Show p.evateach1818 Download
คู่มือ หลักสูตรวิทยาการคำนวณ คู่มือ หลักสูตรวิทยาการคำนวณ Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!Create your own flipbook View Text Version Likes : 0 Category : All Report
คู่มือ หลักสูตรวิทยาการคำนวณ เทคโนโลยีสารสนเทศรองศาสตราจารย์ ดร. สขุ มุ เฉลยทรพั ย์ และคณะ คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดุสิต 2555 เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology)รองศาสตราจารย์ ดร. สขุ ุม เฉลยทรพั ย์ และคณะ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสวนดสุ ติ 2555 คำนำ หนงั สือเทคโนโลยีสารสนเทศเลม่ น้ี เป็นการเขียนในลกั ษณะทีม่ ีข้อมูลประกอบเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ ท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องข้อมูล สารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือประโยชน์ในการเรียนในสาขาวิชาต่างๆ โดยเน้นถึงการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตมีให้บริการ ซ่ึงหนังสือเล่มน้ีผู้เขียนได้จัดทาขึ้นเพ่ือใช้เป็นหนังสือประกอบการเรียนการสอนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ รหัสวิชา 4000111 ซ่ึงเป็นวิชาหมวดการศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต นอกจากนั้นหนังสือเล่มน้ียังสามารถนาไปใช้เพ่ือการศึกษาคน้ ควา้ ในระดบั อุดมศกึ ษาของสถาบันอื่นๆ ได้อกี ดว้ ย เนื้อหาในหนังสือได้แบ่งออกเป็น 10 หัวเรื่อง ซึ่งประกอบด้วย บทนา เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล อินเทอร์เน็ต เครือข่ายสังคมออนไลน์ ฐานข้อมูลและการสืบคน้ เทคโนโลยีการจัดการสารสนเทศและองค์ความรู้ กฎหมาย จริยธรรม และความปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต และแนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต ท่านที่นาหนังสือเล่มน้ีไปใช้ควรศึกษาเพ่ิมเติมจากเอกสารอ่ืนๆ ประกอบด้วย และหวังว่าหนังสือเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์สาหรับนักศึกษาและผู้ท่ีสนใจ หากมีข้อบกพร่องประการใด ผู้เขียนขอน้อมรับไว้และจะพจิ ารณาแก้ไขปรับปรงุ ต่อไป คณะผจู้ ดั ทา 25 พฤษภาคม 2555 สารบัญ หนา้ (1)คานา (3)สารบัญ 1บทท่ี 1 บทนา 1 4 ความหมายและพัฒนาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ 10 องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ 14 บทบาทและทักษะทางเทคโนโลยสี ารสนเทศในยคุ ส่ือใหม่ 15 ประโยชน์และความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ 18 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ 21 แนวโนม้ การใชแ้ ละการบรกิ ารเทคโนโลยีสารสนเทศ 22 สรุป คาถามทบทวน 23 23บทที่ 2 เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ 25 ความรู้พ้นื ฐานเกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์ 32 ฮาร์ดแวร์คอมพวิ เตอร์ 35 ซอฟตแ์ วร์คอมพวิ เตอร์ 39 ประเภทของคอมพวิ เตอร์ 40 การเลือกซ้อื คอมพวิ เตอร์ 42 การบารุงรักษาคอมพิวเตอร์ 43 สรปุ คาถามทบทวน 45 45บทที่ 3 เทคโนโลยีการส่ือสารขอ้ มูล 47 ความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ียวกบั ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 49 รูปแบบการส่ือสารข้อมลู บนระบบเครือขา่ ย 50 ทิศทางของการส่ือสารขอ้ มูลบนระบบเครือขา่ ย 53 ประเภทของระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 54 มาตรฐานระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 57 ระบบเครือข่ายไร้สาย 58 มาตรฐานของระบบเครอื ขา่ ยไร้สาย 59 เกณฑ์การวดั ประสิทธภิ าพของเครอื ข่าย การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (2) หนา้ 61 สารบญั (ตอ่ ) 65 66 การประยุกต์ใชง้ านระบบเครือขา่ ยภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดสุ ติ สรุป 67 คาถามทบทวน 67 71บทที่ 4 อนิ เทอร์เน็ต 77 ประวัตคิ วามเปน็ มาและพัฒนาการของอนิ เทอร์เนต็ 80 หลกั การทางานของอินเทอรเ์ นต็ 83 การเชื่อมต่ออนิ เทอร์เน็ต 85 อินเทอรเ์ นต็ ความเรว็ สูง 86 การป้องกันภัยจากอนิ เทอร์เน็ต สรุป 87 คาถามทบทวน 87 91บทท่ี 5 เครอื ขา่ ยสังคมออนไลน์ 93 แนวคดิ เกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ 103 ประเภทของเครือขา่ ยสังคมออนไลน์ 107 ผใู้ ห้และผใู้ ช้บริการเครือข่ายสงั คมออนไลน์ 108 เครือข่ายสงั คมออนไลน์กบั การประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจาวนั 109 ผลกระทบของเครือขา่ ยสังคมออนไลน์ สรุป 111 คาถามทบทวน 111 115บทท่ี 6 ฐานขอ้ มูลและการสืบคน้ 123 ความรเู้ บือ้ งตน้ เก่ียวกับฐานข้อมูลและการสบื คน้ 125 ฐานขอ้ มูลอิเลก็ ทรอนกิ สเ์ พอื่ การสืบคน้ 131 เทคนคิ การสบื คน้ 132 การสบื ค้นสารสนเทศมัลตมิ ีเดีย 133 แนวโนม้ การสืบค้นในอนาคต สรุป คาถามทบทวน (3) สารบัญ (ตอ่ ) หน้า 135บทท่ี 7 เทคโนโลยีการจดั การสารสนเทศและองคค์ วามรู้ 135 ความรู้เบ้ืองต้นเกย่ี วกบั ทม่ี าขององค์ความรู้ 140 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งระบบสารสนเทศ 146 สถาปตั ยกรรมระบบการจัดการความรู้ 149 รูปแบบเทคโนโลยสี ารสนเทศกบั กระบวนการจัดการความรู้ 153 ประโยชนข์ องเทคโนโลยีสารสนเทศท่นี ามาใชใ้ นการจดั การความรู้ 157 สรุป 158 คาถามทบทวน 159บทท่ี 8 กฎหมาย จรยิ ธรรม และความปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ 159 กฎหมายทีเ่ กย่ี วข้องกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ 166 จรยิ ธรรมในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ 168 รูปแบบการกระทาผดิ ตามพระราชบญั ญัตวิ ่าดว้ ยการกระทาผิด เกย่ี วกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 171 การรกั ษาความปลอดภยั ในการใชง้ านเทคโนโลยีสารสนเทศ 174 แนวโน้มดา้ นความปลอดภยั ในอนาคต 177 สรปุ 178 คาถามทบทวน 179บทท่ี 9 การประยุกตเ์ ทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ ชีวิต 179 การประยกุ ต์เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการศกึ ษา 183 การประยกุ ต์เทคโนโลยสี ารสนเทศกับสังคม 187 การประยุกต์เทคโนโลยสี ารสนเทศกบั ธรุ กิจ 192 การประยุกตเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศกับภาครัฐ 194 การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศกบั งานบรกิ าร 196 เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการสร้างนวตั กรรม 199 สรปุ 200 คาถามทบทวน (4) สารบญั (ต่อ) หน้า 201บทท่ี 10 แนวโนม้ ของเทคโนโลยสี ารสนเทศในอนาคต 201 แนวโนม้ การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต 