การคิดเป็น Show คิดเป็น หมายถึง การวิเคราะห์ปัญหา และการแสวงหาคำตอบหรือทางเลือกเพื่อแก้ปัญหาหรือดับทุกข์ การคิดอย่างรอบคอบเพื่อแก้ไขปัญหา โดยอาศัยข้อมูลตนเอง ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมและด้านวิชาการ มาเป็นองค์ประกอบในการคิดตัดสินใจแก้ปัญหา ความสำคัญของการ “คิดเป็น” คือ การสร้างสันติสุขให้เกิดกับโลก เพราะถ้าประชากรส่วนใหญ่ของโลกยึดหลักการคิดด้วยกระบวนการคิดเป็น การมองปัญหาจึงมองอย่างเป็นเหตุเป็นผลสมจริง ความขัดแย้งจะลดลงหรือไม่เกิดความขัดแย้งขึ้น เมื่อไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น สังคมโลกก็จะมีแต่ความสุข สรุป การคิดเป็น เป็นลักษณะที่พึงประสงค์ของคนไทยทุกคนไม่เฉพาะแต่ผู้เรียน กศน.เท่านั้น เพราะ“คิดเป็น” จะช่วยให้คนไทยทุกคนยืนอย่างมั่นคง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข เพราะเข้าใจในสรรพสิ่งรอบตัว และข้อสำคัญคือ เข้าใจตนเอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นภาพของกระบวนการคิดเป็น คุณค่าของการฝึกฝนวิธีการและเทคนิคการคิด ย่อมก่อให้เกิดกลวิธีในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ไม่อับจนหนทางและวิธีการแก้ปัญหา อันเป็นคุณภาพทางปัญญา ซึ่งสะท้อนให้เห็นศักยภาพภายในของมนุษย์ ว่าการคิดนั้น เป็นคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากสิ่งอื่น เพราะมีกระบวนการคิดที่ซับซ้อน อันก่อให้เกิดสิ่งที่มีประโยชน์และมีคุณค่าต่อตนเองและสังคมในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าทฤษฎี แนวคิดจากเอกสาร และอ่านงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบเป็นกระบวนการคิด ที่นำสู่กระบวนการคิดระดับสูงของกรมวิชาการ (2541 : อัดสำเนา ) มี 4 ชนิด คือ 1. การคิดวิจารณญาณ 2. การคิดสร้างสรรค์ 3. การคิดตัดสินใจ 4. การคิดแก้ปัญหา ซึ่งจะนำเสนอตามลำดับดังนี้ ตอนที่ 1 กรอบแนวคิดทฤษฎี การพัฒนาการคิด ตอนที่ 2 ทฤษฎี และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดระดับสูง 2.1 - ความหมายทฤษฎีและแนวคิดการคิดวิจารณญาณ - การวัดความสามารถในการคิดวิจารณญาณ 2.2 - ความหมายทฤษฎีและแนวคิดการคิดสร้างสรรค์ - การวัดความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ 2.4 - ความหมายทฤษฎีและแนวคิดการคิดตัดสินใจ - การวัดความสามารถในการคิดตัดสินใจ 2.3 - ความหมายทฤษฎีและแนวคิดการคิดแก้ปัญหา - การวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ตอนที่ 3 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึก ตอนที่ 1 กรอบแนวคิด ทฤษฎีการพัฒนาการคิด 1. กรอบนำด้านการคิดของสมอง ความคิดเป็นกระบวนการทางสมองที่มนุษย์ใช้จัดการกับข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ ด้วยการจำแนกองค์ประกอบ, ความเหมือน-ความแตกต่าง, การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ รวมไปถึงการสรุปอ้างอิงอย่างใช้เหตุผล เป็นกระบวนการภายในสมองที่ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่อาจแสดงความคิดเห็นเหล่านั้นออกมาด้วยการกระทำที่แสดง เช่น การพูด การเขียน เป็นต้น สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่มีความซับซ้อนมาก และมีการพัฒนาการมาตั้งแต่ประมาณ 5 สัปดาห์แรก โดยแบ่งเป็นสองซีก คือซ้ายขวาควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อซีกตรงข้ามของร่างกาย นอกจากนั้นสมองทั้งสองซีกยังบรรจุข้อมูลที่แตกต่างกัน คือ ซีกซ้าย ควบคุมการพูด การใช้ภาษา การเรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์การรู้คิดการใช้เหตุผลและตรรกศาสตร์ ควบคุมการทำงานซีกขวาของร่างกาย ซีกขวา เป็นแหล่งควบคุมมิติสัมพันธ์ต่างๆ ความสุนทรีทางอารมณ์ เช่น ดนตรี เพลง งานศิลปะต่างๆ เป็นแหล่งส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ควบคุมการทำงานของร่างกายด้านซ้าย ทั้งที่บรรจุการควบคุมการทำงานรับรู้ข้อมูลที่แตกต่างกัน แต่จะไม่แยกการทำงานจากกันเด็ดขาด ต้องทำงานไปพร้อมๆ กัน ภายใต้การบริหารงานและเซลล์ประสาทจะเป็นตัวนำเข้า-ออกระหว่างสมองทั้งสองซีกนั้น ซึ่งสมองของมนุษย์มีลักษณะเด่น คือ - มีน้ำหนัก 2% ของน้ำหนักของร่างกาย ซึ่งโดยปกติจะประมาณ 3 ปอนด์ หรือ 1.36 กิโลกรัม - ขนาดของสมองจะโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 18 ปี - สมองมีส่วนประกอบของน้ำ 75% - มีเซลล์ประสาทประมาณ 20% ของออกซิเจนที่ไหลเวียนในร่างกาย - มีเซลล์ประสาทประมาณ 100ล้านเซลล์และแต่ละเซลล์จะเชื่อมต่อกันโดยรวม ทั้งสมองจะมีเส้นประสาทประมาณสิบร้อยล้านๆ เส้น - สมองมีลักษณะนุ่มและต้องครอบด้วยกะโหลกแข็งแรงแต่โอกาสการได้รับอันตรายมีง่ายมาก สมองทำหน้าที่เป็นกลไกที่เกี่ยวข้องกับความประพฤติ ข้อปฏิบัติของมนุษย์ เช่น วิธีคิด การแสดงออกทางอารมณ์ต่างๆ การดำเนินชีวิต และการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว สมองทำงานถูกต้องจะส่งผลให้เจ้าของมีความประพฤติถูกต้อง ถ้าเมื่อใดสมองทำงานผิดพลาดมนุษย์ก็จะแสดงพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องออกมาด้วยเช่นกันหน้าที่อื่นๆ ของมนุษย์เช่นการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ความดันโลหิต การทำงานของหัวใจ และการเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นต้น การจะรับประสบการณ์ และการเรียนรู้ต่างๆ ที่ถ่ายทอดกระบวนการคิดทางสมองของเขาออกมาเป็นระยะๆ ตามวัยจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ แม้กล่าวว่าสมองเจริญ เติบโตเต็มที่เมื่ออายุ 18 ปี แต่กระบวนการคิดภายในสมองจะพัฒนาการต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าสมรรถภาพด้านการจัดโปรแกรมต่างๆ เกี่ยวกับการคิดจะสิ้นสุดลง 2. ปัจจัยที่ส่งเสริมการพัฒนาการคิด ความเจริญทางสมองประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้ 2.1 พันธุกรรม ทารกจะรับถ่ายทอดพันธุกรรมมาตั้งแต่ปฏิสนธิ บางคนได้รับลักษณะเด่น บางคนได้รับลักษณะด้อยมาซึ่งพันธุกรรมจะส่งผลโดยตรงเฉพาะการเติบโตของสมอง และการสร้างเซลล์ประสาท 2.2 สิ่งแวดล้อม จะส่งผลด้านการเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับมาก และจัดระบบการจัดการกับข้อมูลต่างๆ ระหว่างเซลล์ประสาท ปัจจัยที่ส่งผลให้สมองเกิดพัฒนาการด้านการคิด ประกอบด้วย 1. การทำงานของสมอง (brain Functioning) เป็นปัจจัยต้นที่เริ่มทำงานมาตั้งแต่ 5 สัปดาห์แรก และพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามวัยของบเด็ก ดังนั้นเด็กจะมีพัฒนาการทางสมองเต็มศักยภาพหรือไม่ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมที่แตกต่างกัน หรือการบังเอิญที่เซลล์ประสาทบางส่วนถูกทำลายตั้งแต่ 5 สัปดาห์จนถึงก่อนคลอด หรือหลังคลอดก็ได้ 2. พื้นฐานทางครอบครัว (Family background) เป็นปัจจัยภายนอกที่เด็กได้รับจาก สิ่งแวดล้อมใกล้ตัวได้แก่ 2.1 พื้นฐานด้านโภชนาการที่จะช่วยให้เซลล์สมองมีพัฒนาการสมบูรณ์ และส่งผลต่อพัฒนาการการคิดที่ดี ตั้งแต่ปฏิสนธิ 2.2 พื้นฐานด้านอบรมเลี้ยงดู ตั้งแต่ปฏิสนธิเช่นกันตั้งแต่ภาวะที่เกิดกับอารมณ์มารดาจะส่งผลต่อเด็กในครรภ์ บุคคลในครอบครัวที่เด็กเริ่มมีปฏิสัมพันธ์จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลพัฒนาการการคิด ช่วยให้เด็กกล้าคิด กล้าทำ กล้าซักถาม กล้าทดลอง ซึ่งเมื่อถูกขัดขวางอาจส่งผลให้การพัฒนา และความสามารถการคิดไม่เต็มศักยภาพ 3. พื้นฐานความรู้ (background of knowlegde) การพัฒนาการคิดมีหลายระดับพื้นฐานความรู้เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการคิด ผู้มีความรู้สูงมีความรู้ดีย่อมมีข้อมูลข่าวสารประสบการณ์ และพื้นฐานความรู้ที่หลากหลาย พอที่จะเป็นเครื่องนำทางในการคิด การแก้ไขปัญหา การสร้างองค์ความรู้ และการตัดสินใจพื้นฐานความรู้ของแต่ละคนขึ้นอยู่กับสภาพทางครอบครัว และตนเองจะใฝ่รู้ใฝ่เรียนจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ รอบตัว 4. ประสบการณ์ชีวิต (experience of life) เป็นพื้นฐานความรู้ของบุคคลอีกประเภทที่ได้จากการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และประสบการณ์ ทั้งหมดนี้จะเป็นข้อมูลทางสังคม ซึ่งถ้าได้เชิงบวกมาจะช่วยให้เป็นคนใจกว้างเป็นคนมีคุณธรรม ขยัน อดทน และมั่นใจในตนเอง ด้านสติปัญญาจะมีการผสมผสานกระบวนการคิดทุกชนิดอย่างมีทิศทางด้านมนุษย์สัมพันธ์ จะทำเพื่อผู้อื่นมีความสุข 