ก อนเคยม ส มพ นธ เด ยวน ม นเล อนลาง

นางคือหมอปีศาจผู้เหี้ยมโหดแต่กลับต้องมาอยู่ในร่างของหญิงอ่อนแอไร้ความสามารถที่ผู้คนพากันรังเกียจ ทว่าหลังทำพันธสัญญากับเทพอสูรโบราณ ฝึกฝนบำเพ็ญเคล็ดวิชาต้านสวรรค์จึงเปล่งประกายเจิดจรัสจนผู้คนต้องหลบตาไปตาม ๆ กัน ทั้งยังครอบครองพิษหลายแขนง ใครที่กล้ามารังแกนาง นับว่ารนหาที่ตาย!

โอสถเก้าสรรพคุณน่ะหรือ นั่นมันถั่วเคลือบน้ำตาลไว้ให้สัตว์เลี้ยงแสนน่ารักของนางกินเล่นต่างหากเล่า ปรุงยาเป็นก็ต้องเอาแต่ใจอย่างนี้นี่ล่ะ!

------

เขาคือเยี่ยอ๋องรูปงามผู้เย้ายวน ผู้คนต่างเข้าใจว่าเขาเหี้ยมโหดไร้ความปรานี แต่ทำไมกับนาง เขาถึงได้เอาแต่ตามติดจนสลัดไม่หลุดอย่างนี้นะ

“ท่านจ้องข้าทำไม”

“ข้ากำลังคิดอยู่ว่า เจ้าจะกลายมาเป็นสตรีของข้าอย่างถูกต้องเมื่อไหร่”

ทันใดนั้น เข็มเล็กก็จ่อเข้าที่เอวของเขา นางเอื้อนเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม

“ท่านอ๋อง การหุนหันพลันแล่นเปรียบดั่งปีศาจร้าย หากพิษเข้าร่างเกรงว่าท่านคงจะต้องมีชะตาเยี่ยงขันทีไปชั่วชีวิต!”

----

ผู้แปล: ซิ่วฉิน&เหลียงฉิน

เรียบเรียง: Neko

-----

ติดตามนิยายอื่น ๆ ของตำหนักหมื่นบุปผาได้ที่นี่ คลิกเรื่องที่ชอบได้เลยจ้า

\>>> เส้นทางสู่ตำหนักหมื่นบุปผา <<<

เยี่ยมชมตำหนักของเราได้ที่: https://www.facebook.com/TTFpalaceproject

หากสนใจ Ebook สามารถซื้อได้ที่ลิงก์ด้านล่าง

ตอนที่ 1 กลายเป็นผู้นำตระกูล

ตอนที่ 1 กลายเป็นผู้นำตระกูล

เขตชานเมืองจื่อตู แคว้นจื่อเยี่ย

-- ตุบ! --

ร่างร่างหนึ่ง ถูกโยนลงในหลุมศพไร้ญาตินอกเมือง ราวกับผ้ากระสอบที่ขาดวิ่น

“กา…”

เสียงกู่ร้องอันน่าสยดสยองของอีกากินศพดังขึ้น ก่อนที่พวกมันจะกระพือปีกพากันบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ขนสีดำของมันพลิ้วไหวร่วงหล่นอยู่กลางอากาศ

ซากศพและโครงกระดูกที่กองทับถมกันเป็นพะเนินส่งกลิ่นเน่าเหม็นกระจายอยู่ในอากาศ บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกชวนวังเวงยิ่งนัก

“เป็นถึงผู้นำตระกูลมู่อันสูงส่งแท้ๆ ดันถูกเอาศพมาทิ้งในหลุมศพไร้ญาติ ช่างน่าสมเพชเสียจริง”

“ใช่แล้ว… สตรีที่เป็นแค่ขยะไร้ค่าต่ำช้า กล้าเพ้อฝันถึงองค์ชายเจ็ด ตายไปก็สมควรแล้ว!”

“แต่ข้าเสียดายนี่นา! ไม่คิดว่าผู้นำตระกูลมู่จะเป็นหญิงงามเพียงนี้…”

ไม่ทันที่คนเหล่านั้นจะพูดจบ หลุมศพไร้ญาติที่เดิมเงียบเชียบจนน่าขนลุก จู่ ๆ ก็พลันมีเสียงดังแว่วมา คล้ายกับอะไรบางอย่างกำลังจะตื่นขึ้น…

กลิ่นเหม็นเน่าน่าสะอิดสะเอียนปลุกให้มู่เฉียนซีตื่นจากอาการสะลึมสะลือ ทันทีที่นางลืมตาขึ้น ก็พลันเห็นสัตว์ร้ายคล้ายสุนัขหมาป่าที่ตัวใหญ่กว่าหมาป่าขนาดปกติถึงสามเท่ากำลังยืนน้ำลายไหลอยู่เบื้องหน้า นางไม่คิดอะไรให้มากเรื่อง ลงมือโจมตีทันทีด้วยสัญชาตญาณ มือขวาจู่โจมอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงาอำมหิตสายหนึ่ง พุงตรงเข้าสู่ลำคอของสุนัขดุร้ายตัวนั้นอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และโหดเหี้ยม

-- อั่ก! --

หมาป่าตัวนั้นล้มลงบนพื้น พร้อมส่งเสียงร้อง “เอ๋ง…” เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไป…

หลังจากทิ้งสุนัขไว้เพื่อทำลายศพแล้ว ทั้งสามคนก็กำลังจะเดินจากไปทว่าเมื่อได้ยินเสียงนั้น พวกเขาก็หันหน้ากลับไปมอง และได้ปะทะเข้ากับแววตามืดมนคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองพวกเขาอย่างดุร้าย

ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง ทั้งเยือกเย็นและน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าธาตุหยินในหลุมศพนี่เสียอีก คนที่สิ้นลมไปแล้วอย่างแน่แท้ แต่ยามนี้กลับยืนตระหง่านอยู่บนกองกระดูกและซากศพ สายตาจับจ้องมายังจุดที่พวกเขาอยู่

“ผีหลอก!”

