ต วอะไรคล ายหนอนแต ม เข ยวตรงปลายม ส ดำ

จันนเดิมเป็นนางฝ่ายใน ในพระราชวังหลัง เมื่อลอบรักใคร่กับสุนทรภู่นั้น ถูกกริ้วต้องเวนจำทั้งคู่ พ้นโทษแล้วต่อมาสุนทรภู่ได้จันเป็นภรรยา มีบุตรด้วยกันชื่อ พัด อยู่ด้วยกันไม่นานก็หย่าร้างกัน จันไปมีสามีใหม่ สุนทรภู่จึงตัดพ้อไว้ในโคลงตอนนี้

เคราะกำ = เคราะห์กรรม

ยุคุนท = ยุคุนธร

สวรร = สวรรค์

วัดปขาว = วัดศรีสุดาราม

สร้อย = คงจะเป็นหญิงที่เคยมีความสัมพันธ์กับสุนทรภู่ เมื่อคราวรุ่งหนุ่ม ระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่วัดศรีสุดาราม)

บุนยัง = บุญยัง นายโรงละคอนนอกมีชื่อในสมัยนั้น เป็นผู้สร้างวัดละครทำที่ธนบุรี

ประดิศถาน = ประดิษฐาน

รางวัน = รางวัล

เคราะ = เคราะห์

สวรหลวง = สวนหลวง

พิกุน = พิกุล

นน = นนทบุรี

นิ่ม คือ ภรรยาคนหนึ่งของสุนทรภู่ เป็นชาวบางกรวย มีบุตรชื่อตาบ เป็นกวีตามบิดา ได้แต่งเพลงยาว เรียกว่า เพลงยาวนายตาบนิ่มผู้นี้ มีบุตรแล้วไม่ช้าก็ตาย

ผู้หญิงชื่อสีทอง เป็นนักกลอนสักวา เคยบอกดอกสร้อยสักวากับท่านสุนทรภู่

เยี่ยว = เหยี่ยว

เหล้ = เล่ห์

ม่วง ชื่อภรรยาคนหนึ่งของสุนทรภู่

เสน่ = เสน่ห์

เจือจรร = เจือจันทน์

จรร คือ จัน ภรรยาของสุนทรภู่

สังเวท = สังเวช

ทรัพ = ทรัพย์

ชณมาร = ชนมาน

นกกกรุม = นกตะกรุม

น่าจะเป็น บ่เปียก

เยี่ยว = เหยี่ยว

พักสา = ภักษา

สัทา = สัทธา, ศรัทธา

กว่างขวางทร่างวัดวา = กว้างขวางสร้างวัดวา

จรร คือ จัน ภรรยาคนแรกของสุนทรภู่

เพชรัต = เพชรรัตน์

หม้าน = ม่าน

บ้านสศรีธร = บ้านศศิธร

จรร = จันทร์

ขุ้มขุ้ม = คุ่มคุ่ม

เค่า = เข้า ในที่นี้ต้องการ เอก

ร่ายกล้วย = ไร่กล้วย

อู๋เข้า = รวยข้าว

ผักบุ่ง = ผักบุ้ง

สุพันบูรี = สุพรรณบุรี

บางสามศาร = บางสามศาล

อารักศักสิทรวัง = อารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ระวัง

จุมพิศ = จุมพิต

นิด = นิตย์, นิจ

เหญื่อ = เหยื่อ

ตวาง เป็นชื่อหญ้า กระว้าง ก็เรียก

คัด น่าจะเป็นตัด

เชาปมง = ชาวประมง

หญิงชื่องิ้วนี้ ท่านสุนทรภู่รักใคร่ใฝ่ฝัน ได้รำพันไว้ในนิราศของท่านหลายเรื่อง เช่น นิราศพระประธม นิราศวัดจ้าวฟ้า และในนิราศเรื่องนี้

สวัดิ = สวัสดิ์

จอรเข้ = จระเข้

จอรเค่ = จระเข้

ออกตอก = ออกดอก

เคราะ = เคราะห์

แพรพ่า = แพรผ้า

ชีหล = ชีหน หรือยีหน คือบางยี่หน ตำบลตะค่า อำเภอบางปลาม้า

สวนหง = สวนหงส์

พระเนร = พระเณร

กดี = กฎี, กุฎี

พริกเทด = พริกเทศ

เพ่า = เผ้า หมายถึง ผม

หูหนาง = หางหนู

ทับคี่เลก = ทับขี้เหล็ก ปัจจุบันมีแต่ ทับตีเหล็ก

บางนางศุข = บางนางสุก

อารัก = อารักษ์

ประจัก = ประจักษ์

โคกม่อ = โคกหม้อ

ผู่รั้ง = ผู้รั้ง – ผู้ครองเมือง

เกียร = เกียน, เกวียน

วัดพระรูป วัดประตูสาร อยู่ที่ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี

ที่ว่าเป็น “หย่อมย่านบ้านขุนช้าง” นี้ มีผู้ชี้ว่า น่าจะอยู่ตรงที่เป็น บริเวณโคกใหญ่ระหว่างคลองวัดผึ้ง กับแม่น้ำสุพรรณบุรี ใกล้วัดประตูสาร ปัจจุบันมีเรือน คุณยายไห นาคสุวรรณ อายุกว่า ๘๔ ปี เป็นต้น ตั้งอยู่บนโคกนั้น ท่านผู้ชี้สถานที่อธิบายบอกว่า โคกใหญ่นี้แม้ในฤดูน้ำมาก น้ำท่วมไปทุกหนทุกแห่ง แต่ก็ไม่ท่วมโคกนี้ และยังมีที่เป็นแอ่งอยู่ข้างโคกใหญ่ กล่าวกันว่าเคยเป็นคอกช้าง ซึ่งดูสมกับที่ว่า ขุนศรีวิชัย บิดาขุนช้างเป็นนายกองช้างกรมช้างนอก

วัดกระไกร คือ วัดตะไกร

ศรีประจัน มารดาพิมพิลาไลยหรือวันทอง ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน

ทองประศรี มารดาขุนแผน ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน

มหาโพท = มหาโพธิ์

พิมพิลาไลย นางเอกในเรื่องขุนช้างขุนแผน ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง

สืบขู้สูพรรณ = สืบคู่สุพรรณ

พระป่าเรไร = พระป่าเลไลย์ ที่วัดป่าเลไลย์ ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี

เด็ก น่าจะเป็น เด็ด

เทียรทูป = เทียนธูป

อดส่า = อุตส่าห์

ปราศนา = ปรารถนา

ปเจกพุทธะภูม = ปัจเจกพุทธภูมิ

พระศรีอาร = พระศรีอาริย์

หมายถึง บุตรที่ร่วมทางไปด้วย ที่มีชื่อระบุไว้ในนิราศนี้ ได้แก่ พัด (บุตรที่เกิดจาก จัน) ตาบ (บุตรที่เกิดจาก นิ่ม) กลั่นและชุบ ซึ่งเป็นบุตรเลี้ยง

๔.การเช่ือมยึดปีกทงั้ สองใหโ้ บกไปพร้อมกนั ของผีเสื้อกลางวันตา่ งจากผเี สือ้ กลางคนื โดยจะมแี ผ่นปีกขยาย

กวา้ งออกซ้อนทาบกนั แตใ่ นผีเส้ือกลางคืนมีขนแข็งจากโคนปีกคหู่ ลงั สอดเข้าไปเกี่ยวกบั ขอเล็กๆตอนโคนปีกดา้ นใต้ ของปีกค่หู น้า(ยกเวน้ ผเี สอ้ื กลางวนั ชนิดหนึ่งในทวปี ออสเตรเลยี )