213 เทคโนโลยสี ารสนเทศกบั ความรบั ผิดชอบต่อสงั คมและส่งิ แวดลอ้ มในอนาคต 215 การปฏิรูปการทางานกบั การใช้ขา่ วสารบนฐานเทคโนโลยใี นอนาคต 218 การปฏบิ ัตติ นใหท้ นั ต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศ 221 สรุป 222 คาถามทบทวน 223บรรณานุกรม บทท่ี 1 บทนา รองศาสตราจารย์ ดร. สุขุม เฉลยทรพั ย์ ปัจจุบันความกาวหนาทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศไดพัฒนาอยางรวดเร็ว กอปรกับเทคโนโลยีสารสนเทศไดสรางการเปลี่ยนแปลงในทุกระดับ ตั้งแตระบบสังคม องค์การธุรกิจ และปัจเจกชน โดยเทคโนโลยีสารสนเทศกระตุนใหเกิดการปรับรูปแบบ ความสัมพันธ์ภายในสังคม การแขงขัน และความรวมมือทางธุรกิจ ตลอดจนกิจกรรมการดํารงชีวิตของบุคคลใหแตกตางจากอดีตดังนั้นบุคคลทุกคนในฐานะสมาชิกของสังคมสารสนเทศ (information society) และเชื่อมโยงปฏิสัมพันธ์ติดตอสื่อสารกันดวยเครือขายสังคมออนไลน์ (social network) สมาชิกของสังคมจําเป็นตองมีความรู ทักษะ และความเขาใจถึงศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือใหสามารถดํารงชวี ิตและดําเนนิ กจิ กรรมตา งๆ ไดอยางมีประสทิ ธภิ าพความหมายและพฒั นาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กอ นทจี่ ะกลา วถึงความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ จาํ เปน็ ตองทราบถงึ ความหมายของคาํ สองคาํ คือ สารสนเทศ (information) และขอมลู (data) ซึ่งมคี วามสัมพนั ธ์กัน กลา วคอื ข้อมูล (data) หมายถึง เหตกุ ารณข์ อ เท็จจริงตางๆ ที่มีอยูในชีวิตประจําวัน ในรูปแบบตางๆหรือขอเท็จจริงท่ีเกิดข้ึนที่เกี่ยวของกับการปฏิบัติการ เชน ตัวเลข ตัวอักษร ภาพ เสียง และภาพเคล่อื นไหว เปน็ ตน แตขอมูลเหลาน้ียังไมส ามารถนาํ ไปใชใหเ กิดประโยชน์ไดทันที สารสนเทศ (information) หมายถึง ผลลัพธ์อันเกิดจากการนําเอาขอมูลที่เก็บรวบรวมมาผา นการประมวลผล วิเคราะห์ สรุป จนสามารถนําไปใชประโยชนไ์ ด ในความสัมพันธร์ ะหวางขอมลู และสารสนเทศน้ัน สารสนเทศเกิดจากการนําขอมูลมาประมวลผล และจะไดสารสนเทศท่ีสามารถนําไปใชประโยชน์หรือเผยแพร ดังน้ันความสัมพันธ์ระหวางขอมลู และสารสนเทศจึงมีความสมั พันธ์ดงั แผนภาพข้อมูล ประมวลผล สารสนเทศ ภาพท่ี 1.1 ความสมั พันธ์ระหวางขอ มลู และสารสนเทศ 2 1. ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศมีกําเนิดจากคําสองคําคือ เทคโนโลยี และคําวา สารสนเทศซ่ึงทราบความหมายแลวขางตน สวนคําวา “เทคโนโลยี” หมายถึง ประดิษฐกรรม (innovate) ที่มีความสัมพันธ์กับการผลิต การประมวลผล และการจําแนกแจกจายสารสนเทศไปยังผูใช ตัวอยางเทคโนโลยีสารสนเทศไดแก โทรคมนาคมและวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เป็นตน เมื่อรวมกันระหวางเทคโนโลยี และสารสนเทศ กก็ ลายเปน็ เทคโนโลยสี ารสนเทศ คําวาเทคโนโลยีสารสนเทศ เรียกส้ันๆ วา IT มาจากคําวา Information Technologyตอ มามคี าํ วา ICT เรม่ิ นาํ มาใชโดยคณะกรรมาธิการการศึกษาของรัฐสภาอังกฤษ เน่ืองจากเห็นวาการใชคําวา IT หรือ เทคโนโลยีสารสนเทศ ยังขาดความชัดเจน ควรเพ่ิมคําวา Communication เขาไปดวย ตอจากนั้นมาทางองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแหงสหประชาชาติ หรือยูเนสโก(United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization: UNESCO) จงึ เร่ิมใชต ามและแพรหลายไปทวั่ โลก แตความหมายของคาํ วา ICT และ IT ไมมีความแตกตางกันแตประการใด จึงกลาววา “เทคโนโลยสี ารสนเทศ” และ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร” เป็นคาที่ใช้ทดแทนกันได้ ซ่ึงหมายถึง เทคโนโลยีสองสาขาหลักที่ประกอบดวยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมท่ผี นวกเขา ดว ยกัน เพือ่ ใชในกระบวนการสรา งสรรค์ จดั หา จดั เกบ็ คน คืน จัดการถายทอดและเผยแพรขอมูลในรูปดิจิทัล (Digital Data) ไมวาจะเป็นเสียง ภาพ ภาพเคล่ือนไหวขอความหรือตัวอักษร และตัวเลข เพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกตอง ความแมนยํา และความรวดเรว็ ใหทันตอ การนาํ ไปใชประโยชน์ (สุขมุ เฉลยทรัพย์ และคณะ, 2551, หนา 6) 2. พฒั นาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ พัฒนาการดานเทคโนโลยีสารสนเทศในอดีตไดแบงแยกกันอยางชัดเจน ท้ังในดานการประมวลผล คือ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดานการสื่อสารโทรคมนาคม มีการพัฒนามาเป็นเวลานานและมีความกาวหนาอยางรวดเร็วตั้งแตยุคอนาลอกมาสูยุคดิจิทัลในปัจจุบัน จนมาถึงเทคโนโลยีท้ังสองแกนหลักท่ีรวมตัวกันจนแยกไมออก กลายเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นทั้งคอมพิวเตอร์และการสื่อสารดังมีรายละเอียดตอไปน้ี (Williams, 1999, pp. 4-8 อางถึงใน ฐิติยาเนตรวงษ,์ 2552, หนา 4-15) 2.1 พัฒนาการทางคอมพิวเตอร์ สามารถแบงวิวัฒนาการโดยยึดการประมวลผลเป็นหลักได 7 ชว งดงั นี้ ชวงท่ี 1 ปี ค.ศ. 1621 – 1842 ในยุคน้ีไดมีการประดิษฐ์เคร่ืองคํานวณทางกลโดยปาสคาล (pascal) เครื่องคํานวณท่ีเรียก สไลด์ รูล (Slide rule) โดยเอ็ดมันด์ กันเทอร์ (EdmundGunther) และเคร่ืองคาํ นวณทางกลอตั โนมตั ิ ชวงที่ 2 ปี ค.ศ. 1843 – 1962 ในยุคนี้เกิดนักโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลกคือAda Lovelace มีการใชเ ครอื่ งมืออิเล็กทรอนิกส์ในการประมวลผลขอมูลเรียกวา punch card มีการประดิษฐ์คิดคนเครื่องมืออัตโนมัติท่ีใชงานรวมกับ punch card คือ Hollerith’s automaticนักวิทยาศาสตรท์ ้งั หลายตางคดิ คนทฤษฎีตางๆ เพ่อื ประดษิ ฐ์เคร่ืองคาํ นวณที่เรียกวา คอมพิวเตอร์ จน 3สามารถประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์เคร่ืองแรกของโลกไดคือ Mark I และพัฒนาเป็นเครื่อง ENIACและ UNIVAC ตามลาํ ดับ ชวงที่ 3 ปี ค.ศ. 1963-1969 มีการคิดคนภาษา BASIC สําหรับการเขียนโปรแกรมเพ่ือใชแทนภาษาเคร่ืองที่เขาใจยากและตองใชผูเชี่ยวชาญ ตอมาบริษัท IBM ประดิษฐ์และพัฒนาเครอ่ื งคอมพิวเตอรใ์ หม ขี นาดเล็กลงเป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ IBM360 มีการประดิษฐ์เคร่ืองคิดเลขท่ีมีขนาดเล็กแบบมือถือ และในยุคน้ีเกิดเครือขาย ARPANet ซึ่งถือวาเป็นเครือขายแรกของโลกเป็นตน แบบของเครือขายอนิ เทอร์เนต็ ในปจั จุบนั ชวงที่ 4 ปี ค.ศ. 1970 – 1980 ไดนําไมโครโปรเซสเซอร์ (microprocessor) เป็นหนวยควบคมุ และประมวลผล โดยพัฒนาข้ึนมาเพ่ือรองรับการใชฟล็อปป้ีดิสก์ (floppy disk) สําหรับการบันทึกขอมูล เกิดเครื่องคํานวณแบบพกพา ไดพัฒนาเคร่ืองคอมพิวเตอร์แบบไมโครคอมพิวเตอร์คือรุน MITs Altair 8800 และเคร่ืองคอมพิวเตอร์รุน Apple II ซ่ึงถือวาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สวนบุคคลโดยใชภ าษาแอสแซมบลี (assembly) และยุคน้เี ริม่ ใชฟลอ็ ปปด้ี ิสก์ขนาด 5 1 น้วิ สําหรับบันทึก 4ขอมูล ชวงที่ 5 ปี ค.