ทั้งสามร้องลั่นด้วยความตกใจกลัว คิดจะก้าวเท้าเผ่นหนีแต่มู่เฉียนซีก็เอ่ยปากขึ้นเสียก่อน

“หยุด!” เสียงนั้นเย็นชาราวกับดังออกมาจากขุมนรกก็มิปาน ทั้งสามคนหวาดผวาเสียจนร่างกายแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหนอีกแม้เพียงก้าวเดียว

“อย่าฆ่าข้าเลย อย่ากินข้าเลย พวกข้าแค่รับเงินมา แล้วก็ทำงานเท่านั้นเอง”

มู่เฉียนซีค่อยๆ ก้าวลงมาจากภูเขาซากศพขนาดย่อม เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง คราบเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วร่างกาย ราวกับพึ่งปีนขึ้นมาจากแดนนรกก็ไม่ปาน นางไม่ได้สนใจคนทั้งสามอีก แต่กลับกวาดสายตาสังเกตดูรอบด้านแทน

‘ที่นี่ที่ไหน..? เรากำลังคิดค้นยาตัวใหม่อยู่ในห้องปรุงยาไม่ใช่หรือ ?’

“อา!” ทันใดนั้น หัวก็เริ่มปวดตุบ ความทรงจำทั้งคุ้นเคยและแปลกใหม่ พากันหลั่งไหลเข้าสู่สมองของนาง ราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก มู่เฉียนซี ผู้นำตระกูลมู่! ตระกูลมู่ ตระกูลคหบดีอันดับหนึ่งแห่งแคว้นจื่อเยี่ย ตระกูลมู่ร่ำรวยมหาศาล มีทั้งเงินและทองกองเป็นภูเขา ทว่าผู้นำตระกูลกลับเป็นขยะไร้ค่า ขาดความสามารถ

ในโลกนี้ ‘ผู้ที่แข็งแกร่ง’ เท่านั้นจึงจะได้รับความเคารพ ผู้แข็งแกร่งนั้นแบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสองจำพวก คือ ผู้ฝึกวรยุทธ์ และผู้บำเพ็ญตบะ

มู่เฉียนซีนั้นไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้ ยิ่งเป็นการบำเพ็ญตบะก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางคือคนไร้ค่าอย่างแท้จริง

เป็นคนไร้ค่าก็ว่าแย่แล้ว การแต่งกายกลับแย่ยิ่งกว่า บนร่างกายของนางแทบจะยกเครื่องเงินเครื่องทองหยกงามทั้งหมดที่มีอยู่ในบ้าน มาประดับบนตัวเสียจนเหมือนนางเอกโรงงิ้ว

เดินไปทางใดผู้คนล้วนต่างพากันหัวเราะเยาะ ทั้งเหยียดหยามทั้งขบขัน ทว่าเรื่องในวันนี้กลับยิ่งตอกย้ำความย่ำแย่ที่เป็นอยู่ให้เลวร้ายลงไปอีก!

เมื่อนางไปยื้อยุดแย่งชิง ‘หยกประจำกายคู่หมั้นขององค์ชายเจ็ด’ กับผู้เป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนโอวหยางนามโอวหยางเหว่ย สุดท้ายก็ถูกคุณหนูใหญ่ผู้นั้นทุบตีอย่างโหดร้ายทารุณจนสิ้นใจและนำศพมาทิ้งในสุสานศพไร้ญาติแห่งนี้

ชายสามคนนี้รับคำสั่งจากคุณหนูใหญ่ให้เอาศพมาทิ้ง แต่ไม่เพียงทิ้งเปล่ายังมีคนออกเงินจ้างให้พวกเขาพาสุนัขดุร้ายมาด้วยตัวหนึ่งมาเพื่อฉีกทึ้งร่างไร้วิญญาณของมู่เฉียนซีหวังให้นางสิ้นซากสิ้นกระดูก

หญิงสาวผู้กำลังเยื้องย่างจากกองศพดูราวกับวิญญาณร้ายที่คืนชีพ ชายสามคนจึงรีบคุกเข่าลงแล้วร้องขอชีวิตทันที

“ท่านผู้นำตระกูลมู่ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นคุณหนูที่สั่งให้พวกเราทำ หมาป่าตัวนี้ก็เป็นคุณหนูรองตระกูลมู่ให้มาขอรับ”

แท้จริงแล้วในตระกูลมู่มีเพียงมู่เฉียนซีผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีคุณหนูใหญ่คุณหนูรองอะไรทั้งสิ้น

แต่เนื่องจากมู่หรูอวิ๋นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำตระกูล ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำตระกูลมู่ผู้อ่อนแอยังหลับหูหลับตาเชื่อฟังนางไปเสียทุกเรื่องทำให้ใครต่อใครต่างพากันเรียกขานมู่หรูอวิ๋นว่าคุณหนูรองแห่งตระกูลมู่

