คุณแม่ทั้งมือใหม่ และคุณแม่ที่เคยผ่านประสบการณ์การตั้งครรภ์มาแล้ว ก็มีสิทธิมีภาวะแทรกซ้อนในขณะที่ตนเองกำลังตั้งท้อง โดยอาการที่จะเห็นได้ชัดคือมีเลือดไหลออกมาจากทางช่องคลอด อาจทำให้คุณแม่มีความตกใจ เพราะมีอาการกลัวว่าลูกที่อยู่ในท้องได้รับอันตราย ซึ่งคุณแม่บางท่านก็มีมีเลือดไหลออกมามาก หรือสำหรับบางคนก็ไหลออกมาน้อย แต่ก็ไม่ได้ตัวบ่งบอกว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่อันตรายต่อเด็กในท้อง ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ Show การมีเลือดออกมาจากช่องคลอดของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ส่วนมากจะพบได้ 2 ช่วง คือช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ และช่วงใกล้คลอด ซึ่งทางการแพทย์ระบุว่าเป็นภาวะที่ไม่เป็นปกติคุณแม่ต้องพบแพทย์โดยด่วน สาเหตุของคนท้องมีเลือดออกการมีเลือดออกของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้ การมีเลือดออกในระยะแรกของการตั้งครรภ์15-25% ของสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ที่มีภาวะเลือดออกในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งการมีเลือดออกในระยะแรกสาเหตุ ดังนี้ การแท้งลูกเสียชีวิตของเด็กในครรภ์ ซึ่งสามารถพบได้ 10% ของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ กล่าวคือ จะมีภาวะเลือดออกและปวดท้องน้อยแบบหน่วงๆ ซึ่งการแท้งลูก ก็อาจไม่จำเป็นต้องมีประวัติการมีเลือดออกก็ได้ ซึ่งหากแท้งอาจจะมีชิ้นเนื้อติดค้างอยู่ภายในมดลูก ซึ่งคุณแม่สามารถรอให้ชิ้นเนื้อหลุดออกมา หรือใช้ยา หรือใช้วิธีการขุดชิ้นเนื้อออกมาทางโพรงมดลูกได้ การท้องนอกมดลูกอีกหนึ่งสาเหตุที่ให้คุณแม่มีเลือดออกในระหว่างการตั้งครรภ์ คือการท้องนอกมดลูก ซึ่งการท้องนอกมดลูกเกิดจากที่มีการปฎิสนธิแล้วไม่สามารถทำการฝังตัวในผนังมดลูกได้ แต่ไปฝังตัวในท่อนำไข ซึ่งหากท่อนำไข่แตก ก็จะให้คุณแม่มีเลือดออกมาภายในช่องท้อง ส่งผลทำให้คุณแม่มีอาการอ่อนเพลีย เป็นลม ปวด ช๊อค หรือถึงเป็นอันตรายต่อชีวิตของคุณแม่ได้ การมีเลือดออกในระยะหลังของการตั้งครรภ์การที่คุณแม่ที่กำลังท้องมีเลือดออกในระยะหลังใกล้คลอด อาจเกิดได้จากที่อักเสบ มีการขยายขนาดของปากมดลูก หรือหากมีอาการที่หนัก ก็อาจเกิดมาจากความผิดปกติของรก หรือคุณแม่มีอาการเจ็บคลอดก่อนกำหนด ซึ่งหากคุณแม่มีภาวะเลือดออก ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน โดยปกติแล้ว คนท้องควรสังเกตการเคลื่อนไหวของลูกน้อยในครรภ์อยู่ตลอด เด็กบางคนก็ดิ้นมากในเวลากลางคืน ในขณะที่เด็กบางคนก็จะเริ่มขยับตัวมากในช่วงเช้า ถ้าลูกน้อยของคุณแม่ดิ้นน้อยลง หรือไม่ดิ้นเลย คุณแม่ท้องควรไปโรงพยาบาลทันที เพราะเคยมีบางกรณี ที่เด็กเสียชีวิตก่อนคลอดเพียงไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งวิธีเดียวที่จะรู้ได้ก็คือ การสังเกตการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ หรือการนับลูกดิ้น ปกติลูกในท้อง จะต้องดิ้นมากกว่า 10 ครั้ง/วัน ซึ่งการดิ้นของลูก บ่งบอกว่า ลูกยังมีชีวิตอยู่ หรือมีสุขภาพที่แข็งแรง โดยลูกจะดิ้นมากหลังจากที่คุณแม่กินอาหารเสร็จใหม่ๆ การนับลูกดิ้นให้นับตั้งแต่อายุครรภ์ 32 สัปดาห์ขึ้นไป ควรนับ 3 เวลา หลังอาหารเช้า-กลางวัน และเย็น โดยมีวิธีการนับลูกดิ้น คือ ลูกดิ้นในเวลาเดียวกัน ให้นับเป็น 1 ครั้ง เช่น ตุ๊บ ตุ๊บ พัก ให้นับเป็น 1 ครั้ง หรือ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ก็ให้นับเป็น 1 เช่นกัน การนับให้นับหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ถ้านับแล้วไม่ถึง 3 ครั้ง ให้นับต่อไปอีก 1 ชั่วโมง และถ้ายังไม่ถึง 3 ครั้งอีก ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจดูความผิดปกติของทารกในครรภ์ต่อไป ถือเป็นภาวะปกติ โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นช่วงที่เริ่มตั้งครรภ์ (ช่วงอายุครรภ์ 1-12 สัปดาห์) สตรีมีครรภ์ที่ตกเลือดระหว่างอุ้มท้องมีโอกาสให้กำเนิดทารกที่มีสุขภาพดีแข็งแรงได้ เนื่องจากการตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์ไม่ก่อให้เกิดอันตรายเสมอไป แต่บางครั้งภาวะตกเลือดนี้ก็อาจเป็นอันตรายจนถึงขั้นทำให้เกิดภาวะแท้งได้ ทั้งนี้อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพครรภ์ร้ายแรงอื่น ๆ ด้วย ผู้ตั้งครรภ์จึงควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพครรภ์และทารกในครรภ์อาการหรือสัญญาณของการตกเลือด การตกเลือดจะปรากฏสัญญาณและอาการที่แตกต่างกันไปตามสาเหตุ ดังนี้
