ว ดค าความเค ม จากการว ดค าความนำไฟฟ า

Conductivity หรือการนำไฟฟ้า การวัดค่าการนำไฟฟ้าของน้ำซึ่งเกิดจากสารอนินทรีย์ที่ละลายในน้ำ เช่น แอนไอออนของคลอไรด์ ไนเตรต ซัลเฟต และฟอสเฟต (แอนไอออนคือไอออนที่มีประจุลบ) หรือแคทไอออนของโซเดียมแมกนีเซียม เหล็ก และอะลูมิเนียม (แคทไอออนคือไอออนที่มีประจุบวก) หรือกล่าวได้ว่าค่าการนำไฟฟ้าคือค่าที่บ่งบอกความสามารถในการนำไฟฟ้าหรือความสามารถในการยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านน้ำหรือสารละลายนั้นๆ โดยจะขึ้นอยู่กับประจุไฟฟ้าและความเข้มข้นของสารที่ละลายอยู่ในน้ำ

เครื่องมือสำหรับวัดค่าการนำไฟฟ้าหรือเรียกว่า EC Meter มีให้เลือกใช้งานหลากหลายประเภท เช่นแบบเครื่องพกพาสะดวก ตัวเครื่องมีขนาดเล็ก ใช้งานง่าย แบบภาคสนาม ตัวเครื่องมาพร้อมหัววัด และแบบตั้งโต๊ะ เหมาะสำหรับเก็บตัวอย่างมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการและควบคุมสภาวะแวดล้อมตามมาตรฐานต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง ซึ่งรายงานผลการวิเคราะห์ในหน่วย µS/cm และ mS/cm ให้เลือกใช้ตามคุณภาพของแต่ละแหล่งน้ำ

มาตรฐานคุณภาพน้ำค่าการนำไฟฟ้า (Conductivity)

เนื่องจากค่ามาตรฐานของน้ำมีค่าต่ำจึงกำหนดในระดับ µS/cm 1. น้ำจืด/ทะเลสาบ 100 – 2000 µS/cm 2. น้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม 10000 µS/cm 3. น้ำทะเลทั่วไปจะพบที่ค่าประมาณ 55000 µS/cm

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการวัดค่าการนำไฟฟ้าในน้ำ

อุณหภูมิของน้ำมีความสำคัญต่อการวัดค่าการนำไฟฟ้าเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะน้ำบริสุทธิ์หรือน้ำค่อนข้างจะบริสุทธิ์ โดยค่าการนำไฟฟ้าของน้ำบริสุทธิ์อยู่ที่ค่าน้อยกว่า 5 µS/cm และพบว่าเมื่ออุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้นส่งผลให้การนำไฟฟ้าสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

ผลกระทบของค่าการนำไฟฟ้าของน้ำหากมีปริมาณมากเกินไปมีผลต่อการอาศัยและการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ มีผลต่อการใช้งานในอุตสาหกรรมหากมีค่ามากเกินไปอาจส่งผลทำให้เกิดตะกรันเกาะตามส่วนต่างๆ เป็นต้น ดังนั้นการตรวจวัดค่าการนำไฟฟ้าจึงจำเป็นเพื่อเป็นการรักษาระดับคุณภาพน้ำให้เหมาะสมกับการใช้งานทางด้านต่างๆ

ควรเลือกซื้อเครื่อง ค่าความนำไฟฟ้าในน้ำ จากผู้จำหน่ายที่เชื่อถือได้และแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับ และเพื่อให้ได้เครื่องวัดที่มีความแม่นยำสูงควรเลือกซื้อสินค้าที่มาพร้อมกับใบรับรองการสอบเทียบ Certificate of Calibration จากโรงงานผู้ผลิต แต่หากไม่มีใบรับรองสามารถส่งสอบเทียบกับผู้ให้บริการที่ได้รับการรับรอง ISO17025

ว ดค าความเค ม จากการว ดค าความนำไฟฟ า

บริษัท ฮานนา อินสทรูเม้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด

ผู้ผลิตเครื่องมือวัดชั้นนำ

“เพราะเราเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ”

WITH GREAT PRODUCTS, COME GREAT RESULTS.