ในยามปกติคุณหนูรองนั้นจิตใจดีมีเมตตา คอยใส่ใจดูแลห่วงใยผู้อื่นเสมอ ไม่คิดว่ายามใจดำอำมหิตขึ้นมา นางจะโหดเหี้ยมยิ่งกว่าโอวหยางเหว่ยคุณหนูใหญ่แห่งจวนโอวหยาง สตรีผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนางอสรพิษแห่งเมืองจื่อตูเสียอีก

เสียงอ้อนวอนจากปากชายสามคนตรงหน้าไม่ทำให้มู่เฉียนซีนึกสงสารแม้แต่น้อย นางมาดหมายในใจว่าผู้บงการของพวกเขานั้นต้องถูกนางจัดการอย่างสาสม และแน่นอนว่านางก็ไม่คิดจะปล่อยคนพวกนี้ไปด้วยเช่นกัน

มู่เฉียนซีกระโดดวูบ… รวดเร็วราวกับภูตผี ฝ่ามือโจมตีไปที่ลำคอของชายผู้นั้น

“อ๊าก~ อ๊าก~ อ๊าก~” เสียงโหยหวนสามเสียงดังขึ้นพร้อมกัน

-- ตุบ! ตุบ! ตุบ! --

ร่างทั้งสามกระเด็นกระดอนราวลูกหนัง ก่อนจะลงถึงพื้นพวกเขาก็สิ้นใจไปเรียบร้อยแล้ว

ฝีมือโหดเหี้ยมดุจปีศาจร้าย เพียงกระบวนท่าเดียวก็ส่งพวกเขาไปเที่ยวแดนปรโลกเสียแล้ว

นางคือหัวหน้าสำนักแพทย์ปีศาจแห่งหัวเซี่ย แย่งชิงชีวิตมนุษย์กับพญามัจจุราช ไม่ว่าฝ่ายธรรมะหรืออธรรมล้วนไม่มีใครคิดต่อกร

ผู้ที่ล่วงเกินนางล้วนถูกส่งไปเป็นของกำนัลแก่ท่านพญายมหมดแล้ว

ติ๋ง…

เพราะมู่เฉียนซีลงมือหนักเกินไป บาดแผลบนร่างกายจึงฉีกกว้างขึ้น เลือดสดไหลรินเป็นสายก่อนจะหยดลงสู่พื้น

ภายใต้กองกระดูกขาวโพลนในสุสานศพไร้ญาตินั้น มีแผ่นศิลาสีเขียวเข้มหลบซ่อนอยู่ มันถูกทับถมกลมกลืนไปกับกองกระดูกในยามราตรี และบัดนี้ศิลาประหลาดกำลังดูดกลืนหยดเลือดที่ไหลลงมาใส่อย่างละโมบ

ฉับพลัน แสงสีเขียวจางก็พันรอบร่างของมู่เฉียนซี และพานางหายไปจากตรงนั้นทันที

เมื่อมู่เฉียนซีลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ในศาลาแห่งหนึ่ง ศาลาเล็ก ๆ แห่งนี้สวยงามแปลกตา สีเขียวเทาที่ทาบทาอยู่นั้นยิ่งทำให้รู้สึกถึงความลี้ลับอย่างประหลาด

บริเวณโดยรอบเป็นทะเลสาบที่กว้างใหญ่ ที่แห่งนี้จึงเปรียบดั่งเกาะกลางมหาสมุทรอันโดดเดี่ยว

“ที่นี่ที่ไหนกัน ?” มู่เฉียนซีพึมพำ

เวลานี้เองที่นางรับรู้ได้ถึงปลาที่กำลังว่ายวนอยู่ในทะเลสาบ

ซ่า…

เสียงน้ำกระเซ็นดังขึ้น มู่เฉียนซีรีบหันไปมองทันที ก่อนจะพบภาพงดงามตรึงตา …ณ ที่แห่งนั้นชายหนุ่มรูปงามดั่งภูตวารี กำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบใสอย่างเพลิดเพลิน ท่วงท่าลีลาของเขาดูสำราญใจราวมัจฉาเริงนที

.

.

.

ตอนที่ 2 กัดบุรุษรูปงาม

ตอนที่ 2 กัดบุรุษรูปงาม

คิ้วสีเข้มดุจน้ำหมึก ผิวพรรณขาวละเอียดดั่งหิมะ โครงหน้าที่งดงามเปรียบประดุจภาพวาดของเหล่าทวยเทพ ผมยาวสีเขียวเทาของเขาที่สยายอยู่บนผืนน้ำดูหนานุ่มราวผ้าไหมเนื้อดี แพขนตาดกหนาและเข้มชัดดุจปีกผีเสื้อขยับไหวเล็กน้อยก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นและเผยให้เห็นดวงตาสุกใสสีเขียวอ่อนที่สะกดหัวใจยิ่งนัก

ดูบริสุทธิ์ไร้มลทินราวภูตน้อยที่มิเคยเฉียดกายเข้าใกล้ความมัวหมองใด ๆ

เขามองมาที่มู่เฉียนซี ริมฝีปากแดงระเรื่อขยับพูดว่า…

"ที่แท้ก็เป็นหญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้านี่เองที่บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ของข้า และยังมาปลุกให้ข้าต้องตื่นขึ้นมาอีก"

