การ ทำ น ำกะท ราด ข าวเหน ยว ม ล

เ ดื อ น ม ก ร า ค ม 2 5 6 5

ขนมไทยโบราณ ชวนมาลองดู

ราบงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาห้องสมุดและการเรียนรู้ สารสนเทศ ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนสงวนหญิง

นำ เ ส น อ นำ เ ส น อ โ ด ย

คุณครู สิริลักษณ์ แสงศิลา นางสาวปาริฉัตร วงษ์พันธุ์ ชั้น ม.4/5 เลขที่17

รายงาน เร่อื ง ขนมไทยโบราณชวนมาลองดู

จดั ทำโดย น.ส.ปารฉิ ตั ร วงษ์พันธุ์ ชัน้ ม.4/5 เลขที่ 17

เสนอ คณุ ครู สิรลิ ักษณ์ แสงศิลา

รายงานน้เี ปน็ ส่วนหน่งึ ของการเรยี นรายวชิ า ห้องสมุดและการเรยี นรู้ สารสนเทศสารสนเทศภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสงวนหญงิ จังหวดั สพุ รรณบรุ ี

คำนำ

รายงาน เรือ่ ง ประวัติและวธิ กี ารทำขนมไทย เป็นสว่ นหน่งึ ของวชิ า หอ้ งสมดุ กับการเรยี นรสู้ ารสนเทศ มีวตั ถุประสงค์เพอื่ ศึกษาภัยแลง้ และไฟปา่ ซึ่งรายงานฉบบั นี้มีเน้อื หาเกย่ี วขอ้ งกบั ความหมายของปรากฎการณ์ สาเหตขุ องปญั หา ผลกระทบที่เกดิ ขึ้น และวิธกี ารปอ้ งกนั และแก้ไข

การศึกษาค้นควา้ เรื่อง ผู้จัดทำได้วางแผนการดำเนินงาน ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งความรู้ต่างๆ อาทิ ตำรา หนงั สอื และแหลง่ ความรูจ้ ากเวบ็ ไซต์

การจัดทำรายงานเร่อื งนส้ี ำเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์ผู้จัดทำขอขอบพระคณุ คุณครู สริ ิลกั ษณ์ แสงศิลา ท่ี ทา่ นไดใ้ ห้คำแนะนำการเขียนรายงานจนทำให้รายงานฉบับบนี้สมบูร์ณลุล่วงไปด้วยดี ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าเนื้อหาในรายงานฉบับน้ีที่ได้เรียบเรียงมาจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจ หากมีสิ่งใดในรายงานฉบับนี้จะต้อง ปรบั ปรงุ ผู้จดั ทำขอน้อมรบั ในขอ้ ชแี้ นะและจะนำไปแก้ไขหรือพฒั นาให้ถกู ต้องสมบรู ณต์ ่อไป

น.ส.ปาริฉตั ร วงษ์พนั ธ์ุ 22 มกราคม 2565

สารบัญ ข

เร่อื ง หนา้ คำนำ ก สารบัญ ข ประวัตคิ วามเป็นมาของขนมไทย 1 ยุคทองของขนมไทย 2 บุหลนั ด้ันเมฆ ขนมพระพาย 2-3 อินทนลิ 3-5 ช่อม่วงอญั ชนั 5-6 ขนมลมื กลืน 7-9 ขนมเสนห่ จ์ นั ทร์ 10-12 ขนมดาราทอง 12-13 บรรณานุกรม 14-15 16-17

1

ประวัติความเป็นมาของขนมไทย

ขนมไทย เปน็ ของหวานทท่ี ำและรบั ประทานกนั ในอาณาจกั รไทย มีเอกลักษณ์ดา้ นวัฒนธรรมประจำชาติไทย คือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพถิ ัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสัน สวยงาม รูปลกั ษณช์ วนรบั ประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานทป่ี ราณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซ่ึง ยงั แตกต่างกนั ไปตามลกั ษณะของขนมชนดิ นน้ั ๆ

สำหรับ "เข้าหนม" นั้น พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจรัสพรปฏิญาณได้ทรงตั้งข้อสันนิษฐานไว้ ว่า "หนม" เพ้ยี นมาจาก "ขา้ วหนม" เนื่องจาก "หนม" น้ันแปลวา่ หวาน แต่กลบั ไม่ปรากฏความหมายของ"ขนม" ในพจนานกุ รมไทย มีเพยี งบอกไวว้ ่าทางเหนอื เรยี กขนมว่า "เข้าหนม" แต่ถึงอยา่ งไรกไ็ ม่พบความหมายของคำ ว่า "หนม" ในฐานะคำทอ้ งถ่ินภาคเหนอื เมือ่ อยู่โดด ๆ ในพจนานุกรมเช่นกัน เข้าหนม แปลว่า ข้าวหวาน เรียก สน้ั ๆ เร็วๆ ก็กลายเป็น ขนม ไป (คำว่า เข้าเขียนตามแบบโบราณ ในปจั จบุ ันเขยี นวา่ ข้าว)

อกี ข้อสนั นษิ ฐานหนง่ึ กน็ ับว่าน่าสนใจไม่น้อย คำว่า "ขนม" อาจมาจากคำในภาษาเขมรว่า "หนม" ที่ หมายถึงอาหารที่ทำมาจากแป้ง เมื่อลองพิจารณาดูแล้วพบว่าขนมส่วนใหญ่ล้วนทำมาจากแป้งทั้งนั้น โดยมี นำ้ ตาลและกะทเิ ป็นส่วนผสม ดังนัน้ จึงอาจกลา่ วไดว้ า่ "ขนม" เพยี้ นมาจาก "ขนม" ในภาษาเขมรกเ็ ปน็ ได้ ไม่ว่า ขนมจะมรี ากศพั ทม์ าจากคำใดหรือภาษาใด ขนมกไ็ ด้เขา้ มามบี ทบาทสำคัญในสังคมไทยดว้ ยฐานะของขนมไทย อยา่ งเตม็ ภาคภูมิ และคนไทยเองก็ไดช้ อ่ื วา่ เปน็ ชนชาตหิ นึ่งทช่ี อบกนิ ขนมเปน็ ชีวิตจติ ใจ

หลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่แสดงถึงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งขนมไทยกับคนไทยก็คือวรรณคดีมรดกสุโขทยั เรอื่ งไตรภูมิพระร่วง ซ่งึ กลา่ วถึงขนมตม้ ทเ่ี ปน็ ขนมไทยชนดิ หน่ึงไว้ คำว่า ขนม มีใช้มาหลายร้อยปียากจะสันนิ ฐานแน่นอนได้ เชน่ เดียวกบั ไมม่ ีหลกั ฐานยืนยันแน่นอนวา่ "ขนมไทย" เกิดข้นึ มาตัง้ แต่สมยั ใดเปน็ คร้ังแรก แต่ ตามประวัติศาสตร์ไทยมหี ลกั ฐานตอนหนึง่ ว่า มกี ารจารกึ ชื่อขนมในแท่งศลิ าจารึก เป็นการจารกึ แบบลายแทง สมัยโบราณ ขนมที่ปรากฏคือ "ไข่กบ นกปล่อย บัวลอย อ้ายตื้อ" ถามผู้ใหญ่ดูถึงไดร้ ู้ว่า ไข่กบ หมายถึง เม็ด แมงลกั นกปลอ่ ย หมายถึง ลอดชอ่ ง บัวลอย หมายถงึ ข้าวตอก อ้ายตื้อ หมายถงึ ข้าวเหนียว ขนมท้ังสี่ใช้น้ำ กระสายอย่างเดียวกันคือ "น้ำกะทิ" โดยใช้ถ้วยใส่ขนม ซึ่งเราเรียกการเลี้ยงขนม 4 อย่างนี้ว่า "ประเพณี 4 ถ้วย"

ขนมไทยเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในสมัยอยุธยา ดังปรากฏข้อความในจดหมายเหตุหลายฉบับ บางฉบับ กล่าวถึง "ย่านป่าขนม" หรือตลาดขนม บางฉบับกล่าวถึง "บ้านหม้อ" ที่มีการปั้นหมอ้ และรวมไปถึงกระทะ ขนมเบ้ือง เตาและรังขนมครก แสดงใหเ้ ห็นว่าขนมครกและขนมเบอ้ื งนนั้ คงจะแพร่หลายมากจนถงึ ขนาดมีการ ปั้นเตาและกระทะขาย บางฉบับกล่าวถึงขนมชะมด ขนมกงเกวียนหรือขนมกง ขนมครก ขนมเบื้อง ขนม ลอดช่อง

2

ยุคทองของขนมไทย

ในสมยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชถือได้ว่าเปน็ ยุคทองของการทำขนมไทย เม่อื สตรชี าวโปรตุเกสเชื้อ สายญ่ปี ุ่นนามว่า "มารี กมี าร"์ ผู้เป็นภรรยาเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ หรอื บรรดาศักด์ิว่า "ท้าวทองกีบม้า" เข้ารับ ราชการเป็นต้นเคร่อื งขนม ของหวานในวัง ทา่ นไดน้ ำไข่ และ น้ำตาลทราย มาเปน็ ส่วนผสมสำคัญในขนมไทย และท่านได้ดดั แปลงสตู รขนมตา่ งๆ เชน่ ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหมอ้ แกง ซึง่ ได้รับความนิยม มาจนถงึ ปจั จบุ ันนี้

1.บุหลันดั้นเมฆ

ความเปน็ มาของขนมบุหลนั ดน้ั เมฆ

“บุหลันด้นั เมฆ” เป็นขนมไทยชาววังท่เี ลื่องชอ่ื อกี ชนิดหน่ึง ซึง่ สืบทอดมาต้ังแตส่ มยั รัชกาลที่ 2 โดย ได้แรงบันดาลใจมาจากบทเพลง “บุหลันลอยเลื่อน” หรืออีกชื่อคือ “บุหลันลอยฟ้า” เพลงพระราชนิพนธใ์ น พระบาทสมเด็จพระพุทธ เลศิ หลา้ นภาลยั รชั กาลท่ี 2 ซึง่ มคี วามเปน็ มาว่า หลงั จากทรงซอสายฟ้าฟาดอยู่จน ดึก ก็เสด็จเข้าบรรทม ทรงพระสุบินว่า เสด็จฯไปสถานที่สวยงามแห่งหนึ่ง ซึ่งพระจันทร์เต็มดวงคอ่ ยๆลอย เลื่อนเข้ามาใกล้ ส่องแสงไปทั่ว พร้อมมีเสยี งทิพยดุริยางค์กงั วาน พระองค์ทรงตั้งพระทัยสดับเสียงดนตรีอนั ไพเราะอยเู่ ป็นเวลานาน จากนัน้ ดวงจันทร์ก็ค่อยๆลอยเคล่ือนห่างออกไปในทอ้ งฟ้า พรอ้ มเสียงดนตรีก็ค่อยๆ เบาจางห่างหายไป พลันเสดจ็ ตืน่ บรรทม สำเนียงดนตรีในพระสุบนิ ยังแว่วกงั วานพระโสตอยู่ จึงโปรดให้ตาม มหาดเล็กเจ้าพนักงานการดนตรี เข้ามาต่อเพลงในยามราตรีนั้น และพระราชทานนามเพลงว่า “บุหลันลอย เลอ่ื น”