Email Addresses

info@hannathaicom

CONTACT US

Line : @hannathailand

FB : HannaThailand

เราใช้ Cookie ในเว็บไซต์นี้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น กดปุ่ม “ยอมรับ” หากยอมให้มีการใช้ Cookie หรือกดปุ่ม ตั้งค่า หากต้องการยอมรับ Cookie เพียงบางรายการ

EC หรือค่า Conductivity ของน้ำ (การนำไฟฟ้าของน้ำ) คือความสามารถในการนำกระแสไฟฟ้า เกลือหรือสารเคมีอื่นๆ ที่ละลายในน้ำสามารถแตกตัวเป็นไอออนที่มีประจุบวกและลบได้ ไอออนอิสระเหล่านี้ในน้ำจะนำไฟฟ้า

ดังนั้นค่าการนำไฟฟ้าของน้ำจึงขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของไอออน ความเค็มและของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด (TDS) ใช้ในการคำนวณค่า EC ของน้ำ ซึ่งช่วยในการระบุความบริสุทธิ์ของน้ำ ยิ่งน้ำบริสุทธิ์ ค่าการนำไฟฟ้ายิ่งต่ำ เพื่อเป็นตัวอย่างในชีวิตจริง น้ำกลั่นเกือบจะเป็นฉนวน แต่น้ำเค็มเป็นตัวนำไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพมาก

ไอออนที่มีประจุบวกที่สำคัญที่ส่งผลต่อการนำไฟฟ้าของน้ำได้แก่ โซเดียม แคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ไอออนที่มีประจุลบที่สำคัญได้แก่คลอไรด์ ซัลเฟต คาร์บอเนต และไบคาร์บอเนต ไนเตรตและฟอสเฟต

หน่วยการวัด

หน่วย SI (International Systems of Units) ของค่า Conductivity การนำไฟฟ้าคือซีเมนส์ต่อเมตร (S/m) ถึงแม้ว่าหน่วย SI คือซีเมนส์ต่อเมตร (S/m)

แต่ในทางปฎิบัติค่า Conductivity ในน้ำไม่สูงมากนักจึงนิยมใช้เป็นไมโครซีเมนส์/เซ็นติเมตร (µS/cm) และ mS/cm หรือมิลลิซีเมนส์ต่อเซนติเมตร 1 mS/cm = 1000 µS/cm

ค่า EC จะเพิ่มขึ้นจริงเมื่ออุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้น ดังนั้น EC จะถูกวัดที่ 25°C โดยมีอุณหภูมิและ EC พร้อมกัน

ว ดค าความเค ม จากการว ดค าความนำไฟฟ า

ปัจจัยที่มีผลต่อค่า EC ของน้ำ

ค่า Conductivity คือการนำไฟฟ้าของน้ำขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำ ยิ่งอุณหภูมิสูง ค่าการนำไฟฟ้าก็จะยิ่งสูงขึ้น ค่าการนำไฟฟ้าของน้ำเพิ่มขึ้น 2-3% สำหรับอุณหภูมิของน้ำที่เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส เครื่องวัด EC ในปัจจุบันทำให้การอ่านค่ามาตรฐานเป็น 25°C โดยอัตโนมัติ

แม้ว่าค่าการนำไฟฟ้าจะเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีของความเค็มทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับองค์ประกอบไอออนในน้ำ

ค่าการนำไฟฟ้าเดียวกันนี้สามารถวัดได้ในน้ำคุณภาพต่ำ (เช่นน้ำที่อุดมด้วยโซเดียม โบรอน และฟลูออไรด์) รวมทั้งในน้ำชลประทานคุณภาพสูง