๕.การเกาะพกั ของผเี ส้ือกลางวัน มักจะยกปีกตั้งตรงขน้ึ บนลำตวั เห็นดา้ นใต้ของปกี สว่ นผเี สื้อกลางคืนจะ วางปีกราบลงกบั พ้นื ที่เกาะ โดยขอบปีกด้านหนา้ ตกลงขา้ งตวั ต่ำหวา่ ระดบั ของหลัง ดคู ล้ายรูปหน้าจ่วั หลังคา และ คลมุ ปีกคู่หลงั จนมดิ หมด ลักษณะดงั กลา่ วมาน้ี ไม่อาจใช้จำแนกผเี สอ้ื ทุกชนดิ ไดโ้ ดยเด้ดขาด เนื่องจากลักษณะและ นิสัยตางๆ มกั ปะปนกนั ทำให้มีข้อยกเว้นต่างๆมาก แต่กเ็ ป็นขอ้ แตกต่างอยา่ งกวา้ งๆ ที่จะชว่ ยใหค้ นทั่วไปแยกแมลง สองกลมุ่ น้ีออกจากันได้พอสมควร รูปร่างลกั ษณะทั่วไปของผีเส้ือ

ผเี ส้ือเป็นแมลงพวกหน่ึงแตกตา่ งจากพวกนกและสัตว์เล้ียงลูกด้วยนมอืน่ ๆ ตรงทีไ่ ม่มโี ครงกระดูกอยู่ภายใน ลำตัวประกอบดว้ ยวงแหวนหลายวงต่อกนั เชอื่ มยดึ ด้วยเย่ือบางๆ เพ่อื การเคลื่อนไหวได้สะดวก เปลือกนอกแขง็ เป็น สารพวกไคทนิ (chitin) ภายในเปลือกแขง็ เปน็ ที่ยึดของกลา้ มเนื้อที่ใชใ้ นการเคลอื่ นที่ ลำตัวของผีเส้ือเป็นวงแหวน เช่ือมตอ่ กนั ๑๔ ปลอ้ ง ปลอ้ งแรกเป็นส่วนหวั (head) ปล้องที่ ๒, ๓ และ ๔ เป็นส่วนอก (thorax) และปล้องท่เี หลือ ทง้ั หมดเป็นส่วนท้อง (abdomen)

สว่ นหัวมตี ารวม (compound eye) ใหญค่ ่หู นึ่ง ตรง บริเวณด้านข้างประกอบดว้ ยเลนสเ์ ลก็ ๆหลายพันอัน ต่างจากตาของคนเรา ที่มเี พยี งเลนสเ์ ดยี ว ตารวมรับภาพทเี่ คล่อื นท่ีไดเ้ รว็ เราจึงพบว่าผีเสือ้ บินไดว้ ่องไว จับตวั ได้ ยาก บางทีอาจพบมีตาเดีย่ ว (simple eye) ๒ ตา เช่อื กนั วา่ ใชใ้ นการรบั รูแ้ สงวา่ มืดหรือสวา่ ง

หนวดมี ๑ คู่ อยรู่ ะหว่างตารวม เปน็ อวัยวะรูปยาวเรยี ว คล้าย เสน้ ด้าย ตอ่ กันเปน็ ข้อๆ ทำหน้าท่รี ับ ความรูส้ กึ ในการดมกลนิ่

หนวดผเี สอ้ื ชนดิ ต่างๆ

ขา้ งใต้ของส่วนหวั มงี วง (proboscis) ใช้ดูดอาหารเหลวพวกนำ้ หวานดอกไม้ และของเหลวอ่ืนๆ งวงจะ มว้ นเปน็ วง คลา้ ยลานนาฬกิ าเวลาไมไ่ ด้ใช้ และจะคลายเหยียดออกเวลากนิ อาหาร งวงประกอบขน้ึ ด้วยหลอดรปู ครึง่ วงกลม ๒ หลอด มาเก่ียวกันไว้ทางด้านขา้ งด้วยขอเล็กๆ เรยี งเปน็ แถว สองขา้ งของงวงมีอวัยวะทมี่ ๓ ข้อต่อ ซงึ่ เป็นอวยั วะส่วนปากท่ีเหลืออยู่ เรียกว่า พลั พ์ (palp) ยื่นออกมา

ส่วนอกประกอบดว้ ยปล้องต่อกัน ๓ ปลอ้ ง รอยต่อ ระหวา่ งปลอ้ งมกั ไม่ค่อยชดั เจนนัก เนื่องจากมีเกลด็ สีปก คลุม อก แตล่ ะปล้องมีขาปล้องละคู่ สว่ นปกี คู่หนา้ และปีกคู่หลงั ตดิ อยบู่ นอกปล้องกลางและอกปล้องสุดทา้ ย ปกี ของผเี สอ้ื เปน็ แผ่นเย่ือบางๆ ประกบกนั มีเส้นปกี เป็น โครงร่างใหค้ งรูปอยู่ได้ ปกติผีเส้ือส่วนใหญจ่ ะมเี สน้ ปีกใน ปกี คู่หน้า ๑๒ เสน้ และในปีกค่หู ลงั ๙ เส้น การจดั เรียงของ เส้นปีกเปน็ ลกั ษณะสำคัญในการแยกชนดิ ของผีเสื้อ พืน้ ท่ีท่ีอยรู่ ะหวา่ งเสน้ ปีกเรียกวา่ ช่องปีก (space) เรียกชื่อตามเสน้ ปีก ท่ีพาดอยตู่ อนล่าง เช่น ชอ่ งปีกทอ่ี ย่รู ะหวา่ ง เส้นปกี ที่ ๓ กบั เสน้ ปีกท่ี ๔ เรียกวา่ ช่องปกี ท่ี ๓ เกล็ดสเี ล็กๆ บนปีกเรียงตวั กันเปน็ แถว ซ้อนกันแบบกระเบอ้ื งมุง หลังคา นอกจากนี้ ยังมเี กลด็ พเิ ศษเรียกว่า แอนโดรโคเนยี (androconia) เกลด็ พิเศษน้ีตอนโคนต่อกบั ต่อมกลน่ิ อาจอยู่กระจดั กระจายหรืออยู่เป็นกลมุ่ เรียกวา่ แถบเพศ (brand) ทำหน้าที่กระตนุ้ ความตอ้ งการทางเพศของตวั เมีย

การเชอ่ื มยดึ ของปกี

ผเี สอื้ บางพวกอาจมจี ำนวนเสน้ ปกี นอ้ ยกว่า หรือมากกว่า ๑๒ เสน้ บางพวกเหลอื เพียง ๑๐ เส้น เส้นปกี ส่วนมากจะ เรม่ิ จากโคนปีก หรือจากเซลล์ปกี เซลล์ปีกเป็นบรเิ วณท่ีว่างรปู สามเหลยี่ มอย่บู ริเวณกลางปีก ค่อนไปทางด้านหน้า ถา้ ปลายเซลลม์ ีเส้นปกี กน้ั อยู่ เรียกวา่ เซลล์ปกี ปดิ แต่ถ้าไม่มีเสน้ ปีกกน้ั เรียกวา่ เซลล์ปกี เปดิ บางเส้นจะแตกสาขามา จากเส้นอน่ื ผีเสอื้ ในวงศผ์ ีเสอื้ บินเร็วมีเสน้ ปกี เป็นเสน้ เดีย่ ว ไม่มีการแตกสาขาเลย

ขาของผเี ส้อื เปน็ ขอ้ ๆซึง่ แต่ละขาแบ่งออกไดเ้ ป็น ๕ ส่วน นบั จากท่ีติดกับลำตัว จะเปน็ โคนขา (coxa) ขอ้ ต่อโคนขา (trochanter) ตน้ ขา (femur) ปลายขา (tibia) และข้อเท้า (tarsus) มีเล็บเป็นจำนวนค่ทู ี่ปลายขอ้ เท้า

