การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายของศาสนาและประเพณีไม่ใช่เรื่องยากลำบากเลย หากเราเรียนรู้จักการให้เกียรติกัน เข้าใจกันและกันในความจำกัดของแต่ละศาสนาให้มากที่สุด เห็นอกเห็นใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัย และใช้ความพยายามปรับตัวด้วยใจที่ปรารถนาจะรักษาความปรองดองต่อกัน คริสเตียนที่มีความลำบากใจในการร่วมประเพณีต่างๆ โดยเฉพาะงานศพ ผมเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะสามารถตอบเราได้ทั้งในหลักคิดและวิธีการปฏิบัติซึ่งเป็นการตกลงรับทราบร่วมกันระหว่างคณะใหญ่ของโปรเตสแตนท์ คือ สภาคริสตจักรในประเทศไทย, คณะแบ๊บติสต์, และสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย การร่วมงานศพ หนังสือเล่มนี้ได้ให้หลักคิดและแนวทางปฏิบัติไว้ค่อนข้างชัดเจน ผมขอสรุปหลังจากได้อ่านจบแล้วดังนี้ 1. พิธีศพเป็นพิธีที่ให้เกียรติผู้เสียชีวิต เป็นจุดรวมของการพบปะญาติมิตรที่จะสามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจกันจากการสูญเสียผู้ที่เป็นที่รัก 2. ศพของผู้เสียชีวิตเป็นร่างกายที่ไร้วิญญาณ ไม่ได้เป็น "รูปเคารพ" แต่อย่างใด ฉะนั้นจึงมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติต่อศพของผู้ตายมากกว่าเรื่องของรูปเคารพซึ่งจะมาปนกันไม่ได้ 3. หนังสือเล่มนี้เสนอแนวทางยืดหยุ่นให้แก่คริสเตียนให้สามารถทำความเคารพศพผู้ตายได้ สุดแล้วแต่จิตสำนึก และความสะดวกใจของตน เช่น ยืนไว้อาลัย, โค้งคำนับ, หรือกราบ โดยไม่ต้องมีการจุดธูปหรือไหว้พระแต่อย่างใด และคริสเตียนผู้อื่นที่อาจยึดแนวทางต่างกันไม่ควรรู้สึกสะดุดในเรื่องนี้ 4. ให้คริสเตียนรักษาความสงบระหว่างการสวดอภิธรรม คริสเตียนไม่ต้องพนมมือ ไม่ควรพูดคุยกันหรือเล่นมือถือ ต้องระลึกไว้ว่าขณะที่ทุกคนพนมมือแต่คริสเตียนไม่พนมมือ คริสเตียนจะตกเป็นเป้าสายตาทันที ซึ่งคริสเตียนควรนิ่งสงบให้เกียรติพิธีศพด้วยความสุภาพอ่อนน้อมในขณะร่วมพิธีจะดีที่สุด 5. การให้กำลังใจญาติหรือผู้ที่ยังอยู่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ คริสเตียนควรใช้โอกาสนี้เข้าไปแนะนำตัว ให้กำลังใจ หรืออธิษฐานเผื่อญาติผู้ใหญ่ และผู้ที่รู้สึกสูญเสีย การเสียชีวิตของบุคคลซึ่งเป็นที่รักไปอย่างกะทันหันและโดยไม่คาดคิดนับว่าเป็นโศกนาฏกรรมอย่างยิ่งทีเดียว. ผลกระทบคือความตกตะลึง ตามด้วยความปวดร้าวสะเทือนใจอย่างรุนแรง. การเห็นบุคคลซึ่งเป็นที่รักสิ้นใจหลังจากนอนป่วยอย่างทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานานจะมีความรู้สึกต่างกัน แต่ความโศกเศร้าและความรู้สึกของการสูญเสียที่ฝังลึกอยู่ในใจนั้นจะเหมือนกัน. ไม่ว่าสภาพการณ์เกี่ยวเนื่องกับการตายของคนที่รักจะเป็นอย่างไร