ศ. 1981 – 1992 บริษัท IBM ไดผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์สวนบุคคลและเกิดเคร่ืองคอมพิวเตอร์แบบ Portable computer นอกจากน้ีบริษัท Apple ก็ไดผลิตเครื่องMacintosh เป็นเครอื่ งคอมพวิ เตอร์สวนบุคคลในลักษณะ desktop publishing และเร่ิมมีการใชงานเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ ชวงท่ี 6 ปี ค.ศ. 1993 – 2000 เกิดเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่แสดงบน desktop ในลักษณะมลั ติมเี ดยี เครอ่ื งคอมพวิ เตอรส์ ว นบุคคลใชสัญญาณดิจิทัล และบริษัท Apple ก็ไดผลิตเคร่ืองคอมพิวเตอร์สวนบุคคลแบบไรสาย การเชื่อมตอขอมูลไดใช portable ขนาดเล็กสามารถเช่ือมตออินเทอร์เน็ตแบบไรสายได มีการใชงานเครือขายคอมพิวเตอร์มากข้ึนและเกิดโฮมวิดีโอคอมพิวเตอร์(Home Video Computer) ชวงที่ 7 ปี ค.ศ. 2001 – อนาคต เริ่มนําระบบการประชุมทางไกล (TeleConference) มาใชงานทางดานธุรกิจ ในอนาคตคาดวารอยละ 20 ของประชากรโลกจะทํางานท่ีบา นและใชระบบเครอื ขา ยคอมพวิ เตอรเ์ ปน็ หลกั ในการดําเนินงาน ระบบการทํางานทุกอยางเป็นแบบออนไลน์แมแตการเลือกผนู ําประเทศก็สามารถเลือกท่ีบานได การปฏิสัมพันธ์กันของผูใชคอมพิวเตอร์เป็นเครือขายสังคมออนไลน์ (Online Social Network) เพื่อการตอบสนองบนโลกออนไลน์ของผูใชแตละคนโดยพบปะ แสดงความคิดเห็น แลกเปล่ียนประสบการณ์หรือความสนใจรวมกัน รวมถึงสามารถชวยกนั สรางเนือ้ หาขึ้นไดต ามความสนใจของแตละบคุ คล 2.2 พัฒนาการดานเทคโนโลยีส่ือสารโทรคมนาคม สามารถแบงวิวัฒนาการดานการสือ่ สารขอมลู และเผยแพรส ารสนเทศได 7 ชว งดังนี้ ชวงท่ี 1 ปี ค.ศ.1562 – 1834 พัฒนาการดานการส่ือสารเร่ิมตนที่ประเทศอิตาลีซึ่งเร่ิมมีการทําหนังสือพิมพ์รายเดือน ตอมาเกิดแม็กกาซีนฉบับแรกขึ้นท่ีประเทศเยอรมัน ยุคนี้มีเคร่ืองพิมพ์เครื่องแรกเกิดข้ึนที่อเมริกาเหนือ และเร่ิมการพิมพ์ภาพกราฟิกโดยใชเครื่องเมทัลเพลท(metal plate) 4 ชวงที่ 2 ปี ค.ศ. 1835 – 1875 เริ่มการสื่อสารระยะไกลโดยใชระบบดิจิทัลคือระบบโทรเลข เป็นการสื่อสารดวยขอความ มีระบบการพิมพ์ความเร็วสูง และมีการพัฒนาสายเคเบิลเพอื่ การสอื่ สารระยะไกลดวยระบบโทรเลข ชวงท่ี 3 ปี ค.ศ. 1876 – 1911 เกดิ ระบบโทรศัพท์ซ่ึงเปน็ การสือ่ สารดวยเสียง มีการพัฒนาระบบคล่ืนวิทยุ และปี ค.ศ. 1894 เอดิสันไดคิดคนภาพยนตร์ สวนปี ค.ศ. 1895 มาร์โคนี(Marconi) ไดพ ัฒนาวทิ ยุ ในสว นของภาพยนตรก์ ็พฒั นาขนึ้ เปน็ ภาพเคล่ือนไหวได ชวงที่ 4 ปี ค.ศ. 1912 – 1949 ภาพยนตร์ท่ีเป็นภาพเคล่ือนไหวไดพัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบธุรกิจกลายเป็นโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ เกิด Hollywood ในยุค ค.ศ. 1928 เกิดโทรทัศน์ภาพยนตร์ที่มีเสียงพูด เกิดธุรกิจดานความบันเทิงสื่อสารมวลชนในจอทีวี และในปี ค.ศ. 1946โทรทัศน์ไดพัฒนาเป็นโทรทัศน์สี ตอมาปี ค.ศ. 1947 เริ่มมีตัวตานทาน (Transistor) เพื่อพัฒนามวนเทปท่ีบันทกึ ขอ มลู ได (Reel to reel tape recorder) ชวงท่ี 5 ปี ค.ศ. 1950 – 1984 ยุคน้ีไดพัฒนาเคเบิลทีวี และเกิดดาวเทียมข้ึนประมาณปี ค.ศ. 1957 ระบบโทรศัพท์ไดมีการพัฒนาเป็นระบบกดปุม เมื่อปี ค.ศ. 1970 ในสวนของภาพยนตร์ไดพัฒนาเป็นภาพยนตร์ 3 มิติ และ โทรทัศน์ 3 มิติ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1982 มีการพัฒนาดา นดาวเทียมเพอ่ื การสื่อสารมากย่งิ ข้ึน ชวงท่ี 6 ปี ค.ศ. 1985 – 1999 ยุคนี้โทรศัพท์ไดพัฒนาจากระบบกดปุมตัวเลขเป็นโทรศพั ท์เคลื่อนท่ี มกี ารพัฒนาซีดีเกมส์ มาตรฐาน HDTV ปี ค.ศ. 1996 เกิดเครือขาย TV สามารถดูโทรทัศน์ไดทางอินเทอร์เน็ต การเก็บวีดิทัศน์เปลี่ยนจากเทปเป็นวิดีโอซีดี ความบันเทิงตางๆ อาทิ ดูหนงั ฟงั เพลง ชอ็ ปป้ิง ทําไดโดยผานเครือขายสื่อสารตางๆ เชน โทรทัศน์ โทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์เป็นตน ชวงที่ 7 ปี ค.ศ. 2000 – ปัจจุบัน การบริการตางๆ เป็นแบบดิจิทัล โดยใชโทรศัพท์การส่ือสารมวลชนผานโทรทัศน์จะหมดไป การส่ือสารมวลชนผานโทรศัพท์จะเขามาแทนที่ โดยการสื่อสารดวยเสนใยแกวนําแสง (fiber optics) แบบเต็มรูปแบบมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการส่ือสารแบบสังคมออนไลนผ์ านโทรศพั ทม์ ือถือ กลาวไดวาพัฒนาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศไดพัฒนาใหกาวหนาเพ่ือ ตอบสนองความตองการของผใู ชใหส ามารถเขาถึงขอมลู ขาวสารไดท กุ หน ทกุ แหง และมรี ูปแบบการใหบริการท่ีรองรับปจั เจกบคุ คลมากยง่ิ ข้นึ และเขา ไปเปน็ สวนหน่งึ ในชวี ติ ประจําวันอยา งไมร ูต วัองคป์ ระกอบของเทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบดวยองค์ประกอบท่ีสําคัญ 2 องค์ประกอบ คือ เทคโนโลยีเพ่ือการประมวลผลคือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีเพื่อการเผยแพรคือเทคโนโลยีสื่อสารและโทรคมนาคม มีรายละเอียดดังน้ี 1. เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ เน่ืองจากความซับซอนในการปฏิบัติงานและความตองการสารสนเทศท่ีหลากหลาย ทําใหมีการจัดการและการประมวลผลขอมูลดวยมือไมสะดวก ลาชา และอาจผิดพลาด ปัจจุบันจึงตอง 5จัดเก็บและประมวลผลขอมูลดวยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยใชคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สนับสนุนในการจดั การขอ มูล เพอื่ ใหการทํางานถกู ตองและรวดเร็วขึ้น คอมพิวเตอรป์ ระกอบดว ยเทคโนโลยีฮารด์ แวรแ์ ละซอฟต์แวร์ดังน้ี 1.1 ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ประกอบดวย 5 สว นหลกั คือ 1.1.1 หนว ยรบั ขอมูล (Input Unit) ทาํ หนาทรี่ บั ขอมลู จากภายนอกคอมพวิ เตอร์เขา สหู นว ยความจาํ แลว เปลีย่ นเปน็ สัญญาณในรูปแบบท่ีคอมพิวเตอรส์ ามารถเขาใจได เชน คีย์บอรด์เมาส์ เครอ่ื งอา นพิกัด (Digitizer) แผน สัมผัส (Touch pad) จอภาพสมั ผัส (Touch Screen) ปากกาแสง (Light Pen) เครื่องอา นบตั รแถบแมเหล็ก (Magnetic Strip Reader) และเครือ่ งอานรหสั แทง(Bar Code Reader) เป็นตน 1.1.2 หนวยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) ทําหนาท่ใี นการประมวลผลตามคําสั่งของโปรแกรมท่ีเก็บอยูในหนวยความจําหลัก หนวยประมวลผลกลางประกอบดวยวงจรไฟฟูาท่ีเรียกวา ไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessor) หนวยวัดความเร็วในการทาํ งานของหนวยประมวลผลกลางมีหนวยวัดเป็น MHz แตในปัจจุบันมีการพัฒนาถึงระดับ GHz คือพันลานคําสั่งตอ 1 วินาที หนวยประมวลผลกลางประกอบดวย 2 สวนหลัก คือ หนวยควบคุม(Control Unit) และหนว ยคํานวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU) 1.1.3 