3

วตั ถุดบิ

1.แป้งขา้ วเจ้า 60 กรมั 2.แปง้ เทา้ ยายมอ่ ม 5 กรัม 3.น้ำตาลทราย 75 กรมั 4.นำ้ ดอกอญั ชัน 175 กรัม 5.ไขแ่ ดงของไข่ไก่ 2 ฟอง 6.กล่ินมะลิ 5 กรมั

วิธกี ารทำ

  1. เรมิ่ จากน่ึงถว้ ยตะไลในนำ้ เดอื ดประมาณ 10 นาที จนถ้วยร้อนจดั
  2. ผสมแปง้ ข้าวเจา้ , แป้งมนั , นำ้ ดอกอัญชัน, น้ำตาลทราย เขา้ ดว้ ยกันและคนให้ละลาย
  3. จากนั้นหยอดสว่ นผสมแปง้ ลงในถว้ ยตะไล
  4. นำไปน่ึง ขนมจะเปน็ รอยบมุ๋ ตรงกลาง รอจนแปง้ จับตัวกบั ขอบถว้ ยเล็กนอ้ ย
  5. หยอดไข่ไกล่ งไปตรงกลาง แล้วน่งึ ตอ่ ใหส้ ุกเปน็ เนอื้ เดยี วกนั หรอื ในกรณใี ชท้ องหยอดแทนไขไ่ ก่ นงึ่ ตอ่ จน ทองหยอดดันตวั ขนึ้ มาเหนอื แปง้ นำข้นึ พักไว้จนเยน็ คอ่ ยแซะขนมออกจากถว้ ยตะไล.

2.ขนมพระพาย

4

ความเปน็ มาของขนมพระพาย

ขนมพระพาย หรือ ขนมพระพายทายรัก เป็นขนมไทยดั้งเดิมทห่ี าทานได้ยาก นิยมใชใ้ นพิธีแต่งงานมา ตัง้ แต่สมัยโบราณ โดยแป้งขา้ วเหนียวท่ีหอ่ หมุ้ อยู่ดา้ นนอกสอ่ื ถึงความเหนยี วแน่นม่ันคง ส่วนตัวไส้ที่มีรสชาติ หวานสื่อถึงความรักอันแสนหวานของคู่แต่งงาน โดยทั่วไปแล้วขนมพระพายจะมีหลากหลายสีสัน เป็นตัว ห่อหุ้มไส้ขนมทีท่ ำจากถั่วกวนหวาน ๆ ราดหน้าด้วยน้ำกะทิมันๆ โรยหน้าด้วยงาคั่วเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมให้นา่ รบั ประทาน

วตั ถดุ ิบ

วัตถุดบิ แป้งหอ่ 1.แปง้ ข้าวเหนยี ว 400 กรมั 2.แป้งข้าวเจ้า 90 กรัม 3.กะทิ 250 มิลลิลิตร 4.น้ำอญั ชัน 50 มิลลิลิตร 5.นำ้ ใบเตย 50 มลิ ลิลิตร 6.น้ำกระเจีย๊ บ 50 มิลลิลิตร

วตั ถุดิบไสถ้ ่วั 1.ถ่ัวเขียวเราะเปลอื ก 300 กรัม 2.นำ้ เปล่า (สำหรับแชถ่ ั่ว) 2 ถ้วยตวง 3.กะทิ 250 มิลลลิ ิตร 4.น้ำตาลทรายขาว 200 กรัม

วตั ถดุ ิบกะทสิ ำหรบั ราดหน้า 1.กะทิ 150 กรัม 2.แป้งขา้ วเจ้า 15 กรมั 3.เกลอื 10 กรัม

5

วิธีการทำ

วิธีการทำแปง้ 1. เตรยี มอา่ งผสม ผสมแปง้ ทงั้ สองชนิดเขา้ ดว้ ยกัน คอ่ ยๆเทกะทิ นวดแปง้ จนนุ่มมอื นวดนานประมาณ10 นาที

2. เม่ือแป้งนมุ่ เนยี นดแี ลว้ จึงแบง่ มาผสมสีออ่ นๆ พกั ไว้

วิธีทำไส้

1. แช่ถั่วในน้ำร้อนหรืออุ่น 3 ชั่วโมงหรือแช่ในน้ำเปล่าปกติทิ้งไว้ 1 คืน นำมาล้างจนสะอาด 2-3 ครั้ง นึ่งใน ลังถึงท่ีนำ้ เดอื ดจดั จนสุก และโขลกถว่ั จนละเอียด

2. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลางถึงออ่ น ผสมถั่วที่โขลก น้ำตาลทราย กะทิลงไป คล้ายการทำถั่วกวน กวนจนพอ แห้งปน้ั ได้ ยกลงแลว้ ปัน้ เปน็ ก้อนกลมๆขนาดเหรยี ญ 50 สตางค์พกั ไว้

3. นำแปง้ ทีเ่ ตรียมไว้ ปั้นเปน็ ก้อนกลมๆ แผใ่ ส่ไส้ท่ีเตรียมไว้ หุ้มแป้งคลึงเปน็ ก้อนกลมๆ นำมาวางบนใบตองท่ี ตดั ไว้เป็นทรงกลม นึง่ บนลงั ถงึ นำ้ เดือดจดั ไมเ่ กิน 5 นาทยี กลง หยอดดว้ ยหวั กะทสิ ด

