ปัจจุบันภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีความสำคัญมากเพราะถูกใช้เป็นภาษากลางในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างบุคคล หน่วยงาน องค์กร ประเทศต่างๆที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและมีความก้าวหน้าด้านต่างๆมากกว่าผู้อื่น ดังนั้นหากคุณคิดว่าในอนาคตลูกคุณก็มีความจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในลักษณะเช่นนี้ ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษถือว่าเป็นทักษะหนึ่งที่มีความสำคัญของคนยุคใหม่ แล้วคุณมีวิธีฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษให้ลูกคุณอย่างไร 10 เทคนิคต่อไปนี้คุณเคยใช้หรือไม่ในการฝึกทักษะการอ่านสำหรับลูกน้อยของคุณ1. หาแรงจูงใจด้วยเกมต่างๆเช่นใช้บัตรคำที่มีภาพประกอบ สวยงาม 2. กระตุ้นด้วยความสนุกสนานอ่านบทเพลงซ้ำๆหลายรอบแล้วจึงสอนร้องเพลง 3. สร้างความสนใจด้วยการเขียนคำศัพท์บนกระดาษแล้วให้ลูกอ่าน สลับกับการอ่านของคุณ 4. เมื่อคุณพาลูกไปเที่ยวหรือไปซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้า ก็ชี้ชวนให้ลูกอ่านออกเสียงป้ายโฆษณาต่างๆ 5. ขณะที่คุณทำอาหารชวนลูกมาร่วมกิจกรรมด้วยให้เขาช่วยหยิบวัสดุ ส่วนประกอบของอาหารที่อยู่ในรูปกล่อง ซอง ห่อ หรือขวด โดยให้เขาอ่านออกเสียงก่อนหยิบมาส่งให้คุณ 6. ก่อนนอนคุณให้ลูกหยิบหนังสือเล่มโปรดจะเป็นการ์ตูน หรือหนังสือภาพ หนังสือเรียนก็ได้ทั้งนั้น มาอ่านออกเสียงกัน เพราะการอ่านมีทั้งอ่านออกเสียงและอ่านในใจ คุณควรฝึกให้เขาอ่านออกเสียงก่อนในวัยเด็ก 7. คุณควรมีบอร์ดติดไว้ที่ใดที่หนึ่งของบ้านในทุกๆวันคุณเขียนคำศัพท์ วลี ประโยคสั้นๆ ไว้แล้วให้ลูกคุณได้อ่านออกเสียงให้ฟังทำเสมอๆ 8. ให้ลูกฝึกอ่านหัวข้อข่าวภาษาอังกฤษที่เป็นประโยคสั้นๆง่ายๆ หรืออ่านคำศัพท์ที่รู้จักจากข่าว 9. คุณมีแผ่นฉลากเล็กหรือแผ่นโน้ตข้อความ วลีสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษ ติดตามตู้เย็นหรือตู้ เสื้อผ้า กระจก ฝาผนัง เพื่อสื่อสารธุระบางเรื่องในขณะที่คุณจะไม่อยู่บ้าน 10. สร้างแรงเสริมให้ลูกของคุณโดยให้คำชมทุกครั้งไม่ควรติหรือตำหนิแต่ใช้คำพูดว่า แม่ว่าคำนี้อ่าน... แบบนี้ใช่มั้ยไหนเราลองช่วยกันตรวจจากคอมพิวเตอร์หรือดิกชั่นารีดูซิ เป็นต้น จากทั้ง10 ข้อนี้คุณชอบข้อไหนกันบ้าง ที่สำคัญหลังเลือกวิธีไปแล้วคุณอย่าลืมนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนา ส่งเสริมลูกคุณเพื่อที่เด็กๆจะได้อ่านภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว มีประสิทธิภาพและเพื่ออนาคตที่สดใสของลูกคุณ หากคุณคิดว่าฉันไม่ไหวแน่ ทำไม่ได้หรือคงทำไม่ได้ดีแน่ ลองหาผู้ช่วยคนเก่งในการพัฒนาลูกของคุณ บริติช เคานซิลอาจเป็นหนึ่งในผู้ช่วยคุณได้ก็เป็นได้เพราะเรามีโปรแกรมการเรียนภาษาอังกฤษหลากหลายสำหรับเด็กๆ เพื่อเปิดโลกใหม่ให้ลูกของคุณเช่นภาษาอังกฤษสำหรับเด็กประถม Primary Plus ลูกคุณจะได้รับสิ่งใหม่ๆจากเรา สนใจรับรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ ตรีประทุม ศ., จังหาร ส., & ศิลปนิลมาลย์ เ. (2015). การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ด้วยกิจกรรมแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่าน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 The Development of English Reading Comprehension Skills Using the STAD Cooperation Technique with Reading. Chophayom Journal, 26(1), 183–192. Retrieved from https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom/article/view/36931 3) กิจกรรมหลังการอ่าน (Post-Reading) เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ภาษาในลักษณะทักษะสัมพันธ์เพิ่มขึ้นจากการอ่าน ทั้งการฟัง การพูดและการเขียน ภายหลังที่ได้ฝึกปฏิบัติกิจกรรมระหว่างการอ่านแล้ว โดยอาจฝึกการแข่งขันเกี่ยวกับคำศัพท์ สำนวน ไวยากรณ์ จากเรื่องที่ได้อ่าน เป็นการตรวจสอบทบทวนความรู้ ความถูกต้องของคำศัพท์ สำนวน โครงสร้างไวยากรณ์ หรือฝึกทักษะการฟังการพูดโดยให้ผู้เรียนร่วมกันตั้งคำถามเกี่ยวกับเนื้อเรื่องแล้วช่วยกันหาคำตอบ สำหรับผู้เรียนระดับสูง อาจให้พูดอภิปรายเกี่ยวกับอารมณ์หรือเจตคติของผู้เขียนเรื่องนั้น หรือฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ได้อ่าน เป็นต้นการอ่านภาษาอังกฤษ มี 2 ลักษณะ คือ การอ่านออกเสียง (Reading aloud) และ การอ่านในใจ (Silent Reading ) การอ่านออกเสียงเป็นการอ่านเพื่อฝึกความถูกต้อง (Accuracy) และความคล่องแคล่ว ( Fluency) ในการออกเสียง ส่วนการอ่านในใจเป็นการอ่านเพื่อรับรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่อ่านซึ่งเป็นการอ่านอย่างมีจุดมุ่งหมาย เช่นเดียวกับการฟัง ต่างกันที่ การฟังใช้การรับรู้จากเสียงที่ได้ยิน ในขณะที่การอ่านจะใช้การรับรู้จากตัวอักษรที่ผ่านสายตา ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญและมีความสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ ด้วยเทคนิควิธีการโดยเฉพาะ ครูผู้สอนจึงควรมีความรู้และเทคนิคในการสอนทักษะการอ่านให้แก่ผู้เรียนอย่างไรเพื่อให้การอ่านแต่ละลักษณะประสบผลสำเร็จ 1. เทคนิควิธีปฎิบัติ เทคนิคการอ่านแบบ Scanning Scanning