ผู้โศกเศร้าจำต้องได้รับการเกื้อหนุนและการชูใจ. คริสเตียนผู้สูญเสียอาจต้องเผชิญการข่มเหงด้วยจากคนเหล่านั้นที่ยืนกรานจะให้ปฏิบัติตามธรรมเนียมการจัดงานศพซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล. เรื่องแบบนี้ถือเป็นธรรมดาในหลายประเทศทางแอฟริกาและในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกด้วยเช่นกัน. อะไรจะช่วยให้คริสเตียนผู้โศกเศร้าหลีกเลี่ยงธรรมเนียมการจัดงานศพที่ไม่ถูกต้องตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล? เมื่อมีความทุกข์ร้อนเช่นนั้น เพื่อนร่วมความเชื่อจะให้การเกื้อหนุนได้อย่างไร? คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นเกี่ยวโยงถึงทุกคนซึ่งประสงค์จะทำให้พระยะโฮวาพอพระทัย เพราะ “แบบแห่งการนมัสการที่สะอาดและปราศจากมลทินจากทัศนะของพระเจ้าและพระบิดาของเราเป็นดังนี้: ให้เอาใจใส่ดูแลลูกกำพร้าและหญิงม่ายในความทุกข์ลำบากของเขา และรักษาตัวให้พ้นจากด่างพร้อยของโลก.”—ยาโกโบ 1:27, ล.ม. ความเชื่อที่เข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่เหมือน ๆ กันที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยในธรรมเนียมการจัดงานศพหลาย ๆ รูปแบบนั้นได้แก่ความเชื่อที่ว่าคนตายยังมีชีวิตอยู่ในโลกของบรรพบุรุษซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้. เพื่อทำให้บรรพบุรุษพอใจ คนที่อยู่ในระหว่างเศร้าโศกมีความรู้สึกถึงพันธะที่ต้องประกอบพิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง. หรือเขากลัวจะสร้างความไม่พอใจให้เพื่อนบ้านซึ่งเชื่อกันว่าถ้าไม่มีการประกอบพิธีกรรม จะมีภัยอันตรายบังเกิดแก่ชุมชน. คริสเตียนแท้ต้องไม่ยอมแพ้เพราะการกลัวหน้ามนุษย์และเข้าร่วมปฏิบัติตามธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งไม่เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า. (สุภาษิต 29:25; มัดธาย 10:28) คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่าคนตายไม่มีจิตสำนึก เพราะคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “คนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองคงจะตาย, แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย . . . ,เพราะว่าไม่มีการงาน, หรือโครงการ, หรือความรู้หรือสติปัญญาในเมืองผี [“เชโอล,” ล.ม.] ที่เจ้าจะไปนั้น.” (ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10) ด้วยเหตุนี้ พระยะโฮวาพระเจ้าได้ทรงเตือนไพร่พลของพระองค์คราวโบราณอย่าได้พยายามเอาใจคนตายหรือติดต่อกับคนตาย. (พระบัญญัติ 14:1; 18:10-12; ยะซายา 8:19, 20) ความจริงเหล่านี้ในคัมภีร์ไบเบิลขัดกับธรรมเนียมการจัดงานศพในหลายรูปแบบซึ่งนิยมปฏิบัติกัน. จะว่าอย่างไรเรื่อง “การชำระตัวด้วยการร่วมประเวณี”? ในบางประเทศของแอฟริกาตอนกลาง ฝ่ายที่สูญเสียสามีหรือภรรยา ถูกคาดหมายให้ร่วมเพศกับญาติสนิทของผู้ตาย. หากไม่ปฏิบัติตาม เชื่อกันว่าคนตายจะทำอันตรายแก่ครอบครัวที่ยังอยู่. พิธีกรรมนี้เรียกว่า “การชำระตัวด้วยการร่วมประเวณี.” แต่คัมภีร์ไบเบิลนิยามการมีเพศสัมพันธ์นอกสายสมรสว่าเป็น “การล่วงประเวณี.” เนื่องจากคริสเตียนต้อง ‘หลีกหนีการล่วงประเวณี’ เขาจำต้องกล้าที่จะต้านทานธรรมเนียมซึ่งไม่เป็นตามหลักการของพระคัมภีร์.—1 โกรินโธ 6:18. ขอพิจารณาเรื่องราวหญิงม่ายชื่อเมอร์ซี.a ตอนที่สามีของเธอเสียชีวิตเมื่อปี 1989 ญาติพี่น้องต้องการให้เธอปฏิบัติตามพิธีชำระตัวด้วยการร่วมประเวณีกับญาติผู้ชาย. เธอไม่ยอม พร้อมกับชี้แจงว่าพิธีกรรมนี้ขัดต่อกฎหมายของพระเจ้า. ด้วยความขัดเคืองใจ ก่อนจากไปพวกญาติ ๆ ได้ด่าว่าเธออย่างหยาบคาย. เดือนถัดมาญาติพากันบุกเข้ารื้อค้นบ้านของเธอ และถอดรื้อแผ่นสังกะสีที่ใช้มุงหลังคา. พวกเขาบอกว่า “ศาสนาที่แกนับถือจะดูแลแกเอง.” ประชาคมได้ปลอบประโลมเมอร์ซีและยังได้ปลูกบ้านใหม่ให้เธอเสียด้วยซ้ำ. เพื่อนบ้านรู้สึกประทับใจมาก บางคนถึงกับตกลงใจเข้าร่วมโครงการนี้ โดยที่ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นชาวคาทอลิกได้นำเอาหญ้าสำหรับมุงหลังคามาให้เป็นคนแรก. ความประพฤติอย่างซื่อตรงของเมอร์ซีเป็นแรงสนับสนุนลูก ๆ ของเธอ. ลูกสี่คนได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาพระเจ้านับแต่คราวนั้น และคนหนึ่งเพิ่งเข้าเรียนโรงเรียนฝึกอบรมเพื่องานรับใช้เมื่อไม่นานมานี้. เนื่องด้วยธรรมเนียมการชำระตัวด้วยการร่วมประเวณีนี่เอง คริสเตียนบางคนปล่อยตัวเองถูกกดดันให้แต่งงานกับผู้ไม่เชื่อถือ. ยกตัวอย่าง พ่อม่ายคนหนึ่งวัย 70 เศษ ๆ รีบร้อนแต่งงานกับเด็กสาวญาติของภรรยาผู้ล่วงลับ. โดยการกระทำเช่นนี้ เขาจึงอ้างว่าตนได้ประกอบพิธีชำระตัวด้วยการร่วมประเวณีแล้ว. อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวขัดต่อคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าคริสเตียนควรสมรส “กับผู้ที่เชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า” เท่านั้น.—1 โกรินโธ 7:39. ประเพณีเฝ้าศพคืนยังรุ่ง ในหลายประเทศ ญาติมิตรของผู้ตายจะรวมตัวกันอยู่ที่บ้านผู้ตายและไม่นอนทั้งคืน. การอยู่เฝ้าศพแบบนี้ย่อมมีทั้งการเลี้ยงอาหารและเสียงดนตรีดังอึกทึก. ทั้งนี้เชื่อกันว่าจะทำให้คนตายพอใจและเพื่อปกป้องคนในครอบครัวที่ยังอยู่ไม่ให้ต้องเวทมนตร์คาถา. อาจมีการกล่าวยกย่องโดยหวังจะให้เป็นที่ถูกใจคนตาย. หลังจากนั้น พวกญาติมิตรของผู้ตายอาจร้องเพลงสวดคั่น แล้วจะมีอีกคนหนึ่งยืนขึ้นพูด. การทำเช่นนี้อาจจะต่อเนื่องกันไปจนรุ่งเช้า.b