3.อินทนิล

6

ความเปน็ มาของขนมอนิ ทนลิ

ขนมอินทนิล เป็นขนมไทยที่ใช้แป้งผสมน้ำใบเตยสีเขียว นำไปกวนจนเหนียว ปั้นเป็นก้อน กินคู่กับ น้ำกะทิหอมควันเทยี น ใส่น้ำแข็งลงไปเพิ่มความเย็นสดชื่น เคี้ยวหนึบหนับ แต่ที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมก็อาจจะ เพราะว่า ขนมอนิ ทนิลตอ้ งใช้เวลาในการกวนคอ่ นข้างนาน แตเ่ ดมิ เปน็ ขนมซึ่งจะทำรับประทานกนั เฉพาะในวัง เทา่ นัน้ เพราะต้องใช้เวลาในการอบนำ้ กะทดิ ว้ ยควันเทียนถงึ 4 ครัง้ ทงั้ ตัวขนมยงั ใช้แป้งมนั สำปะหลงั ซึง่ ถือว่า มรี าคาแพงในสมัยน้นั เนือ่ งจากตอ้ งสง่ั ซอื้ มาจากสิงคโปร์ จึงเรยี กกันวา่ แปง้ สงิ คโปร์ แต่หลงั จากสงครามโลก คร้งั สงบลง ประเทศไทยกส็ ามารถผลิตแป้งมันสำปะหลงั ไว้บริโภคเองในประเทศได้ ปจั จบุ นั น้ถี ้าจะหาร้านขาย ขนมอินทนลิ คงตอ้ งบอกว่าหายากมาก

วตั ถุดบิ ขนมอินทนลิ

ส่วนผสมนำ้ กะทิ 1.น้ำกะทิ 4 ถว้ ย (หัวกะทิ 1 ถว้ ยตวง หางกะทิ 3 ถ้วยตวง) *เราใช้กะทิกระป๋อง 4 ถว้ ยตวง 2. น้ำตาลทราย 1 1/2 ถว้ ยตวง 3. เกลือป่น 1 ชอ้ นชา 4. เทียนอบขนม

สว่ นผสมแป้งขนมอนิ ทนลิ 1. แปง้ มันสำปะหลัง 2 ถว้ ย 2. น้ำใบเตย 4 ถ้วย

วิธีทำขนมอนิ ทนลิ 1. นำแป้งมันสำปะหลงั ใส่ลงในกระทะทองเหลือง แล้วใส่นำ้ ใบเตยลงละลายแป้ง นำข้นึ ตั้งไฟปานกลาง คน ตลอดเวลาจนกวา่ แปง้ จะสุก ซง่ึ เมื่อแป้งสกุ จะมลี ักษณะใสและเหนียว

2. นำกระทะทกี่ วนแปง้ วางลงบนอา่ งน้ำแขง็ เพ่ือใหแ้ ป้งเยน็ ลง 3. เติมนำ้ ใส่ถว้ ยเลก็ ๆ จากนัน้ นำมือจมุ่ ลงในน้ำ แลว้ ใช้น้วิ ชีก้ ับน้วิ หัวแม่มอื จับแป้งข้นึ มา แล้วดึงใหข้ าดจาก แป้งก้อนใหญ่ ปนั้ เป็นกอ้ นขนาดเท่าลกู ช้นิ เลก็ ๆคลึงด้วยนิ้วให้กลม ใส่ลงในนำ้ กะทิที่เตรียมไว้

7

4.ชอ่ ม่วงอญั ชัน

ความเป็นมาของช่อม่วงอัญชัน

ขนมช่อม่วงจัดเปน็ อาหารว่างของคนไทยต้ังแต่โบราณ มมี าต้งั แต่สมัยรชั กาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระ พทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั เปน็ ขนมที่ตอ้ งใชค้ วามประณีตในการจับจบี ตวั แป้งหลังการห่อหมุ้ ไสแ้ ล้วให้มีลักษณะเป็น รปู ดอกไม้ ทำให้มลี ักษณะขนมที่ดูน่มุ นวล อ่อนหวาน แฝงความมีศิลปะของขนมไทยชาววงั ยิ่งรสชาตขิ องไส้ที่ มีเนอื้ สัตว์ เช่น เน้ือสตั ว์ กงุ้ ปลา เปน็ ตน้ นำมาผัดกับรากผักชี กระเทียม พริกไทย ทำให้ขนมชอ่ มว่ งเป็นขนมที่ มีเอกลักษณข์ องความเปน็ ไทยครบถ้วนและควรแกก่ ารอนุรกั ษไ์ ว้ แตเ่ น่ืองจากวธิ ีทำท่ตี ้องผา่ นการใชม้ ือในการ จับจีบทำรูปร่างดังกล่าว และเป็นอาหารที่มีความชื้นสูง ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน ทำให้ในปัจจุบันจะหา รับประทานขนมช่อม่วงได้ยาก และมีไม่มากต้องเป็นสถานที่เก่าแก่ หรือ สถานที่อนุรักษ์เกี่ยวกับขนมไทย โบราณ

วตั ถุดิบชอ่ ม่วงอัญชัน

สว่ นผสมแปง้

1.แป้งขา้ วเจ้า 1 ถ้วยตวง 2.แปง้ ทา้ วยายม่อม 1 ชอ้ นตวง 3.แป้งขา้ วเหนียว 1 ชอ้ นตวง 4.แป้งมัน 1 ชอ้ นตวง 5.น้ำมนั พชื 2+1/2 ช้อนตวง

8

6.น้ำดอกอญั ชัน 1 ถ้วยตวง(น้ำเปลา่ 1 ถ้วย+ ดอกอัญชัน 15-20 ดอก) 7.นำ้ มะนาว 1 ฝา

สว่ นผสมไส้

1.เนอ้ื ไกส่ บั ละเอยี ด 200 กรมั 2.หอมใหญ่หนั่ เต๋า 1/2 ถ้วยตวง 3.รากผักชีโขลกละเอียด 4 ราก 4.กระเทยี มโขลกละเอยี ด1 ชอ้ นตวง 5.พริกไทยเม็ดโขลกละเอยี ด 1 ชอ้ นชา 6.ซอี ๊ิวขาว 4 ช้อนตวง 7.เกลือปน่ 1/2 ชอ้ นชา 8.นำ้ ตาลทราย 3 ช้อนตวง 9.กระเทยี มเจียว 10.กระเทยี มไทยบดละเอยี ด 30 กรมั 11.น้ำมนั พชื 1 ถว้ ยตวง