ขาหน้าของผีเสอื้ กลางวัน ผีเส้ือหลายวงศ์มีขาค่หู นา้ เสือ่ มไปมาก จนไม่มีสว่ นของข้อเทา้ เห็นเป็นกระจุกขนอย่เู ปน็ พู่ บางวงศ์จะพบ ลักษณะเชน่ น้ี ในเพศผู้เท่านั้น ผเี สื้อในวงศผ์ ีเสอื้ หางติ่งมกี ระจุกขนเล็กๆ อยู่ทางตอนในของปลายขา และผเี สอื้ หนอนกะหลำ่ มเี ลบ็ ถงึ ๔ เล็บ แทนท่ีจะมีเพียง ๒ เล็บเหมือนผีเส้อื อนื่ ๆ ส่วนท้องต่อมาจากส่วนอก รูปร่างยาวเรยี ว ค่อนข้าง ออ่ นกว่าสว่ นอก ตอนปลายเปน็ อวัยวะทใ่ี ช้ในการ สบื พันธุ์ อวัยวะสบื พันธ์นุ ้ี มีความแตกต่างกันออกไปในแตล่ ะชนิด จงึ เป็น ลกั ษณะสำคัญในการจำแนกผีเสื้อกลมุ่ ทมี่ ี ลกั ษณะภายนอกคล้าย กนั มากๆ เช่น ผเี สอ้ื เณร (สกุล Euma) ชวี ติ ของผีเสื้อ ชีวติ การเจริญเตบิ โตของผีเส้ือเปน็ การเจริญเตบิ โตแบบ ครบ ๔ ขน้ั (complete metamorphosis) เหมอื นท่ีพบในพวกด้วง ผ้ึง และแมลงวัน โดยแยกออกเปน็ ระยะไข่ ระยะตวั หนอน ระยะดักแด้ และระยะตัวเต็มวยั ขอ้ ดีของการเจริญเตบิ โตแบบนีค้ อื การท่ตี วั หนอนและตัวเต็มวัยกนิ อาหารกนั คนละอยา่ ง ไม่มปี ัญหาการแก่งแย่ง อาหาร ทงั้ ยังอาศยั อยู่กันคนละที่ มโี อกาสรอดจากศตั รธู รรมชาตไิ ด้มากกว่าเม่อื อยรู่ วมกัน สิ่งทสี่ ำคญั ที่สุดคือ ใน บางระยะ เช่น ระยะไขแ่ ละระยะดักแด้ มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมท่ีเลวรา้ ย และการขาดแคลนอาหาร ทำให้ ผีเส้ือคงเผา่ พันธ์ุอยู่ได้ตลอดมา

ระยะไข่ หลงั จากผเี สือ้ ตัวเมียไดร้ ับการผสมพันธุ์จากตวั ผแู้ ลว้ สกั ระยะหนึ่ง ไข่ทม่ี ีอยจู่ ะไดร้ บั การผสมพร้อมทจี่ ะวางไข่ออกมา ตวั เมียจะเสาะหาพืชอาหารทีเ่ หมาะสมกบั ตวั หนอน โดย การเกาะลงบริเวณใบพชื ทดสอบโดยการแตะด้วยปลาย ทอ้ ง ถา้ ไม่ใช่พชื ท่ตี ้องการ กจ็ ะบินไปเรื่อยๆ จนพบ เมื่อพบแลว้ จะค่อยๆ ยืดสว่ นท้องลงวางไขไ่ ว้ใตใ้ บ แต่บางชนิด วางไข่ทางดา้ นหลงั ใบ ส่วนมากจะวางไข่ฟองเดยี ว พวกผเี สอ้ื ตัวหนอนกินใบหญ้าจะปลอ่ ยไข่ลงสูป่ า่ หญา้ เลย ผเี สอื้ กลางคืนที่วางไขเ่ ป็นกลุ่ม บางคร้งั มีขนจากลำตัวปกคลมุ เอาไว้

ไขข่ องผเี สื้อบางชนิด ไข่ของผเี ส้ือมีรปู รา่ งและสแี ตกตา่ งกันตามวงศ์ จงึ อาจบอกวงศ์ของมนั ได้ โดยการดูจากไข่ ผีเสอ้ื หนอนกะหล่ำมีไข่ รูปร่างเหมือนขวดทรงสูงสเี หลอื งหรือสีส้ม ผเี สอ้ื ขาหน้าพู่ วางไข่รปู ร่างเกอื บกลม สีเขยี ว มีสนั พาดตามยาว พวกที่ ไขร่ ูปรา่ งกลมแบน สขี าว มจี ุดดำตรงกลาง ไดแ้ ก่ พวกผีเส้ือ สีน้ำเงิน จุดดำดังกล่าวเป็นช่องที่เชื้อตวั ผ้เู ข้าผสม เรยี กวา่ ไมโครไพล์ (micropyle) พวกผีเสื้อบินเร็วมไี ขห่ ลายแบบ อาจจะมีลกั ษณะเป็นรูปส่ีเหลี่ยมผนื ผา้ หรอื กลม โค้ง แบน คลา้ ยผเี สื้อหางติง่ แตไ่ ข่ของผเี สอื้ พวกหลงั น้สี ีเหลือง กลม และมีขนาดใหญก่ ว่าผเี สอื้ อืน่ ๆ ระยะตัวหนอน

ตัวหนอนของผเี สื้อมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ตามวงศแ์ ละสกุล ส่วนมากไมม่ ีขนปกคลุมเหมือนหนอน ของผเี ส้อื กลางคืน ตัวหนอนมีสีสด หรอื สสี ันกลมกลืนไปกับพชื อาหาร อาหารม้ือแรกของตัวหนอนหลังจากฟักออก จากไข่ คอื เปลือกไข่ที่เหลืออยู่ อาจเพ่ือกลบเกลอ่ื นร่องรอย หรือในเปลือกไข่มี สารบางอยา่ งทจี่ ำเปน็ ต่อการ เจริญเติบโต เม่อื ออกมาใหม่ๆ มกั อยรู่ วมกนั เป็นกลมุ่ และลอกกินผิวใบพชื จนเกดิ เปน็ ช่องใส ต่อมาจะค่อยๆ กระจายกนั ออกไป การกัดกนิ มกั กนิ จากขอบใบ เข้ามาหากลางใบ

รปู รา่ งของหนอนแตกตา่ งกนั ไปมาก คือ หนอนผีเส้ือดอกรัก ตวั มีลายพาดขวาง ตวั สีเหลืองสลบั ดำ และมขี นยาวอกี ๒-๔ คู่ สว่ นหนอนผีเสอ้ื สตี าลมลี ำตวั ยาวเรียวไปทางปลาย หวั และปลายหาง มีลายขดี สนี ้ำตาลตามยาว คล้ายใบ หญ้าหรอื ใบหมาก ที่เปน็ พชื อาหาร หนอนท่ีมหี นามยน่ื ออกรอบตวั เป็นหนอนพวกผีเส้ือขาหนา้ พู่ พวกผเี สื้อสีนำ้ เงิน กินพชื ตระกลู ถว่ั และไมผ้ ลต่างๆ ตัวหนอนลักษณะกลมๆ พองออกตอนกลางตวั หัวซ่อนอยู่ข้างใตต้ ัว

อวัยวะด้านหลงั หวั หนอนบางพวกมีการป้องกนั อันตรายจากพวกนก และศตั รูอ่นื ๆ เชน่ หนอนของผีเสอื้ หางต่งิ มกั มจี ุดคล้ายดวงตา กลม อยู่บริเวณตอนใกลห้ วั มันจะพองสว่ นนอ้ี อกเวลามีอนั ตราย ทำ ให้จุดดวงตานี้ขยายโตออก และยังมีอวยั วะสี แดงรปู สองแฉก อยดู่ า้ นหลงั ของส่วนหัว เรียกว่า ออสมที ีเรยี ม (osmeterium) อวัยวะขยายออกได้โดยใชแ้ รงดัน ของเลือด สามารถสง่ กลน่ิ เหมน็ ออกมาใช้ไลศ่ ัตรูได้ บางพวกกช็ กั ใยเอาใบไม้ห่อหุม้ ตวั ไว้ หรือเอาวตั ถุอ่นื ๆ ทัง้ ใบไม้ แหง้ และมูลของมนั มากองรวมกนั บังตัวเอาไว้

หนอนของผีเสื้อบางชนิดไม่กินพชื แต่กินอาหารที่แปลกออกไป คือ ผีเส้อื ดักแด้หวั ลิง (Spalgis epeus) กิน พวกเพล้ียเกลด็ (scale insects) ผเี สอ้ื หนอนกินเพลย้ี (Miletus chinensis) กนิ พวกเพลี้ยออ่ น (aphids) สว่ นผีเสอ้ื มอท (Liphyra brassolis)ตัวหนอนอาศยั อย่ใู นรังของมดแดง (Oecophylla smaragdina) และกนิ ตวั อ่อนของมด แดงเป็นอาหาร การลอกคราบ