5. สภาพแวดล้อม (environment) เป็นแรงกระตุ้นแรงเสริม แรงกดดันให้เกิดพัฒนาการคิด เพราะสภาพแวดล้อมบางชนิดก่อให้เกิดจินตนาการ ซึ่งทั้งหมดนี้คือการเรียนรู้ที่จะคิดอย่างมีเหตุผล และตัดสินใจที่เหมาะสมในที่สุดได้ 6. ศักยภาพการรับรู้และเรียนรู้ (perception and learning poteltial) เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาการคิด การที่เด็กรับรู้ และเรียนรู้เร็ว จะช่วยให้เกิดพัฒนาการคิดเชิงรุกซึ่งทันสถานการณ์และจะสามารถปรับตัวได้ทันต่อเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี สิ่งที่เป็นอุปสรรค์และส่งเสริมการคิด อุปสรรค พฤติกรรมส่งเสริม 1.การที่สมองถูกกระทบกระเทือน 2.ดารรับมลภาวะแวดล้อมที่ทำให้ร่างกาย อ่อนแอเช่นการรับสารเป็นโทษจากอาหาร การออกกำลังกาย , พักผ่อนไม่เพียงพอ 3.การคิดสิ่งร้าย 4.การเครียดขาดสมาธิและไม่กล้าเผชิญปัญหา มีสิ่งเร้ามากระตุ้น 1.ให้คิดแก้ปัญหา , เอาชนะ 2.ค้นหาคำตอบที่สงสัย 3.เพื่อสนองความต้องการทางอารมณ์ สังคมของบุคคล การพัฒนาความคิดของมนุษย์ อาจขึ้นอยู่กับวัย เพศ พันธุกรรม วุฒิภาวะ ระดับการศึกษา และสิ่งแวดล้อมนอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมที่ส่งเสริมการคิด ดังนี้ - มีการใฝ่รู้ และจินตนาการ - กล้าเผชิญกับความคิดที่ซับซ้อน - สนุกต่อการตัดสินใจ - วางแผนให้ประสบความสำเร็จ - สามารถมองเห็นโอกาสและทางเลือกได้มากขึ้น - สร้างสรรค์ความคิดได้ง่าย , คิดกว้างขวาง และลดความกังวล - มีความรวดเร็วต่อการปรับตัวกับสถานการณ์แวดล้อม - มีความฉับไวในการรวบรวมข้อมูลและสร้างวิธีปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ได้มาก ตอนที่ 2 ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการคิด มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคมหลายระดับ จึงมักประสบปัญหาและเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย การคิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตโดยเฉพาะในยุคการแข่งขัน การต่อสู้ในทุกๆ ด้าน เช่นทุกวันนี้เพื่อรู้จักคิดป้องกันก่อนเกิดเหตุ แก้ปัญหาหรือตัดสินใจได้เมื่อเหตุเกิดขึ้นแล้ว ยังต้องมีการปรับปรุง , พัฒนาและทำลายหลายสิ่งรอบตัวเพื่อเหตุผลใดก็ตาม ดังนั้นการจะดำเนินสังคมให้ปกติสุขต้องประกอบด้วยการรู้คิดเป็นระบบของมนุษย์ เริ่มต้นที่เด็ก ซึ่งครูคือผู้มีหน้าที่ช่วยพัฒนาให้เด็กเหล่านั้นมีความสามารถในการคิดเป็นใช้ความคิดในทางที่ถูกต้องเหมาะสมเขาจึงจะดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างราบรื่น ซึ่งทิศนา แขมมณี และคณะ (2549:91) อ้างอิงจากโกวิท วรพิพัฒน์ ว่าการคิดเพื่อการ “คิดเป็น” เป็นการคิดเพื่อแก้ปัญหา เนื่องจากการคิดมีจุดเริ่มต้นที่ตัวปัญหา แล้วพิจารณาย้อนไตร่ตรองถึงข้อมูล 3 ประเภท คือ ข้อมูลด้านตนเอง ชุมชน สังคมสิ่งแวดล้อม และข้อมูลทางวิชาการ ต่อจากนั้นจึงลงมือกระทำการ หากการกระทำสามารถทำให้ปัญหา และความไม่พอใจของบุคคลหายไป กระบวนการคิดจะยุติลง แต่ถ้าหากบุคคลยังรู้สึกไม่พอใจ ปัญหายังคงอยู่บุคคลก็จะเริ่มกระบวนการใหม่อีกครั้ง http://advisor.anamai.moph.go.th/ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2545) ให้ความหมายว่า การคิด (Thinking) คือการที่คนๆ หนึ่งพยายามใช้พลังทางสมองของตนในการนำเอาข้อมูล ความรู้ประสบการณ์ต่างๆ ที่มีอยู่มาจัดวางอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้มาเพื่อผลลัพธ์ เช่นการตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด เป็นต้น ดร.ชาติ แจ่มนุช (2545 : 20-21 ) กล่าวว่า การคิด คือ 1. เป็นกระบวนการทำงานของสมองโดยใช้ประสบการณ์มาสัมผัสกับสิ่งเร้าและข้อมูลหรือสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ปัญหาแสวงหาคำตอบ ตัดสินใจหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ 2. เป็นพฤติกรรมที่เกิดในสมองเป็นนามธรรมไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า การที่จะรู้ว่ามนุษย์คิดอะไร คิดอย่างไร จึงต้องสังเกตจากพฤติกรรมที่แสดงออกมา หรือคำพูดที่พูดออกมา กรอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการคิด ในการคิดวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้คำว่า “กระบวนการคิด” เป็นการวางขอบเขตการคิดอย่างกว้าง ด้วยเหตุที่ผู้เรียนที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลอยู่ในพื้นฐานครอบครัวปานกลางถึงต่ำ และเป็นชุมชนชานเมืองซึ่งทำให้การคิดนอกกรอบของตนมีน้อยมาก ผู้วิจัยมุ่งหวังการสร้างกระบวนการคิดให้ยั่งยืนติดตัวผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาออกไปจึงวางกรอบแนวคิดตามที่นักการศึกษาให้แนวคิดไว้ดังนี้ เพียเจท์ (1977) นักจิตวิทยาชาวสวิสเซอร์แลนด์ ผู้นำเสนอทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กว่า การมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม กระบวนการตามแนวคิดนี้เชื่อว่าโครงสร้าง (Assimilation) และการปรับโครงสร้าง (Accommodation) มนุษย์จะใช้กระบวนการทั้งสองนี้สร้างระบบการคิดพัฒนาความสามารถการคิดอย่างรอบคอบ มีเหตุผล ทำให้เกิดการพัฒนาทางสมองอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าขั้นพัฒนาการ (Stage of Development) เริ่มตั่งแต่อายุ 16 ปี และจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพียเจท์ยังเชื่อว่ามนุษย์มีแนวโน้มพื้นฐานที่ติดตัวมา 2 ชนิด คือ การจัดและรวบรวม (Organization) เป็นกระบวนการภายในที่ทำงานอย่างมีระบบต่อเนื่องตราบที่ยังมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ อธิบายว่าลักษณะพัฒนาการทางสติปัญญาของคนที่มีลักษณะเดียวกัน ในช่วงอายุเท่ากัน และแตกต่างในช่วงอายุต่างกัน พัฒนาการนี้เกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม โดยบุคคลจะพยายามปรับตัวให้สมดุลด้วยการใช้กระบวนการดูดซึม และ ปรับให้เหมาะจนทำให้เกิดการเรียนรู้โดยเริ่มจากสัมผัส ต่อมาจึงเกิดความคิดทางรูปธรรม และนามธรรมและพัฒนาไปเรื่อยๆ จนเกิดความคิดที่เป็นนามธรรม ซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามลำดับขั้น โดยเพียเจท์จัดกระบวนการทางสติปัญญา (Cognitive process) ออกเป็น 4 ขั้น ในขั้นที่ 4 คือการพัฒนาการคิดอย่างเป็นนามธรรม (Formal-Operational Stage) จะเป็นการพัฒนาการช่วงสุดท้ายของเด็กที่มีอายุในช่วง 11-15 ปีเขาจะสามารถคิดอย่างมีเหตุผล และคิดในสิ่งซับซ้อนอย่างเป็นนามธรรมได้มากขึ้น เมื่อเด็กพัฒนาได้อย่างเต็มที่แล้ว จะสามารถคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และแก้ปัญหาได้ดีจนพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะได้ ซึ่งการพัฒนาแต่ละระยะจะเกิดอย่างต่อเนื่องโดยธรรมชาติเพียงแต่สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ รวมทั้งการดำรงชีวิตอาจมีส่วนช่วยให้เด็กพัฒนาแตกต่างกัน และยังให้แนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้แบบ Construct civism หรือทฤษฎีการเรียนรู้แบบใหม่ คือ การสอนให้เด็กเรียนรู้เอง คิดเองโดยเด็ก และการจะเกิดการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กันทั้ง 2 ฝ่าย และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะทำให้มีความสัมพันธ์กับผู้สอนดีกว่าแบบเดิม คือ O คือ Organism ผู้ถูกกระตุ้นหรือผู้เรียน S คือ Stimulant เป็นแรงกระตุ้น อาจเป็นครูหรือสิ่งแวดล้อม จากสมการใช้ลูกศรสองทาง กล่าวคือ การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อมีกิจกรรมจากทั้งสองฝ่าย นั้นคือการมีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อเกิดการเรียนรู้ สเตอร์นเบอร์ก (1985 : 320) เสนอแนวคิดเกี่ยวกับเชาวน์ปัญญาด้วยทฤษฎีสามมิติ (Triarchie Theory) ประกอบด้วย 1. ทฤษฎีย่อยด้านบริบทสังคม (contextual Sub theory) เชื่อว่าการพัฒนาการคิดต้องมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมของบุคคลที่เขาเคยชิน ให้สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ ปรับตัวด้วยกระบวนการ (Adaptation) หรือเลือกสิ่งแวดล้อมเข้ามาช่วย (Selection) ปรับแต่งสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับเขา 2. ทฤษฎีย่อยด้านประสบการณ์ (Experience Sub theory) เป็นการพิจารณาผลของความสามารถในการคิดแก้ปัญหา เมื่อเผชิญงานหรือบุคคล หรือสถานการณ์ต่างๆ ด้วยการทำความเข้าใจปัญหา (Comprehensive of the task) และดำเนินการแก้ไขตามที่ตนเข้าใจ ( action upon one’ Comprehensive of the task) สิ่งเหล่านั้นเป็นความสามารถคล่องในการคิด ประมวลผลข้อมูลที่เหมือนเป็นไปโดยอัตโนมัติด้วยกระบวนการ (Ability to automatize processing) ซึ่งจะเกิดได้เมื่อต้องเผชิญเหตุการณ์ย่อยๆ จนเป็นความชำนาญ 3. ทฤษฎีย่อยด้านกระบวนการคิด (Componential Sub theory) เป็นความสามารถเบื้องต้นที่ใช้ระบบการคิดจัดการต่อโครงสร้างสิ่งของ , บุคคล หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ที่พบเพื่อปรับเปลี่ยนแนวคิดหนึ่งเป็นอีกแนวคิดหนึ่ง กระบวนการคิดมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ 3.1 องค์ประกอบด้านการคิดขั้นสูง (Metacom Ponents) เป็นกระบวนการคิดที่ประกอบด้วยขั้นตอนย่อยดังนี้ - การระบุปัญหา (Problem identification) - การจำกัดความปัญหา (Definition of problem) - การสร้างกลวิธีในการแก้ปัญหา (Constructing a strategy for problem solving) - การจัดระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา (Organizing information about a problem) - การจัดสรรทรัพยากร (Allocation of resource) - การตรวจสอบ การแก้ปัญหา (Monitoring problem solving) - การประเมินผลการแก้ปัญหา (Evaluation problem solving) 3.2 องค์ประกอบด้านการปฏิบัติ (Performance Component) คือเมื่อผ่านกระบวนการคิดแล้วลงมือปฏิบัติ และอาจเกิดการแก้ปัญหาตามมา 3.3 องค์ประกอบด้านการแสวงหาความรู้ (Knowledge acquisition components) เป็นกระ-บวนการหาความรู้ของข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้วยวิธีการต่างๆเข้ามาเปรียบเทียบกับข้อมูลเดิมเพื่อให้ได้ความรู้ใหม่สะสมไว้ในระบบความจำ ทิศนา แขมมณี และคณะ (2544 : 15-16) อ้างอิงจาก บรูเนอร์ (Bourne : 1973) นักจิตวิทยาการศึกษาชาวอเมริกันให้แนวคิดว่าเด็กทุกระดับสามารถพัฒนาความสามารถการเรียนรู้ได้ถ้าจัดการสอนให้เหมาะสมกับความสามารถของเด็ก การเรียนรู้ตามแนวแบ่งเป็น 3 ขั้น คือ 1. เรียนรู้จากการกระทำ (Snactive Representation) จะเกิดขึ้นตั้งแต่ 2 ขวบ ซึ่งตรงกับ ขั้นที่ 1 (Sensory-motor Stage) ของเพียเจท์ 2. เรียนรู้จากจินตนาการ (Iconic Representation) ของเพียเจท์วัยนี้ตรงกับวัย Concrete Representation เป็นวัยที่เริ่มเกิดภาพขึ้นในใจ 3. ตรงกับขั้นที่ 4 เป็นขั้นที่เด็กเข้าใจเรียนรู้สิ่งที่เป็นนามธรรม ถือเป็นขั้นสูงสุดของพัฒนาการทางด้านความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการคิดเหตุผล ขั้นนี้ตรงกับ (Formal-operational stage) คือ ช่วงอายุ 15 ปี ของเพียเจท์ คือเด็กสามารถคิดหาเหตุผล และเข้าใจนามธรรมในที่สุด ซึ่งบรูเนอร์ให้แนวคิดการเรียนรู้ว่าเกิดจากการเรียนรู้จากสัญลักษณ์ (Symbolic Representation) 1. แรงจูงใจภายใน (self-motivation) เป็นแรงจูงใจที่สำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เขาได้ค้นพบ สิ่งต่างๆ 2. โครงสร้างของบทเรียน (Struction) ต้องจัดให้เหมาะสมกับผู้เรียน 3. การจัดลำดับความยากง่าย (sequence) โดยคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน 4. การเสริมด้วยตนเอง (self- reinforcement) เป็นการให้ผลย้อนกลับให้ผู้เรียนรู้ว่าตนเองทำผิดหรือถูกอย่างไร เป็นแรงเสริม กานิเย (Gagne, 1965) http://www.onec.go.th/ อธิบายว่าผลการเรียนรู้ของมนุษย์มี 5 ประเภท คือ - ทักษะทางปัญญา (Intellectual skill) ประกอบด้วยทักษะย่อย 4ระดับ คือ การจำแนกแยกแยะ การสร้างความคิดรวบยอด การสร้างกระบวนการ หรือกฎขั้นสูง - กลวิธีในการเรียนรู้ (Cognitive Strategies) ซึ่งประกอบด้วยกลวิธีใส่ใจ การรับและทำความเข้าใจข้อมูล การดึงความรู้จากความทรงจำ การแก้ปัญหา และกลวิธีการคิด - ภาษา (Verbal Information) - ทักษะการเคลื่อนไหว (Motors Skill) - เจตคติ (Attitudes) Bloom (http://th.wikipedia.org/wiki/) แบ่งการเรียนรู้เป็น 6 ระดับ คือ ความรู้ที่เกิดจากการจำ (knowledge) ซึ่งเป็นระดับล่างสุด ความเข้าใจ (Comprehend) การประยุกต์ (Application) การวิเคราะห์ (Analysis) สามารถแก้ปัญหาและตรวจสอบได้ การสังเคราะห์ (Synthesis) สามารถนำส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ให้แตกต่างจากรูปเดิม โดยเน้นโครงสร้างใหม่ และการประเมินค่า(Evaluation) สามารถวัดและตัดสินได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ประกอบการตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่นอนให้แนวคิดเรื่องการกำหนดจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเป็น 3 ด้าน คือด้านความรู้ (cognitive domain) ด้านความรู้สึกและเจตคติ (Affective domain) และด้านทักษะ (Psycho-motor domain) โดยในแต่ละด้านจะมีการเรียนรู้ย่อยๆ มากมายที่แสดงแนวคิดด้านการคิดชัดเจนว่า บุคคลเรียนรู้ทางด้านสติปัญญา หรือการคิด ด้านจิตใจและด้านการกระทำในเรื่องเกี่ยวกับการคิด บลูมให้ข้อคิดเห็นว่า “การคิดของบุคคลเป็นขั้นตอนโดยเริ่มจากการเรียนรู้การจำการเข้าใจและพัฒนาต่อไปถึงขั้นวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมิน” ซึ่งนับว่าบลูมเป็นผู้ก้าวเข้าสู่กระบวนการทางสมองชัดเจน จากแนวคิดของนักการศึกษา นักจิตวิทยาการศึกษาที่กล่าวมานี้เป็นแนวคิดด้านพัฒนาการทางการคิดของเด็กโดยเฉพาะในช่วงอายุ 11-15 ปี เมื่อพบสิ่งแวดล้อม ปัญหา สถานการณ์และสิ่งเร้าต่างๆ ที่มีส่วนกระตุ้นการคิดเด็กจะรับข้อมูลเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการทางสมองแล้วตอบสนองต่อสิ่งเร้า ด้วยการคิดเป็นกระบวนการในที่สุดเด็กจะได้คำตอบว่าควรตอบโต้หรือเลือกอะไร เพราะอะไรที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2549 : 69) ให้แนวคิดว่า “สิ่งที่เราคิดมีความสำคัญมาก เพราะสะท้อนสาระแห่งความเป็นคนภายในตัวตนของเราออกมา เราคิดเช่นไรสิ่งที่เราแสดงออกมาย่อมเป็นเช่นนั้น ความคิด ณ จุดเริ่มต้นของเราเป็นตัวกำหนดความสำเร็จ หรือล้มเหลวในการแสดงออกของเราได้” ซึ่ง http://www.onec.qo.th/.กล่าวว่าในปีค.ศ.1984 มีการประชุมของนักการศึกษาของต่างประเทศ ที่ The Wingspread Conference Center in Racing, Wisconsin State. เพื่อหาแนวทางร่วมพัฒนาทักษะการคิดของเด็กพบว่าแนวทางที่นักการศึกษาใช้ในการดำเนินการวิจัยและทดลองเพื่อพัฒนาการคิดนั้น สามารถสรุปได้ 3 แนว คือ http://www.onec.go.th/ อ้างอิงจาก (เชิดศักดิ์ โฆวาสินธ์ , 2530) 1. การสอนเพื่อให้คิด (Teaching for thinking) เป็นการสอนเนื้อหาวิชาการ โดยมีการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มความสามารถในด้านการคิดของเด็ก 2. การสอนการคิด (Teaching of thinking) เป็นการสอนเน้นกระบวนการทางสมองที่จะนำมาสู่การคิด เป็นการปลูกฝังทักษะการคิดโดยตรงไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหลักสูตร แต่เป็นตามแนวทางทฤษฎีและความเชื่อพื้นฐานของแต่ละคนที่ทำเป็นโปรแกรมการสอน 3. การสอนเกี่ยวกับการคิด (Teaching about thinking) เป็นเนื้อหาเน้นการใช้ทักษะโดยช่วยให้ผู้เรียนรู้เข้าใจกระบวนการคิดของตน เพื่อให้เกิดทักษะการคิดที่เรียกว่า metcognition คือ ให้รู้ว่าตนรู้อะไร ต้องการอะไร ควบคุม ตรวจสอบและประเมินการคิดของตนได้ จากแนวคิดที่กล่าวมาเป็นแนวคิดหลักที่ผู้วิจัยใช้คำว่า “กระบวนการคิด” เนื่องจากวัยอายุ 11-15 ปี ของเด็กมีพัฒนาการและความสามารถเพียงพอตามกรอบความคิด ซึ่งให้คำ อธิบายว่ากระบวนการคิด คือการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงให้เกิดขึ้นโดยอาศัยทักษะการคิดพื้นฐานและขั้นกลางเป็นแนวทางเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขาดตอนการคิดพื้นฐาน และขั้นกลาง ก่อนการพัฒนาการคิดขั้นสูงให้แก่เด็กด้วยแบบฝึกทักษะกระบวนการคิด ดังที่ http://www. onec.go.th/ กล่าวอ้างถึงนโยบายปฏิรูปการศึกษาว่า มุ่งเน้นการปฏิรูปการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพกระบวนการคิด ดังนั้นผู้วิจัยจึงจัดการสอนการคิดเป็นกระบวนการด้วยแนวคิดจากนิคม ปิยมโนชา (เอกสารอัดสำเนา) อ้างอิงจากทิศนา แขมมณี และคณะ (2540) ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิดแบ่งการคิดเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่ 1 ทักษะการคิดหรือทักษะการคิดพื้นฐานที่มีการคิดไม่ซับซ้อน เป็นทักษะของการคิดขั้นสูงหรือระดับสูงที่มีขั้นตอนซับซ้อน