คริสเตียนแท้จะไม่เข้าส่วนกับพิธีเฝ้าศพตลอดคืนดังกล่าว เพราะคัมภีร์ไบเบิลแจ้งไว้ว่าคนตายไม่สามารถช่วยเหลือหรือทำอันตรายคนเป็น. (เยเนซิศ 3:19; บทเพลงสรรเสริญ 146:3, 4; โยฮัน 11:11-14) พระคัมภีร์ตำหนิกิจปฏิบัติที่เกี่ยวเนื่องกับลัทธิภูตผีปิศาจ. (วิวรณ์ 9:21; 22:15) ถึงกระนั้น หญิงม่ายอาจประสบว่าการจะป้องกันคนอื่นให้พ้นจากกิจปฏิบัติแบบลัทธิผีปิศาจนั้นไม่ง่ายเสียทีเดียว. คนเหล่านั้นอาจยืนกรานจะอยู่เฝ้าศพตลอดคืนในบ้านของเธอ. เพื่อนร่วมความเชื่อพึงทำประการใดเพื่อช่วยคริสเตียนผู้โศกเศร้าเผชิญความทุกข์ลำบากที่เพิ่มเข้ามา? บ่อยครั้งผู้ปกครองในประชาคมสามารถให้การช่วยเหลือครอบครัวคริสเตียนในยามโศกเศร้าได้ โดยการหาเหตุผลกับหมู่ญาติและเพื่อนบ้านใกล้เคียง. หลังจากการหาเหตุผลดังกล่าว คนเหล่านี้ต่างก็อาจเห็นด้วยและลากลับไปอย่างสงบ แล้วจะมารวมกันในงานศพวันอื่นอีก. แต่ถ้าบางคนมีท่าทีจะไม่ยอมล่ะ? หากยังจะพยายามหาเหตุผลกันต่อก็อาจมีผลเป็นความรุนแรงขึ้นมาได้. “ทาสขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่จำเป็นต้องต่อสู้ แต่ . . . เหนี่ยวรั้งตัวไว้ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่ดี.” (2 ติโมเธียว 2:24, ล.ม.) ดังนั้น หากวงศาคณาญาติที่ไม่ร่วมมือด้วย เข้ามาแย่งจัดงานเสียเอง แม่ม่ายคริสเตียนพร้อมกับลูก ๆ อาจจะไม่สามารถห้ามได้. แต่พวกเขาจะไม่ร่วมพิธีใด ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับศาสนาเท็จที่จัดทำขึ้นภายในบ้าน เพราะเขาเชื่อฟังคำสั่งของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “อย่าเข้าเทียมแอกกับคนไม่มีความเชื่อ.”—2 โกรินโธ 6:14, ล.ม. หลักการนี้ใช้ปฏิบัติได้ด้วยในวันฝังหรือเผาศพ. พยานพระยะโฮวาไม่ร่วมร้องเพลง, อธิษฐาน, หรือร่วมในพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งนำโดยนักเทศน์นักบวชของศาสนาเท็จ. ถ้าคริสเตียนซึ่งเป็นสมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิดเห็นว่าจำเป็นต้องอยู่ด้วยในโอกาสดังกล่าว เขาจะไม่เข้าส่วนร่วมด้วย.—2 โกรินโธ 6:17; วิวรณ์ 18:4. จัดงานศพอย่างมีเกียรติ งานศพซึ่งดำเนินการโดยพยานพระยะโฮวาจะไม่รวมเอาพิธีต่าง ๆ ด้วยตั้งใจทำเพื่อเอาใจคนตาย. มีการบรรยายซึ่งอาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก ไม่ว่าการบรรยายจัดขึ้นที่หอประชุมราชอาณาจักร, ที่ศาลาฌาปนกิจ, ที่บ้านผู้ตาย, หรือที่ป่าช้า. วัตถุประสงค์ของการบรรยายก็เพื่อปลอบโยนผู้เป็นทุกข์โศกเศร้าโดยมีการชี้แจงถึงสิ่งที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวด้วยเรื่องความตายและความหวังที่จะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย. (โยฮัน 11:25; โรม 5:12; 2 เปโตร 