วิธีการทำขนมช่อมว่ ง

วธิ ีทำไสข้ นมชอ่ ม่วง

1. ตงั้ กระทะใส่นำ้ มันพืชลงไป เอาหมูสามชั้นทห่ี ่นั ไวล้ งไปผัด ใชไ้ ฟปานกลาง รอจนนำ้ มนั หมอู อกมาและหมู เรมิ่ สุกสเี หลือง 2. ใสฟ่ กั เชื่อมลงไปผัดใชไ้ ฟออ่ น ปรุงรสดว้ ยเกลือและนำ้ ตาลทราย ใส่งาขาวและถ่ัวลสิ งลงไป ผัดใหเ้ ข้ากันดี จนแห้ง ตกั ใส่ชาม เตรยี มไว้

9

วิธีทำแป้งขนมช่อม่วง

1. ร่อนแปง้ ขา้ วเจ้า แป้งมนั สำปะหลงั และแปง้ เท้ายายม่อมเข้าด้วยกนั 2-3 รอบจนเนียนละเอยี ด 2. ใสน่ ้ำมนั พชื ลงไป ค่อย ๆ เตมิ นำ้ เปล่าและน้ำดอกมะลิลงไปจนหมด ใชม้ ือขยำคนนวดส่วนผสมแปง้ ให้ ละเอียดเขา้ กนั แบง่ ส่วนผสมแปง้ เปน็ 2 สว่ นเทา่ ๆ กนั 3. คัน้ น้ำดอกอญั ชันแล้วบีบนำ้ มะนาวลงไป เทใส่ลงในส่วนผสมแป้ง 1 ถ้วยคลกุ เคล้าใหเ้ ข้ากนั 4. ใส่ส่วนผสมแป้งลงในกระทะทองเหลือง ใชไ้ ฟกลางคอ่ นขา้ งอ่อน ใช้ไม้พายกวนไปเรอื่ ย ๆ จนส่วนผสมร่อน จากกระทะ ประมาณ 5-10 นาที ตกั ใส่ภาชนะ พักไวจ้ นแปง้ เริม่ อนุ่ 5. โรยแป้งนวลลงไปเลก็ นอ้ ยแล้วลงมือนวดแป้งให้เนยี นแล้วคลมุ ด้วยผ้าขาวบางหมาด ๆ เพอื่ ไมใ่ ห้แปง้ แห้ง

วิธที ำดอกชอ่ ม่วง

1. เริม่ ทำดอกช่อม่วงโดยป้ันแป้งให้เปน็ ก้อนกลม ๆ ประมาณ 3/4 นิว้ แล้วแผแ่ ปง้ ใหเ้ ปน็ แผน่ บาง ๆ กะพอให้ หุ้มไส้ไดจ้ นมิด ตกั ไส้ท่ีผัดไว้ใสล่ งไปแลว้ หอ่ จากมมุ เขา้ หากัน จากนน้ั ใช้มือคลึงใหแ้ ปง้ หุ้มไสจ้ นมิด ทำจนหมด เตรยี มไว้ 2. เรม่ิ ทำจีบโดยเอาทาแปง้ ขา้ วเจา้ ทป่ี ลายแหนบทองเหลืองเล็กนอ้ ย เรมิ่ จบั จีบชน้ั ที่ 1 โดยจับจากก่งึ กลางของ ขนม จับจีบวนไปเร่อื ย ๆ จนครบรอบ (อย่าจับจีบให้ติดกันมาก) 3. เริ่มชัน้ ที่ 2 โดยจบั จีบให้เอยี งจากชั้นแรกเล็กนอ้ ย (ประมาณ 45 องศา) และสบั หว่างกันกับชนั้ แรก จบั จีบ จนครบรอบ 4. เรม่ิ จับจบี ชัน้ ที่ 3 ประมาณ 2-3 จีบและสบั หว่างกันกับกลบี ชั้นท่ี 2 5. นำไปเรียงบนใบตองท่ที านำ้ มนั แล้วในชดุ นึ่ง โดยวางเรยี งหา่ งกนั เลก็ นอ้ ยเวลาสกุ จะไดไ้ มต่ ิดกนั 6. ต้ังชดุ นึ่งใช้ไฟแรง รอจนนำ้ เดือดจัดจงึ นำขนมไปนึ่งนานประมาณ 5 นาที 7. พอสุกแล้วนำช้อนจมุ่ น้ำมันพชื ตกั ชอ่ ม่วงใสจ่ าน เสิร์ฟคู่กับผักกาดหอม และพรกิ ขห้ี นูสวน

10

5.ขนมลืมกลืน

ความเป็นมาของขนมลืมกลืน

ขนมลืมกลืน (ขนมไทย) ขนมไทยที่ทำจากแป้งถั่วเขียวหรือแป้งสลิ่ม ผสมน้ำลอยดอกไม้และน้ำตาล นำไปกวนจนใส หยอดหน้าด้วยกะทิ ส่วนประกอบของขนมมี 2 ส่วน คอื สว่ นของตวั ขนมท่ีทำจากแป้งถั่วเขียว และหน้าขนมทีท่ ำจากกะทิ รสชาติหวานหอม มันๆ เค็มๆ จากตัวกะทิ เนื้อของขนมมลี ักษณะนุ่ม ทานอร่อย จนทำให้ลมื กลืนตามช่อื ขนมไปเลย