ให้แสดงออกถึงการกระทำหรือพฤติกรรมที่ต้องใช้ความคิดแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ทักษะการคิดพื้นฐาน และทักษะการคิดขั้นสูงดังนี้ 1. ทักษะการคิดพื้นฐาน ประกอบด้วย 1.1 ทักษะการสื่อความหมาย หมายถึงทักษะการรับสารที่แสดงถึงความคิดของผู้อื่นเข้ามาเพื่อรับรู้ ตีความและจดจำและเมื่อต้องการที่จะระลึกเพื่อนำมาเรียบเรียง และถ่ายทอดความคิดของตนให้แก่ผู้อื่นโดยแปลความคิดในรูปของภาษาต่างๆ ทั้งที่เป็นข้อความ คำพูด ศิลปะ ดนตรี คณิตศาสตร์ฯลฯ เช่นทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอภิปราย ทักษะการทำให้กระจ่างเป็นต้น 1.2 ทักษะการคิดที่เป็นแกนหรือทักษะการคิดทั่วไป หมายถึงทักษะการคิดที่จำเป็นต้องใช้อยู่เสมอในการดำรงชีวิตประจำวันเช่นทักษะการสังเกต ทักษะการสำรวจ ทักษะการตั้งคำถาม ทักษะการเก็บรวบรวมข้อมูล ทักษะการระบุ ทักษะการจำแนก ทักษะการเปรียบเทียบเป็นต้น 2. ทักษะการคิดขั้นสูง หรือทักษะการคิดที่ซับซ้อน หมายถึงทักษะการคิดที่มีขั้นตอนหลายขั้นและต้องอาศัยทักษะการสื่อความหมาย และทักษะการคิดที่เป็นแกนหลายๆ ทักษะในแต่ละขั้น เช่นทักษะการสรุปความ ทักษะการให้คำจำกัดความ ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะการผสมผสานข้อมูล ทักษะการจัดระบบความคิด ทักษะการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ทักษะการตั้งสมมุติฐานเป็นต้น กลุ่มที่ 2 ลักษณะการคิดหรือการคิดระดับกลาง มีขั้นตอนในการคิดซับซ้อนมากกว่าการคิดในกลุ่มที่ 1 การคิดในกลุ่มนี้เป็นพื้นฐานของการคิดระดับสูง ซึ่งลักษณะการคิดแต่ละลักษณะต้องอาศัยทักษะความคิดพื้นฐานมากบ้างน้อยบ้าง ในการคิดแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1. ลักษณะการคิดทั่วไปที่จำเป็นได้แก่การคิดคล่อง การคิดละเอียด การคิดหลากหลาย การคิดชัดเจน 2. ลักษณะการคิดที่เป็นแกนสำคัญได้แก่การคิดถูกทาง การคิดไกล การคิดกว้าง การคิดอย่างมีเหตุผล การคิดลึกซึ้ง กลุ่มที่ 3 กระบวนการคิดหรือการคิดระดับสูง มีขั้นตอนการคิดซับซ้อนและต้องอาศัยทักษะการคิด และลักษณะการคิดเป็นพื้นฐานในการคิดกระบวนการคิดมีหลายกระบวนการเช่น กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กระบวนการคิดสร้างสรรค์ กระบวนการคิดตัดสินใจและกระบวนการคิดแก้ปัญหา เป็นต้น ดร.ชาติ แจ่มนุช (2545 : 20-21) กล่าวว่าการคิด 1. เป็นกระบวนการทำงานของสมองโดยใช้ประสบการณ์มาสัมผัสกับสิ่งเร้าและข้อมูลหรือสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ปัญหา แสวงหาคำตอบ ตัดสินใจหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ 2. พฤติกรรมที่เกิดในสมองเป็นนามธรรมไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า การที่จะรู้ว่ามนุษย์คิดอย่างไร คิดอะไร จึงต้องสังเกตจากพฤติกรรมที่แสดงออกหรือคำพูดที่พูดออกมา ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศักดิ์ (2545) http://advisor.anamal.moph.go.th/ ให้ความหมายว่าการที่คนพยายามใช้พลังทางสมองของตนในการนำเอาข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ต่างๆ ที่มีอยู่มาจัดวางอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ความซึ่งผลลัพธ์ เช่นการตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดเป็นต้น ดร.สุวิทย์ มูลคำ (2547 : 13) อ้างอิงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติให้แนวการคิดว่าเป็นกลไกของสมองที่เกิดขึ้นตลอดเวลาซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ใช้ในการสร้างแนวความคิดรวบยอดด้วยการจำแนกความแตกต่าง การจัดกลุ่มและการกำหนดชื่อเรื่องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ได้รับ กระบวนการที่ได้รับในการแปลความหมายของข้อมูล รวมทั้งการสรุปอ้างอิงด้วยการจำแนกรายละเอียด การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ได้รับ ซึ่งข้อมูลที่นำมาใช้อาจเป็นความจริงที่สัมผัสได้หรือเป็นเพียงจินตนาการที่ไม่อาจสัมผัสได้ตลอดจนเป็นกระบวนการที่นำกฎเกณฑ์ต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีเหตุผลและเหมาะสม การคิดเป็นผลที่เกิดขึ้นจาการที่สมองถูกรบกวนจากสิ่งแวดล้อม