ตรวจโรคห วใจท รพ.ภ ม พล ค าใช จ ายเท าไหร

โรคหัวใจ ถือเป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยสูงเป็นอันดับต้นๆ โดยในผู้ป่วยบางรายมักมีสัญญาณเตือนก่อน เช่น เหนื่อยง่ายเวลาออกกำลังกาย เจ็บหน้าอก หายใจเข้าได้ลำบาก เป็นต้น แต่ในผู้ป่วยบางรายก็ไม่มีอาการแสดงแต่อย่างใด คุณเป็นโรคหัวใจหรือไม่? รู้ได้ด้วยวิธีการตรวจวินิจฉัยเหล่านี้

  • ประวัติสุขภาพและการตรวจร่างกาย(Medical history and Physical examination)
  • การตรวจด้วยคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
  • การบันทึกคลื่นไฟฟ้าชนิดติดตัว (Holter Monitoring)
  • การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST)
  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram)
  • การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
  • การตรวจวินิจฉัยด้วยการสวนหัวใจ (Coronary Artery Angiography)
  • การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan 128 slice)
  • การตรวจหาระดับเอนไซม์ในเลือด (Cardiac enzyme)
  • การเอกซเรย์ปอดและหัวใจ (Chest X-Rays)

*โปรแกรมในการตรวจจะขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ด้วย


การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน EST (Exercise Stress Test) เป็นการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคหัวใจ โดยให้ผู้ป่วยออกกำลังกายโดยการวิ่งบนสายพานซึ่งสามารถช่วยในการวินิจฉัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขณะออกกำลังกาย ช่วยให้แพทย์ตรวจพบการตอบสนองที่ผิดปกติ เช่น หายใจลำบาก เจ็บแน่นหน้าอก อัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ หรือ มีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

ภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริก (Atrial Fibrillation) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า AF หรือ A-Fib เป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดถึงร้อยละ 1 – 2 รายในประชาชนทั่วไป และพบบ่อยขึ้นตามอายุ โดยประชาชนในกลุ่มอายุ 80 – 90 ปี พบสูงสุดถึงร้อยละ 5 – 15 ซึ่งโรคหัวใจเต้นระริกเป็นเหตุให้เกิดโรคสมองขาดเลือดประมาณ 120,000 รายต่อปีทั่วโลก หรือกล่าวได้ว่า 1 ใน 4 ของผู้ป่วยโรคสมองขาดเลือดทั้งหมดเป็นผลมาจากเป็นโรคหัวใจเต้นระริก ซึ่งทำให้มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง เกิดภาวะทุพพลภาพมากขึ้น และอายุขัยที่สั้นลง ดังนั้นการป้องกันโรคสมองขาดเลือดจากภาวะหัวใจเต้นระริกจึงเป็นอีกเป้าหมายสำคัญในการรักษา ซึ่งปัจจุบันมีวิธีการรักษาหลายวิธี โดยมียาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดเป็นหัวใจหลักในการป้องกันรักษา

รู้จักภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริก

ภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริกเป็นภาวะที่หัวใจห้องบนเต้นแบบกระจัดกระจายไร้ความสามัคคี ทำให้แรงบีบตัวของหัวใจห้องบนเสียไป เลือดจึงหมุนวนตกค้างในหัวใจห้องบนจนก่อให้เกิดลิ่มเลือด ซึ่งสามารถหลุดออกจากหัวใจไปอุดกั้นหลอดเลือดสมอง ทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์และอัมพาตเฉียบพลันได้ โดยมีโอกาสสูงกว่าคนทั่วไปถึง 5 เท่า นำไปสู่ความพิการและเสียชีวิตในที่สุด อีกทั้งยังส่งผลให้หัวใจห้องล่างเต้นเร็วและไม่สม่ำเสมอ ทำให้แรงบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดลดน้อยลง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมจะนำไปสู่ภาวะหัวใจวายในที่สุด

สาเหตุภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริก

  • โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ เช่น โรคลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เป็นต้น
  • โรคระบบอื่น ๆ เช่น โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคปอดเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพอง ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะหลังการผ่าตัดใหญ่ ภาวะเลือดออกในสมองและสมองขาดเลือด เป็นต้น

อาการภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริก

ผู้ป่วยภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริกเกือบครึ่งหนึ่งไม่มีอาการ แต่ต้องมาพบแพทย์ด้วยภาวะแทรกซ้อนของโรค โดยเฉพาะอัมพาตตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแทน ส่วนอาการที่มาพบแพทย์ก็ไม่ได้เฉพาะเจาะจง ดังต่อไปนี้

  • ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว เต้นไม่สม่ำเสมอ
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ทำกิจวัตรประจำวันหรือออกกำลังกายได้ลดลง
  • เจ็บหรือแน่นหน้าอกหายใจลำบาก
  • เวียนศีรษะ หน้ามืดเป็นลมหมดสติ

ตรวจวินิจฉัยภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริก

  • การตรวจชีพจรและอัตราการเต้นของหัวใจเป็นการตรวจเบื้องต้นที่ง่าย สามารถทำได้ด้วยตนเอง หรือใช้โปรแกรมในโทรศัพท์มือถือ
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram) เป็นการตรวจที่จำเป็นที่สุดในการวินิจฉัย ซึ่งสามารถทำได้ในโรงพยาบาลทุกแห่ง หรือใช้อุปกรณ์ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจชนิดพกพาที่นอกโรงพยาบาล
  • การตรวจอื่น ๆ ทางห้องปฏิบัติการ เช่น
    • การตรวจหาภาวะโลหิตจางหรือไตวาย
    • การตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์
    • การตรวจเอกซเรย์ปอด
    • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography)

ตรวจโรคห วใจท รพ.ภ ม พล ค าใช จ ายเท าไหร
ตรวจชีพจรได้ด้วยตนเอง

  • การบีบตัวของหัวใจในแต่ละครั้ง ทำให้เกิดแรงขับดันโลหิตไปปะทะกับหลอดเลือดแดงที่ยืดหยุ่น แรงปะทะซึ่งสัมผัสได้จากภายนอกบริเวณที่หลอดเลือดแดงอยู่ตื้นติดกับผิวหนังและหายไปเมื่อหัวใจคลายตัวเรียกว่า ชีพจร หากหัวใจเต้นปกติจะสัมผัสชีพจรได้ชัดเจนและมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทิ้งระยะห่างที่คงที่ระหว่างแต่ละครั้ง
  • เบื้องต้นเริ่มฝึกตรวจชีพจรข้อมือก่อน เนื่องจากตรวจได้ง่ายที่สุด เริ่มต้นโดยหงายข้อมือข้างที่ไม่ถนัด คลำโดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือข้างที่ถนัดสัมผัสที่ร่องบริเวณใต้ข้อมือด้านฐานของนิ้วโป้งจะคลำได้เส้นเลือดเต้นอย่างชัดเจน เมื่อชำนาญแล้วท่านสามารถฝึกคลำชีพจรที่อื่นได้เช่นกัน เช่น ชีพจรที่คอ สามารถคลำได้ที่ร่องข้างคอหอย แต่ไม่ควรคลำแรง เพราะอาจทำให้หน้ามืดหรือหมดสติได้
  • เมื่อคลำชีพจรได้ชัดเจนแล้ว ขั้นต่อไปให้นับจำนวนครั้งที่คลำได้ใน 1 นาที จำนวนที่นับได้ใน 1 นาทีเรียกว่าความเร็วของชีพจร ระหว่างนับให้สังเกตว่าชีพจรที่คลำได้มีความแรงและจังหวะที่สม่ำเสมอหรือเว้นระยะคงที่หรือไม่
  • ชีพจรผิดปกติ คือ คลำได้ไม่สม่ำเสมอทั้งความแรงและจังหวะ หากตรวจพบให้สงสัยภาวะหัวใจเต้นระริก และควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจยืนยันก่อน เพราะบ่อยครั้งอาจคลำได้ชีพจรมาสะดุดเป็นครั้งคราว ซึ่งลักษณะชีพจรที่ผิดปกติแบบนี้สามารถพบได้และไม่เป็นอันตราย

รักษาภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริกและป้องกันโรคสมองขาดเลือด

การรักษาภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริกมีวัตถุประสงค์หลักคือ รักษาอาการและลดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งลดโอกาสเสียชีวิตและโอกาสต้องเข้าโรงพยาบาล โดยการรักษาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุของผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วย อาการของผู้ป่วยโรคอื่นที่เป็นร่วมด้วย เป็นต้น โดยมีวิธีการหลักดังนี้

  • การใช้ยาเพื่อควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจไม่ให้เร็วจนเกินไป (Rate Control) หรือควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้กลับมาเต้นปกติ (Rhythm Control)
  • ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ ซึ่งทำให้เกิดหลอดเลือดอุดตันในอวัยวะสำคัญส่วนอื่นของร่างกายตามมา
  • การใช้ไฟฟ้ากระตุ้นเพื่อปรับการเต้นของหัวใจ (Cardioversion) ให้กลับมาเต้นปกติ
  • การใช้สายสวนหัวใจเพื่อจี้ตัดวงจรไฟฟ้าผิดปกติในหัวใจด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นความร้อน (Radiofrequency Ablation) หรือความเย็นจัด (Cryoablation) ทำให้หัวใจกลับมาเต้นปกติ

รู้จักยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือด

ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือด บางครั้งเรียกว่ายาต้านการแข็งตัวของเลือด เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อต้านระบบการแข็งตัวของเลือดที่ซับซ้อน ยาที่ใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นระริกมีอยู่หลายกลุ่มและออกฤทธิ์ต่อระบบการแข็งตัวของเลือดที่ต่างตำแหน่งกัน ได้แก่