หนอนจะเติบโตขึน้ ไดต้ ้องมีการลอกคราบหลายคร้งั สว่ นมากผเี สื้อจะลอกคราบประมาณ ๔-๕ ครงั้ เหตุท่ี ต้องลอกคราบ เนื่องจาก ตวั หนอนมีผนงั ลำตัวหมุ้ ห่ออยภู่ ายนอก เมื่อเตบิ โตขนึ้ เร่ือยๆ จะเตบิ โตคับผนังลำตัวทห่ี อ่ อยู่ กรรมวิธีในการลอกคราบจะเริม่ เม่ือหนอนชักใยยึดลำตวั ไว้กบั พนื้ ที่เกาะก่อนการลอกคราบราว ๒๔ ชั่วโมง ต่อมาผนังลำตัวจะปรแิ ตกออกทางดา้ นหลงั ของหวั หนอนจะค่อยๆ คบื ไปข้างหนา้ อย่างช้าๆ จนหลดุ ออกจากคราบ

ผนังลำตัวใหม่มสี ีสดใสกวา่ เก่า ตวั หนอน จะดูมีหัวโตกว่าส่วนลำตัว ระยะแรก มันจะอยู่น่ิงราว ๒-๓ ชว่ั โมง จนกระทั่งผนงั ลำตัวและส่วนปากแข็งพอทจ่ี ะกดั ใบพืชอาหารได้ ระยะน้เี ป็นระยะที่อันตรายต่อตัวหนอนมาก เนื่องจากมนั อยู่ในสภาพที่ออ่ นแอป้องกันตวั เองไม่ได้ ระยะดกั แด้

เมอ่ื หนอนลอกคราบจนครบ และเติบโตเต็มที่แล้ว จะหยุด กินอาหาร หาทห่ี ลบซ่อนตัวพักอยู่อย่างน้นั สัก ๑๒ ช่วั โมง หรอื อาจนานกวา่ ระหวา่ งนจี้ ะสร้างแผ่นไหมเล็กๆทปี่ ลายลำตวั เพ่ือใช้ขอเล็กๆ เกี่ยวเอาไว้ใหม้ นั่ คง ก่อนลอกคราบคร้ังสดุ ท้าย เป็นดกั แด้

หนอนทจี่ ะลอกคราบ จะสบู เอาอากาศเขา้ สูภ่ ายในตัว เกดิ รอยปริแตกขึ้นทางดา้ นหลงั ของสว่ นอก แล้วรอย ปริจะแตกเรื่อยไปสูป่ ลายลำตัว เมอ่ื คราบลอกออกไปแลว้ ผิวหนงั ทอ่ี ยภู่ ายในอีกชนั้ หน่ึง จะหอ่ หมุ้ ให้มีรปู รา่ งเป็นตัว ดกั แด้ แตย่ ังนุ่มและมสี ีจาง ต้องใช้เวลาอีกหลายชว่ั โมง จึงจะแข็งตัว และสจี ะเขม้ ข้ึน

ดกั แดข้ องผเี ส้ือ ลักษณะของดักแด้ผเี สื้อพอจะแยกออกไดเ้ ป็น ๓ แบบ คือ พวกห้อยหัวลง พวกน้ีใชข้ อเล็กๆ ท่ีปลายลำตวั เก่ียวไว้กับ แผน่ ไหมเลก็ ๆ แล้วห้อยหวั ลง พบในดกั แดข้ องผเี สือ้ หนอนรัก และผเี สอ้ื ขาหนา้ พู่ พวกท่ีสอง นอกจากมีขอเกย่ี วท่ี ปลายลำตัว แลว้ ยงั มสี ายใยเล็กรดั รอบตวั ช่วยพยงุ ดักแดเ้ อาไวก้ บั ทเ่ี กาะ ได้แก่ ดักแด้ของผเี สือ้ หางติง่ และผีเสื้อ หนอนกะหลำ่ พวกสดุ ทา้ ยเป็นดักแดท้ ่ีไม่มอี ะไรยึดกับวตั ถุที่เกาะ แตจ่ ะวางราบบนพืน้ ดิน หรอื อยู่ในมว้ นใบไม้ทย่ี ดึ ติดกันเปน็ หลอด หรืออยู่ในรังไหม เชน่ ดกั แด้ของผเี ส้ือสตี าลบางชนดิ ดกั แด้ของผีเส้อื บินเร็ว และดกั แด้ของผีเส้ือ กลางคนื สว่ นมาก

เนือ่ งจากดกั แดเ้ ป็นระยะท่ีอยู่นิง่ เกิดอันตรายจากศัตรไู ด้ง่าย ดกั แด้จึงมีสี และรปู ร่างกลมกลนื กบั สภาพแวดล้อม บางชนดิ มีรปู รา่ งคล้ายกิง่ ไมห้ ัก บางชนิดมีลกั ษณะใบไมแ้ ห้ง การทหี่ นอนซึง่ ดูน่าเกลยี ดมีหนามและขนปกคลุมตัว กลายสภาพมาเป็นดักแด้ท่อี ยู่นง่ิ เฉย ไม่กินอะไรเลย จงึ เป็นเรื่องประหลาดทางธรรมชาติมาก

ระยะตัวเตม็ วัย พอดักแด้มอี ายุประมาณ ๗-๑๐ วัน เมือ่ ใกลจ้ ะออกมาเป็นผีเสอ้ื เราจะเห็นสีของปีกผ่านทางผนงั ลำตวั ได้

ผเี ส้ือท่ีโตเตม็ ที่แลว้ จะใช้ขาดันเอาเปลือกดักแด้ใหแ้ ตกออก แล้วดันใหป้ รอิ อกทางด้านหลังของสว่ นอก ค่อยๆขยบั ตวั ออกมาจนพ้น คราบดกั แด้ สว่ นมากมกั ออกมาโดยการห้อยหัวลง เพือ่ ใชแ้ รง ดงึ ดูดของโลกชว่ ย ตอนออกมา ใหม่ๆ ผีเสือ้ มีสว่ นท้องใหญ่ และปีกย่ยู ่เี ล็กนดิ เดยี ว มนั จะคลานไปหาที่เกาะยดึ แล้วห้อยปีกทงั้ สองลงข้างล่าง ระหว่างนม้ี ันจะปล่อยของเหลวสีชมพูอ่อน ทางปลายสว่ นท้อง สารนี้เปน็ ของเสียท่ีเกิดข้นึ ในขณะทเ่ี ป็น ดักแด้ เรยี กวา่ มวิ โคเนียม (muconium) ผีเสือ้ จะดดู เอาอากาศ จำนวนมากเข้าไปทางงวงและรูหายใจ แรงดันของอากาศ และ การหดตวั ของกล้ามเน้ือ จะอดั ดนั ให้เลอื ดไหลไปตามเส้นปีก ปีกจึงขยายออกจนโตเตม็ ที่ การขยายปกี ออกน้ี กนิ เวลาประมาณ ๒๐ นาที มันตอ้ งผง่ึ ปีกให้แหง้ แขง็ ดีเสียก่อนราวช่ัวโมงครึ่ง จึงจะออกบินไปหากนิ ต่อไป