เป็นทักษะการอ่านเร็วที่มีลักษณะคล้ายกับ Skimming ที่ครูแนะนำให้รู้จักกันไปแล้ว คือเป็นการกวาดตาคร่าวๆ อย่างเร็วๆ ไปบนสิ่งที่เราจะอ่านเหมือนกัน ต่างกันก็ตรง Scanning เป็นการกวาดตาอย่างรวดเร็วเพื่อหาเป้าหมายหรือข้อมูลเฉพาะอย่าง เรียกว่าเราต้องมีจุดประสงค์อยู่ในใจอย่างแน่วแน่ว่าเราต้องการรู้หรืออ่านเพื่อค้นหาอะไร โดยปกติเราใช้เทคนิคการอ่านแบบ Scanning กับชีวิตประจำวันอยู่บ่อยๆ เช่น การดูประกาศผลสอบ ครูว่าคงไม่มีใครอ่านตั้งแต่ชื่อแรกที่ประกาศ แล้วก็อ่านไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอชื่อของเราหรอกนะ มีไหมที่ใครจะเริ่มต้นอ่านตั้งแต่หมายเลขหนึ่ง นางสาวบุญทิ้ง บุญชิงชัง หมายเลขสอง นายส้มหล่น สุดหม่นหมอง….ไม่มี แต่เราจะใช้เทคนิคการ Scanning คือกวาดตาคร่าวๆ โดยมีเป้าหมายคือชื่อของเราเองอยู่ในใจ แล้วเราก็ Scan หาแต่ชื่อของตัวเองโดยไม่สนใจชื่ออื่นๆที่เราไม่ได้ตั้งใจจะหา หรือการอ่านเพื่อหาความหมายของคำศัพท์ที่ต้องการจากพจนานุกรม เราใช้เทคนิคการ Scan เหมือนกัน คงไม่มีใครเปิดอ่านตั้งแต่คำแรกในหน้าแรกหรอกจริงมั้ย เรามีเป้าหมายว่าเราต้องการหาคำศัพท์คำไหนเราก็ Scan หาคำนั้นเลย นอกจากนี้เรายังใช้เทคนิค Scanning กับการอ่านต่างในชีวิตประจำวันของเราอีก เช่นการค้นหาหัวข้อที่เราต้องการอ่านในหน้าสารบัญ การอ่านเพื่อหาข้อมูลที่ต้องการจากตาราง แผนภูมิ หรือกราฟ ถ้าใครนึกภาพไม่ออก ลองคิดตามครูนะ ลองนึกถึงเวลาที่คุณเข้าร้านหนังสือ เวลาที่คุณเดินเข้าไปคุณทำยังไงคะคุณดูหนังสือทุกๆ เล่มทั้งร้านเลยหรือเปล่า คนกลุ่มนี้จะกวาดตาดูคร่าวๆดูชั้นโน้นทีดูชั้นนี้ที เรียกว่าดูไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอหนังสือที่โดนใจ พฤติกรรมแบบนี้นี่แหละคือเทคนิค Skimming เอ! ใช้ทักษะการ Skim แล้วจะรู้ไหมเนี่ยว่ามีหนังสืออะไรกันบ้าง รู้สิ แต่เป็นความรู้แบบกว้างๆอาจจะรู้ว่ามีหนังสือประเภทไหนบ้างหรือรู้ว่ามีหนังสืออะไรบ้าง แต่บางครั้งที่เราเข้าร้านหนังสือ เรามักจะมีเป้าหมายหรือจุดประสงค์อย่างชัดเจนว่าเราอยากอ่านหนังสืออะไร ( ความจริงครูน่าจะบอกว่าอยากซื้อหนังสืออะไร แต่เดี๋ยวนี้คนเข้าร้านหนังสือเพราะไปอ่านหนังสือเยอะกว่าไปซื้อซะอีก )เราก็ใช้เทคนิค Scanning คือกวาดตาอย่างมีเป้าหมายว่าวันนี้จะมาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ เราก็จะกวาดตาหาแต่หมวดภาษาอังกฤษซึ่งเป็นเป้าหมายของเราหมวดอื่นๆ เราก็มองผ่านไป นั่นแน่เจอแล้วหมวดภาษาอังกฤษที่เราอยากอ่าน แต่ที่หมวดนี้ก็มีหนังสืออีกเยอะมากๆ จะทำยังไงดีล่ะ เราก็ต้องใช้เทคนิคการ Scan ต่ออีกแล้ว