สาเหตุของการตกเลือด การตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์เกิดจากสาเหตุหลายประการที่แตกต่างกันไป โดยแบ่งสาเหตุตามอายุครรภ์ที่ตกเลือดออกเป็น 2 ช่วงหลัก ได้แก่ การตกเลือดช่วงอายุครรภ์น้อย และการตกเลือดช่วงอายุครรภ์มาก ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
นอกจากนี้ ผู้ตั้งครรภ์ที่ตกเลือดเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น การติดเชื้อหรือได้รับบาดเจ็บที่ปากมดลูกหรือช่องคลอด ติ่งเนื้อ และโรคมะเร็ง การวินิจฉัยอาการตกเลือด ตกเลือดเกิดได้จากสาเหตุหลายประการ ผู้ตั้งครรภ์ต้องเข้ารับการวินิจฉัยสาเหตุของการตกเลือด โดยแพทย์อาจตรวจช่องคลอดและอุ้งเชิงกราน ทำอัลตราซาวด์ หรือตรวจเลือดผู้ป่วยเพื่อวัดระดับฮอร์โมน ทั้งนี้ แพทย์อาจสอบถามอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น ผู้ป่วยเกิดอาการปวดบีบที่ท้อง เกิดอาการปวดอื่น ๆ หรือเวียนศีรษะหรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ตั้งครรภ์ที่เกิดอาการไม่รุนแรง รวมทั้งทารกยังไม่ครบกำหนดคลอด จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ บางรายอาจต้องพักที่โรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการ ซึ่งระยะเวลาที่พักในโรงพยาบาลขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้ตกเลือดและอายุครรภ์ อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยอาการตกเลือดในช่วงอายุครรภ์น้อยและช่วงอายุครรภ์มาก มีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้
การรักษาอาการตกเลือด ผู้ตั้งครรภ์ควรหมั่นดูแลและสังเกตอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ หากเกิดตกเลือดเล็กน้อย ควรใส่ผ้าอนามัยหรือแผ่นอนามัยเพื่อดูปริมาณเลือดที่ไหลออกมาจากช่องคลอด รวมทั้งหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ ในกรณีที่ตกเลือดมาก ปวดบีบที่ท้อง เป็นไข้ มดลูกหดรัดตัว หรือวิงเวียนศีรษะและจะเป็นลม ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยสาเหตุและรักษาทันที ทั้งนี้ ควรเก็บเนื้อเยื่อที่ไหลมาจากช่องคลอดเพื่อนำไปให้แพทย์ตรวจด้วย เนื่องจากการตกเลือดมากอาจมีสาเหตุมาจากภาวะแท้ง สำหรับผู้ที่หมู่เลือดมีค่าอาร์เอช (Rh) เป็นลบ จำเป็นต้องได้รับการฉีดอิมมูโนโกลบูลินเพื่อป้องกันปัญหาเกี่ยวกับภาวะเลือดเข้ากันไม่ได้ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ทั้งนี้ อาการตกเลือดจากสาเหตุต่าง ๆ มีวิธีรักษา ดังนี้
การป้องกันอาการตกเลือด การตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์เกิดได้จากสาเหตุหลายอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งขณะที่อายุครรภ์น้อยและอายุครรภ์มาก การตกเลือดในช่วงอายุครรภ์น้อยพบได้ทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้ว การตกเลือดในช่วงอายุครรภ์ระยะนี้ไม่ใช่สัญญาณของปัญหาสุขภาพครรภ์ร้ายแรง ส่วนการตกเลือดในช่วงอายุครรภ์มากนับว่ามีความเสี่ยงสูงกว่า ผู้ตั้งครรภ์ควรพบแพทย์ทันทีเมื่อประสบภาวะตกเลือด นอกจากนี้ สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดการตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์เป็นปัญหาที่ป้องกันไม่ได้ ภาวะดังกล่าวอาจทำให้รู้สึกกังวล ผู้ตั้งครรภ์จึงควรทำใจให้สบาย หาโอกาสพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวเพื่อผ่อนคลายความเครียด รวมทั้งดูแลตัวเองให้มีสุขภาพครรภ์ที่แข็งแรง ดังนี้ |