สแี ละลวดลายบนปีกของผีเสื้อ

ดังกลา่ วมาแล้ววา่ ลวดลายและสีบนปีกผีเสอื้ ประกอบ ขึ้นดว้ ยเกลด็ สีเล็กๆ เรยี งกันคลา้ ยกระเบ้ืองบน หลงั คา สีของแตล่ ะเกลด็ จะเกิดจากเม็ดสภี ายในเกล็ด หรือเกล็ดท่ีไมม่ เี มด็ สภี ายใน แต่มรี ูปรา่ งเปน็ สันนนู สะท้อน แสงสรี ้งุ ออกมาได้ เมด็ สอี าจสรา้ งไดจ้ ากสารเคมีในตัวแมลงเอง หรือจากสารเคมีที่แปลงรูปมาจากพชื อาหารของมนั สีเหลอื งเรยี กวา่ เทอรีน (pterines) มาจากพวกกรดยรู กิ ซึ่งเป็นส่ิงขบั ถ่าย พบในผเี ส้ือในวงศผ์ ีเสื้อหนอนกะหลำ่ สีแดง และสีส้มพบ ในพวกผเี สอ้ื ขาหนา้ พู่ สแี ดงนี้จะค่อยๆ ซดี ลง เม่ือถูกกบั ออกซเิ จนในอากาศ ผเี สอื้ พวกนี้เม่อื ออกมาใหมๆ่ จึงมีสีสด กว่าพวกท่ีออกมานานแลว้ แตถ่ ้านำไปรมไอคลอรีน สจี ะกลบั คนื มา บางทีจะมสี ีสดใสกว่าเดิม สว่ นสารฟลาโวน (flavone) ไดม้ าจากพชื สารนีอ้ ยใู่ นดอกไม้ ทำใหม้ สี ีขาวจนถึงสเี หลอื ง พบในผเี ส้อื สตี าล และผีเสอื้ บินเร็วบางพวก สารนจี้ ะเปลีย่ นสีจากสขี าวเป็นสีเหลืองเขม้ เม่ือถูกกบั แอมโมเนีย สารพวกเมลานนิ (melanin) เปน็ สารสีดำ พบใน คนและสตั ว์สดี ำทั่วไป สีเขยี วและสมี ่วงฟา้ เปน็ สีท่เี กดิ จากการสะท้อนแสงของเกล็ดสีบนปกี โดยแสงจะสอ่ งผ่านเย่อื บางๆ หลายชั้น ทป่ี ระกอบกันเป็นเกล็ด หรือสะทอ้ นจากเกล็ดทเ่ี ปน็ สันยาวเหมอื นสีรุง้ ทส่ี ะท้อนให้เหน็ บนฟองสบู่

ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตลมมรสมุ จึงมลี กั ษณะของ อากาศในฤดูฝนกับฤดรู ้อนแตกต่างกันมาก สภาพนม้ี ี ผลตอ่ ผเี ส้อื หลายพวก ทำใหม้ ีลกั ษณะและสเี ป็นรปู ร่างเฉพาะของแตล่ ะฤดู เพือ่ ปรับตัวใหเ้ ขา้ กบั สภาพปา่ ในฤดนู ัน้ ๆ เช่น ในฤดูฝนจะมสี ีสดใส และมจี ุดดวงตากลม (ocellus) ข้างใตป้ ีก และขอบปีกจะมนกลม ในหน้าแลง้ ลายและสี

ใต้ปีกจะไม่พบเป็นรูปดวงตากลม แต่มีลายกระเลอะๆ อยา่ งใบไมแ้ ห้งแทน และปกี จะหกั เปน็ มุมยนื่ แหลมออกมา ผีเส้ือเหลา่ น้ี เชน่ ผีเส้อื ตาล พมุ่ (Mycalesisspp.) และผเี สื้อแพนซี มยุรา (Precis almana)

สงิ่ แปลกที่พบในพวกผีเสอ้ื ก็คล้ายกับที่พบในพวกนกบางชนิด คือ มีสีสนั ของปีกในเพศหน่งึ แตกต่างจากอกี เพศหนงึ่ ทำให้นกั วทิ ยาศาสตร์ในสมยั ก่อนจดั เอาไวเ้ ปน็ คนละชนดิ หรอื คนละสกลุ เชน่ ผเี ส้อื หนอนส้ม (Papilio polytes) ผีเส้ือปีกไข่เมยี เลียน (Hypolimnas misippus) นอกจากน้ี ผเี สอ้ื บางชนิดยังมีลกั ษณะของเพศใดเพศหน่ึง แตกต่างกนั ออกไปอกี หลายแบบ แต่ละแบบอาจมสี สี นั แตกตา่ งกันออกไป จนคนท่วั ไปไม่อาจเชือ่ ได้ว่า เปน็ ชนิด เดยี วกนั พวกทเี่ พศเมยี มีรูปร่างหลายแบบ เชน่ ผเี สอื้ หางติ่ง ผเี สอื้ นางละเวง (Papilio memnon) ผเี สือ้ หนอน มะพร้าว (Elymnias hypermnestra) สว่ นชนดิ ท่เี พศผู้มีรูปรา่ ง หลายแบบไดแ้ ก่ ผเี สือ้ บารอนฮอสพีลด์ (Euthalia monina)

ผีเส้อื ทมี่ คี วามผดิ เพ้ียนจากแบบปกตบิ นสุด เป็นแบบ จีแนนโดรมอรฟ์ แถวซ้ายเปน็ แบบปกติ แถวขวาเป็น แบบผิดเพีย้ น

โดยปกติผีเส้ือทุกตัวมคี วามแตกตา่ งกนั บา้ งไม่มากก็น้อย แมว้ ่าจะเปน็ ผเี สอื้ ชนิดเดยี วกัน บางตวั อาจมีลักษณะ หรอื สีท่แี ตกต่างจากตวั อ่ืนๆ เรยี กวา่ ความผดิ เพ้ียน (aberration) ซึง่ อาจเกดิ จากสภาพอากาศ หรอื เหตุอ่ืนๆ ท่มี ี ผลกระทบกระเทือนต่อดกั แด้ ในระยะที่มีการสรา้ งเม็ดสภี ายในตวั หรืออาจเกิดจากการผ่าเหล่าทางพนั ธกุ รรม จึงมี สจี าง หรือเขม้ กวา่ ปกติ บางทีมีลวดลายบนตัวแตกตา่ งไปจากลายปกติแบบที่หาได้ยากมาก เรยี กว่า จีแนนโดร มอร์ฟ (gynandromorph) มีลำตัวแบง่ ออกเปน็ ๒ ซีก ซีกซา้ ยเปน็ ตัวผู้ และซกี ขวาเป็นตวั เมยี แตล่ ะซกี จะแสดง สีสนั และขนาดของเพศนน้ั ๆ ดแู ปลกมาก ผู้เขยี นพบผีเส้ือที่มีลักษณะแบบ นใี้ นบรเิ วณจังหวัดชุมพร เปน็ ผีเสื้อ หนอนใบกุ่มเส้นดำ (Appias libythea) นบั เป็นคร้ังแรกท่ีพบในประเทศไทย

การบินของผีเสื้อ สว่ นมากปกี คหู่ ลังของผีเสอ้ื จะมขี นาดเล็กกวา่ ปีกค่หู น้า และเพื่อทีจ่ ะให้บินได้ดี จะต้องมีการยดื ตดิ เป็น

อันหน่งึ อนั เดียวกันในแต่ละข้าง โดยขอบหนา้ ของปีกค่หู ลังจะยนื่ ขยายออกมา ซ้อนกับปีกคหู่ นา้ ซ่ึงจะอัดตดิ กันแนน่ เวลาบิน ส่วนผีเสอื้ กลางคืนจะมีขอเลก็ ๆ เกยี่ วกันไว้ดังกล่าวข้างตน้ ในเรือ่ งลักษณะแตกตา่ งกันระหว่างผีเส้ือ กลางวนั กบั ผีเส้ือกลางคนื ผีเสื้อทม่ี ีพื้นท่ีปีกนอ้ ย เม่ือเทยี บกับน้ำหนักตัว จะกระพือปีกเรว็ มาก เช่น ผเี สือ้ บนิ เร็ว ส่วนพวกที่มีพ้ืนทปี่ กี มากๆ เช่น ผเี สอ้ื ร่อนลม (ldea spp.) กระพอื ปีกช้ามาก และกางปีกออกร่อนไปตามสายลม อตั ราเฉลี่ยของการกระพือปีกของผีเส้ือประมาณ ๘-๑๒ ครัง้ ตอ่ วนิ าที ส่วนความเร็วของการบนิ น้นั ผีเสือ้ หนอน กะหล่ำบินไดเ้ รว็ ๑๐ กโิ ลเมตรต่อชว่ั โมง และอาจบินได้เรว็ กว่านี้ ถ้าตกใจหรือหนีอนั ตราย ผเี สือ้ จึงเป็นแมลงท่มี คี วามสามารถในการบินมาก พบว่า มีการบินอพยพเป็นฝูงใหญ่ๆ เนอื งๆ ชนิดทมี่ ชี ื่อเสียงที่สุด ในการบนิ อพยพ ไดแ้ ก่ ผเี ส้ือในทวปี อเมรกิ าเหนอื ท่ีมชี ่อื ว่า Danaus plexippus ผเี สื้อชนิดนีบ้ ินจากตอนเหนอื ของ ทวีปอเมรกิ าเหนอื หนีอากาศหนาวลงไปอยบู่ ริเวณตอนใต้แถวๆ อา่ วเมก็ ซิโก พอเร่มิ ฤดูใบไมผ้ ลิ จะบนิ ย้อนกลับขึ้น ไปวางไข่ทางภาคเหนืออกี