เราต้องรู้ว่าเป้าหมายหรือหนังสือที่เราจะมาอ่านในวันนี้คืออะไร สมมุติอยากมาอ่านหนังสือ “ ไม่อยากท่องจำ…จะทำไงดี?” ของอาจารย์พนิตนาฏเราก็จะ Scanหาแต่เล่มที่เราต้องการเท่านั้น ถ้าสายตาจะบังเอิญไปเจอหนังสือภาษาอังกฤษเล่มอื่นๆ ก็จะไม่สนใจ แต่จะกวาดตาอย่างเร็วๆ จนเจอเล่มที่เราต้องการ O.K. ไหม ฟังๆดูแล้วหลายคนคงอยากจะบอกครูว่าอาจารย์ขา ทำไมอาจารย์พูดเรื่องนี้ล่ะคะ ก็เรื่องนี้มันแสนจะธรรมดา พวกเราทำอย่างนี้อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ก็นั่นน่ะซิ ก็ทำอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน แล้วเวลาอ่านภาษาอังกฤษทำไมไม่ทำแบบนี้บ้าง ทำไมไม่ใช้เทคนิค Skim Scan กันบ้าง มาตั้งหน้าตั้งตาอ่านกันทุกตัวอักษร ทุกคำ แล้วก็มาบ่นว่าอ่านหนังสือช้าบ้างล่ะ อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องบ้างล่ะเรามาลองใช้เทคนิค Skim Scan อย่างที่ครูแนะนำกันบ้างสิ ถ้าครูจะเทียบตัวอย่างที่ครูพูดในตอนต้นกับการอ่านภาษาอังกฤษของเราก็คงคล้ายๆกับเวลาที่อาจารย์หรือเจ้านายมอบหมายให้เราไปอ่านหรือค้นคว้าข้อมูลอะไรสักอย่างในหนังสือสักเล่ม โอ้โห! เปิดมาตัวหนังสือภาษาอังกฤษเต็มพรืดไปหมดประมาณว่าแค่เห็นหน้าแรกก็เวียนหัวแล้ว เราจะทำยังไงดี ครูแนะนำให้ใช้เทคนิค Skimming ดู ( ใครสงสัยหรือไม่ได้อ่าน เทคนิค Skimming ครุขอแนะนำให้ไปหาเมื่อสองตอนที่แล้วอ่านดูนะ เพราะครูอธิบายไว้ละเอียดแล้ว ) เราจะได้เห็นภาพรวมๆ กว้างๆ ของเรื่องที่จะอ่านก่อน ซึ่งเรื่องนี้ครูจะเขียนอธิบายให้ละเอียดในตอนต่อๆไปนะ แต่ถ้าใครมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าจะค้นข้อมูลอะไรหนังสือเล่มนี้เราก็มาใช้เทคนิค Scanning ดีกว่า ส่วนจะใช้เทคนิค Scanning ในการอ่านยังไงต้องติดตามต่อตอนหน้า ว่าแต่ว่า แล้วตอนนี้รู้แล้วหรือยังว่าเราเคยคุ้นๆกับคำว่า Scan ไหม เคยได้ยินกันบ่อยๆ ใช่ไหม ก็ Scanner ซึ่งเป็นอุปกรณ์ไฮเทคที่ใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์ไง แล้วเจ้า Scanner คือเครื่องอะไร ห้ามตอบเด็ดขาดเลยนะคะว่า Scanner คือเครื่องสแกน แหม ! ตอบแบบนี้ออกจะกำปั้นทุบดินไปหน่อย แล้ว Scanner ใช้ทำอะไร เราใช้ Scanner เพื่อ Copy โดยเลือกเอาเฉพาะรูปหรือข้อความที่เรากำหนดเป้นเป้าหมายให้เครื่องอ่านเท่านั้น ต่างกับเครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งเราไม่สามารถเลือกสำเนาเฉพาะรูปหรือข้อความใดๆ ได้ แต่เราจะได้สำเนาหมดทั้งหน้าเลยเรียกว่าเจ้าเครื่องถ่ายเอกสารเนี่ย ให้ดูอะไรก็ Copy มาหมดทั้งหน้า แต่ Scanner สามารถเลือกสำเนาได้เฉพาะข้อมูลที่เราต้องการ รู้อย่างนั้นแล้วจะเป็นนักอ่านแบบเครื่องถ่ายเอกสาร หรือจะเป็น Scanner ก็ไปเลือกกันเอาเอง เทคนิคการอ่านภาษาอังกฤษ อนึ่ง ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้กล่าวถึง “การเดาความหมายของคำศัพท์จากบริบท (Guessing meaning of words from contexts)” เนื่องจากมีผู้เขียนไว้มากแล้ว หากสนใจสามารถศึกษาได้จากห้องสมุด เช่น Strategies for Success: Key to Effective reading. 1994. Department of Foreign Languages, Mahidol University. เรียนคำศัพท์ใหม่จากแผนผังคำศัพท์ (Vocabulary Word Maps) ส่วนที่ II การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ ส่วนที่ III การวิเคราะห์ข้อมูลจากการอ่าน การระดมความคิดแบบเอบีซี เป็นการทำกิจกรรมก่อนนำไปสู่เรื่องที่ต้องการให้ผู้เรียนอ่าน โดยการทบทวน หรือ ดึงความรู้ที่ผู้เรียนมีอยู่แล้ว มากระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจเรื่องที่กำลังจะอ่านและเพื่อให้ผู้เรียนอ่านเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น ก่อนที่ผู้สอนจะให้ผู้เรียนพูด เขียน หรือ อ่าน เรื่องๆ หนึ่ง ผู้สอนจำเป็นที่จะต้องหาวิธีรื้อฟื้นความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วของผู้เรียนผู้สอนอาจใช้เทคนิค การระดมความคิดแบบเอบีซีโดยผู้สอนให้ผู้เรียนคิดถึงคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะเรียน ให้ตรงกับตัวอักษรแต่ละตัวในแผ่นภาพ ABC เทคนิคการทำกิจกรรมการระดมความคิดแบบเอบีซี 1. กิจกรรมการระดมความคิดแบบเอบีซีเพื่อการสอนอ่าน ลำดับแรก ให้ผู้เรียนทำคนเดียวก่อน (individual work) ให้ผู้เรียนคิดถึงคำที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หัวข้อที่จะให้ผู้เรียนทำควรจะเป็นหัวข้อที่ใหญ่และกว้างเพียงพอ ตัวอย่างหัวข้อที่จะใช้เทคนิคการระดมความคิดแบบเอบีซีคือ World War II (สงครามโลกครั้งที่ 2) ผู้เรียนอาจจะใส่ว่า Allies (ฝ่ายพันธมิตร) Bombers (มือระเบิด) Concentration Camps, Dachau, Europe, French Resistance และคำต่อๆไป ผู้สอนต้องให้เวลาแก่ผู้เรียนอย่างเพียงพอเพื่อที่ผู้เรียนจะได้มีเวลาคิด เมื่อผู้เรียนใช้เวลาพอสมควรแล้ว ให้ผู้เรียนจับคู่กันเพื่อทำงานคู่ (Think- หลังจากนั้นให้ผู้สอนเดินไปถามผู้เรียนในแต่ละคู่ แต่ละกลุ่ม ว่าคิดและเขียนคำใดได้บ้าง ให้ผู้เรียนรายงานออกมาดังๆ เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นฟัง ผู้สอนอาจจะต้องเผื่อใจให้กับคำที่ผู้เรียนคิดและเขียนออกมานั้นอาจเป็นคำเหนือความคาดหมาย พยายามให้ผู้เรียนเข้าใจว่าผู้สอนไม่ได้ต้องการ 2. กิจกรรมการระดมความคิดแบบเอบีซีเพื่อการสอนแบบบูรณาการ รอบที่ 1 ผู้เรียนคิดคำที่เกี่ยวข้อง อาจมีดังนี้ admire, behave, care, diligence, energy, fight, goal, house-core, หลังจากระดมความคิดแล้ว ให้ดูผลที่ได้เพื่อทำการประเมินคำหรือข้อความที่ผู้เรียนเขียน โดยพิจารณาคำหรือข้อความว่ามีคุณสมบัติต่อไปนี้ แนวความคิดหรือความคิดเกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือเนื้อหาที่กำลังทำหรือไม่ ผู้สอนสามารถเรียกการบรรยายด้วยภาพได้หลาย ๆ แบบ เช่น webs, maps, concept maps การบรรยายด้วยภาพเป็นพื้นฐานในการที่จะนำเสนอข้อมูลด้วยภาพ โดยผู้สอนสามารถสร้างแผนผังที่จะจัดเรียงข้อมูลดังนี้ ข้อมูลเกี่ยวข้องกับใจความสำคัญ (main ideas) หัวข้อย่อย (subtopics) และ รายละเอียด (details) ผู้สอนอาจใช้รูปแบบต่าง ๆ เช่น กล่อง รูปสี่เหลี่ยม วงกลม รูปไข่ หรือรูปร่างต่าง ๆ เพื่อบรรจุข้อมูล แล้วลากเส้นเชื่อมโยงกัน ผู้เรียนอาจแสดง ข้อมูลตามลำดับขั้น หรือตามความสำคัญ เช่น ใจความสำคัญ (main ideas) หัวข้อย่อย (subtopics) และ รายละเอียด (details) หรือ แสดงเป็นการเปรียบเทียบ ดังใน แผนภาพ เวนน์ (Venn Diagram) หรือตารางแสดงการเปรียบเทียบและเปรียบต่าง จากแผนภาพและตาราง เหล่านี้ ผู้เรียนสามารถเห็นและเข้าใจลำดับ ขั้นตอนของกระบวนการ (process) ผู้เรียนอาจเขียนแสดงบุคลิก สิ่งของ การทำงานของบุคคล และ ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ ในเรื่องที่อ่าน อาจเขียนแผนภาพการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ หรือ อาจเขียนแผนภาพแสดงเป็นความสัมพันธ์ ตัวอย่างของการบรรยายด้วยภาพ ในที่นี้มี 2 ตัวอย่าง คือ โซ่แสดงความสัมพันธ์ต่อเนื่องของเหตุการณ์ และแผนภาพแสดงการต่อเนื่องของเวลา 1. โซ่แสดงความสัมพันธ์ต่อเนื่องของเหตุการณ์ (Chain of Events) แผนภาพแบบนี้ใช้แสดงความสัมพันธ์ต่อเนื่องของเหตุการณ์ หรือขั้นตอนของกระบวนการต่างๆ เทคนิคการอ่านแบบการเน้นใจความสำคัญนี้มีประโยชน์มากโดยเฉพาะเมื่อเรียนระดับอุดมศึกษา ผู้พัฒนาเทคนิคนี้กล่าวว่า ไม่เพียงแต่ผู้เรียน จะอ่านบริเวณที่ได้เลือกขีดเส้นใต้ข้อความเท่านั้น แต่ผลจากการขีดเส้นใต้ข้อความมีส่วนทำให้ผู้เรียนอยากอ่านขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อได้ทำการ ใช้สีป้ายข้อความ ซึ่งเป็นผลทางจิตใจ ทำให้ผู้เรียนมั่นใจว่าได้อ่านส่วนนี้ไปแล้วและได้สรุปเน้นใจความหรือข้อความสำคัญไว้แล้วด้วย ดังนั้น ต้องสอนวิธีนี้แก่ผู้เรียนอย่างชัดเจน ให้ผู้เรียนมีเวลาในการฝึก และกระตุ้นให้ผู้เรียนทำกิจกรรมนี้ให้สำเร็จ เทคนิคการทำกิจกรรม เริ่มต้น