“น้ำมันเชื้อเพลิง” หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญอันดับต้น ๆ ของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะในยุคนี้ที่รถน้ำมันยังเป็นส่วนใหญ่บนท้องถนน แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า น้ำมันรถ น้ำมันเชื้อเพลิง แต่ละประเภท มีความแตกต่างกันอย่างไร? เหมาะกับรถยนต์ประเภทไหนบ้าง? Show MrKumka เล่าเรื่อง.. สำหรับมือใหม่เริ่มใช้รถและผู้ใช้รถทุกคนที่ยังไม่รู้ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง เราจะพาคุณไปทำความรู้จักน้ำมันรถแต่ละประเภทให้มากขึ้น ยืดอายุการใช้งานเครื่องยนต์ให้ยาวนานกว่าเดิม อีกทั้งในแง่สมรรถนะสูงสุดสำหรับรถของคุณ มีรายละเอียดที่น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน? ไปติดตามพร้อม ๆ กันเลย! น้ำมันเชื้อเพลิง แต่ละประเภท แตกต่างกันอย่างไร?วิธีการดูแลรักษารถยนต์ที่ดีที่สุด คือ การเติมน้ำมันรถที่เหมาะกับรถยนต์คู่ใจของคุณ เพราะช่วยป้องกันการอุดตัน หรือระบบการทำงานที่บกพร่อง ใช้งานแล้วไม่มีสะดุด ราบรื่นตลอดการเดินทาง ดังนั้นหากต้องการให้รถยนต์อยู่กับเราไปนาน ๆ ควรเช็กให้ดีว่า “รถยนต์ของคุณเหมาะกับน้ำมันเชื้อเพลิงแบบใด” เปรียบเทียบ “ความแตกต่าง” ของน้ำมันเชื้อเพลิงน้ำมันเชื้อเพลิงที่สามารถใช้กับรถยนต์ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ และแบ่งเป็นประเภทยิบย่อยอีกมากมาย ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. น้ำมันเบนซิน“น้ำมันเบนซิน” เป็นน้ำมันที่กลั่นออกมาจาก “น้ำมันดิบ” และนำมาเข้าสู่กระบวนการ “ออกเทน” เพื่อพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมี 2 ประเภทด้วยกัน คือ น้ำมันเบนซิน 91 (ธรรมดา) และน้ำมันเบนซิน 95 (พิเศษ)
2. น้ำมันแก๊สโซฮอล์“น้ำมันแก๊สโซฮอล์” คือน้ำมันเบนซินอีกประเภทที่สกัดจากพืชหลากหลายชนิด เช่น มันเทศ ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ซึ่งเรียกกันว่า “เอทานอล” เมื่อนำมาผสมกับน้ำมันเบนซิน ก็จะกลายเป็น “พลังงานทดแทนแก๊สโซฮอล์” ซึ่งในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
3. น้ำมันดีเซล“น้ำมันดีเซล” มีกระบวนการกลั่นคล้ายกับน้ำมันเบนซิน หรือมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “น้ำมันใส” มีจุดเดือดค่อนข้างสูง ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 180-370 องศาเซลเซียส สามารถจุดระเบิดได้เอง เนื่องจากความร้องของแรงอัดอากาศในกระบอกสูบสูง จึงไม่จำเป็นจะต้องใช้หัวเทียนช่วยในการจุดระเบิด ซึ่งในปัจจุบันน้ำมันดีเซลแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
หลังจากที่ทำความเข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่า น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละประเภทคืออะไร เหมาะกับรถยนต์ประเภทใดบ้าง ต่อจากนี้ก็ให้ระมัดระวังในการเติมน้ำมันให้มากขึ้น หากไม่อยากพบเจอกับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะตามมาในอนาคต หากไม่มั่นใจแนะนำให้ดูจากสติกเกอร์บนฝาถังน้ำมันก่อนเติมทุกครั้ง Tips ! เติมน้ำมันรถให้คุ้มค่ามากที่สุดทำยังไงในยุคสมัยที่ “ราคาน้ำมัน” พุ่งสูงมาก จนหลายคนไม่อยากจะใช้รถใช้ถนนมากเท่าไหร่นัก แต่ด้วยความจำเป็นหลาย ๆ อย่าง ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ เราจึงทำการรวบรวม “เทคนิคเติมน้ำมัน” มาให้คุณได้นำไปปรับใช้ร่วมกัน ดังนี้ 1. ความเชื่อเรื่องเติมน้ำมันในช่วงเวลากลางคืน ดีกว่าจริงหรือ ?เทคนิคในข้อนี้จะสอดคล้องกับ “การระเหย” ของน้ำมัน การเติมน้ำมันในช่วงเวลานี้ จะทำให้การระเหยเกิดขึ้นได้น้อยกว่าช่วงเวลากลางวัน เนื่องจากอากาศมีอุณหภูมิที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้ในระดับหนึ่ง 2. เติมน้ำมันก่อนที่จะหมดถังลองสังเกตตอนที่เติมน้ำมันเสร็จใหม่ ๆ จะพบว่าน้ำมันรถ “หมดช้ามาก” แต่เมื่อเลยครึ่งถึงไปแล้ว กลับลดฮวบอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อถังน้ำมันมีพื้นที่ว่างค่อนข้างเยอะ การระเหยของน้ำมันก็เป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น หากน้ำมันลดลงเหลือ 1 ใน 4 ของถัง แนะนำให้รีบเติมจะดีที่สุด 3. กดปุ่ม ECO ที่มีอยู่ในรถยนต์รถยนต์ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นรถยุโรป รถเอเชีย รถขนาดเล็ก รถขนาดกลาง หรือรถขนาดใหญ่ ก็มักจะฟังก์ชัน “ประหยัดน้ำมัน” ให้คุณได้กดใช้งานแทบทั้งสิ้น แต่การกดปุ่ม ECO ก็แลกมาด้วยความเร็วและอัตราเร่งที่ลดลง แต่ก็นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกดี ๆ ที่ช่วยให้รถประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น หลังจากที่ทำความเข้าใจเทคนิคการเติมน้ำมันไปเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าต่อจากนี้ทุกคนก็จะสามารถ “เซฟเงิน” ในส่วนนี้ได้พอสมควร แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยได้มากมายอะไรนัก แต่ก็ถือว่าอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยคุณประหยัดได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะ หากไม่เชื่อก็ลองนำเทคนิคต่าง ๆ ไปปรับใช้กันเลย! เห็นแล้วใช่ไหมว่าในปัจจุบันมี “น้ำมันเชื้อเพลิง” หรือน้ำมันรถยนต์มากมายหลายประเภท และทุกประเภทก็ใช่ว่าจะเหมาะสำหรับรถยนต์ทุกแบรนด์ หรือทุกรุ่นแต่อย่างใด แนะนำให้ศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ให้ดี และเลือกเติมน้ำมันอย่างเหมาะสม เพราะถึงแม้บางประเภทจะใช้ทดแทนกันได้ แต่ก็อาจจะแลกมาด้วยสมรรถนะที่ลดน้อยลง หรือบางประเภทที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ เมื่อเติมผิดขึ้นมาล่ะก็ อาจจะต้องปวดหัวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ตามมาอย่างมากมายกันเลยทีเดียว |