สิ้นเสียงนั้นสีหน้าของมู่เฉียนซีที่กำลังชื่นชมความงามของบุรุษตรงหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นทันที

"หนุ่มน้อย เจ้ามีปัญญาแน่จริงก็ขึ้นมาบนบกสิ ข้ารับรองว่าจะไม่ตีเจ้าตาย แต่กล้าดีอย่างไรถึงว่าข้าเป็นหญิงอัปลักษณ์"

"ก็เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์จริง ๆ นี่ ยังไม่ยอมฟังผู้อื่นอีก"

เสียงของเด็กหนุ่มไพเราะน่าฟังราวกับเสียงขับร้องของภูตพราย ทว่าฝีปากนั่นกลับร้ายกาจใช่ย่อย มู่เฉียนซีเดินตรงไปยังริมศาลากระทั่งเงาของนางสะท้อนบนผืนน้ำ แม้แต่นางเองก็ยังตกตะลึงเมื่อเห็นภาพสะท้อนของตนเอง กระโปรงยาวสีทองขาดวิ่นเหมือนกับเสื้อผ้าของขอทานก็ไม่ปาน ผมเผ้าของนางกระเซอะกระเซิงดูดีกว่ารังนกไม่เท่าไหร่ และยังใบหน้าของนางอีก ตบแป้งเสียหนาเตอะ ทำราวกับขุดเอาเครื่องสำอางทั่วทั้งใต้หล้ามาพอกทาบนใบหน้านี้จนหมดสิ้น

‘เลวร้ายมาก… รับสภาพนี้ไม่ได้ รับไม่ได้เลย ต้องล้างออกเดี๋ยวนี้’

-- ตูม! --

คิดแล้วมู่เฉียนซีก็กระโดดลงทะเลสาบไปทันควัน ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้น

"อ๊าก! หญิงอัปลักษณ์ ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้นะ กล้าดีอย่างไรมาทำให้ทะเลสาบภูตวารีของข้าต้องแปดเปื้อน"

ในตอนนั้นเอง ระลอกคลื่นขนาดใหญ่ก็ก่อกำเนิดขึ้นบนผืนน้ำแล้วตรงเข้าจู่โจมมู่เฉียนซีหมายจะซัดให้กระเด็นออกไป

-- หมับ! --

มู่เฉียนซีพุ่งร่างเข้าหาเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นมือไปบีบคอเขาพร้อมกับเอ่ยขึ้น….

"หนุ่มน้อย ถ้าเจ้ายังกล้าลงมืออีก ข้าก็จะหักคอเจ้าเสีย"

ผิวเย็นเยียบของเขาละเอียดเรียบเนียนประดุจดังเครื่องเคลือบดินเผาชั้นดี

"โอ๊ย…"

ชั่วพริบตานั้น หญิงสาวก็รู้สึกเจ็บปวดทั่วร่างกาย มู่เฉียนซีถลึงตาจ้องมองเด็กหนุ่มผู้งดงามดั่งภูตวารีเบื้องหน้า

"น่าฆ่าให้ตายนัก เจ้าทำอะไรข้า”

สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ขาวซีดไม่แพ้กัน เขากล่าวขึ้นอย่างโมโห

"เจ้าไปให้พ้นนะ รีบไปให้พ้น”

มู่เฉียนซีเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายราวกับถูกฉีกทึ้งอย่างทารุณ เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้าผากมากมาย และเมื่อได้ยินคำพูดที่แสนจะน่ารังเกียจของอีกฝ่าย ไฟโทสะของนางก็พลันลุกโชนขึ้น

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น… หญิงสาวก้มหัวลงต่ำแล้วกัดหมับเข้าที่แขนของเด็กหนุ่มทันที ขากรรไกรเล็ก ๆ ขบเข้าหากันแน่นจนสุดแรงที่มีอยู่

"โอ๊ย!"

เสียงร้องครางของเด็กหนุ่มดังลั่น

"หญิงอัปลักษณ์ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ข้าเจ็บนะ ปล่อย~"

มีหรือที่นางจะสนใจว่าเด็กหนุ่มจะเจ็บปวดเพียงใด เพราะร่างกายของนางเองก็ทรมานจนสติแทบจะกระเจิงไปแล้วเช่นกัน

มู่เฉียนซีรู้สึกราวกับมีสัตว์ป่ากระโจนไปมาและวิ่งชนกันอย่างบ้าคลั่งทั้งในชีพจรและเส้นเลือดของนาง หากนางไม่กัดแขนเด็กหนุ่มผู้นี้ไว้ ก็คงจะได้กัดปากของตัวเองจนแตกเลือดซิบเป็นแน่

-- ตูม! --

ทว่าในพริบตานั้น หญิงสาวก็รู้สึกถึงรังสีเย็นยะเยือกที่แผ่เข้ามา รังสีนี้มีอานุภาพร้ายแรงจนทำให้แม้แต่วิญญาณก็ยังปวดร้าว หัวสมองของมู่เฉียนซีพลันขาวโพลนไปพร้อมกับสติสัมปะชัญญะที่ดับวูบ

แต่ถึงแม้มู่เฉียนซีจะสลบไปแล้ว แต่ก็ยังไม่คลายปากออกจากแขนของเด็กหนุ่ม!