ต้องให้ผู้เรียนตระหนักว่าสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องอ่านไม่ได้อยู่ในหนังสือหรือตำราเท่านั้นและอาจเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ผู้เรียนอาจใช้ปากกาสีต่างกันเมื่อจะขีดเส้นใต้ข้อความ เช่น สีน้ำเงินสำหรับ พลังแห่งการคิด 1 สีแดงสำหรับพลังแห่งการคิด 2 และสีเขียวสำหรับพลังแห่งการคิด 3 ให้ผู้เรียนฝึกการขีดเส้นใต้ในขณะอ่านเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น ขีดเส้นใต้คำศัพท์ที่สำคัญพร้อมทั้งคำจำกัดความและคำอธิบาย และใช้ข้อมูลนี้ในการอ่านเพื่อค้นหาคำศัพท์คำใหม่แต่มีความหมายเหมือนกัน หรือ อาจให้ผู้เรียนขีดเส้นใต้ข้อความที่เป็นเหตุและผล ความจริงและความเห็น หรือข้อมูลที่สนับสนุนประโยคหลัก ซึ่งวิธีนี้จะเป็นประโยชน์เมื่อใช้ร่วมกับเทคนิคการคิด–พิสูจน์ (Opinion proof) ข้อจำกัดของเทคนิคนี้มีเพียงจินตนาการของผู้สอนเท่านั้นว่าจะกว้างไกลหรือแคบเพียงใดในการที่จะประยุกต์ใช้ Annolighting” มาจากคำว่า Annotation และ Highlight การนำวิธีการเน้นข้อความสำคัญไปใช้ จับใจความสำคัญ/แนวคิดหลัก/รายละเอียดในการอ่าน วิธีทำการเน้นข้อความสำคัญ จับใจความสำคัญเท่านั้น 2. อย่าด่วนขีดเส้นใต้หรือระบายสีข้อความใดๆ ในการอ่านรอบแรก ให้แบ่งข้อความที่จะอ่านในแต่ละหน้าออกเป็นส่วนๆ และอ่านแต่ละส่วนหนึ่งครั้งอย่างรวดเร็วโดยอ่านผ่านๆก่อน 3. ลบคำที่ไม่จำเป็นออกไปทุกคำจากแต่ละประโยคโดยใช้วิธี “telegraphic highlighting” วิธี “telegraphic highlighting” จะช่วยให้ผู้เรียนรักษาความหมายและความสำคัญของข้อความที่อ่านไว้ เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้ง ผู้เรียนจะมีความเข้าใจข้อความที่อ่าน หากข้อความที่อ่านไม่ได้ตรงกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการอ่านของผู้เรียนอย่างยิ่งยวดแล้วผู้เรียนควรขีดเส้นใต้หรือระบายสี 4. ผู้เรียนอาจต้องใช้สีหลายสีสำหรับระบายข้อความ ตัวอย่างเช่น สีหนึ่งสำหรับระบายใจความสำคัญ อีกสีหนึ่งสำหรับระบายข้อความ การระดมความคิดแบบหมุนเวียนเป็นวิธีการฝึกให้ผู้เรียนคิดและดึงเอาความรู้เดิม (background knowledge) หรือความรู้พื้นฐานของ หัวข้อย่อยๆ ที่อยู่ภายใต้หัวข้อใหญ่ออกมาก่อนจะเรียนเรื่องใหม่ต่อไป หรือ เพื่อตรวจสอบความเข้าใจหลังการเรียนของผู้เรียน เทคนิคการทำกิจกรรม ในการทำกิจกรรมนี้ ผู้เรียนต้องอ่านหนังสือในเรื่องที่เกี่ยวข้องมาก่อน กิจกรรมนี้ใช้ได้ดีในทุกวิชา ให้ผู้สอนเริ่มต้นกิจกรรมนี้ในตอนต้นชั่วโมง เลย กลุ่มที่เตรียมตัวมาดีหรืออ่านหนังสือมาล่วงหน้าจะทำได้ดีมาก และจะเป็นการกระตุ้นให้กลุ่มที่เหลือสนใจเตรียมตัวก่อนมาเรียน |