การปกครอง สม ยส โขท ย ค อ ม พ นฐานมาจากไหน

ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ภาค 4 เปิดแถลงข่าวจับกุม 9 ผู้ต้องหาก่อเหตุสะเทือนใจชาวไทยทั้งแผ่นดิน ร่วมกันวางเพลิงซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ ทั้งใน อ.บ้านไผ่-อ.ชนบท จ.ขอนแก่น อ้างได้รับค่าจ้างคนละ 200 บาท ส่วนคนจ้างวาน 2 รายอยู่ระหว่างหลบหนี ตำรวจออกหมายจับ เชื่อว่ายังกบดานอยู่ในประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 พ.ค.) เวลา 16.00 น. ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร จ.ขอนแก่น พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 พร้อมด้วย พล.ต.ต.พรหมณัฏฐเขต ฮามคำไพ ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พ.ต.อ.จำรัส จันแดง ผกก.สภ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น พ.ต.อ.สมหมาย สิงห์สูง ผกก.สภ.ชนบท จ.ขอนแก่น และคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงคดีผู้ก่อเหตุลอบวางเพลิงซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ในเขตตำบลชนบท และเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหา 9 คนกระทำผิดลอบเผาทำลายซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ร.๙

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมาได้มีคนร้ายก่อเหตุวางเพลิงซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ ในเขต อ.บ้านไผ่ และวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมาคนร้ายกลุ่มเดิมก่อเหตุวางเพลิงซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ในเขต อ.ชนบท และเตรียมวางแผนเพื่อที่จะดำเนินการก่อเหตุวางเพลิงซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ในเขต อ.เปือยน้อย หลังเกิดเหตุสามารถจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุลอบวางเพลิงซุ้มเฉลิมพระเกียรติทั้งสองแห่งได้จำนวน 9 คน

พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ที่ก่อเหตุได้แล้วทั้งหมด 9 คน ยังคงมีผู้ต้องหาที่หลบหนีอีก 2 คน ซึ่งเป็นผู้ที่จ้างวาน โดยผู้ต้องหาที่จับกุมตัวได้ ประกอบด้วย นายอัครพงษ์ อายุคง, นายจิรายุทธ สินโพธิ์, นายรัฐธรรมนูญ ศรีหาบุตร, นายเศรษฐา เทพณรงค์, นายหนูพิน ผมหอม, นายฉัตรชัย โยโส, นายพงศกร โยธา, นายสกฤษฎ์ แก้วสุพรรณ และเยาวชน อายุ 14 ปี อีก 1 คน ซึ่งขณะนี้ทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่

ทั้งนี้ จากการสอบสวนพบว่าผู้ต้องหาทั้งหมดมีหน้าที่รับจ้างในการลงมือวางเพลิงเท่านั้น โดยมีผู้ต้องหาอีก 2 คนที่ยังคงหลบหนีเป็นผู้จ้างวาน ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 9 คนนั้นได้รับค่าจ้างคนละ 200-1,000 บาท โดยทำการลงมือก่อเหตุในพื้นที่ อ.บ้านไผ่ เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 1 จุด และที่ อ.ชนบท 2 จุด เมื่อวันที่ 13 พ.ค. และจากการสอบสวนยังคงพบว่าผู้ต้องหาเตรียมลงมือที่จะก่อเหตุอีก 1 จุดในพื้นที่ อ.เปือยน้อย แต่เมื่อไปถึงจุดที่ถูกจ้างวานกลับเปลี่ยนใจไม่ก่อเหตุดังกล่าว

“ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัวได้มีหน้าที่รับจ้างเผาเท่านั้น โดยมีการวางแผนที่จะก่อเหตุในพื้นที่ อ.ชนบท ก่อนที่จะทำการก่อเหตุวางเพลิงซุ้มเฉลิมพระเกียรติในเขต อ.บ้านไผ่ และ อ.ชนบท โดยยกเลิกการก่อเหตุในพื้นที่ อ.เปือยน้อย ซึ่งหลังจากก่อเหตุได้หลบหนีไปในพื้นที่ต่างๆ” ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนสอบสวนและสามารถติดตามจับกุมตัวมาได้ ขณะที่ผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนีนั้นได้ถูกออกหมายจับแล้ว และเชื่อว่ายังคงหลบหนีอยู่ในประเทศไทย