3:13) อาจมีการร้องเพลงสักบทหนึ่งซึ่งมีเนื้อร้องที่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์ และจบการประชุมด้วยการอธิษฐานที่ปลอบประโลมใจ. ไม่นานมานี้ มีงานศพแนวเดียวกันนี้สำหรับคนหนึ่งที่เป็นพยานพระยะโฮวาซึ่งบังเอิญเป็นน้องสาวคนสุดท้องของเนลสัน แมนเดลา ประธานาธิบดีแห่งแอฟริกาใต้. หลังจากจบคำบรรยายแล้ว ท่านประธานาธิบดีได้กล่าวจากใจจริงแสดงความขอบคุณผู้บรรยาย. บุคคลสำคัญรวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนร่วมอยู่ในงานนี้ด้วย. รัฐมนตรีท่านหนึ่งในคณะรัฐบาลกล่าวว่า “นี่เป็นงานศพที่มีเกียรติมากที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยเข้าร่วม.” การใส่ชุดไว้ทุกข์เป็นที่ยอมรับไหม? พยานพระยะโฮวาโศกเศร้าอาลัยถึงบุคคลที่ตนรักเมื่อเขาสิ้นชีวิตไป. เช่นเดียวกันกับพระเยซู เขาอาจหลั่งน้ำตาร้องไห้. (โยฮัน 11:35, 36) แต่เขาไม่ถือเป็นเรื่องที่จะต้องแสดงความโศกเศร้าให้คนอื่นเห็น โดยการแสดงสิ่งบ่งบอกภายนอกบางอย่าง. (เทียบกับมัดธาย 6:16-18.) ในหลายดินแดน มีการคาดหมายจะเห็นแม่ม่ายใส่เสื้อผ้าเฉพาะแบบ เป็นเครื่องหมายแสดงการไว้ทุกข์เพื่อให้ผู้ตายพอใจ. หลังจากงานศพได้ผ่านไป แม่ม่ายจะต้องใส่เสื้อผ้าเหล่านี้ต่อไปอีกนานหลายเดือนหรือถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำ และการเลิกใส่เสื้อผ้าไว้ทุกข์นั้นเป็นอีกโอกาสหนึ่งสำหรับงานเลี้ยง. ถือกันว่าการไม่แสดงสิ่งบ่งบอกถึงการไว้ทุกข์เป็นการทำผิดต่อผู้ตาย. ด้วยเหตุนี้ ในบางภูมิภาคของประเทศสวาซิแลนด์ หัวหน้าเผ่าถึงกับขับไล่พยานพระยะโฮวาไปให้พ้นจากบ้านเรือนและถิ่นที่อยู่ของพวกเขา. อย่างไรก็ดี คริสเตียนที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นได้รับการดูแลจากบรรดาพี่น้องฝ่ายวิญญาณในที่อื่น ๆ เสมอ. ศาลชั้นต้นแห่งสวาซิแลนด์ตัดสินให้พยานพระยะโฮวาชนะคดี โดยระบุว่าพวกเขาสมควรได้รับอนุญาตให้กลับไปยังบ้านเรือนของตน. อีกรายหนึ่ง แม่ม่ายคริสเตียนคนหนึ่งได้รับการยินยอมให้อยู่ต่อไปบนที่ดินของตัวเอง หลังจากเธอได้ยื่นจดหมายและเทปบันทึกเสียงของสามีที่ตายไปซึ่งระบุชัดว่าภรรยาของเขาอย่าได้ใส่เสื้อผ้าไว้ทุกข์. ด้วยเหตุนี้ เธอจึงสามารถพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นภรรยาที่แสดงความนับถือสามีอย่างแท้จริง. นับว่าเป็นคุณประโยชน์ใหญ่หลวงเมื่อมีการชี้แจงอย่างชัดเจนไว้ก่อนตายเกี่ยวด้วยการจัดงานศพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ซึ่งคนทั่วไปมีกิจปฏิบัติที่ขัดกับหลักการของคัมภีร์ไบเบิล. ขอพิจารณาตัวอย่างของวิกทอร์ ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ในประเทศแคเมอรูน. เขาเขียนเป็นหนังสือแจ้งกำหนดการอันพึงปฏิบัติในงานศพของเขา. ครอบครัวของเขามีผู้ทรงอิทธิพลหลายคนยึดวัฒนธรรมประเพณีอย่างเคร่งครัดว่าให้แสดงความนับถือคนตาย