"เหม็นจังเลย หญิงอัปลักษณ์ เจ้า… เจ้า…"

เสียงครวญครางราวใกล้จะคลุ้มคลั่งนี้ ปลุกให้มู่เฉียนซีได้สติฟื้นขึ้นมา ต่อจากนั้นนางก็รู้สึกถึงกลิ่นเหม็นที่ยากจะทานทนได้

เมื่อลืมตาขึ้นดู นางก็พบว่าน้ำในทะเลสาบกลายเป็นสีดำ ไม่ใสจนสามารถมองเห็นไปถึงก้นบึ้งของทะเลสาบได้อีกต่อไปแล้ว

"เจ้า… อ้าปากออกเดี๋ยวนี้นะ… เร็วเข้า"

แขนของมู่เฉียนซีกระหวัดไปโอบรอบหลังคอของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่ก็เพื่อจะได้สามารถควบคุมเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ก่อนที่เขาจะชิงลงมือทำบางอย่าง เสร็จแล้วจึงค่อยคลายปากออกจากแขนของเขา

ผิวหนังตรงแขนที่เคยผุดผาดไร้รอยแผลของเด็กหนุ่มบัดนี้มีรอยฟันกัดที่มีเลือดไหลริน บาดลึกนั้นลึกจนเห็นถึงกระดูก การที่เขาถูกกัดจนมีสภาพเช่นนี้ได้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเมื่อครู่นี้นางเจ็บปวดมากเพียงใด

มู่เฉียนซีเอ่ยถามขึ้น

"เกิดอะไรขึ้น"

"น้ำในทะเลสาบภูตวารี มีฤทธิ์ฟอกกระดูกชะล้างชีพจร พอร่างกายที่แสนสกปรกโสโครกของเจ้าแช่น้ำ แน่นอนว่า…"

เด็กหนุ่มส่งเสียงพูดอู้อี้พลางบีบจมูกไว้เพราะทนกลิ่นไม่ได้

"สิ่งเจือปนในร่างกายเจ้าช่างมากมายเสียจริงๆ"

ทั่วทั้งทะเลสาบในยามนี้มีแต่สิ่งสกปรกที่ถ่ายเทออกมาจากร่างกายบอบบางของหญิงสาวอัปลักษณ์ และสิ่งที่ออกมามากที่สุดก็คือสารพิษ

…ดูท่าแล้วมู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่ผู้นี้ ก็ไม่ได้ปลอดภัยเท่าไรนัก…

"รับไม่ไหว ข้ารับไม่ไหวแล้ว"

-- สวบ! --

เด็กหนุ่มไม่อาจทนกลิ่นเหม็นในทะเลสาบได้อีกต่อไป จึงต้องพุ่งพรวดขึ้นสูงเหนือผิวน้ำ

กระดูกไหปลาร้าที่งามประณีต ผิวพรรณละเมียดละไม และยอดเหมยแดงสองจุดบนหน้าอกของเขาพลันปรากฏขึ้นต่อหน้ามู่เฉียนซี

ต่อให้เห็นแค่เพียงส่วนบน แต่รูปร่างของบุรุษเบื้องหน้าก็ยังติดตรึงตา…นับว่าไม่เลวเลย

"อย่าขยับนะ"

มือของมู่เฉียนซีพลันกอดรัดเขาแน่นขึ้น

"เจ้าไปให้พ้นเถอะ เร็วเข้าต่อให้เลือดของเจ้าทำให้ข้าฟื้นขึ้นมา ข้าก็ไม่มีทางยอมรับเจ้าหรอก" พละกำลังแข็งแกร่งของเขากระแทกร่างของนางจนแทบปลิวกระเด็น

ทันใดนั้น แสงสีฟ้าก็แผ่คลุมร่างของทั้งสองไว้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที เขาเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสียว่า

"จะเป็นไปได้อย่างไรกัน"

ขณะเดียวกันมู่เฉียนซีเองก็ได้ยินเสียงประหลาดดังก้องขึ้นในสมอง เสียงนั้นคล้ายกับดังมาจากอดีตกาลอันไกลโพ้น…

"ศาลานิรันดร์ ศาลาเลือนรางเก้าชั้น (จิ่วฉงหุ้นตุ้นถิง) ดินแดนแห่งโลกโบราณ เมื่อเวลาคล้อยมาบรรจบกัน สุริยันจันทราแลดารา จึงจักได้ครอบครอง"

"ข้านั้นมีนามว่าจิ่วฉงหุ้นตุ้นถิง (ศาลาเลือนรางเก้าชั้น) จักขอสร้างพันธสัญญากับเจ้า ชีวิตและวิญญาณสองเราจักประสาน ร่วมเป็นร่วมตายกันตลอดไป เจ้ายินยอมหรือไม่"

เสียงอันไพเราะของเด็กหนุ่มน่าหลงใหลจนมู่เฉียนซีงงงวยอยู่ครู่ใหญ่ และด้วยความมึนงงราวตกอยู่ในวังวนอันชวนลุ่มหลงนั้นก็ทำให้นางตอบรับไปโดยไม่รู้สึกตัว

"ข้ายินยอม"

สิ้นเสียงตอบของหญิงสาว แสงสีฟ้าก็ลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของนางทันที

มู่เฉียนซีเบิกตาโพลงมองดูเด็กหนุ่มเบื้องหน้า ยามนี้ใบหน้าที่งดงามราวหยกสลักเป็นรูปหน้าเทพเซียนแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเสียยิ่งกว่ายักษ์มาร