หนวยความจํา (Memory Unit) เป็นสวนท่ีทําหนาท่ีเก็บขอมูลหรือคําสั่งที่รับจากหนวยรับขอมูล เพื่อเตรียมสงใหหนวยประมวลผลกลางประมวลผลตามโปรแกรมคําส่ังและเก็บผลลัพธ์ที่ไดจากการประมวลผล เพ่ือสงตอใหกับหนวยแสดงผล หรือเรียกใชขอมูลภายหลังไดหนว ยความจํามี 2 สวนหลักคือ หนวยความจําหลัก (Main Memory Unit) เป็นหนวยความจําที่เก็บขอมูล และโปรแกรมคําส่ัง ท่ีอยูระหวางการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์เชน ROM และหนวยความจําสํารอง (Secondary Memory) มีหนาท่ีในเก็บขอมูลและโปรแกรมคําส่ังอยางถาวรเพื่อการใชงานในอนาคต เชน รีมฟู เอเบ้ิลไดรฟ (removable drive) และฮาร์ดดสิ ก์ เป็นตน 1.1.4 หนวยติดตอส่ือสาร (Communication Unit) เป็นอุปกรณ์ที่ใชเช่ือมโยงคอมพิวเตอรใ์ หส ามารถสือ่ สารถึงกนั ได เชน โมเด็ม (modem) และการ์ดแลน (LAN card) เป็นตน 1.1.5 หนวยแสดงผล (Output Unit) ทําหนาท่ีสงออกขอมูลท่ีไดจากการประมวลผลแลว เชน จอภาพ (Monitor) เคร่ืองพิมพ์ (Printer) เครื่องฉายภาพ (Projector) และลําโพง (Speaker) เป็นตน 1.2 ซอฟต์แวร์ (Software) เปน็ องคป์ ระกอบทสี่ าํ คัญและจําเป็นมากในการควบคุมการทาํ งานของเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ ซอฟต์แวร์สามารถแบงออกไดเปน็ 2 ประเภท คือ 1.2.1 ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) มีหนาที่ควบคุมอุปกรณ์ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นตัวกลางระหวางผูใชกับคอมพิวเตอร์หรือฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ระบบแบงเป็น 3 ชนิดใหญ คือ 1) โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operation System Program) ใชควบคุมการทํางานของคอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณพ์ วงตอกับเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ ตัวอยางโปรแกรมที่นิยมใชกัน 6ในปัจจุบัน เชน UNIX, Linux, Microsoft Windows, Windows Mobile, iOS และ Android เป็นตน 2) โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Program) ใชชวยอํานวยความสะดวกแกผูใชเคร่ืองคอมพิวเตอร์ในระหวางการประมวลผลขอมูลหรือในระหวางท่ีใชเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ตัวอยางโปรแกรมท่ีนิยมใชกันในปัจจุบัน เชน โปรแกรมเอดิเตอร์ (Editor) Norton’sUtility เปน็ ตน 3) โปรแกรมแปลภาษา (Translation Program) ใชในการแปลความหมายของคําสั่งท่ีเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ใหอยูในรูปแบบที่เคร่ืองคอมพิวเตอร์เขาใจและทํางานตามท่ีผูใชตองการ 1.2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) เป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นเพอื่ ทาํ งานเฉพาะดา นตามความตองการ ซงึ่ ซอฟต์แวรป์ ระยุกต์นส้ี ามารถแบงเป็น 2 ชนิด คอื 1) ซอฟต์แวร์ประยุกต์เพ่ืองานทั่วไป เป็นซอฟต์แวร์ที่สรางข้ึนเพ่ือใชงานทั่วไป ไมเจาะจงประเภทของธุรกิจ ตัวอยาง เชน Word Processing, Spreadsheet, DatabaseManagement และ Presentation เปน็ ตน 2) ซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงาน เป็นซอฟต์แวร์ท่ีสรางข้ึนเพ่ือใชในธุรกิจเฉพาะ ตามแตว ัตถุประสงค์ของการนาํ ไปใชซ ่งึ เขียนขนึ้ โดยโปรแกรมเมอร์ แนวโนมของคอมพิวเตอร์ที่จะไดรับความนิยมเป็นอยางสูงเพื่อการทํางานคือ อัลตราบุ฿ก(ultrabook) สว นแท็บเล็ต (tablet) ก็เป็นที่นิยมนํามาใชเพื่อความบันเทิง สําหรับซูเปอร์สมาร์ทโฟน(super smartphone) เชน ไอโฟน 4 เอส (iPhone 4s) จะมีฟีเจอร์ใหมคือ สิริ (Siri) เพื่อทําใหการสัง่ งานทาํ ไดดว ยเสยี ง หากเป็นคอมพิวเตอร์เพือ่ นํามาใชในองค์กร แนวโนมจะเป็น คลาวด์ คอมพิวติ้ง(Cloud Computing) เพื่อการวิเคราะห์ขอมูลทางธุรกิจ สนองโซเชียลบิสซิเนส (Social Business)ชวยเพ่ิมประสิทธิผล มูลคาเพิ่มของผลิตภัณฑ์และการปูองกันขอมูลขนาดใหญท่ีเรียกวา บ๊ิก ดาตา(Big Data) รวมถึงระบบรักษาความปลอดภยั เพ่อื รกั ษาความตอเน่อื งในการดาํ เนินงานและกูคนื ระบบ สวนแนวโนม ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการที่ไดรับความนิยมมากท่ีสุดคือ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) เน่ืองจากผูผลิตมือถือและแท็บเล็ตนําไปใชเป็นระบบปฏิบัติการในผลิตภัณฑ์แอนดรอยด์จึงครองสว นแบง การตลาดมากกวา 50 % ขณะท่ี ไอโอเอส (iOS) ของคาย Apple มีสวนแบง ทางการตลาด 25 % (นาตยา คชินทร, 2554, หนา 10) 2. ระบบสอ่ื สารโทรคมนาคม การสื่อสารขอมูลเป็นเร่ืองสําคัญสําหรับการจัดการและประมวลผล ตลอดจนการใชขอมูลหรือสารสนเทศในการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศที่ดีตองประยุกต์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ ในการส่ือสารขอมูลระหวางระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และผูใชท่ีอยูหางกันใหสามารถสื่อสารกันไดอ ยา งรวดเรว็ ถูกตอ ง ครบถว น ทันเหตุการณ์ และมีประสทิ ธิภาพ จากวิวฒั นาการดานการสื่อสารขอมูลนับต้ังแตปี ค.ศ. 1562 ที่เริ่มตนการส่ือสารดวยสื่อสิ่งพิมพ์ แลวพัฒนามาเป็นการส่ือสารระยะไกลดวยระบบดิจิทัล เกิดระบบโทรเลข ระบบโทรศัพท์ระบบคล่ืนวิทยุ ตลอดจนโทรศัพท์ที่ไดเขามามีบทบาทมากข้ึนในการกระจายขาวสารไปยังทองถิ่นทุรกันดาน จวบจนระบบโทรศัพท์ก็ไดถูกพัฒนาใหสามารถติดตอกันไดแบบไรสาย คอมพิวเตอร์ก็ไดเขา 7มามีบทบาทสําคัญในการดําเนินชีวิตและการทํางานของมนุษย์ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมตอกันไดผานระบบเครือขายอินเทอร์เน็ต ที่ผูคนแตละซีกโลกสามารถติดตอส่ือสารกันไดแบบไรพ รมแดนจงึ เขา สูย คุ โลกาภวิ ตั น์ (Globalization) การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตทําใหเกิด เวิล์ด ไวด์ เว็บ (www) ซึ่งพัฒนาการของเว็บระหวาง ค.ศ. 1990 – 2000 กลาวไดวาเป็นชวงของเว็บ 1.0 (web 1.0) ซ่ึงเป็นการเช่ือมตอขอมูลดิจิทัลท่สี ามารถเขาถึงไดอยางไมมีขีดจํากัด กอเกิดคลังความรูมหาศาลท่ีเผยแพรไดทั่วโลก บริการในเว็บ 1.0 เชน การรับสงอีเมล สนทนากับเพื่อนโดยใชแชตรูม (chat room) หรือโปรแกรมไออาร์ซี(Internet Relay Chat: IRC) การแลกเปล่ียนความคิดเห็นที่เว็บบอร์ด การอานขาวขอมูลตางๆ ในเว็บไซต์ เป็นตน ตอมาก็เขาสูยุคท่ีเรียกวา เว็บ 2.0 (web 2.0 ปี ค.