รอง ผบช.ภ.4 กล่าวต่ออีกว่า ผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนีอีก 2 คน ขณะนี้ทราบชื่อแล้ว คือ นายปรีชา งามดี และ นายสาโรจน์ ดีเลิศ ขณะนี้ถูกออกหมายจับแล้วเช่นกัน

สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 9 รายที่ถูกจับกุมถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันวางเพลิงและร่วมกันเป็นอั้งยี่ มั่วสุมและซ่องโจร โดยไม่มีประเด็นหรือการสืบสวนสอบสวนที่ซัดทอดเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 แต่อย่างใด

https://www.thairath.co.th/news/local/north/1885497 ข่าวบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ที่เสาทั้ง 2 ข้างไม่มีร่องรอยถูกชนเลย น่าจะเป็นการใช้เชือก แล้วใช้รถกระตุกจนหักพังลงมา ไทยรัฐบิดข่าวนิ่มๆเช่นเคย แล้วเรื่องก็เงียบหายไป นี่คือลักษณะการรายงานของสื่อไทย หวังว่ายกซุ้มขึ้นได้แล้ว จะโดนชนให้ล้มอีก? แล้วไทยรัฐจะรายงานต่อไปอย่างไร?)

https://www.77kaoded.com/news/kitdanai/580787

hhttps://www.benarnews.org/thai/news/TH-lesemajeste-dismissed-

09ฃ202018125236.htmlttps://www.77kaoded.com/news/kitdanai/580787

https://www.google.com/search?sxsrf=ALe … kEegQICxAB

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง 6 วัยรุ่น ในข้อหาหมิ่นฯ เผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ ขอนแก่น นนทรัฐ ไผ่เจริญ กรุงเทพฯ 2018-09-20Email storyComment on this storySharePrint story พิมพ์แชร์ข้อคิดเห็นส่งเรื่องนี้ทางอีเมล 180920-TH-king-portrait-800.jpg พระบรมฉายาลักษณ์ขาวดำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชตั้งตระหง่านหน้าอาคารสำนักงาน ในกรุงเทพฯ วันที่ 19 ต.ค. 2560 เอพี ในวันพฤหัสบดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จังหวัดขอนแก่น ได้อ่านคำพิพากษายกฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่วัยรุ่น 6 คน วางเพลิงเผาทำลายซุ้มเฉลิมพระเกียรติซึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 ใน อ.ชนบท และ อ.บ้านไผ่ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 เพราะศาลเห็นว่าไม่มีเจตนา แต่พิพากษายืนในความผิดซ่องโจร และวางเพลิงทำให้ทรัพย์สินราชการเสียหาย

โดยสำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2561 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-6 ซึ่งประกอบด้วย นายไตรเทพ(นามสมมติ), ฟลุ้ค(นามสมมติ), ฟิล์ม(นามสมมติ), เบล(นามสมมติ), แทน(นามสมมติ) และ เต้ย(นามสมมติ) ที่เป็นวัยรุ่นอายุระหว่าง 18-20 ปี มีความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ซ่องโจร และวางเพลิงทำให้ทรัพย์สินราชการเสียหาย จึงสั่งให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1, 3-6 เป็นเวลา 5 ปี 20 เดือน แต่ลดโทษจากการรับสารภาพเหลือ 2 ปี 16 เดือน และจำเลยที่ 2 จำคุกเป็นเวลา 10 ปี แต่ลดโทษจากการรับสารภาพเหลือ 5 ปี ซึ่งทนายจำเลยได้ยื่นขออุทธรณ์ แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ เพื่อขอโอกาสให้จำเลยทั้งหกปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคม พร้อมทั้งดูแลครอบครัวต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่สังคมมากกว่าการจำคุก

วันนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงได้อ่านคำพิพากษา หลังพิจารณาคำขออุทธรณ์ โดยพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ยกฟ้องในข้อหาความผิดหมิ่นเบื้องสูง แต่ยังเห็นว่า ทั้งหมดมีความผิดจริงในข้อหาวางเพลิง และซ่องโจร

“การกระทำของจำเลยทั้งหก มุ่งประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน อันได้แก่ ซุ้มประตูซึ่งเป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนตำบลหินตั้งเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งหกมีความมุ่งหมายที่จะกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งหกในส่วนนี้ จึงเป็นความผิดเพียงฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น” ตอนหนึ่งของคำพิพากษาระบุ

“ความผิดฐานซ่องโจร จำเลยทั้งหกมีความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น กับความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ให้ลงโทษฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด โดยรวมโทษกับความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ให้จำคุกจำเลยที่ 1, 3-6 คนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน” คำพิพากษาระบุ

ศาลได้พิจารณาคำร้องของทนายความที่ให้รอการลงโทษจำเลยทั้งหมด แต่พบว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่อุกอาจ เห็นควรให้ลงโทษให้หลาบจำ จึงไม่ให้รอการลงโทษ และยังสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายยืนตามจำนวนที่ศาลชั้นต้นสั่ง ซึ่งเป็นค่าเสียหายจากการทำลายซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ 3 ซุ้ม แบ่งเป็นพื้นที่ อ.ชนบท 2 ซุ้ม และ อ.บ้านไผ่ 1 ซุ้ม รวมเป็นเงิน 958,117.72 บาท ด้วย

น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยแก่เบนาร์นิวส์ผ่านโทรศัพท์ว่า จำเลยทั้งหมดถูกควบคุมตัวมาแล้วเป็นเวลากว่า 1 ปี สำหรับขั้นตอนตามกฎหมายต้องรออีก 30 วัน จึงจะทราบว่า อัยการซึ่งเป็นโจทก์จะยื่นขอฎีกาคดีนี้หรือไม่

“จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหมดถูกควบคุมตัวที่เรือนจำ อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น โดยรับโทษจำคุกมาแล้ว 1 ปี กับอีก 2 เดือนเศษ คำพิพากษาจำคุกวันนี้ก็หักลบจากโทษที่จำคุกไปแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 1, 3-6 จะเหลือโทษจำคุกประมาณ 1 ปี 10 เดือน ขณะที่ จำเลยที่ 2 เหลือจำคุกราว 3 ปี 4 เดือน” น.ส.ภาวิณีกล่าว

เจ้าหน้าที่ศูนย์ทนายความฯ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า คดีวางเพลิงซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ ยังมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีก 3 คน ประกอบด้วย นายปรีชา (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี และนายสาโรจน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี ซึ่งเป็นผู้จ้างวานให้วัยรุ่นทั้ง 6 รายเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในเดือนมิถุนายน 2561 ยกฟ้องความผิดข้อหาหมิ่นเบื้องสูง แต่มีความผิดฐานร่วมวางเพลิงเผาทำลาย และซ่องโจร ให้จำคุก 10 ปี แต่ลดโทษกึ่งหนึ่งเนื่องจากให้การสารภาพ เหลือจำคุก 5 ปี

และผู้เกี่ยวข้องอีกหนึ่งราย คือ ด.ช.อภิสิทธื์ (สงวนนามสกุล) อายุ 14 ปี ซึ่งศาลเยาวชน จังหวัดขอนแก่น ได้ตัดสินว่า มีความผิดในการร่วมกันวางเพลิง ถูกคุมตัวในสถานพินิจเป็นเวลา 90 วัน และหลังจากนั้นให้รายงานตัวต่อศาลทุกเดือนเป็นเวลา 6 เดือน