"เจ้าครอบครองร่างกายของข้าแล้ว พอใจแล้วล่ะสิ ยังไม่รีบไปให้พ้นอีก"

-- พลั่ก! --

ฉับพลัน เด็กหนุ่มก็ยกเท้าขึ้นโผล่พ้นเหนือผิวน้ำและถีบมู่เฉียนซีออกไปโดยไม่รั้งรอ หญิงสาวผู้ถูกกล่าวหาว่าอัปลักษณ์ได้แต่เบ้ปาก แต่เพียงอึดใจนางก็ตะโกนโต้ตอบกลับไป

"หน้าตาก็ดีอยู่หรอก แต่ข้างล่างของเจ้ามันเล็กไปหน่อยกระมัง"

"อ๊ากกกกก~ หญิงอัปลักษณ์! ข้าจะฆ่าเจ้า!" เสียงคำรามของเด็กหนุ่มรูปงามดังก้องอยู่เหนือผิวน้ำ

เพียงพริบตาเด็กหนุ่มฝีปากกล้าก็เตะมู่เฉียนซีกระเด็น ตัวนางเองยังไม่ทันได้ตั้งตัวรับมือเลยด้วยซ้ำ เจ้าเด็กนี่สมควรตายนัก ถีบนางทีเดียวตัวก็ปลิวลอยมาถึงเพียงนี้ ด้วยแรงมหาศาลขนาดนั้น เกรงว่าหากกระแทกพื้น ร่างกายของนางคงต้องเละเป็นเนื้อบดแน่

-- ตุบ! --

ทว่าครั้งนี้ มู่เฉียนซีกลับไม่ได้กระแทกพื้นจนร่างแหลกเป็นก้อนเนื้ออย่างที่คิดไว้ แต่นางกลับกระแทกลงบนพื้นที่กว้าง ๆ แสนสบายแทน ‘…อืม เป็นพื้นผิวที่ประหลาดดีแท้ ทั้งหยืดหยุ่น มั่นคง แถมยังดูจะอุ่นอยู่หน่อย ๆ เสียด้วย อุ่นรึ ?… อา…’

ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ได้รู้ แท้จริงแล้วสิ่งที่นางทับอยู่ใต้ร่างนั้นเป็น… มนุษย์

.

.

.

ตอนที่ 3 ปะทะบุรุษเย็นชา

ตอนที่ 3 ปะทะบุรุษเย็นชา

มู่เฉียนซีรีบลุกขึ้นเป็นการด่วน แต่ไม่คาดคิดว่าสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือชายรูปงามราวกับภาพวาดจากเส้นสายลายน้ำหมึกอันพลิ้วไหวที่เกิดจากปลายพู่กันของปรมาจารย์ขั้นสุดยอด

บุรุษใต้ร่างของนางนั้นมีผมดำยาวที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ แต่แสงจันทร์ที่ส่องกระทบและเคลือบผมดำขลับดุจน้ำหมึกอันนุ่มลื่นเสียยิ่งกว่าแพรไหมนี้ก็ทำให้แลดูนุ่มนวลชวนสัมผัส

เขามีดวงตาสีฟ้าคล้ายน้ำแข็ง แต่ลึกล้ำดั่งก้นบึ้งของหุบเหว สงบไร้คลื่นอารมณ์ใด ๆ ประดุจจะสามารถดูดกลืนวิญญาณผู้คนได้ สันจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากแดงระเรื่อ สองส่วนบนใบหน้าของเขาดูเย็นชา อีกสองส่วนเต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าเย้ายวนใจ แต่นางกลับรู้สึกได้ถึงความร้ายกาจที่ฝังลึกอยู่ในเลือดเนื้อและกระดูกเฉกเช่นเจ้าแห่งอสูรผู้เยือกเย็นหรือปีศาจชั่วร้ายที่ไร้ผู้เทียมทาน

ฉับพลันนั้นเอง บุรุษดวงตาสีฟ้าก็ยื่นมืออันเย็บเฉียบของเขาพุ่งเข้าบีบคอนางอย่างไร้ปรานี กลิ่นอายแห่งความตายแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ

สายตาคู่นั้นเยือกเย็นเสียราวกับจะแช่แข็งนางได้ และยังแฝงไอสังหารของปีศาจที่บาดลึกเข้าไปถึงกระดูก

"ข้าไม่ได้ตั้งใจล้มทับท่าน" มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ

เมื่อบุรุษผู้ทะนงองอาจถูกสตรีสภาพร่างไม่ชวนมองที่พุ่งมาจากทิศทางใดไม่ทราบใช้เป็นเบาะรองกายมีหรือจะไม่ขุ่นเคือง ไม่ว่าผู้ใดก็คงโมโหจนอยากฆ่าคนเป็นแน่

แต่ใครเลยจะรู้ว่าคำพูดของเขาจะกลับกลายเป็นเช่นนี้….

"ศาลานิรันดร์อยู่กับเจ้าหรือ ?"