สูตรดั้งเดิมแต่โบราณ เมื่อหยอดหน้ากะทิแล้วจะต้องโรยถั่วซีกคั่วจนกรอบ สีเหลืองทอง หรือ กลีบ กหุ ลาบ และจะต้องหยอดขนมใสก่ ะทงใบตอง แบบเดยี วกับขนมตะโก้ เพอ่ื ไดร้ สชาติและกลน่ิ หอมของใบตอง อันเป็นเสน่ห์ของขนมไทย แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ปัจจุบันนิยมใช้ถว้ ยพิมพ์วุ้น ที่เป็นพลาสตกิ มาใส่แทน ดู สวยงามไปได้อีกแบบ แต่เร่ืองกลิ่นและรสชาติจากวัสดธุ รรมชาติน้นั หายไป . สำหรบั ท่มี าของชื่อ "ขนมลมื กลนื " ไดย้ ินได้ฟงั มา 2 กระแส บ้างกว็ ่าเปน็ ขนมอร่อย หอม หวาน มัน จนผทู้ ีก่ ินอยากเคี้ยวอยู่ในปากให้นานๆ จน ตอ้ งลืมกลืน บ้างก็วา่ เปน็ เพราะขนมนมุ่ ลืน่ เคย้ี วและกลืนง่ายมากๆ จงึ เรียกชอ่ื เชน่ น้นั

11

วตั ถุดบิ ขนมลืมกนิ

สว่ นผสมตวั ขนม

1.แปง้ ถั่วเขียว 70 กรัม

2.แป้งทา้ วยายม่อม 1 ช้อนชา

3.นำ้ ตาลทราย 165 กรมั 4.นำ้ เปล่า 620 กรมั 5.กลนิ่ มะลิ 1 ช้อนชา 6.เกลอื ปน่ 1/8 ชอ้ นชา

สว่ นผสมหนา้ กะทิ 1.แปง้ ข้าวเจา้ 2 ช้อนโต๊ะ 2.แป้งถ่ัวเขยี ว 2 ชอ้ นโต๊ะ 3.เกลือป่น 1 + 1/4 ช้อนชา 4.นำ้ ตาลทราย 1 + 1/2 ชอ้ นโตะ๊ 5.กะทิ 225 กรัม 6.ถั่วเขยี วอบเกลือ (ตามชอบ)

วิธที ำ

1. นำแปง้ ถ่ัวเขยี ว แป้งถ้วยยายม่อม นำ้ ตาลทราย และเกลอื มาผสมกับน้ำเปลา่ เตมิ กลนิ่ มะลิ แลว้ คนผสมให้ แปง้ ละลายเข้ากันดี

2. แบ่งส่วนผสมแยกใส่ชาม จำนวนตามสที ต่ี ้องการ

3. ใส่สผี สมอาหารตามต้องการ (อย่าใสเ่ ยอะไปเพราะพอแป้งสกุ สีจะเขม้ ขึน้ )

4. นำแป้งทีละสีมากวน คอยคนอยเู่ สมอระวงั อย่าให้แปง้ ไหม้ กวนจนแปง้ สกุ สงั เกตุว่าแป้งจะมลี ักษณะใส

5. ยกกระทะลงจากเตา แลว้ นำขนมมาตดั ใส่ถ้วยขนาดพอดีคำ (ทำเหมือนเดมิ จนไดข้ นมครบทกุ สี)

6. ทำหน้ากะทิ เร่ิมจาก ผสมกะทิ แปง้ ถว่ั เขยี ว แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย และเกลือ ลงในหม้อ แลว้ คนผสมให้ เขา้ กัน

12

7. จากน้นั เปิดเตา และกวนจนกะทขิ ้นข้นึ และสกุ ดี ยกลงจากเตา

8. พกั ให้กะทิเย็น จากน้นั ตกั ใสถ่ ุงบบี แล้วนำมาบีบบนหน้าขนม โรยถัว่ เขียวอบเกลอื ตามชอบ พร้อม รบั ประทาน

6.ขนมเสนห่ ์จันทร์

ความเป็นมาของขนมเสน่หจ์ นั ทร์

ขนมเสน่ห์จันทน์ "จันทน์" เป็นต้นไม้ชนดิ หนึ่งมผี ลสกุ สีเหลืองเปลง่ ปลัง่ ท้ังสวยงามและมีกลิ่นหอม ชวนใหห้ ลงใหล คนโบราณจงึ น่าความมีเสน่ห์ของผลจันทน์มาประยุกตท์ ำเป็นขนม และไดน้ ำ "ผลจันทน์ป่น" มาเป็นส่วนผสมทำใหม้ กี ล่ินหอมเหมือนผลจนั ทน์ ให้ชื่อว่า "ขนมเสน่ห์จันทน์" โดยเชื่อว่าคำว่า เสน่ห์จันทน์ เป็นคำที่มีสิริมงคล จะทำให้มีเสน่ห์ คนรักคนหลงดังเสน่ห์ของผลจันทน์ ขนมเสน่ห์จันทน์ จึงถูกนำมาใช้ ประกอบในงานพิธีมงคลสมรส

ขนมเสน่ห์จันทร์ เป็นขนมไทยโบราณ เป็น 1 ใน 9 ของขนมมงคลเหมาะให้กันในงานมงคลต่างๆ เชน่ งานขน้ึ บ้านใหม่ งานแตง่ งาน งานเลื่อนข้ันยศตำแหนง่ ขนมเสนห่ ์จันทร์ มีความหมายถงึ ความเป็นคนมี เสนห่ ์ มีแตค่ นรักคนหลง ผใู้ หญ่เมตตา ในปัจจบุ ันหาทานไดย้ ากมาก

13

วตั ถุดบิ

1.หวั กะทิ 250 กรัม 2.หางกะทิ 250 กรมั 3.นำ้ ตาลทราย 250 กรมั 4.ใบเตย 2 ใบ 5.ไขแ่ ดงไขไ่ ก่ 6 ฟอง 6.แป้งข้าวเจ้า 40 กรมั 7.แปง้ ขา้ วเหนียว 40 กรัม 8.แปง้ สาลอี เนกประสงค์ (คั่วไฟอ่อนสักคร่)ู 200 กรัม 9.นำ้ กา้ นดอกกรรณกิ ารป์ ระมาณ 3 ช้อนโต๊ะ