รวมถึงการบูชาหัวกะโหลกคนตายด้วย. เนื่องจากวิกทอร์เป็นสมาชิกที่ครอบครัวให้ความนับถือ เขารู้ว่าจะมีการปฏิบัติทำนองนี้กับกะโหลกศีรษะของเขา. ดังนั้น เขาจึงให้ข้อบ่งชี้ไว้อย่างชัดเจนว่าพยานพระยะโฮวาพึงจัดงานศพของเขาอย่างไร. ทั้งนี้ทำให้การจัดงานง่ายขึ้นสำหรับภรรยาและลูกของเขา และเป็นการให้คำพยานอย่างดีในชุมชนแห่งนั้น. หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามธรรมเนียมที่ขัดหลักการของพระคัมภีร์ บางคนซึ่งมีความรู้ทางคัมภีร์ไบเบิลนึกกลัวที่จะเป็นคนที่ต่างจากคนอื่น. เพื่อเลี่ยงการก่อกวนทำร้าย เขาจึงพยายามเอาใจชาวบ้านด้วยการทำประหนึ่งว่าได้จัดงานเฝ้าศพตามธรรมเนียมเพื่อเห็นแก่คนตาย. ถึงแม้เป็นเรื่องน่ายกย่องที่จะเยี่ยมผู้โศกเศร้าเพื่อการปลอบโยนเป็นส่วนตัว ทั้งนี้ไม่ได้เรียกร้องว่าทุกคืนที่บ้านผู้ตายจะต้องมีการบรรยายงานศพเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนการบรรยายงานศพจริง ๆ. การทำเช่นนี้อาจเป็นเหตุให้คนที่เฝ้าสังเกตสะดุด เนื่องจากเขาจะมีความรู้สึกว่า จริง ๆ แล้วคนที่เข้าส่วนร่วมหาได้เชื่อเรื่องที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไม่เกี่ยวกับสภาพคนตาย.—1 โกรินโธ 10:32. คัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นเตือนคริสเตียนให้จัดเอาการนมัสการพระเจ้าไว้เป็นอันดับแรกในชีวิต และใช้เวลาของตนอย่างสุขุม. (มัดธาย 6:33; เอเฟโซ 5:15, 16) แต่กิจกรรมของประชาคมในท้องถิ่นบางแห่งได้หยุดชะงักประมาณหนึ่งสัปดาห์หรือนานกว่านั้นเนื่องจากมีงานศพ. ปัญหานี้ไม่ใช่มีเฉพาะในแอฟริกาเท่านั้น. เกี่ยวกับงานศพรายหนึ่ง มีรายงานจากอเมริกาใต้ดังนี้: “การประชุมคริสเตียนสามวาระมีจำนวนผู้เข้าร่วมน้อยมาก. ไม่มีคนสนับสนุนการประกาศในเขตงานประมาณสิบวัน. แม้กระทั่งบุคคลภายนอกประชาคมและคนสนใจศึกษาพระคัมภีร์ก็แปลกใจและรู้สึกผิดหวังที่เห็นพี่น้องชายหญิงของเราบางคนเข้าส่วนร่วมกิจกรรมงานศพ.” ในชุมชนบางแห่ง ครอบครัวที่โศกเศร้าเนื่องจากการสูญเสียอาจเชิญเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนมาร่วมรับประทานอาหารว่างที่บ้านหลังจากงานศพผ่านไปแล้ว. แต่ในภูมิภาคหลายแห่งของแอฟริกา ผู้คนนับร้อยที่มาร่วมงานศพจะพากันย้อนกลับไปบ้านผู้ตาย และคาดหมายการเลี้ยงใหญ่ ซึ่งมักจะมีการฆ่าสัตว์บ่อย ๆ. บางคนที่เข้ามาสมาคมกับประชาคมคริสเตียนยังคงเลียนแบบปฏิบัติตามธรรมเนียมนี้ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกฝังใจว่าคนเหล่านี้จัดงานเลี้ยงใหญ่ตามธรรมเนียมก็เพื่อจะเอาใจคนตายนั่นเอง. งานศพที่จัดโดยพยานพระยะโฮวาไม่ทำให้ผู้สูญเสียที่โศกเศร้าต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย. ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเตรียมการเป็นพิเศษเพื่อให้ผู้มาในงานช่วยออกเงินเพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่มากเกินไป. หากแม่ม่ายที่ขัดสนไม่สามารถใช้จ่ายได้ตามความจำเป็น ไม่ต้องสงสัย คนอื่น ๆ ในประชาคมยินดีให้การช่วยเหลือ. ถ้าการช่วยเหลือนั้นไม่พอ พวกผู้ปกครองอาจจัดเตรียมให้ความช่วยเหลือทางด้านวัตถุปัจจัยแก่บุคคลที่สมควรได้รับ.—1 ติโมเธียว 5:3, 4. ธรรมเนียมการจัดงานศพไม่ขัดกับหลักการของคัมภีร์ไบเบิลเสมอไป. ในกรณีที่ขัดกัน คริสเตียนย่อมมุ่งมั่นจะปฏิบัติสอดคล้องกับพระคัมภีร์.c (กิจการ 5:29) แม้ว่าการทำเช่นนั้นอาจหมายถึงความลำบากเพิ่มขึ้นก็ตาม ผู้รับใช้ของพระเจ้าจำนวนไม่น้อยสามารถให้การเป็นพยานได้ว่าพวกตนผ่านการทดสอบดังกล่าวอย่างประสบความสำเร็จ. พวกเขาประสบผลสำเร็จเช่นนั้นเนื่องด้วยกำลังที่มาจากพระยะโฮวา “พระเจ้าแห่งการปลอบโยนทุกอย่าง” และด้วยการช่วยเหลือด้วยความรักของเพื่อนร่วมความเชื่อซึ่งได้ให้การชูใจพวกเขาในยามทุกข์ลำบาก.—2 โกรินโธ 1:3, 4, ล.ม. [เชิงอรรถ] มีการใช้ชื่อสมมุติในบทความนี้ คำ “เฝ้าศพ” ในบางกลุ่มภาษาหรือในวัฒนธรรมของบางประเทศหมายถึงการแวะเยี่ยมช่วงสั้น ๆ เพื่อให้การปลอบโยนผู้โศกเศร้า. อาจไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับความไม่ถูกต้องตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล. โปรดอ่านตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 22 พฤษภาคม 1979, หน้า 27-28. ณ ที่ซึ่งธรรมเนียมการจัดงานศพมักจะเกิดการทดลองอย่างรุนแรงกับคริสเตียน พวกผู้ปกครองอาจเตรียมผู้ที่เตรียมตัวเพื่อจะรับบัพติสมาให้รับมือกับสิ่งซึ่งมีอยู่เบื้องหน้า. เมื่อประชุมกับคนใหม่เหล่านี้เพื่อพิจารณาคำถามจากหนังสือจัดให้เป็นระเบียบเพื่อทำให้งานรับใช้ของเราสำเร็จ ควรเอาใจใส่อย่างถี่ถ้วนในส่วนต่าง ๆ เป็นต้นว่า “จิตวิญญาณ, บาป, และความตาย” และ “การรวมความเชื่อ.” หัวข้อทั้งสองตอนนี้มีคำถามที่เลือกได้ในการพิจารณา. ตอนนั้นผู้ปกครองอาจให้ข้อมูลเกี่ยวกับธรรมเนียมจัดงานศพซึ่งไม่เป็นตามหลักคัมภีร์ไบเบิล เพื่อผู้ตั้งใจจะรับบัพติสมาทราบสิ่งที่พระคำของพระเจ้าเรียกร้องจากเขา หากเขาต้องเผชิญกับสภาพการณ์ดังกล่าว. [กรอบหน้า 23] เขาได้พระพรเพราะการยืนหยัดมั่นคง ซีโบนกีลี เป็นหญิงม่ายคริสเตียนผู้กล้าหาญอยู่ในประเทศสวาซิแลนด์. หลังจากสามีของเธอเสียชีวิตเมื่อเร็ว ๆ นี้ เธอไม่ยอมปฏิบัติตามธรรมเนียมซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นการเอาใจผู้ตาย. อย่างเช่น เธอไม่โกนผม. (พระบัญญัติ 14:1) สมาชิกแปดคนของครอบครัวโกรธเพราะเหตุนี้และใช้วิธีบังคับโกนผมเธอจนได้. นอกจากนั้น