เขามีน้ำเสียงนุ่มนวลดุจดั่งสุราชั้นเลิศที่หมักไว้นานนับหมื่นปี ทำให้ผู้ที่ได้ยินลุ่มหลงมัวเมาจนแทบโงหัวไม่ขึ้น

ศาลานิรันดร์งั้นหรือ เพียงพริบตาข้อมูลเกี่ยวกับศาลานิรันดร์ก็ไหลเข้าสู่หัวสมองของมู่เฉียนซี

ศาลานิรันดร์ หรือเรียกอีกอย่างว่าจิ่วฉงหุ้นตุ้นถิง (ศาลาเลือนรางเก้าชั้น) คือหนึ่งในมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งเก้า

ส่วนเด็กหนุ่มในทะเลสาบนั่น ก็คือ ‘ภูตสถิต’ ของศาลาเลือนรางเก้าชั้น บัดนี้ระหว่างนางและเขาถูกผูกมัดด้วยพันธสัญญาแห่งจิตวิญญาณแล้ว

ของสำคัญเช่นนี้ มีอยู่จริงแค่ในตำนานเล่าขานเท่านั้น หากเผยตัวตนสู่ใต้หล้าจะกลายเป็นที่ดึงดูดให้เหล่าผู้แข็งแกร่งทั่วทุกสารทิศพากันช่วงชิง

และตัวนางเองก็ ‘โชคดีอย่างล้นเหลือ’ เสียจริง ที่เมื่อผูกมัดพันธสัญญากับมันแล้ว ก็ต้องถูกบุรุษผู้แข็งแกร่งและแสนจะน่ากลัวผู้นี้เค้นเอาความจริงในทันที มู่เฉียนซีมองบุรุษตรงหน้าอย่างระแวดระวัง เขารู้ได้อย่างไรว่าศาลาเลือนรางเก้าชั้นอยู่ในร่างของนาง

มู่เฉียนซีกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยใบหน้าเคลือบแคลงสงสัย

"คุณชาย ศาลานิรันดร์คืออะไรหรือ ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเล่า

ก็เวลานี้นางมีพันธสัญญากับเจ้าหนุ่มงั่งนั่น ถ้าเรื่องทุกอย่างเปิดเผย นางก็ไม่พ้นต้อง ‘ตายไม่เหลือซาก’ เช่นกัน

"ในกายเจ้า มีกลิ่นอายของศาลาเลือนรางเก้าชั้น"

ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มเย็นชา …และนั่นคือสัญญาณเริ่มต้นของการสังหาร ดูเหมือนดวงตาสีฟ้าดุจน้ำแข็งอันเย็นเยียบคู่นั้นจะมองทะลุคำโป้ปดของมู่เฉียนซีได้ทั้งหมด

มู่เฉียนซีตัวสั่นเทิ้ม ทว่านางก็ยังกัดฟันพูดพร้อมวางท่าไม่สะทกสะท้าน

"ศาลาเลือนรางเก้าชั้นถูกข้าผูกพันธสัญญาไว้แล้ว หากท่านฆ่าข้ามันก็จะหายไป หากท่านอยากได้มัน ก็จงปล่อยข้าเสีย แล้วเรามาคุยกันดี ๆ"

เมื่อได้ฟังข้อเสนอของอีกฝ่าย บุรุษตาสีฟ้าจึงยอมปล่อยนางแต่โดยดี

มู่เฉียนซีถือโอกาสนี้กระโดดลอยตัวขึ้นโดยพลัน

แต่บุรุษผู้อยู่ฝ่ายตรงข้ามว่องไวกว่า เพียงพริบตาเขาก็กระโจนเข้าประชิดร่างของนางราวกับผีสางที่หายตัวได้ อสูรกระหายเลือดผู้นี้ทับร่างนางเอาไว้จนมิอาจหายใจได้ทั่วท้อง

มู่เฉียนซีกัดฟันแน่น ‘หึ หมอปีศาจอย่างมู่เฉียนซีมิใช่ผู้ที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ถึงคู่ต่อสู้ในวันนี้จะแกร่งเกินกว่าจะเอาชนะได้ก็เถอะ’

ทันใดนั้นหญิงสาวอัปลักษณ์ก็ปลดปล่อยทั้งหมัด เข่า ศอก ใช้ร่างกายทุกส่วนของตนเป็นอาวุธเพื่อจู่โจมเขาทันที

ในเมื่อไม่มียาพิษในมือและไม่อาจใช้พลังหลิงชี่ได้* การต่อสู้ระยะประชิดกายจึงเป็นทางเลือกเดียวของนาง

*灵力(หลิงชี่) หมายถึงพลังงานจิตวิญญาณ ต่อไปในเรื่องนี้จะขอใช้คำว่า ‘พลังวิญญาณ’ ในการกล่าวถึงพลังชนิดนี้

กระนั้นบุรุษตรงหน้าก็ช่างรวดเร็วไร้ที่เปรียบนัก การจู่โจมของมู่เฉียนซีพลาดเป้าคล้ายต่อกรกับอากาศ ชั่วพริบตามือคู่หนึ่งก็พุ่งเร็วปานสายฟ้าแลบมาจับแขนของนางเอาไว้

และทันใดนั้น

-- พลั่ก! --

มู่เฉียนซียกขาขวาขึ้นถีบเข้าที่เข่าของชายหนุ่ม ทำให้มือของนางเป็นอิสระ

บุรุษหนุ่มจู่โจมอีกครั้ง ทว่ามู่เฉียนซีเค้นพลังทั้งหมดของตนเองออกมาและทะยานเข้าจัดการเขาไม่คอยท่า

ความเร็วของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นใกล้เคียงกับนางแล้ว เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ใช้พลังพิเศษของโลกนี้เลย มู่เฉียนซีเบิกตากว้างไม่คิดเลยว่าบุรุษตรงหน้าจะอวดดีได้ถึงเพียงนี้