10.ผงโกโก้และลูกจันทน์ป่นอย่างละเลก็ น้อย

วิธที ำ

1.ตม้ หัวกะทิ หางกะทิ และน้ำตาลรวมกนั จนเดอื ด ใส่ใบเตย ต้มตอ่ 3-4 นาทจี นมกี ลิ่นหอม หยิบใบเตยออก พักไว้ให้เย็นหรือพออ่นุ ๆ

2.ใสไ่ ข่แดง คนให้เขา้ กันด้วยตะกร้อมือ ใส่แปง้ ข้าวเจา้ แป้งข้าวเหนยี ว แปง้ สาลี และน้ำก้านดอกกรรณิการ์ กวนทั้งหมดในกระทะทองเหลอื งดว้ ยตะกร้อมือ ใช้ไฟแรงปานกลาง พอเริ่มข้นจงึ เปลี่ยนใชไ้ ม้พาย คนจนลอ่ น ไมต่ ิดกระทะ (กน้ กระทะจะเปลีย่ นเปน็ สนี ำ้ ตาล) ยกลง

3.ทำข้วั ของลกู จันโดยแบง่ เน้ือขนมออกมาเลก็ นอ้ ย ผสมผงโกโก้ 1 ส่วนกบั เนอื้ ขนม 3 สว่ น ใส่ลูกจันทน์ปน่ ผสมกนั จนเน้ือเปน็ สีนำ้ ตาล ปัน้ เป็นก้อนกลมเล็กๆ เตรยี มไว้

4.ป้ันขนมเปน็ ลกู กลมประมาณ 1 นิ้ว ใช้มือคลงึ ให้ผวิ เรียบ กดให้แบนเลก็ น้อย วางข้ัวที่ปัน้ เตรยี มไว้ ใชไ้ ม้ ปลายแหลมจม้ิ ให้ขว้ั และตัวขนมตดิ กนั

14

7.ขนมดาราทอง

ความเปน็ มาของขนมดาราทอง

ดาราทอง หรือ ทองเอกกระจงั ขนมรูปงาม นามเพราะ เป็นขนมที่ชนะการประกวดในงานฉลองปีใหม่ สมยั จอมพล ป. พิบูล สงคราม โดย คุณหญิงเจือ นครราชเสนี ส่งเข้าประกวด ท่านได้นาสูตรขนมทองเอกกระจงั ของคุณป้านารถ สิง หเสนี มาส่งประกวดในชื่อ "ดาราทอง" หน้าตาขนม เหมือนเครื่องหมายดาราในเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ลกั ษณะคล้ายๆ มงกุฏฝรั่งข้อมลู จากอินเตอร์เน็ต ภายหลงั ดาราทองนี ้กลบั ถูกเรียกเป็นขนมจ่ามงกุฎ เน่ืองจากตาราเลม่ หนึ่งในยุคนัน้ มี การตพี มิ พ์ชอื่ เสียงเรียงนามผดิ จึงทาให้ดาราทอง กลายเป็นจ่ามงกฎุ ไปโดยปริยาย

เป็นขนมทมี่ ีขนั้ ตอนการทาที่ละเอยี ด หลายขนั้ ตอนทาให้ปัจจบุ นั หาทานได้ยากมากแล้ว ขนมชนดิ นสี ้ อ่ื ความหมาย ถึงความสง่างาม ได้อย่ตู าแหน่งสงู สดุ มชี อ่ื เสียงเกยี รตยิ ศ

วตั ถดุ บิ

ส่วนผสม ฐานแป้ง (สำหรับรองขนม) 1.แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถว้ ยตวง 2.ไขแ่ ดงไข่ไก่ 1 ฟอง 3.น้ำเปล่า 1 ชอ้ นโตะ๊

15

สว่ นผสม เมลด็ แตงโม

1.เมล็ดแตงโมแกะ 1/4 ถ้วยตวง 2.น้ำเชื่อม 1/2 ถว้ ยตวง 3.ทองคำเปลวตัดเป็นแผ่นเล็ก

สว่ นผสม ขนมทองเอก

1.ไขแ่ ดงไขไ่ ก่ 5 ฟอง 2.แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถว้ ยตวง 3.กะทิ 1+1/2 ถ้วยตวง 4.นำ้ ตาลทราย 1 ถ้วยตวง

วิธที ำฐานแป้งสำหรบั รองขนม 1. นวดแป้ง ไขแ่ ดง และนำ้ เปลา่ พอแปง้ นุ่ม แลว้ จัดการคลงึ แป้งใหเ้ ป็นแผ่นบาง ตดั เปน็ แผน่ กลม ใสล่ งในถว้ ย ตะไล ใช้ไมจ้ ิม้ ใหท้ ั่ว 2. นำเขา้ เตาอบทีอ่ ุณหภมู ิ 150 องศาเซลเซยี ส ประมาณ 20 นาที หรืออบจนแปง้ เหลืองกรอบ นำแป้งออก จากถ้วย พักไว้

วธิ ีทำเมล็ดแตงโม 1.นำกระทะทองตง้ั ไฟอ่อน ใสเ่ มล็ดแตงโมลงไป ใช้มอื แตะน้ำเชอื่ มแลว้ พรมไปทเี่ มล็ดแตงโม กวาดน้ำเชื่อมกับ เมลด็ แตงโมไปเรอื่ ย ๆ จนกวา่ น้ำตาลจะเกาะทเ่ี มล็ดแตงโมเป็นตะปมุ่ ตะปำ่ หรือเปน็ หนาม พกั ไว้

วธิ ีทำขนมทองเอก 1. ผสมไข่ไก่ แป้งสาลีอเนกประสงค์ กะทิ และนำ้ ตาลทรายให้เข้ากนั 2. นำส่วนผสมใสก่ ระทะ กวนด้วยไฟออ่ นที่สดุ จนขนมไม่ตดิ มอื 3. ป้ันทองเอกเป็นกอ้ นกลม ๆ ใช้ไมจ้ ้มิ ฟันกดเป็น 6 พู (6 แฉก) เตรียมไว้

วิธที ำประกอบขนมดาราทอง

1.ตดิ เม็ดแตงโมโดยรอบแปง้ รอง วางทองเอกดา้ นบนแล้วใชท้ องเอกป้ันเปน็ เมด็ กลมเล็ก ๆ วางบนยอด ตดิ แผน่ ทองดา้ นบน

16

บรรณานกุ รม

ทพิ ย์พรรณ สุวรรณวารี.(2563). วธิ ที ำ“บุหลนั ดนั้ เมฆ”เมนูขนมไทยโบราณ ทำง่าย ๆ สีสวยแปลกตา.คน้ เม่อื 17 มกราคม 2565.สืบค้นจาก https://www.wongnai.com/recipes/bu-lan-dan- mek?ref=ct&fbclid=IwAR2sa9mteK-pwsO-AsNMA6KIIGiJlgMFFzFg5xur9xe7aUmPHGM- tkFWfNI

ความเป็นมาของขนมไทย.(2556). ใน kanomthai.คน้ เมือ่ 17 มกราคม 2565. สบื คน้ จาก https://sites.google.com/site/0926kanomthai/dessert_ofthailandhtml

วจิ ิตร ศรสี อ้าน.(2562).ขนมพระพาย.คน้ เมื่อ 17 มกราคม 2565. สบื คน้ จาก. https://library.stou.ac.th/wichit/2019/ka-nom-pra-pai/

ขนมพระพาย สูตรลับจากชาววัง ขนมไทยหาทานยาก เชือ่ ว่าหลายคนยังไมเ่ คยทาน.(2561). ใน ทีวีพูลฟู๊ด. ค้นเม่อื 17 มกราคม 2565. สบื คน้ จาก. https://www.tvpoolonline.com/content/822998

ขนมอินทนลิ ขนมไทยโบราณหากินยาก.(2560). ใน kapok.ค้นเม่อื 17 มกราคม 2565.สืบคน้ จาก https://cooking.kapook.com/view89708.html

ธัญจิรา แจง้ ดอนไพร.(ม.ป.ป).ประวตั ขิ นมไทยตัง้ แตโ่ บราณ.คน้ เมื่อ 17 มกราคม 2565.สืบค้นจาก https://sites.google.com/site/thanchirachaengdonphai/home/khnm-buhlan-dan-mekh

Pum Eiadthon. (2560).ขนมชอ่ ม่วง(Stuffed flower-shaped dumplings).คน้ เมือ่ 17 มกราคม 2565. สืบคน้ จาก. https://cookpad.com/th/recipes/3267873-

%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A7 %E0%B8%87stuffed-flower-shaped-dumplings ขนมช่อม่วง อาหารวา่ งไทยแท้ ดอกไม้สีมว่ งงดงามเลอค่าน่าลิม้ ลอง.(2543).ใน kapok.คน้ เมอื่

17 มกราคม 2565.สืบค้นจาก. https://cooking.kapook.com/view130037.html สตู รขนมไทย วิธที ำขนมลืมกลนื เหนยี วนุ่ม ละลายในปาก อรอ่ ยจนลืมกลนื .(2563).ค้นเมือ่ 17 มกราคม 2565.

สบื ค้นจาก. https://food.trueid.net/detail/boge4M9gAgnj

17

ขนมเสน่หจ์ นั ทน์.(2561).ใน Gourmet & Cuisine.ค้นเมอื่ 17 มกราคม 2565.สืบค้นจาก. https://www.gourmetandcuisine.com/cooking_recipes/detail/388

ดาราทอง สตู รขนมไทยมงคล สืบสานความประณตี ออ่ นช้อยแบบโบราณ.(2562).ใน kapok.ค้นเมอื่ 17 มกราคม 2565.สบื ค้นจาก. https://cooking.kapook.com/view209462.html

น้ำราดกะทิใช้แป้งอะไรได้บ้าง

ส่วนผสมมี. 1. หัวกะทิ 250 กรัม. 2. แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนชา. 3. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา. #กะทิราดข้าวเหนียวมูนและขนมต่างฯ#ครัวอิ่มอร่อย#

น้ำกะทิราดข้าวเหนียวมะม่วงทำยังไง

วิธีทำน้ำกะทิราดข้าวเหนียวมูนง่ายๆ1. นำหัวกะทิที่เหลือ น้ำตาลทราย เกลือ และแป้งมันไปเคี่ยวบนไฟอ่อน 2. เคี่ยวจนกว่าจะเดือด ถือเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ในการจัดเสิร์ฟ สามารถฝานมะม่วงเป็นชิ้นพอดีคำ เสิร์ฟคู่ข้าวเหนียว จากนั้นราดน้ำกะทิ โรยถั่วเหลืองเพิ่มความน่ากิน หรือจะตักน้ำกะทิเสิร์ฟแยกก็ได้เช่นกัน

ทำข้าวเหนียวมะม่วงใช้แป้งอะไร

ส่วนผสม ข้าวเหนียวมะม่วง น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย เกลือ 1+1/4 ช้อนชา แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนชา ใบเตย 4-5 ใบ

ข้าวเหนียวมูนแช่น้ำกี่ชั่วโมง

แช่ข้าวเหนียวอย่างน้อย 3 ชั่วโมงหรือข้ามคืน