ส่วนในประเทศไทย เคยมผี ู้สังเกตเหน็ การบนิ อพยพของผเี ส้ือหลายชนิด สว่ นมากมักเปน็ การบนิ อพยพย้าย ถนิ่ หรือบนิ ขนึ้ ลงภเู ขาตามลำนำ้ ในตอนเชา้ และตอนเยน็ เพื่อหลบความรอ้ นของแดดในเวลากลางวนั และการบนิ อพยพมักไม่เกดิ เป็นประจำอย่างเช่นผีเสือ้ ในประเทศหนาว เน่ืองจาก อณุ หภมู ิของอากาศในบา้ นเราไม่ค่อยแตกตา่ ง กันมาก

การปอ้ งกนั อนั ตรายจากศตั รู

ผเี สือ้ ที่ออกบินจะมีศัตรูนอ้ ยลงกวา่ ในระยะท่ยี งั เป็นตัวหนอน ศตั รูที่สำคญั ในเวลากลางวนั ได้แก่ นกจาบ คา (bee-eaters) และนกแซงแซว (drongos) นกพวกน้ีบินไดว้ ่องไวสามารถจบั ผเี สื้อในขณะที่บินในอากาศได้ เมือ่ จบั ไดแ้ ล้วมันจะคาบมาเกาะกินบนกงิ่ ไม้ ผูเ้ ขียนเคยพบนกจาบคาหวั สสี ้ม (Merops leschenaulti) บินจบั ผีเสอื้ หนอนคนู (Catopsiliasp.) กินหลายตัวท่อี ำเภอศรรี าชา จงั หวดั ชลบุรี ศัตรูท่สี ำคญั รองลงมา คือ พวกกง้ิ กา่ ท่จี บั ผเี สอ้ื ทช่ี อบเกาะตามพุ่มไม้ ก้อนหิน และตามพื้นดนิ กินเป็นอาหาร ในเวลากลางคืนศัตรูที่สำคัญคือ ค้างคาวกินแมลง ชนิดต่างๆ

เวลากลางวัน ผีเสอ้ื บางชนดิ ชอบเกาะพกั นอน ตามพุ่มไม้หนาทบึ เพื่อให้พน้ ตาศัตรู

การปอ้ งกันอนั ตรายจากศัตรูของผเี สื้อพอจะแยกออกได้ เปน็ ๕ วธิ ดี ว้ ยกนั คอื ๑. วิธีการบิน ผเี ส้ือมีวิธกี ารบนิ เป็น ๒ พวก คือ พวกท่บี ินเร็วอย่าง เชน่ ผเี สอื้ ตาลหนาม (Charaxes) ผีเสื้อ

หางตง่ิ (Papilio) บนิ ได้เรว็ มาก จนมีศตั รนู ้อยชนดิ ที่อาจบินไล่จับไดท้ นั พวกนีส้ ว่ นมากมีสีสดใส อกี พวกหนึ่งบนิ ได้ ชา้ และบินแปลกไปจากผเี ส้ือท่วั ไป เพ่ือให้ศัตรูงงเวลาเห็น จนไม่คิดว่าเป็นผเี ส้ือ เชน่ ผีเสื้อกะลาสี (Neptis) และ ผเี สอื้ แผนที่ (Cyrestis) กลุ่มหลงั น้ีบนิ รอ่ นไปชา้ ๆ นานๆ จะกระพอื ปีกสกั ที มักมีลวดลายลวงตาบางอย่างบนปีก ทำ ใหศ้ ตั รูติดตามไดย้ าก ปกติพวกที่มีสารพษิ อย่ใู นตัวมักบินชา้ เพอื่ ให้ศัตรูรจู้ กั และเป็นการประกาศคณุ สมบัติในตวั ของมนั หรอื เปน็ การลวง ตาศัตรู

๒. การป้องกนั ตัวดว้ ยสแี ละลวดลายบนปกี ผเี สื้อส่วนมากท่ีไม่มีสารพิษในตวั และไม่มีสีสดใส เพื่อประกาศ คุณสมบตั ิน้ี มักปอ้ งกันตัวเองด้วยสีสนั และลวดลาย ที่อยู่ทางด้านใต้ปีก โดยเฉพาะปีกคู่หลงั เนอื่ งจากผีเสอ้ื เวลา เกาะพักจะพับปีกขน้ึ และชว่ งเวลาพักเป็นชว่ งท่อี ันตรายที่สุด ลวดลายอาจจะกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมท่ีมนั อาศัย เชน่ ใต้ปีกของผีเส้อื ปลายปีกส้มใหญ่ (Hebomoia glaucippe) อาจเปน็ ใบไม้ ดงั พบในผีเสอ้ื ใบไม้ใหญ่ (Kallima) และในผีเส้อื ตาลสายัณห์บางแบบ และผีเส้ือแพนซมี ยรุ าบางแบบ เพ่ือท่ีจะใหส้ ภาพกลมกลืนดยี ิ่งขึ้น ผเี สือ้ พวกน้ีมัก เกาะตามก่ิง หรอื ตามลำต้นไม้ แลว้ ทอดปีกไปตามแนวกงิ่ ไม้ ผีเสอ้ื บนิ เรว็ และผีเสอื้ ป่าตลอดจนผีเส้ือตาลสายัณห์ มกั มีสนี ำ้ ตาล หรือมลี ายเปรอะ ถงึ แมว้ ่าบางชนิดชอบอาศยั อยูต่ ามท่ีร่มครมึ้ และค่อนข้างมืด ซง่ึ ปลอดภยั จากศัตรู ตามธรรมชาติหลายจำพวก

สว่ นพวกทมี่ ีจุดตากลมๆ ใต้ปีกดงั เชน่ พวกผเี ส้ือป่านัน้ เชอื่ กนั วา่ มนั ใชใ้ นการทำใหศ้ ัตรูตกใจ หรอื ทำให้ ศัตรโู จมตีตรงจุดที่ไม่สำคัญนัก เช่นเดียวกบั หางเส้นเลก็ ๆ ตามขอบปกี คู่หลงั ในพวกผีเสอ้ื สนี ำ้ เงิน โดยจะมปี ีกยื่น ออกมาเปน็ ต่ิง ซ่งึ มจี ดุ ดำตรงกลางประกอบกับมีหางยื่นออกมา ทำให้ดคู ลา้ ยเป็นหัวและหนวด

การปอ้ งกนั ตัวอีกแบบหน่งึ พบในพวกผีเส้ือสีนำ้ เงิน โดยมีสีน้ำเงนิ วาวทางด้านบนปีก และสีดำคล้ำทางดา้ นใตป้ ีก ทำ ใหพ้ วกนกท่ีกำลงั ไลผ่ เี ส้อื สนี ำ้ เงนิ อยู่ หาลำตวั ผีเสื้อสคี ล้ำที่กำลังเกาะอยู่ไม่พบ

ผเี สื้ออกี กลุ่มหน่งึ ที่อาศัยอยู่ในป่าทบึ ท่ีมแี สงแดดเลด็ ลอด ลงไปถึงพ้ืนได้บา้ ง จะมีสีดำจุดขาว ทำให้กลมกลืนกบั สภาพพ้นื ปา่ เชน่ ผเี สือ้ กะลาสี ผีเสอ้ื จ่า (Athymal) พวก เหลา่ นีเ้ วลาบิน จะร่อนแผป่ ีกออกตามแนวนอนอีกด้วย