ศ. 2000-2010) วิถีชีวิตบนอินเทอร์เน็ตจึงเปลี่ยนไป มีการใชงานอินเทอร์เน็ตเพ่ือเขียนบล็อก (Blog) การแชร์รูป วีดิทัศน์ รวมเขียนสารานุกรมออนไลน์ในวิกิพีเดีย การโพสต์ความเห็นลงในทายขาว การหาแหลงขอมูลดวย อาร์เอสเอส ฟีด (RSS feeds) เพอ่ื ดึงขอมูลมาอา นที่หนา จอ และการใช google จากพฤติกรรมการใชอินเทอร์เน็ตที่เปล่ียนไปจึงเป็นท่ีมาของเว็บ 2.0 โดยสามารถกําหนดคุณลกั ษณะของเวบ็ 2.0 ไดดังน้ี 1) ลักษณะเนื้อหามีการแบงสวนบนหนาเพจ เปลี่ยนจากขอมูลขนาดใหญมาเป็นขนาดเลก็ 2) ผูใชสามารถเขามาจดั การเน้อื หาบนหนา เวบ็ ได และสามารถแบง ปันเนอื้ หาท่ีผานการจัดการใหก บั กลมุ คนในโลกออนไลน์ 3) เนือ้ หาจะมกี ารจัดเรยี ง จัดกลุมมากขน้ึ กวา เดมิ 4) เกิดโมเดลทางธรุ กจิ ทหี่ ลากหลายมากย่ิงขน้ึ และทําใหธ รุ กิจเวบ็ ไซต์กลายเป็นธุรกิจที่มีมลู คา มหาศาล 5) การบริการคือ เว็บท่ีมีลักษณะเดนในการใหบริการหลายๆ เว็บไซต์ที่มีแนวทางเดียวกนั จะเห็นวาการใหบริการของเว็บ 1.0 สวนใหญเว็บไซต์จะเป็นไดเร็กทอร่ีรวมลิงค์ การนําเสนอขาวสาร และการเปน็ เว็บบอร์ด (webboard) ใหผูคนเขามาตั้งกระทูถามตอบ กลาวไดวาเว็บยุคแรกเวบ็ มาสเตอร์จะเปน็ ใหญ สามารถผลักดันขอมูลใดๆ ที่ตนเองตองการใหกับผูเขาชมเว็บไซต์ไดสว นในยุคของเว็บ 2.0 เปน็ เวบ็ ท่ตี อบสนองความตอ งการท่แี ทจรงิ ของผูเยี่ยมชมเว็บ อาทิ อิสรภาพในการแสดงความคิดเหน็ ที่หลากหลาย การเขาไปอานเว็บและแกไขขอมูลตามความเช่ียวชาญของแตละคน การแบงปันแลกเปล่ียนเรียนรูขอมูลไมวาจะอยูในรูปของภาพ วิดีโอ ขอความ ระหวางกันได เป็นตน จงึ เปน็ ลักษณะทผ่ี ใู ชมสี ว นรว มมากย่ิงขน้ึ และทําใหเกิดสังคมการเรียนรูออนไลน์ในที่สุด ตัวอยางเวบ็ ไซต์ทม่ี ลี กั ษณะของเว็บ 2.0 เชน 1) เว็บไซต์วิกิพีเดีย (www.wikipedia.org) เป็นสารานุกรมออนไลน์ท่ีอนุญาตใหทุกคนสามารถอานและแกไข ตลอดจนสง บทความขึ้นเว็บ ถาหากมคี วามรคู วามเชีย่ วชาญในเรือ่ งนน้ั จรงิ ๆ 2) เว็บไซต์บล็อกเกอร์ (www.blogger.com) ใหบริการบล็อกซึ่งเป็นชองทางการสื่อสารท่ีพัฒนาขึ้น เพื่อแสดงเน้ือหาแบบใหมท่ีสามารถแสดงใหอยูในรูปของขอความ รูปภาพ 8มัลติมีเดีย จัดทําโพลโหวต เพลงประกอบเว็บ และระบบแสดงความคิดเห็น ดังนั้นอาจกลาวไดวาบล็อกเป็นเครอ่ื งมือสรา งความรู เผยแพรค วามรู และแลกเปลยี่ นความรู 3) เว็บไซต์ฟลิคเกอร์ (www.flickr.com) เป็นอัลบ้ัมภาพออนไลน์เพื่ออํานวยความสะดวกในการใชงานการอัปโหลดไฟลป์ ระเภทรูปถาย สามารถจัดการภาพถายไดอยางมีประสิทธิภาพและสามารถแลกเปลย่ี นแบง ปันภาพระหวางกันไดโ ดยงา ย 4) เวบ็ ไซตย์ ทู บู (www.youtube.com) เป็นเว็บไซต์เพื่อแชร์วีดิทัศน์ สามารถอัปโหลดดาวน์โหลดวดี ิทศั น์ และสงวดี ิทศั น์ใหเพอ่ื นไดต ามความตองการ 5) เว็บไซต์เทคโนราทติ (www.technorati.com) เป็นสารบัญบล็อกซ่ึงรวบรวมความเคล่ือนไหวของบล็อกไวใ หคน หาเนือ้ หาทผ่ี ใู ชตอ งการจากบล็อกที่มากกวา 71 ลานบลอ็ ก 6) เว็บไซต์ดิก (www.dig.com) เป็นเสมือนท่ีคั่นหนังสือ (เว็บ) ออนไลน์ หากเนื้อหาเวบ็ เพจใดนา สนใจกส็ ามารถแบง ปัน แลกทคี่ ัน่ หนา เว็บได 7) เว็บไซต์เฟซบ฿ุก (www.facebook.com) เป็นชองทางใหผูใชเขาไปมีสวนรวมใชประโยชน์เชิงสังคมมากขึ้น ในรูปแบบการบริการเครือขายทางสังคมดวยการเชื่อมโยงบริการตางๆเชน อเี มล แมสเซ็นเจอร์ เว็บไซต์ บอร์ด บล็อก เขาดว ยกนั ในการใหบรกิ าร การกา วสยู ุค เว็บ 3.0 (web 3.0 ปี ค.ศ. 2010-2020) เปน็ ยคุ ที่เนนไปท่ีการพัฒนาแกไขปัญหาในระบบเว็บ 2.0 ซ่ึงยุคเว็บ 2.0 เป็นการสื่อสารบนโลกออนไลน์รูปแบบของเครือขายสังคมที่สามารถแลกเปล่ียนขอมูลกันเป็นจํานวนมากจนทําใหเกิดปริมาณขอมูลในเว็บ 2.0 มีขนาดใหญ จึงตองอาศัยเว็บ 3.0 เพ่ือการจัดการขอมูลท่ีมีปริมาณมหาศาลเพื่อใหผูใชบริการสามารถเขาถึงเนื้อหาของเว็บไดดีขึ้น ลักษณะของเว็บ 3.0 มีลักษณะดังนี้ (ศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา, 2553หนา 36-37) 1) เป็นเว็บที่ชาญฉลาดมาก (Intelligent Web) สามารถประมวลผลภาษาธรรมชาติเรียนรูและหาเหตุผล มีการประยุกต์ใชที่ชาญฉลาดโดยมีเปูาหมายเพื่อการคนหาออนไลน์ โดยอาศัยหลักการของปญั ญาประดิษฐเ์ ขามาสนบั สนุน ซง่ึ จะสามารถคาดเดาความตองการของผูใชงานวากําลังคิดและตองการคนหาขอ มลู เรือ่ งอะไร 2) เป็นเว็บเปิดกวาง (Openness) เพ่ือการประยุกต์ดานการเขียนโปรแกรมโปรโตคอลรูปแบบขอมูล ตลอดจนเปิดเผยขอมูล และเขียนพัฒนาซอฟต์แวร์เพ่ือสรางสรรค์พัฒนาเคร่ืองมือใหมๆ ได 3) เป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถใชงานรวมกับอุปกรณ์ตางๆ ได (Interoperability) รวมถึงสามารถนําเอาไปประยุกต์ใชและทํางานรวมกับอุปกรณ์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ เม่ือนําไปประยุกต์ใชจะสามารถปรับแตงไดอยางรวดเร็ว ไมวาจะเป็นการใชงานรวมกับซอฟต์แวร์ของเฟซบกุ฿ (Facebook) และมายสเปซ (Myspace) รวมถึงอนุญาตใหผูใชสามารถทองเว็บไดอยางอิสระจากโปรแกรมหนึ่งไปยังอกี โปรแกรมหน่ึง หรือจากฐานขอ มลู หน่ึงไปยงั อกี ฐานขอมูลหนงึ่ 4) เป็นศูนย์ของฐานขอมูลท่ัวโลก (A Global Database) แนวคิดของเว็บ 3.0 ทําใหสามารถเปิดเขา ไปดฐู านขอ มลู ขนาดใหญทวั่ โลก จึงไดรับการขนานนามวา เว็บแหงขอมูล (The DataWeb) โดยจะใชโครงสรางของระเบียนขอมูลท่ีถูกเผยแพรไปแลวยอนกลับนํามาใชใหมดวยรูปแบบ 9ควบคุมการสอบถามขอมูล ไมวาจะเป็นเทคโนโลยี XML, RDF Scheme, OWL และ SPARGL จะสามารถทาํ ใหส ารสนเทศถกู เปดิ อา นไดแ มว า จะอยคู นละโปรแกรมหรือคนละเว็บก็ตาม 5) เว็บ 3 มิติ สูอนาคต (3D Web & Beyond) แนวคิดเว็บ 3.0 จะใชตัวแบบของภาพ 3มิติ และทําการถายโอนภาพจริงไปเป็นลักษณะของภาพ 3 มิติ เชน การใหบริการชีวิตท่ีสอง(Second Life) และการใชจําลองตัวตนข้ึนมาใหเป็นลักษณะภาพ 3 มิติ และจะขยายออกไปเป็นลักษณะทางชีวภาพจินตนาการ ในเว็บ 3.0 ท่ีถูกสรางข้ึนจะสามารถเช่ือมตอไปกับหลายอปกรณ์ไมเพียงแตโทรศพั ทม์ ือถือเทา น้ัน แตยงั สามารถเช่ือมตอไปยังรถยนต์ คล่ืนไมโครเวฟ เพ่ือการบูรณาการประสบการณช์ วี ิต 6) การควบคุมสารสนเทศ (Control of Information) ดวยศักยภาพของเว็บ 3.0 จะชวยควบคุมสารสนเทศที่อยูในเว็บ 2.0 ที่มีมากจนเกินไปใหอยูในความพอดี ดวยการพยายามหลีกเล่ียงการชนหรือปะทะกันของโปรแกรมและรหัสผานที่อยูบนเว็บ โดยเฉพาะเว็บที่เป็นเครือขายสังคมออนไลน์ และเวบ็ 3.0 จะนําคาํ สง่ั และอนญุ าตใหผใู ชส ามารถคนหาขอ มูลทถ่ี ูกตองไดมากย่งิ ข้นึ 7) เว็บวาดวยความหมายของคําและประโยค (Semantic Web) หรือเป็นพื้นฐานของเว็บสมยั ใหมคลา ยกับขอบขา ยงานคําอธิบายทรัพยากร (Resource Description Framework: RDF)เพื่ออธิบายอภิขอมูล (Metadata) ของเว็บไซต์ หรือการอธิบายสารสนเทศบนเว็บไซต์ สามารถวิเคราะห์วัตถุประสงค์ดวยเว็บเครือขายแมงมุม (Web Spiders) จึงทําใหคนหาขอมูลมีความถูกตองมากยิง่ ขนึ้ กลาวโดยสรุปองค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศประกอบดวยระบบคอมพิวเตอ ร์และระบบส่ือสารโทรคมนาคม ซึ่งคอมพิวเตอร์ประกอบดวยฮาร์ดแวร์ท่ีมีองค์ประกอบหลัก 5 สวนคือหนวยรบั ขอ มูล หนวยประมวลผล หนวยความจํา หนวยติดตอส่ือสาร และหนวยแสดงผล