พวกเขากีดกันไม่ยอมให้พยานพระยะโฮวาเข้าบ้านเพื่อปลอบโยนซีโบนกีลี. อย่างไรก็ตาม คนอื่น ๆ ที่สนใจข่าวราชอาณาจักรยินดีจะเยี่ยมเธอ พร้อมกับนำจดหมายของผู้ปกครองที่เขียนหนุนกำลังใจไปมอบให้เธอ. ในวันที่มีการคาดหมายจะให้ซีโบนกีลีใส่ชุดพิเศษแสดงการไว้ทุกข์ มีเหตุการณ์ซึ่งยังความประหลาดใจอุบัติขึ้น. สมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวซึ่งมีอิทธิพลได้เรียกประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่เธอไม่ยอมทำตามธรรมเนียมการไว้ทุกข์อันเป็นประเพณีนิยม. ซีโบนกีลีเล่าว่า “คนเหล่านั้นถามว่าความศรัทธาทางศาสนาของดิฉันยอมให้ดิฉันแสดงความเศร้าโศกเสียใจโดยการสวมชุดสีดำไว้ทุกข์หรือไม่. หลังจากได้ชี้แจงให้เขาทราบสถานะของดิฉันแล้ว เขาบอกว่าจะไม่บังคับดิฉัน. ดิฉันประหลาดใจมากเมื่อทุกคนกล่าวขอโทษที่ได้ปฏิบัติต่อดิฉันอย่างหยาบคาย ทั้งได้โกนผมดิฉันอันเป็นการขืนใจ. พวกเขาทั้งหมดได้ขอดิฉันยกโทษให้.” ต่อมา น้องสาวของซีโบนกีลีพูดอย่างเชื่อมั่นว่าพยานพระยะโฮวามีศาสนาแท้ และเธอแจ้งความประสงค์อยากศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ขอพิจารณาอีกตัวอย่างหนึ่ง: ชายคนหนึ่งในแอฟริกาใต้ชื่อเบ็นจามิน เขาอายุ 29 ปีตอนที่ได้ข่าวบิดาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน. ตอนนั้นเบ็นจามินเป็นพยานฯ คนเดียวในครอบครัว. ระหว่างการทำพิธีปลงศพ ทุกคนถูกคาดหมายให้เดินเรียงแถวรอบหลุมฝังศพและโยนดินหนึ่งกำมือใส่ในโลง.d หลังจากการฝังศพผ่านไป สมาชิกทุกคนของครอบครัวนั้นจะโกนผม. เนื่องจากเบ็นจามินไม่ได้ร่วมทำพิธีต่าง ๆ เช่นนั้น เพื่อนบ้านและคนในครัวเรือนได้ทำนายว่าวิญญาณของพ่อที่ตายจะลงโทษเขา. “เพราะผมไว้วางใจพระยะโฮวา จึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผม” เบ็นจามินพูด. สมาชิกครอบครัวได้สังเกตว่าเขาไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด. ในที่สุดสมาชิกหลายคนในครอบครัวเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวาและได้รับบัพติสมาเป็นเครื่องหมายแสดงการอุทิศตัวแด่พระเจ้า. เบ็นจามินล่ะ? เขาก้าวสู่งานเผยแพร่เต็มเวลา. ช่วงสองสามปีหลังนี้ เขาได้รับสิทธิพิเศษด้วยการรับใช้ประชาคมหลายแห่งของพยานพระยะโฮวาในฐานะเป็นผู้แลเดินทาง. [เชิงอรรถ] บางคนอาจคิดว่าไม่เสียหายที่จะโยนดอกไม้หรือดินสักกำมือหนึ่งใส่ในหลุมฝังศพ. แต่คริสเตียนจะเลี่ยงกิจปฏิบัติเช่นนี้ในเมื่อสังคมนั้นถือเป็นแนวทางที่จะเอาใจผู้ตาย หรือถ้าเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมซึ่งดำเนินการโดยนักเทศน์นักบวชของศาสนาเท็จ.—โปรดอ่านตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 22 มีนาคม 1977 หน้า 15. |