๓. นสิ ัย นสิ ัยของผเี ส้ือบางชนดิ ชว่ ยใหร้ อดพ้นจากศตั รูได้ ผีเส้อื บนิ เร็วหลายชนิด ผเี สือ้ ป่า และผีเสือ้ ตาล สายณั ห์ มนี สิ ัยชอบออกหากินเวลาเชา้ มืด หรอื ตอนโพล้เพล้ เพ่อื หลบนกท่ีออกหากินกลางวนั แตย่ ังไม่ทราบวา่ จะ ถกู พวกคา้ งคาวกนิ บา้ งหรือไม่ ผีเสือ้ พวกนยี้ งั ชอบเกาะอยู่ตามท่มี ืดๆ หรือในพมุ่ ไม้หนาทึบ ผีเสอื้ ตวั เมยี ส่วนมากมี นสิ ยั เชน่ เดียวกันนี้

๔. การป้องกันตวั โดยกลนิ่ และรสท่ีไมด่ ี ผเี สอื้ บางพวกที่กนิ พชื ทีม่ ีพิษ จะได้พษิ นัน้ ๆ ติดไปด้วย ซง่ึ พวกสตั ว์ กินแมลงและกิง้ กา่ ไมช่ อบสารพวกนี้ พวกนี้จะมสี สี นั ฉูดฉาด เปน็ การประกาศคณุ สมบัติของตัว และบินไปมาอยา่ ง ช้าๆ เพือ่ ให้ศตั รมู เี วลาจอ้ งดูนานๆ จนจำได้ บางทนี กที่ยงั รุ่นหน่มุ มีประสบการณ์นอ้ ย อาจจับผเี ส้ือพวกน้ีกนิ ได้ ผเี สือ้ พวกนี้จงึ ต้องมผี นังลำตัวแขง็ เหนียว และบางคราวอาจแกล้งทำตายได้อกี ด้วย

๕. การเลียนแบบ จากคณุ สมบตั ปิ อ้ งกันตัวได้ของผีเสื้อในข้อที่ ๔ ทำใหผ้ เี สอื้ อกี พวกทไี่ ม่มีคณุ สมบตั ินั้นๆ และจะตกเป็นเหยื่อของศตั รูได้งา่ ยๆ พากนั เลยี นแบบรูปร่าง นสิ ัย ตลอดจนวธิ ีการบิน ของพวกที่ป้องกันตวั ไดด้ ี อาจจะเลยี นแบบท้งั สองเพศ หรอื เลยี นแบบเฉพาะเพศเมียเท่านั้น ส่วนมากจะเลียนแบบเฉพาะดา้ นบนของปีก แต่ บางทกี ด็ า้ นใตป้ ีก หรือทง้ั สองด้าน

การเลยี นแบบแบง่ ออกไดเ้ ป็น ๒ อยา่ ง คอื ๑. การเลยี นแบบแบบเบตส์ (batesian mimicry)

ตวั ทมี่ สี ีสดใส มีกลิ่นและรสไม่ดี เปน็ ตวั แบบ(model) ให้ตัวเลียนแบบ (mimic) ซ่ึงเป็นผีเสื้อทศี่ ตั รชู อบกนิ มา

เลยี นแบบทง้ั รปู รา่ ง สสี ัน และนิสัยการบิน ๒. การเลียนแบบแบบมูลเลอร์ (mullerian mimicry) กลุ่มผีเสื้อท่ีศตั รูไม่ชอบกินอยู่ แล้วมา

เลียนแบบกนั เอง ทำใหล้ กั ษณะของแบบนัน้ ศตั รรู ้จู ักได้ง่ายและเร็วข้ึนกวา่ เดมิ เชน่ พวกผเี สอ้ื หนอนใบรกั สีฟ้า (Danaus) หลายชนิด และพวกผเี ส้ือจรกา (Euploea) ผเี สอ้ื ในวงศ์ตา่ งๆ ของประเทศไทย ผีเส้ือหลากสใี นประเทศไทย พอจะแบ่งออกไดเ้ ปน็ ๔๐ วงศ์ (family) ดงั ตอ่ ไปนี้

๑. วงศ์ผีเสอื้ ผี (Hepialidae) ผีเสื้อทมี่ ีลกั ษณะโบราณ ปกี ทั้งสองคู่มขี นาดใกล้เคยี ง กัน การจดั เรียงของเส้น ปีกคล้ายคลงึ กัน ปกี ๒ คเู่ ชื่อมยึดกนั แบบต่ิงเกีย่ วกัน (jugal type) หนวดส้ันมาก ส่วนปากเส่อื มหายไป วงศ์น้ีมอี ยู่ ประมาณ ๓๐๐ ชนิด พบมากที่สุดในทวีป ออสเตรเลยี หนอนอาศยั อยู่ใตด้ ิน เจาะกนิ อยู่ภายในลำตน้ และ รากพชื เตบิ โตช้ามาก ผีเส้อื พวกน้ีบนิ ไดเ้ ร็วมาก ผีเสื้อตัวผู้ชอบบินจบั กลุ่มกันในเวลาพลบค่ำ รอให้ตวั เมียบินเข้าไปรับการ ผสมพนั ธุ์ ในประเทศไทยพบเพียงชนดิ เดียว ที่เปน็ ศตั รปู ่าไม้ จดั อยู่ ในสกุลPhassus

๒. วงศ์ผีเสอ้ื หนอนหอย (Eucleidae) ผเี สือ้ ในวงศ์น้มี ีลำตัวอว้ น ปีกสนั้ แตบ่ นิ ได้เรว็ สว่ นมากมีสีน้ำตาล แต้มเขยี ว หรอื นำ้ ตาลแดง สว่ นปากเสอื่ มไปมาก ไข่มีรูปรา่ งแบนคล้ายเหรียญ หนอนมรี ูปรา่ งแปลกจากวงศอ์ นื่ ๆ โดยมรี ูปรา่ งคลา้ ยตวั ทาก มสี ี และลวดลายต่างๆ สวยงาม หัวซ่อนอยู่ใต้ลำตัว รอบๆ ตัวมีกระจกุ ขนทมี่ ีพษิ ทำให้ผู้ที่ โดนมีอาการปวดแสบปวดรอ้ น จงึ เรยี กกนั วา่ "ตัวเขียวหวาน" หนอนบางชนิดมีลำตวั เรยี บ ไม่มหี นามเลย ชนิดท่มี ี ความสำคัญทางเศรษฐกจิ เชน่ Parasa lepida กนิ ใบพชื หลายชนดิ และ Thosea spp. กินใบไม้ผลหลายชนดิ

๓. วงศผ์ เี ส้ือหนอนมะไฟ (Zygaenidae)

ผเี สอ้ื กลางคืนท่ีออกหากนิ ในเวลากลางวัน สีสดใส บอกความเป็นพษิ ในตวั จงึ มผี เี สอ้ื ชนิดอืน่ ๆ มาเลียนแบบ ใน ประเทศไทยพบว่า เป็นศตั รูของไมผ้ ล กนิ ใบมะไฟ คือ Cyclosia panthona และ C. papilionaris

๔. วงศ์ผีเสอ้ื หนอนเจาะผ้า (Tineidae) ผีเสื้อขนาดเล็ก สีเทา นำ้ ตาล ดำ หรอื ค่อนขา้ งขาวบาง ชนดิ มีจุด วาวๆ อย่างโลหะ ปกี ยาวเรียว เวลากางออกมีขนาด ไม่เกิน ๑/๒ น้วิ ชนิดทตี่ ัวหนอนกินขนนก และเส้ือผ้าในบ้าน คอื Tineola bisselliella ปัจจุบนั ไม่ก่อความ เสยี หายมากนกั เน่ืองจาก มีการใชย้ าฆ่าแมลง และเสื้อผ้าท่ีทอดว้ ย เสน้ ใยสังเคราะห์กนั มากขน้ึ