ถึงขนาดข่มเก็บพละกำลังของตนเองไว้และหันมาสู้รบปรบมือกับนางด้วยการต่อสู้ระยะประชิดแทน

ถ้าอย่างนั้น นางก็จะทำให้เขาได้รู้เสียบ้างว่าอะไรคือท่วงท่าการต่อสู้ระยะประชิดตัวของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

ทั้งสองผลัดกันจู่โจมและตั้งรับจนผ่านไปกว่าหลายสิบกระบวนท่า

กระโปรงสีทองที่เดิมทีก็สกปรกเหมือนผ้าขี้ริ้วอยู่แล้วก็ยิ่งมีสภาพน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ …ยิ่งกว่านั้นช่วงอกของนางยังโผล่ออกนอกตัวชุดอีก

และในตอนนี้ ตอนที่ถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนมาจนถึงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง นางก็จำต้องเอ่ยขึ้นอย่างอับจนหนทางว่า…

"ท่านจอมยุทธ์ ข้ารู้ว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ท่านบอกมาเถอะว่าต้องทำอย่างไรท่านถึงจะยอมปล่อยข้าไป"

"ให้ศาลาเลือนรางเก้าชั้นออกมาพบข้า"

"ถ้าข้าบอกว่าไม่เล่า"

นางติดต่อเจ้าหน้าอ่อนนั่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แถมดูท่าแล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ไยดีกับความเป็นความตายของนางสักนิด แล้วจะให้นางเรียกเขาออกมาได้อย่างไรเล่า

"ตาย"

เพียงคำพูดที่ส่อเจตนาสังหารชัดแจ้งเพียงคำเดียว ขนบนท่อนแขนของมู่เฉียนซีก็ลุกชันไม่อาจห้าม

ทันใดนั้นแขนทั้งสองข้างของมู่เฉียนซีก็โอบรัดรอบคอของเขาไว้ พลางยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของเขาแล้วพ่นลมหายใจร้อน ๆ เข้าใส่ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

"รูปหล่อ เอะอะก็พูดเรื่องตาย นี่มิใช่นิสัยที่ดีเลย ใบหน้าของข้างดงามล่มบ้านล่มเมืองขนาดนี้ หากท่านไว้ชีวิตข้าจะคุ้มกว่านะ"

ฉับพลันร่างของคนตรงหน้าก็แข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด

"ปล่อย" เขาเอ่ยคำอย่างเยือกเย็น

"ฮิ ๆ รูปหล่อ เจ้านี่น่ารักจริง ๆ เขินแล้วใช่ไหมเล่า ?"

รังสีอำมหิตจากกายของเขาเข้มข้นมากขึ้น แต่มู่เฉียนซีไม่ใส่ใจ นางเพียงคิดว่าจะอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี ดังนั้นก่อนตายก็น่าจะหยอกล้อบุรุษรูปงามผู้ทระนงตนผู้นี้ให้มากหน่อย ทำให้เขาสะอิดสะเอียนไปเลยก็ยิ่งดี

และในขณะที่รังสีความน่ากลัวแผ่กระจายเข้าปกคลุมมู่เฉียนซีจนแทบหายใจไม่ออกแล้วนั้น มือของหญิงสาวก็เคลื่อนไหวว่องไว มันกุมไว้ที่จุดเซิ่นซู (จุดลมปราณบริเวณไต) ของเขาอย่างรวดเร็ว หากจุดนี้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงละก็ ชาตินี้ทั้งชาติเขาก็ไม่ต้องเป็น ‘ผู้ชาย’ และสืบพันธุ์อีกแล้ว

มู่เฉียนซีเอ่ยเสียงเยือกเย็นว่า

"พ่อหนุ่มรูปหล่อ หากท่านไม่อยากเป็นเยี่ยงขันทีไปชั่วชีวิต ก็อย่าฆ่าข้าเลยจะดีกว่า"

เพียงพริบตาเดียว ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ร้ายกาจของเขาก็ชะงักงันไปเล็กน้อย

‘นาง… นางช่างกล้า…’

บุรุษรูปงามกัดฟันกรอด ในยามนี้ ‘จิ่วเยี่ย’ อยากจะถลกหนังกลืนหญิงสาวน่าตายนี่ลงท้องทั้งเป็นไปเสีย

"หากยังอยากจะปกป้องความสุขของชีวิตที่เหลืออยู่ละก็ ส่งข้าไปจวนสกุลมู่เดี๋ยวนี้"

มู่เฉียนซีนึกขึ้นได้ว่าท่านอาของนางเหมือนจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นจื่อเยี่ย ในวันนี้เกรงว่าคงจะมีแต่ท่านอาแล้วที่สามารถช่วยนางให้รอดพ้นเงื้อมมือของคนน่ากลัวผู้นี้ได้

แต่ในขณะที่มู่เฉียนซีคิดว่าตนเองกำลังจะหลุดพ้นจากกรงเล็บปีศาจนั้น นางก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นฉับพลัน

‘บ้าชะมัด ร่างนี้อ่อนแอเกินไปแล้ว’ ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือด ทั้งยังต้องรับแรงกดดันจากบุรุษตรงหน้า ทำให้ร่างกายของนางเริ่มถึงขีดจำกัดแล้ว