ทำไมการวัดค่า EC ในน้ำจึงสำคัญ

ความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของประชากรขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นคุณภาพน้ำสามารถวัดโดยอ้อมผ่านค่าการนำไฟฟ้า EC ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกว่ามีสารปนเปื้อนอยู่ในน้ำจำนวนเท่าใดและมีความสามารถในการส่งกระแสไฟฟ้า

เนื่องจากโดยปกติแล้วจะวัดค่าการนำไฟฟ้าในหน่วยไมโครซีเมนส์ต่อเซนติเมตร (µS/ซม.) หรือ 1000 เท่าของค่านั้น หรือมิลลิซีเมนส์ต่อเซนติเมตร (มิลลิซีเมนส์/ซม.) จึงสามารถตรวจวัดพื้นฐานเพื่อรักษาน้ำคุณภาพสูงและระดับการนำไฟฟ้าที่เหมาะสม

ยกตัวอย่างน้ำทะเลเค็มจะมีค่าการนำไฟฟ้าประมาณ 50-70 mS/cm. ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและอุณหภูมิ ในขณะที่น้ำดื่มควรมีค่าการนำไฟฟ้าต่ำกว่า 1 mS/cm. ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการผลิตที่มีความไวสูง (เซมิคอนดักเตอร์ เภสัชภัณฑ์) ต้องการน้ำบริสุทธิ์อย่างยิ่งที่มีค่าการนำไฟฟ้าต่ำกว่า 1 µS/cm. หรือนำไฟฟ้าน้อยกว่าน้ำดื่ม 1,000 เท่า

ดังนั้นหากค่าการนำไฟฟ้าสูงเกินไป อาจหมายถึงมีสารมลพิษในปริมาณที่ไม่ต้องการอยู่ในน้ำหรือเพิ่งเข้าสู่น้ำ ไอออนส่วนเกินที่มีส่วนทำให้เกิดการนำไฟฟ้าที่สูงขึ้นสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบประปาในครัวเรือนและเครื่องทำน้ำอุ่นจากการสะสมของสารเคมีหรือการเสื่อมสภาพ

นอกจากนี้ยังอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์หากการบริโภคเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ขยายออกไป ในอีกด้านของสเปกตรัม ในการใช้งานทางอุตสาหกรรม ปัญหาเดียวกันอาจเกิดขึ้นซึ่งอาจทำลายอุปกรณ์ กระบวนการ และ/หรือผลผลิตที่มีราคาแพง

ว ดค าความเค ม จากการว ดค าความนำไฟฟ า

วิธีการวัดค่าการนำไฟฟ้า EC ของสารละลาย

เครื่องวัด EC Meter คือเครื่องมือสำหรับวัดค่าการนำไฟฟ้าในน้ำ ค่าการนำไฟฟ้าเป็นพารามิเตอร์วัดคุณภาพน้ำ มีสินค้าหลายรุ่นทั้งแบบปากกา ตั้งโต๊ะ และแบบพกพาภาคสนาม สนใจเครื่องวัดติดต่อบริษัท นีโอนิคส์ จำกัด โทร: 098-479-5684 หรือ 061-8268939 หรือ Line ID:@neonics

วิธีลดการนำไฟฟ้าของน้ำ

โดยทั่วไปคำถามนี้ตอบไม่ง่ายนัก เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลให้ค่าการนำไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ดังที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้น ค่าการนำไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเนื่องจากการมีอยู่ของของแข็งที่ละลายในสารละลายที่สูงขึ้น ดังนั้นการนำเกลือและของแข็งที่ละลายเหล่านี้ออกไปเพื่อให้ค่า EC ลดลงกล่าวอีกนัยหนึ่งการทำน้ำให้บริสุทธิ์

การลดการนำไฟฟ้าสามารถทำได้สองวิธีคือการกรองหรือการกำจัดสาเหตุที่แท้จริง มีวิธีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการใช้งานและทรัพยากรที่มี