๕. วงศ์ผีเสือ้ หนอนปลอก (Psychidae) วงศน์ ี้พบอาศยั อยู่ท่ัวโลก คนส่วนมากจะรู้จกั ตวั หนอน ท่ที ำปลอก หุม้ ตวั ดว้ ยเศษพชื ต่างๆ นบั ตั้งแต่เริม่ ฟักออกจากไข่ มันจะค่อยๆ ขยายขนาดของปลอกหุ้ม เม่ือเตบิ โตข้ึนมา ผีเสอ้ื ตัวเมียไม่มปี ีก และไม่กินอาหาร อาศยั อย่ภู ายในปลอกที่ห่อ หมุ้ ตวั ผเี สอื้ ตัวผจู้ ะตามกล่ินมาผสมพันธก์ุ บั ตัวเมีย ไข่ จะยังคงอยู่ในตวั แม่ทีต่ ายแลว้ จนฟกั ออกเปน็ ตัว จึงออกจากซากตัวแม่ ชนิดทส่ี ำคัญในประเทศไทย มีหนอนปลอก มะพรา้ ว (Mahasena corbetti)

๖. วงศ์ผเี สอ้ื หนอนชอนใบ (Gracilaridae) ผเี สื้อขนาดเล็กมาก ปีกยาวเรยี ว ขอบปีกมแี ผงขนยาว ตัวหนอน มลี กั ษณะแบน ชอนเขา้ ไปอาศัยอย่ใู นใบไม้ จนโตเต็มทีใ่ นใบๆ เดยี ว บางครัง้ จะเข้าดกั แด้ในใบไม้ดว้ ย รูปร่าง ของ แผลบนใบจะแตกตา่ งกันไปตามชนดิ มักกินใบพชื ชนิด หน่ึงๆ หรอื พชื ในกลุ่มหนง่ึ ๆ เท่านน้ั พวกท่เี ปน็ ศัตรไู มผ้ ล เชน่ หนอนชอนใบละมุด (Acrocercops symbolopis)

๗. วงศ์ผเี สือ้ หนอนใยผัก (Plutellidae) หนอนพวกน้ี ชาวสวนผักรู้จกั กันดี ตัวเล็กสเี ขยี วใชใ้ ยห่อ หุ้มตัวไว้ ใต้ใบผกั เวลาตกใจจะดดี ตวั ลงจากใบ โดยมใี ยห้อยลงไป ผักทช่ี อบคอื ผกั คะน้า ผักกาด มชี ือ่ ทางวิทยาศาสตร์ ว่า Plutella xylostella ผีเส้ือมีขนาดเล็ก ปกี ค่อนขา้ งยาวสคี ลำ้ มแี ถบขาวบนปีก

๘. วงศผ์ ีเสอื้ ปกี ใส (Sesiidae) สว่ นมากมีสฉี ูดฉาด ปกี ยาวเรยี ว มักมีบรเิ วณใสๆ บนปกี มองทะลุลงไปได้ หนวดพองออกตอนปลาย คล้ายหนวดของพวกผเี ส้ือกลางวัน ปลายท้องมีกระจุกขนรปู คล้ายพดั ส่วนมากอาศัยอยู่ ในซกี โลกภาคเหนือ ออกหากินในเวลากลางวัน บางชนิดในขณะบนิ ดูคล้ายพวกผงึ้ หรือต่อแตน หนอนเจาะกนิ อยู่ ภายในลำต้นและรากพชื

๙. วงศ์ผเี สื้อลายจุด (Yponomeutidae)

ผีเสือ้ ขนาดเล็กถงึ ขนาดกลาง บรเิ วณหัวดูเรยี บกว่าผเี สือ้ พวกอนื่ ๆ ปีกสีสวย หรอื สีหม่น บางชนิดที่ปลาย

ปีกคู่หนา้ มี ลักษณะคล้ายขอ หนอนบางชนิดอาศยั อยเู่ ปน็ กลมุ่ ในรังท่ีทำด้วย ใยเหนียว บางชนดิ เป็นหนอนชอนใบ บางชนดิ เจาะผลไม้

๑๐. วงศผ์ ีเสอ้ื หนอนเจาะไม้ (Cossidae) วงศ์ผเี ส้อื ขนาดกลางจนถึงขนาดใหญม่ าก ปีกค่อนข้าง ยาว ลำตัว ใหญม่ าก มีขนปกคลุมแน่น การเรยี งของเสน้ ปีกเป็นแบบโบราณ จำนวนเส้นปีกมมี ากกว่าปกติ และมีเซลล์ปกี เลก็ ๆ หลายเซลล์ หนอนเจาะเข้าไปอาศยั อยใู่ นเน้ือไม้ใชเ้ วลาหลายปี กวา่ จะโตเต็มท่ี มักพบปลอกดักแดค้ าอยปู่ ากรูที่ หนอน เจาะเอาไว้ ในประเทศไทยมชี นิดทส่ี ำคญั ๒ ชนดิ คือ หนอนเจาะสกั (Xyleutes ceramicus) และหนอน กาแฟสีแดง (Zeuzera coffeae)

๑๑. วงศผ์ เี สือ้ หนอนมว้ นใบ (Tortricidae) ผีเสื้อวงศ์น้ีพบแพรก่ ระจายทัว่ โลก ปกี กวา้ งไม่เกิน ๑ น้วิ ปลาย ปกี ตัดตรงหรือโคง้ เวลาเกาะหบุ ปกี ดคู ลา้ ยรูปกระดิง่ หนอนในวงศ์นี้กนิ ใบพืชหลายชนดิ มันจะใชใ้ ยยึดใบเดี่ยวหรือ มากกว่า ๑ ใบ ชนิดทีม่ ีความสำคญั ทางเศรษฐกจิ คือ หนอนม้วนใบสม้ (Cacoecia micaceana)

๑๒. วงศ์ผีเสอื้ ปีกตดั (Olethreutidae) ลกั ษณะโดยท่วั ไปคล้ายกับผีเสอื้ ในวงศ์ก่อน พบอยทู่ ัว่ โลก ปกี สี นำ้ ตาลหรอื เทา หลายชนดิ เป็นศตั รพู ืชทีร่ ้ายแรง โดยเฉพาะในเขตอบอุ่น Carpocapsa pomonella เจาะเขา้ ไปใน ต้น และผลของแอปเปิลบางชนิด ทำให้เกิดปมบนกิง่ หรือ

๑๓. วงศ์ผเี ส้ือหนอนกอ (Pytralidae)

วงศ์ทีใ่ หญ่เปน็ อนั ดบั ๓ ของพวกผเี ส้อื สว่ นมากมปี กี ยาวเรยี ว ส่วนท้องเรียวแหลม ขายาว โดยทวั่ ไปปีกมีสี หม่น บางชนิดมีลายขีดวาวคล้ายโลหะ ตอนโคนสว่ นทอ้ งมีอวัยวะรบั เสยี งอยู่ค่หู นึ่ง สว่ นมากออกหากนิ ในเวลา กลางคืน หนอนเปน็ ศตั รสู ำคัญของพวกธัญพชื เช่น ผีเส้อื ชปี ะขาว (Tryporyza incertulas) ผเี สือ้ หนอนกอขา้ ว ใน สกลุ Chilo และ Chilotraea นอกจากนี้ หนอนในวงศน์ ีย้ ังเปน็ หนอนมว้ น ใบของพืชอ่ืนๆ อกี หลายชนิด เชน่ มนั เทศ ละมุด ถว่ั ฟกั แฟง เปน็ ต้น หนอนบางกลุ่มดัดแปลงตัวเพื่ออาศยั อยูใ่ ต้นำ้ สรา้ งเหงือก ไวห้ ายใจ อาศยั อยู่ใน ปลอก กดั กนิ พชื นำ้ เปน็ อาหาร ชนิดท่ีมีความ สำคญั มากในประเทศไทย คือ หนอนเจาะลำต้นขา้ วโพด (Ostrinia salentialis)

๑๔. วงศ์ผีเส้ือปกี แฉก (Pterophoridae) ผเี สอ้ื ในวงศน์ ี้มขี นาดเลก็ ลำตวั และขายาว ปกี เวา้ ตามขอบ เป็น