สังคมรอบตัวและประสบการณ์ดั้งเดิมของมนุษย์ โดยที่ http://school.obae.go.th/ กล่าวถึงทักษะการคิดว่าทำให้บุคคลมองการณ์ไกล สามารถควบคุมการกระทำของตนเองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ การคิดอย่างมีเหตุผล และมีวิจารณญาณ มีผลต่อการเรียนรู้การตัดสินใจและการแสดงออกของพฤติกรรมต่างๆ ส่วนความคิดระดับสูง (higher-order thinking) เป็นความคิดที่เกิดขึ้นด้วยกระบวนการที่ซับซ้อน และมีขั้นตอนการคิดหลายขั้น การฝึกคิดระดับสูงนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากการฝึกทักษะและความคิดระดับต้นที่เน้นความรู้ความจำ ซึ่งประกอบด้วยการจัดจำแนก การสร้างมโนมิติ การกำหนดหลักการ การลงข้อสรุป และการสรุปอ้างอิงที่หลากหลาย ความคิดระดับสูงจำแนกการคิดได้ดังนี้ 1. การคิดสร้างสรรค์ (creative thinking) เป็นการคิดแปลกใหม่ที่มีหลายแนวทางในการแก้ปัญหาแทนความคิดเก่าและไม่จำกัดอยู่ในวิธีการหนึ่ง มีลักษณะการคิดดังนี้ - ความคิดคล่อง (fluency) - ความคิดยืดหยุ่น (flexibility) - ความคิดริเริ่มแปลกใหม่ (originality) - ความคิดที่มีรายละเอียด (Claboration) 2. การคิดวิเคราะห์ (critical thinking) เป็นการคิดอย่างมีเหตุผลคำนึงถึงเป้าหมาย มีองค์ประกอบ 5 ประการ คือ - การสรุปอ้างอิง - การยอมรับข้อมูลสรุป - การใช้เหตุผลแบบอนุมาน - การประเมินข้อโต้แย้ง - การตีความหมาย 3. การคิดตัดสินใจ (decision thinking) เป็นการพิจารณาสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ การคิดตัดสินใจประกอบด้วยขั้นตอน 6 ขั้น คือ - การกำหนดเป้าหมายของการตัดสินใจ - การสร้างทางเลือก - การวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของทางเลือก - การจัดลำดับความสำคัญของทางเลือก - การตัดสินทางเลือก - การเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดไปใช้ 4. การคิดแก้ปัญหา (problem thinking) คือ การพิจารณาหาเทคนิคที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ - มีปัญหา - ทำความเข้าใจกับปัญหา - รวบรวมและเลือกวิธีการแก้ปัญหา - ลงมือแก้ปัญหา - ประเมินผลการแก้ปัญหา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นทิศทางใกล้เคียงกันกับกรมวิชาการ (2541 : อัดสำเนา) ให้คำนิยามว่าทักษะการคิดระดับสูง ประกอบด้วยการคิด 4 ประเภทคือ 1. การคิดวิจารณญาณ 2. การคิดสร้างสรรค์ 3. การคิดตัดสินใจ 4. การคิดแก้ปัญหา ผู้วิจัยเห็นว่าการจัดฝึกทักษะการคิดเพียงด้านใดด้านหนึ่งใน 4 ประเภทดังกล่าวสำหรับผู้เรียนซึ่งอยู่ในวัยที่มีพฤติกรรมการพัฒนาการคิดมีความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลมากขึ้น มีระบบการคิดในสิ่งซับซ้อนอย่างเป็นนามธรรมได้มากพอ อาจไม่ทันเวลาเพราะนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของชีวิตอีกช่วงที่พวกเขาต้องเลือกก้าวสู่สังคมในอนาคต ต้องรู้จักปรับตัวเพื่อเข้าสู่ทางเลือกของสังคมการศึกษาต่อหรือในสังคมการศึกษาด้านอาชีพด้วย “กระบว ขั้นตอนการคิดวิเคราะห์มีอะไรบ้าง1. ระบุปัญหาหรือข้อมูลที่ต้องการวิเคราะห์ให้ชัดเจน (Define the problem) 2. รวบรวมและประมวลผลข้อมูล (Gather and interpret information) 3. พัฒนาแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ (Develop possible solution) 4. นำแนวทางการแก้ปัญหาไปทดสอบ (Test possible solutions)
การพัฒนาการคิด 6 ขั้นตอน มีอะไรบ้าง1. เผชิญเหตุการณ์ 2. ประเมินสถานการณ์ 3. พิจารณาวินิจฉัย 4. ตรวจสอบและประเมินข้อมูล 5. พัฒนาแนวคิด/มุมมอง 6. คิดใหม่และปฏิบัติใหม่
การพัฒนาทักษะกระบวนการคิด 3 ด้านมีอะไรบ้างจงอธิบาย(1) ทักษะการรู้จักตนเอง (2) ทักษะการคิด การตัดสินใจและการแก้ปัญหา (3) ทักษะการแสวงหาข้อมูล ข่าวสาร ความรู้
กระบวนการคิดอย่างมีจุดมุ่งหมายมีขั้นตอนอย่างไร2.2 การคิดอย่างมีจุดหมาย (Directed Thinking) เป็นการคิดเพื่อหาคำตอบ เพื่อแก้ปัญหา หรือนำไปสู่จุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายโดยตรง สามารถนำผลของการคิดไปใช้ประโยชน์. สุ่มนักเรียนนำเสนอผลงาน. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงาน แนะนำข้อบกพร่อง ปรับปรุงผลงาน. สรุปบทเรียน. |