตรมีสาเหตุมาจากความเสื่อมโทรมของดิน เป็นสำคัญ ดังนั้นการจัดการดินอย่างถูกต้องจึงเป็นหัวใจของเกษตรอินทรีย์ ในบทนี้จึงได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับดิน ตลอดจนแนวทางการจัดการดินในระบบเกษตรอินทรีย์ การฟื้นฟูดิน องค์ประกอบที่สำคัญของดินสำหรับการเกษตรมีอยู่ 4 องค์ประกอบ คือ เม็ดดิน, น้ำ, อากาศ และอินทรีย์วัตถุ ในการปรับปรุงบำรุงดินนั้นเกษตรกรคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเม็ดดินได้มากนัก สิ่งที่เกษตรกรสามารถจัดการได้ก็คงมีเพียงแต่น้ำ, อากาศ และอินทรีย์วัตถุในดิน ซึ่งการจัดการอินทรีย์วัตถุนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะอินทรีย์วัตถุเป็นตัวแปรหลักที่ทำให้เกิดช่องว่าง(อากาศ) ในดิน และความสามารถในการเก็บกักน้ำของดิน ) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ปริมาณอินทรีย์วัตถุจะถูกใช้เป็นดัชนีสำคัญในการ บ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยดินที่ดีจะมีอินทรีย์วัตถุประมาณ 5% ดินในฟาร์มเกษตรของประเทศเขตร้อนโดยส่วนใหญ่เป็นดิน ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีปริมาณอินทรีย์วัตถุน้อยกว่า 1% ทำให้ดินอัดแน่น ไม่มีช่องว่างอากาศสำหรับให้รากพืชหายใจ อีกทั้งยังมีความสามารถเก็บกักน้ำและธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชน้อย แนวทางการปรับปรุงดินด้วยการใช้อินทรีย์วัตถุและการฟื้นชีวิตให้กับดินจึง เป็นสิ่งจำเป็น (ก) อินทรีย์วัตถุในดินและฮิวมัส ตาราง 1 อินทรีย์วัตถุและฮิวมัสในดิน อินทรียวัตถุฮิวมัสทั่วไปฮิวมัสเสถียรแหล่งที่มาเศษซากพืชและสัตว์การสลายตัวของอินทรียวัตถุการสลายตัวของฮิวมัสทั่วไปและอินทรียวัตถุหน้าที่กายภาพทำให้ดินโปร่ง อากาศไหลเวียนดี, ระบายน้ำดี, เก็บความชื้นพัฒนาโครงสร้างดิน และปรับปรุงดินให้เก็บน้ำได้ดีและจับตัวเป็นก้อนพัฒนาโครงสร้างดิน และปรับปรุงดินให้เก็บน้ำได้ดีและจับตัวเป็นก้อนหน้าที่ทางเคมีให้ธาตุอาหารที่ละลายน้ำได้ โดยเฉพาะปุ๋ยคอกปล่อยธาตุอาหารให้พืช, เก็บธาตุอาหารส่วนเกินไว้ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ทันที, ป้องกันการสูญเสียธาตุอาหารเก็บธาตุอาหารไว้ในระยะยาวให้กับพืช, ช่วยดูดซับสารพิษในดินเอาไว้หน้าที่ทางชีววิทยาเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ที่ย่อยอินทรีย์ วัตถุ, แต่ถ้ามีคาร์บอนมากไปอาจกระตุ้นจุลินทรีย์บางชนิดให้ขยายตัวมาก และแย่งธาตุอาหารจากพืชเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ที่ย่อยอินทรีย์วัตถุ ปล่อยวิตามิน, ฮอร์โมน, สารปฎิชีวนะ และสารชีวนะอื่นๆ ให้พืชเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ในดินที่มา: Gershuny and Smillie (1995) ในบรรดาอินทรีย์วัตถุทั้งหมด สิ่งที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูดินในระบบเกษตรอินทรีย์ก็คือ ฮิวมัส ทั้งนี้ก็เพราะว่าฮิวมัสมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน เช่น * ฮิวมัสช่วยป้องกันการชะล้างหน้าดินและดินอัดตัวแน่นเกินไป * ฮิวมัสช่วยป้องกันภัยแล้ง * ฮิวมัสช่วยเก็บแร่ธาตุ ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ * ฮิวมัสช่วยลดสารพิษในดิน * ฮิวมัสช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช * สารอินทรีย์ทำให้สีของใบ ดอก และผลไม้สวยขึ้น (ข) ฟื้นชีวิตให้กับดิน ตาราง 2 สิ่งมีชีวิตในดิน สิ่งมีชีวิตจำนวนอาหารบทบาทในนิเวศดินจุลินทรีย์120 ล้าน – 1,200 ล้าน ต่อดินหนึ่งกรัมอินทรียวัตถุ, ธาตุอาหารในดินย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ, ตรึงไนโตรเจน, ปลดปล่อยฟอสเฟตจากดินแมลงหนึ่งพัน-หนึ่งแสนตัว ในดินหนึ่งตารางเมตรพืชและสัตว์ขนาดเล็ก, แมลง, รากพืช, ซากพืช, อินทรีย์วัตถุพรวนดินและผสมดิน เมื่อตายก็จะเป็นอินทรีย์วัตถุ แต่อาจเป็นศัตรูพืชด้วยไส้เดือน30-300 ตัว ในดินหนึ่งตารางเมตรอินทรีย์วัตถุพรวนดินและผสมดิน มูลมีธาตุอาหารมากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไม่แน่นอนไส้เดือน, แมลงพรวนดิน เพิ่มอินทรีย์วัตถุรากพืช18 – 1,000 กิโลกรัม/ไร่สังเคราะห์แสง, ธาตุอาหารเก็บกักน้ำ, หมุนเวียนธาตุอาหารจากดินลึกชั้นล่าง, ซากพืชเป็นอินทรีย์วัตถุที่มา: Gershuny and Smillie (1995) สิ่งมีชีวิตในดินเป็นกุญแจสำคัญของการฟื้นฟูบำรุงดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุลินทรีย์ต่างๆ ที่ช่วยทำหน้าที่ในการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ สิ่งมีชีวิตในดินเหล่านี้ต้องการอาหาร, น้ำ และอากาศ เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ดังนั้นแนวทางหลักในการฟื้นชีวิตให้กับดิน คือ 1) อาหาร 2) อากาศ ในดินจะมีอากาศได้ ดินต้องโปร่งและร่วนซุย แนวทางในการทำให้ดินโปร่งและร่วนซุย คือ 3) น้ำ เมื่อฟื้นชีวิตให้กับดินแล้ว ต้นไม้จะแข็งแรง ปัญหาโรคและแมลงก็จะน้อยลง ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก การปรับปรุงสมดุลของธาตุอาหารในดิน หลักวิธีคิดของการใช้ปุ๋ยเคมีในแนวทางเกษตรเคมีตั้งอยู่บนสมมุติฐานความ เชื่อว่า ธาตุอาหารที่มีอยู่น้อยในดินแต่พืชต้องการมากคือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม ดังนั้นการใช้ปุ๋ยเคมีจึงเน้นการให้ธาตุอาหารหลักที่พืชต้องการเพียง 3 ชนิด ส่วนธาตุอาหารรองอื่นๆ นั้น พืชสามารถได้รับจากดิน และเพื่อให้พืชสามารถดูดธาตุอาหารจากปุ๋ยเคมีไปใช้ได้โดยเร็ว ปุ๋ยเคมีจึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถละลายน้ำได้ง่าย โดยสรุปจะเห็นได้ว่าการใช้ปุ๋ยของเกษตรเคมีเป็นการให้ธาตุอาหารกับพืชโดยตรง โดยไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบของปุ๋ยเคมีที่อาจเกิดขึ้นกับดิน ตลอดจนความสมดุลของธาตุอาหารต่างๆ ที่พืชต้องการ ในทางตรงกันข้าม เกษตรอินทรีย์ให้ความสำคัญกับดินเป็นอันดับแรก เพราะเชื่อว่าต้นไม้จะแข็งแรงและให้ผลผลิตดีได้นั้น ไม่ใช่เพราะว่าพืชได้รับธาตุอาหารหลักอย่างเพียงพอ แต่ต้องมีความสมดุลของธาตุอาหารและพืชมีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ดีด้วย ทั้งนี้เพราะระบบนิเวศของดินมีส่วนสำคัญต่อความสมบูรณ์และแข็งแรงของพืช ดังนั้นเกษตรอินทรีย์จึงเน้นที่การใช้ปุ๋ยเพื่อปรับปรุงดิน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปรับสมดุลของธาตุอาหารในดิน หรือคือการให้ “อาหาร” กับดิน เพื่อที่ดินจะได้ให้ “อาหาร” กับพืชอีกทอดหนึ่ง อินทรียวัตถุในดินเกิดขึ้นมาได้อย่างไรแหล่งที่มาของอินทรียวัตถุในดินตามธรรมชาติมาจากพืชเป็นส่วนใหญ่ การสลายตัวของเศษซากพืช ซากสัตว์ หรือ ซากจุลินทรีย์ มีรูปแบบของการสลายตัวใกล้เคียงกับพืช เพียงแต่มีสารประกอบที่ย่อยสลายได้ง่ายอยู่ในปริมาณที่มากกว่า และไม่มีผนังเซลล์แบบพืชซึ่งมีเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และ ลิกนิน เป็นองค์ประกอบสำคัญ
อินทรียวัตถุมีความสําคัญอย่างไรประโยชน์ของอินทรียวัตถุในดิน ช่วยให้ดินจับตัวกันเป็นก้อน ทําให้ดินมีโครงสร้างทีดี ดินร่วน อากาศถ่ายเทได้สะดวก และระบายนําได้ดี ช่วยให้ดินอุ้มนําได้ดีขึน ดินทีมีอินทรียวัตถุสูง ก็จะมีความชืนอยู่ในดินได้นาน พืชก็จะสามารถนําไปใช้ในการเจริญเติบโต
อินทรียวัตถุในดิน มีอะไรบ้างอินทรียวัตถุในดิน คือ ส่วนที่เป็นสารอินทรีย์ซึ่งประกอบด้วย 1. เศษซากพืชหรือสัตว์ที่ย่อยสลายแล้ว 2. เซลล์และเนื้อเยื่อของจุลินทรีย์ 3. สารอินทรีย์ต่างๆ ที่จุลินทรีย์สังเคราะห์ขึ้น
จะแก้ปัญหาดินขาดอินทรียวัตถุนี้อย่างไรการจัดการปัญหาดินที่มีอินทรียวัตถุต่ำ-ต่ำมาก
ปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อพักดิน และเพิ่มสารอินทรีย์ให้ดิน เช่น ความชื้นในดิน หรือการจัดการเกี่ยวกับไนโตรเจน เช่น การปลูกพืชตระกูลถั่ว ในช่วงพักดินจากการปลูกอ้อย เป็นต้น หาสารอินทรีย์จากแหล่งอื่นมาใส่เพิ่มเติมในดิน เช่น ใส่ปุ๋ยคอก หรือกากชานอ้อย เพื่อบำรุงดิน เป็นต้น
|