นอกจากน้ีระบบคอมพิวเตอร์ตองประกอบดวยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นโปรแกรมหรือชุดคําส่ังในการควบคุมการทํางานของเคร่อื งคอมพวิ เตอร์สามารถแบงได 2 ประเภทคือ ซอฟต์แวร์ระบบและซอฟต์แวร์ประยุกต์ในการประยุกต์ใชงาน โดยรายละเอียดของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จะกลาวตอไปในบทท่ี 2 เรื่องเทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ ในสวนของระบบสื่อสารโทรคมนาคมจะเห็นวาความกาวหนาของเทคโนโลยีส่ือสาร ทําใหผูใชส ามารถติดตอ ส่ือสารกันไดสะดวกและรวดเร็ว เป็นยุคไรพรมแดนท่ีใหความสําคัญแกผูใชงาน ใหมสี วนรว มในการกําหนดรูปแบบการทํางานไดดวยตนเอง โดยอาศัยเคร่ืองมือในเว็บ 2.0 ท่ีพัฒนาจากเว็บ 1.0 ซ่งึ ทําใหเกิดสงั คมการเรียนรูอ อนไลนห์ รอื เกิดศนู ยค์ วามรูทางออนไลน์ได จวบจนปัจจุบันกาวเขาสูเว็บ 3.0 ท่ีเนนการเขาถึงเนื้อหาไดดีขึ้นทามกลางปริมาณขอมูลที่ทวมทน ซึ่งจะไดกลาวโดยละเอียดตอไปในบทที่ 3 และบทท่ี 4 เรอ่ื ง เทคโนโลยีการสือ่ สารขอ มูล และอินเทอรเ์ น็ต 10บทบาทและทกั ษะทางเทคโนโลยสี ารสนเทศในยคุ ส่ือใหม่ 1. บทบาทของสอื่ ใหมก่ ับสภาวะปจั จบุ นั สื่อใหม (New Media) หรือสอ่ื นฤมติ เปน็ สื่อท่ีเกิดจากการสรางสรรค์หรือการใชงานกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สามารถโตตอบกับผูใชงานได และมักจะอยูในรูปแบบดิจิทัล และสามารถติดตอสื่อสารทั้งของบุคคลและสื่อที่ถูกแปลง (Transform) โดยการใชเทคโนโลยีอยางสรางสรรค์เพ่ือใหเกิดระบบการสะทอนกลับ ปฏิสัมพันธ์ หรือการดําเนินการ เพ่ือใหผูใชสามารถรับขอมูลขาวสารในรูปมัลติมีเดียแบบ Real Time โดยผานทางคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือไดทั่วโลกดงั นั้นส่ือใหมจึงเกิดจากการหลอมรวมเทคโนโลยีการส่ือสารภายใตพัฒนาการของภาษาระบบตัวเลข(Digital Language) เทคโนโลยีการสื่อสาร 3 กลุมหลักประกอบดวย 1) เทคโนโลยีดานการพิมพ์2) เทคโนโลยีแพรภาพและกระจายเสียง และ 3) เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์เชน หนังสือพิมพ์ออนไลน์ โปรแกรมแชท เครือขายสังคม เชน ไฮไฟฟ เฟซบ฿ุก ทวิตเตอร์ แคมฟร็อก บล็อก เป็นตน สําหรับปัจจัยเรงใหเกิดส่ือใหม คือ ความแพรหลายของอินเทอร์เน็ต การหลอมรวมเทคโนโลยีส่ือ และการคาเสรีขององค์การการคาโลก (ศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา,2553 หนา 42; เดลินิวส์ออนไลน์, 2553) โดยสื่อใหมเขามามีบทบาทในวงการสาขาอาชีพตางๆ สรุปไดด งั น้ี 1.1 การประยกุ ต์ดานการศกึ ษา เชน ระบบบริหารการเรียน (Learning ManagementSystem: LMS) Ning และ Elgg เพื่อใชเป็นระบบบริหารจัดการเรียนการสอนบนเครือขายสังคมออนไลน์แบบสรางตอยอดไดดวยตนเอง ระบบ Streaming และ Broadcasting วีดิทัศน์การเรียนการสอนโดยการถายทอดสดและการทําวีดิทัศน์ตามอัธยาศัย (Video on Demand) ใหผูเรียนสามารถเขาเรียนไดผานเว็บ รวมถึงการใช Twitter, Facebook, Hi5, Myspace และ Blog เพ่ือการแลกเปลย่ี นเรียนรูแ ละการเรียนรูเป็นทีมในการสรา งชมุ ชนการเรียนรูออนไลนไ์ ด 1.2 การประยุกต์ดานธุรกิจ ซึ่งนอกจากใชเว็บไซต์เพื่อการดําเนินธุรกิจแลว ธุรกิจบริการขอมูลผา นโทรศัพท์มอื ถือ ก็เปน็ บริการทน่ี าํ ขอมูลขาวสารจากสอ่ื โทรทัศน์ ส่ือวทิ ยุ หรือสื่ออื่นๆมาพัฒนาใหมีเน้ือหาและรูปแบบการนําเสนอท่ีสามารถตอบรับกับวิถีการใชชีวิตที่ทันสมัยของคนยุคใหม อาทิ รูปแบบขอความสั้นๆ (Short Message Service: SMS) และภาพเคลื่อนไหวพรอมเสียง(Multimedia Messaging Service: MMS) 1.3 การประยุกต์ใชดานการเมือง จะพบวาส่ือมีบทบาทและอิทธิพลกับการเมืองตั้งแตอดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นชองทางในการนําเสนอขาวสารไปยังประชาชนของประเทศโดยเฉพาะอยางย่ิงในปัจจุบันจะพบวาผูนําประเทศในหลายๆ ประเทศไดนํา Social Media มาใชเชน เฟซบุ฿ก (Facebook) และ ทวิตเตอร์ (Twittter) มาใชในการพูดคุย ประชาสัมพันธ์เพ่ือใหเขาถึงคนรุนใหมที่นับวาคอนขางจะมีพลังในการรวบรวมกําลังคนท่ีมีแนวคิดเดียวกัน เป็นพลังขับเคลื่อนใหเกิดการเปลีย่ นผูนําประเทศท่ีเห็นไดเดนชัดคือประเทศในซีกโลกอาหรับ เชน ตูนิเซีย และอียิปต์ เป็นตน 2. ทักษะทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2546 ใหความหมายของทักษะ (Skill) วาความชํานาญ หมายถึง ความเชี่ยวชาญ จัดเจน ทักษะท่ีจําเป็นสําหรับการเรียนรูดวยตนเองในสังคม 11แหงภูมิปัญญาและการเรียนรู คือ ทักษะการคนหาสารสนเทศ การใชเคร่ืองมือ บริการตางๆ ในอินเทอร์เนต็ การเลือกใชแ ละประยกุ ต์ใชเทคโนโลยสี ารสนเทศไดอ ยางมปี ระสิทธภิ าพ ในยุคฐานความรูและภูมิปัญญา (knowledge based age) ผูปฏิบัติงานควรมีทักษะในการใชเ ทคโนโลยสี ารสนเทศ คือ 1) ทักษะการรูสารสนเทศ (Information Literacy) คือ ความสามารถในการคนหาสารสนเทศ การเลอื กใช การใช การวเิ คราะห์ กอนที่จะนําไปประยุกตใ์ ชไดอยางถกู ตองและเหมาะสม 2) ทักษะการใชหองสมุดอิเล็กทรอนิกส์ คือ การฝึกทักษะการคนหาสารสนเทศ ทักษะการอา น และการวิเคราะหส์ ารสนเทศ กอนนาํ ไปใชในการปฏบิ ัติงาน 3) ทักษะการใชเทคโนโลยีระบบสารสนเทศ คือ ความสามารถในดานการจัดการสารสนเทศ ไมว าจะเปน็ การบันทึกแกไข การจัดทํารายงาน งานบัญชี งานลงทะเบียน ซ่ึงจะสงผลใหองคก์ รไดร ับความสะดวกในการทาํ งาน หรืออาจใชเป็นขอมูลชว ยในการตดั สนิ ใจดวย 4) ทักษะการใชเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คือ ความสามารถในการใชเคร่ืองคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวของเพื่ออํานวยความสะดวกในการจัดเก็บ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ขอมูลและสารสนเทศได ซึ่งคอมพิวเตอร์จัดเป็นเทคโนโลยีแกนหลักท่ีสําคัญในการนํามาประยุกต์รวมกับเทคโนโลยีดา นอืน่ ๆ ตอ ไป 5) ทกั ษะการใชเ ทคโนโลยเี ครือขาย คือ ความสามารถในการใชเทคโนโลยีระบบส่ือสารตางๆ เพื่อประโยชน์ทางดานการเขาถึงขอมูล เชน เครือขายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เครือขายโทรศัพท์ เครือขา ยการเขา ถึงแบบไรสาย และเครอื ขา ยวิทยุโทรทศั น์ เปน็ ตน 6) ทักษะการใชเทคโนโลยีสํานักงานอัตโนมัติ คือ ความสามารถในการประยุกต์ระบบเครือขา ยมาใชเ ช่ือมโยงคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์สาํ นกั งาน เพ่ืออํานวยความสะดวกในการดําเนินงานและเพมิ่ ประสทิ ธิภาพการทาํ งานขององค์กร จากทักษะท่ีจําเป็นในยุคฐานความรูและภูมิปัญญาที่ไดกลาวมาแลว ความหมายทักษะทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology Literacy) จึงสรปุ ไดว า ความสามารถ ความชํานาญในการใชเทคโนโลยีสารสนเทศดานตางๆ เกี่ยวกับ ระบบคอมพิวเตอร์ ขอมูลและสารสนเทศการประมวลผล การส่ือสาร ระบบเครือขาย ฐานขอมูลสารสนเทศ และการจัดการ เพื่อการบันทึกการใช วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ จัดเก็บ การเผยแพร และการนาํ สารสนเทศไปใชประโยชน์ไดถูกตองและเหมาะสม ซึ่งจะเป็นประโยชน์แกผูมีความรูและมีทักษะทางเทคโนโลยีสารสนเทศดังน้ี (ฐิติยาเนตรวงษ์, 2552, หนา 31) 1) สามารถใชคอมพิวเตอร์ไดส ะดวกและคมุ คามากขนึ้ 2) ตามทันกับสภาพสังคมที่มีการใชเทคโนโลยีสารสนเทศ และคาดการณ์แนวโนมการใชในอนาคตได 3) มีความรูความสามารถในการเลือกซ้ือหรือเลือกใชฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไดเหมาะสมกบั งานและความตองการของตนเอง 4) เป็นผมู คี วามรูทนั ขาวสารและเหตุการณ์ปจั จบุ นั อยเู สมอ 5) เปน็ ผูมีความรกู วา งขวางในหลากหลายสาขาและไดรบั ความรูรอบตวั มากข้ึน 12 การอุบตั ขิ นึ้ ของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารที่กาวหนาจึงทําใหตองมีการพัฒนาทักษะแหงศตวรรษที่ 21 เพื่อเป็นทักษะ “อันย่ังยืน” (Perennial) ที่สรางคุณคา และสรางทักษะ“ตามบริบท” (Context) ที่จําเป็นสําหรับการทํางานและการเป็นพลเมืองในสหัสวรรษใหม โดยแนวคิดและทักษะแหงศตวรรษที่ 21 มีดังตอไปน้ี (เบลลันกา และแบรนด์; แปลโดย วรพจน์ วงศ์กิจรุงเรือง และอธิป จิตตฤกษ์, 2554, หนา 35) 1) แนวคิดสําคัญในศตวรรษที่ 21 ประกอบดวย จิตสํานึกตอโลก ความรูพื้นฐานดานการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเป็นผูประกอบการ ความรูพ้ืนฐานดานพลเมือง ความรูพ้ืนฐานดา นสขุ ภาพ และความรพู ื้นฐานดา นส่งิ แวดลอม 2) ทักษะการเรียนรูและนวัตกรรม ประกอบดวย ความคิดสรางสรรค์และผลิตนวัตกรรม การคิดเชิงวิพากษ์และการแกไขปัญหา การสื่อสารและการรวมมือทํางาน รวมถึงการเรียนรูตามบริบท หมายความวา ผูเรียนนอกจากเรียนรูเน้ือหาวิชาการแลวจําเป็นตองรูจักวิธีเรียนรูอยางตอ เนื่องตลอดชวี ติ รจู กั ใชส ิ่งท่เี รยี นมาอยางอยา งประสทิ ธผิ ลและสรางสรรค์ 3) ทักษะดานสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี ประกอบดวย ความรูพ้ืนฐานดานสารสนเทศ ความรูพื้นฐานดานสื่อ และความรูพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร(ไอซที )ี กลา วคอื ผเู รียนมคี วามสามารถในการใชทักษะเหลานี้พัฒนาความรูและทักษะแหงศตวรรษที่21 ในบริบทการเรียนรูเพื่อเขาถึงเนื้อหาและทักษะตางๆ จะไดรูจักวิธีเรียนรู การคิดเชิงวิพากษ์ การแกไขปญั หา การใชข อมลู ขาวสาร การส่อื สาร การผลิตนวตั กรรม และสารมารถรว มมอื กนั ทํางานได 4) ทักษะชีวิตและการทํางาน ประกอบดวย ความยืดหยุนและความสามารถในการปรับตัว ความคิดริเริ่มและการช้ีนําตนเอง ทักษะทางสังคมและการเรียนรูขามนวัตกรรม การเพิ่มผลผลิตและความรูรับผิดชอบตอสังคม ความเป็นผูนําและความรับผิดชอบ ซ่ึงความทาทายในปัจจบุ นั คอื การผสานทกั ษะท่จี ําเป็นเหลา น้ีในสถานศึกษาอยางจงใจ แยบคาย และรอบดาน ดังน้ันทักษะทางเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสําคัญตอการสรางสังคมสารสนเทศ และการอยูรวมกันในเครือขายสังคมเพราะสังคมสารสนเทศเป็นสังคมท่ีเนนใชเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจดั เก็บ ประมวลผล สบื คน และเผยแพรสารสนเทศ มีการใชผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์ตางๆ ซ่ึงผูใชตองสามารถใชเทคโนโลยีสารสนเทศไดดวยตนเอง ทั้งโดยทางตรงและโดยทางออม ฉะนั้นการพัฒนาคนใหมีความรู และทักษะในดานเทคโนโลยีสารสนเทศ ซ่ึงภาครัฐตองกําหนดนโยบายเพ่ือสงเสริมและสรางศักยภาพ ความสามารถของคนในสังคม ตลอดจนลงทุนดานโครงสรางพ้ืนฐาน โดยอาศัยความรวมมอื หลายฝุาย ใหท กุ คนสามารถเขาถึงสารสนเทศและความรูโดยเทาเทียมกัน อันจะสงผลใหคนในสังคมมีความรอบรู ตามทันสภาพสังคมสารสนเทศ และสามารถคาดการณ์แนวโนมการใชไดในอนาคต 3. แนวโน้มและบทบาทของส่อื ใหม่ในอนาคต ระบบเครือขายอินเทอร์เน็ตทําใหโลกของการส่ือสารเปลี่ยนไปอยางรวดเร็ว การติดตอส่ือสารระหวางบุคคล หนวยงาน หรือการเผยแพรขาวสารขอมูลสูสาธารณะเป็นสิ่งท่ีงายและรวดเร็ว สื่อใหมจึงสงผลกระทบตอส่ือสิ่งพิมพ์ที่เป็นส่ือเดิม โดยเฉพาะอยางยิ่งส่ือโทรศัพท์มือถือที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะกลายเป็น “ส่ือใหม” ที่ทรงพลังอันประกอบดวย 1) ความตองการที่จะส่ือสารของมนุษย์ทุกคน 2) โทรศัพท์มือถือถูกออกแบบใหมีขนาดเล็ก สามารถพกพาไปใชงานไดทุกท่ี 3) 13โทรศัพทม์ ือถอื เป็นเสมือนจุดหมายปลายทางของการผสมผสานกันของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ท้ังปวงสื่อใหม ผานชองทางใหมๆ ยอมกระตุนการรับรูของผูรับสารไดเป็นอยางดี 4) สามารถทําการซื้อขายสินคา หรือกระทําการใดๆ ผานโทรศัพท์มือถือ จึงทําใหส่ือใหมผานโทรศัพท์มือถือไดรับความนิยมเป็นอยา งสูง การเติบโตของสือ่ ใหม จงึ ไมใ ชแ คส อื่ ออนไลน์ แตครอบคลมุ หลายส่ือรวมกัน ไมวาจะเป็นส่ือโฆษณารูปแบบตางๆ SMS รายงานขาวผานโทรศัพท์มือถือ ผานเครือขายสังคมออนไลน์ (SocialNetwork) หรือ เทคโนโลยี 3G ลวนเป็นเทคโนโลยีใหมที่เติบโตขึ้นมาทาทายส่ือดั้งเดิมอยางหนังสือพิมพ์ และนิตยสาร เกิดเป็นคําถามข้ึนบอยครั้งวา ทิศทางของส่ือส่ิงพิมพ์จะเป็นอยางไร แตส่ิงพมิ พก์ ็ยังไมหายไปแตมีการนําเสนอควบคูไปกับส่ือออนไลน์ พฤติกรรมการบริโภคสื่อในอนาคตจะเปล่ียนไปตามวิวัฒนาการดานการส่ือสาร ซ่ึงการบริโภคขาวสารของคนทั่วไปจะเร่ิมหันมาบริโภคขาวสารผานระบบออนไลน์มากข้ึน ไมวาจะผานคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์เคล่ือนที่ ผูผลิตคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อุปกรณ์สื่อสาร รวมถึงผูใหบริการโครงขายการส่ือสารก็จะปรับแผนและกลยทุ ธเ์ พื่อใหพรอมบริการแกผ ูบริโภคและการแขงขัน สื่อส่ิงพิมพ์จะปรับเปลี่ยนรูปแบบใหบริการขอมูลผานทางอินเทอร์เน็ต ท้ังในรูปแบบขอความสั้น ขอความมัลติมีเดีย รวมถึงการใชเครือขายสังคมเพื่อใหผ บู ริโภคสามารถเขาถงึ ธุรกิจและติดตามขา วสารไดต ลอดเวลา จากท่ีกลาวมาจึงพบวาบทบาทของสถาบันการศึกษามีสวนที่จะสงเสริมความรู และทักษะดานเทคโนโลยีสารสนเทศแกผูเรียน และบุคลากรภายในสถาบันการศึกษา คือ การพัฒนาแหลงบริการสารสนเทศที่สําคัญ ซึ่งตองมีการปรับรูปแบบใหมในการใหบริการในสถานศึกษาท่ีตองเนนใหผใู ชบรกิ ารไดม สี ว นรวมในการกาํ หนดรปู แบบสารสนเทศที่ตองการได โดยการพัฒนาระบบฐานขอมูลใหเอื้อตอการเขาถึงไดตลอดเวลา และเสริมสรางการเรียนรูแบบทุกที่ ทุกเวลา ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ทุกรูปแบบ น่ีจึงเป็นตัวอยางความทาทายทางเทคโนโลยีที่กําลังเกิดขึ้น ผูเรียนและผูสอนจึงตองเกาะสังคมขอมูลขาวสารใหทัน เพราะหนังสือพิมพ์ วรรณกรรม และพจนานุกรมแบบเกาจะอยูในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด สารานุกรมแบบโตตอบและอุปกรณ์ระบุพิกัดบนโลก ( GlobalPositioning Device) จะกลายเป็นของปกติ โลกไดกลายเป็นโลกแหงการเชื่อมตอความเร็วสูง การสื่อสารทางออนไลน์ บลอ็ ก วิกิ (Wiki) พ็อดคาสท์ (Podcast) การดึงขอมูลแบบอาร์เอสเอส (RSSfeed) ดว ยระบบสํารองขอ มูล ไทม์แมชชีน (Time Machine) และ โมซ่ี (Mozy) เครื่องมือสืบคน เชนGoogle, Yahoo และ Bing ชวยหาสิ่งที่ตองการในเวลาเสี้ยววินาที และยังมีสื่อสําหรับรับชมหองสมุดภาพยนตร์ คลังวิดีโอ เว็บไซต์อยาง Youtube, TeacherTube และ Hulu รายการโทรทัศน์และเกมออนไลน์ ที่พรอมเขาถึงไดตลอดเวลา สวนการเรียนการสอนในโลกดิจิทัล คือยุคที่การเรียนรูเกดิ ขึ้นไดท ุกทท่ี ุกเวลาดวยระบบอยางเชน Blackboard, Moodle, Ning และ Elgg การสัมมนาผานเว็บ (Webinar) การประชุมทางไกลผานวิดีโอคอนเฟอร์เร็นซ์ เคร่ืองอานหนังสืออิเล็กทรอนิกส์Kindle และสารานุกรม Wikipedia รวมทั้งเคร่ืองมือเครือขายสังคม เชน MySpace, Facebook,Linkedin และ Skype ที่เปน็ พืน้ ท่สี าํ หรับเช่อื มตอระหวางบุคคลไดทันทีไมวาใกลหรือไกล (เบลลันกาและแบรนด์; แปลโดย วรพจน์ วงศก์ ิจรงุ เรือง และอธิป จติ ตฤกษ,์ 2554, หนา 177) 14ประโยชนแ์ ละความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศจัดวาเป็นเทคโนโลยียุทธศาสตร์สําคัญแหงยุคปัจจุบันและอนาคตเนื่องจากมคี วามสามารถในการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพและสมรรถภาพในเกอื บทกุ ๆ กจิ กรรม โดยกอใหเกิดการลดตนทุนหรือคาใชจาย ชวยเพ่ิมคุณภาพงาน การสรางกระบวนการหรือกรรมวิธีใหมๆ แกผูใชไดรบั สารสนเทศตามตองการ เทคโนโลยสี ารสนเทศมีประโยชน์ตอผูใชส รปุ ไดด ังนี้ 1) เทคโนโลยสี ารสนเทศชวยเพ่ิมผลผลิต ลดตนทุน และเพ่ิมประสิทธิภาพในการทํางาน ในการประกอบธรุ กจิ และการอุตสาหกรรม จึงไดมกี ารนําคอมพวิ เตอร์และระบบส่ือสารโทรคมนาเขามาชวยในการทํางาน เชน ระบบสํานักงานอัตโนมัติ การบริการในระบบออนไลน์ท่ีสามารถดําเนินกจิ กรรมทางการเงนิ ไดสะดวก รวดเร็วโดยไมจ ํากัดสถานทแ่ี ละเวลา เป็นตน 2) เทคโนโลยีสารสนเทศเปล่ียนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย โดยการพัฒนาระบบขอ มูลและรูปแบบการบริการใหผูใชบริการสามารถเลือกรูปแบบการบริการไดตามความตองการและสามารถเลือกเวลาและสถานที่บริการไดตามสะดวก เชน สามารถสั่งซื้อสินคาไดทุกท่ี ทุกเวลาสามารถสอบถามขอ มูลผานทางโทรศัพท์ นักศึกษาทําการลงทะเบียน และตรวจผลการเรียนไดโดยไมจาํ กัดสถานที่ เปน็ ตน 3) เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นส่ิงท่ีจําเป็นสําหรับการดําเนินการจัดเก็บรวบรวมขอมูลในหนวยงานตางๆ ในปัจจุบันทุกหนวยงานไมวาจะเป็นองค์กรของรัฐหรือเอกชนตางก็พัฒนาระบบรวบรวมจดั เกบ็ ขอ มูลเพือ่ ใชในองคก์ รเนอ่ื งจากสามารถเก็บขอมูลไดจํานวนมาก ใชพ้ืนที่ในการจัดเก็บนอย อํานวยความสะดวกในการคนหา และปรับปรุงขอมูลใหทันสมัยไดโดยงาย ตัวอยางของงานเชนระบบทะเบยี นราษฎร์ ระบบเวชระเบียนในโรงพยาบาล ระบบการจัดเก็บภาษี เป็นตน 4) เทคโนโลยีสารสนเทศชวยการเสริมสรางคุณภาพชีวิตใหดีข้ึน สภาพความเป็นอยูของสังคมเมือง มีการพัฒนาระบบประมวลผลดวยคอมพิวเตอร์ มีการพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคมเพื่อติดตอส่ือสารใหสะดวกข้ึน ดังน้ันในการดําเนินชีวิตประจําวันจึงสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นจากการประยกุ ต์ใชเทคโนโลยีสารสนเทศกับเครื่องอํานวยความสะดวกภายในบาน เชน บานอัจฉริยะท่ีมีการควบคุมการทํางานดวยระบบคอมพิวเตอร์ ตูเย็นอัจฉริยะท่ีสามารถยืดอายุอาหารที่แชในตูเย็นและมีระบบเตือนเม่ืออาหารใกลหมดอายุ เป็นตน 5) เทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การพฒั นาการเรยี นการสอน ปัจจุบันระบบการเรียนการสอนมีความยืดหยุนมากยิ่งขึ้นเม่ือมีการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใชในการเรียนการสอนท่ีเอื้อใหผูเรียนเรียนไดตามอัธยาศัยโดยไมจํากัดเวลา และสถานที่ เชน บทเรียนออนไลน์ที่สามารถเรียนผานเว็บ ยบู คิ วติ ัสเลิร์นน่งิ (ubiquitous learning) ที่ผเู รยี นสามารถเลอื กเรยี นไดท กุ ท่ี ทุกเวลา ตามความตองการของตน วีดีทัศน์ตามอัธยาศัยท่ีผูเรียนสามารถควบคุมบทเรียนไดเหมือนเปิดวีดิทัศน์นอกจากนี้เทคโนโลยีสารสนเทศยังนํามาชวยในดานการจัดการเชน การจัดตารางสอน การคํานวณระดบั คะแนน การเก็บขอ มูลตางๆ ของผูเรียน เป็นตน 6) เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การจัดการสภาพแวดลอม ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติไดมีการประยุกต์ใชเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือชวยในการจัดการ อาทิ การใชภาพถายดาวเทียม การใชระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) การจําลองรูปแบบสภาวะ 15แวดลอม การติดตามขอมูลสภาพอากาศ การตรวจวัดมลภาวะ การจัดการนํ้าและการเฝูาระวังอุทกภยั ดว ยระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร์ เปน็ ตน 7) การปูองกันประเทศและความมั่นคงโดยเทคโนโลยีสารสนเทศ ในดานกิจการทหาร และตํารวจเพื่อการรักษาความม่ันคงปลอดภัย และการปูองกันประเทศ มีการใชเทคโนโลยีสารสนเทศมาชวยในการดําเนินการ อาทิ การใชคอมพิวเตอร์ทําประวัติผูกอการราย ผูกออาชญากรรม ระบบเฝูาระวังโดยใชคอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมการทํางาน อาวุธยุทธโธปกรณ์ และขีปนาวุธสมัยใหม เป็นตน 8) การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม ในการแขงขันทางดานการผลิตสินคาอุตสาหกรรม จําเป็นตองหาวิธีในการเพ่ิมผลผลิต ควบคุมการผลิตใหไดมาตรฐาน ดําเนินการไดรวดเรว็ และลดตน ทุนการผลิต เชน การใชระบบคอมพิวเตอร์ควบคมุ การผลิต และการบริการ การใชหุนยนต์มาชว ยในดา นแรงงาน และการทดสอบคุณภาพแทนแรงงานของมนุษย์ เปน็ ตน 9) เทคโนโลยีสารสนเทศในดานการแพทย์ จะนํามาใชในระบบแพทย์ทางไกล(Telemedicine) สามารถปรึกษาแพทย์ผูเชี่ยวชาญทางไกลได อุปกรณ์ทางการแพทย์ท่ีนําระบบคอมพิวเตอร์มาชวยในการควบคุมคุณภาพและการตรวจรักษาโรค การใชระบบแพทย์ผูเช่ียวชาญ(Expert System) เพ่ือการวินิจฉัยโรค 10) ความบันเทิงโดยอาศัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจุบันความบันเทิงรูปแบบตางๆไดนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชเ พ่ือเพิ่มขีดความบันเทิง ใหผูใชบริการไดรับความสะดวกสบายมากยิ่งข้ึน เชน การจองตัว๋ หนังทางออนไลน์ การใชคาราโอเกะออนดมี านด์ และระบบโฮมเธียร์เตอร์ที่ควบคุมดวยระบบคอมพวิ เตอร์ เป็นตน จะเห็นวาเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสําคัญและมีประโยชน์ตอชีวิตประจําวันเป็นอยางมากสามารถประยุกต์ใชเทคโนโลยีสารสนเทศไดหลากหลายสาขา อาทิ ดานการศึกษา การแพทย์ ดานอุตสาหกรรม ดานสิ่งแวดลอม ดานความบันเทิง ดานการทหารและตํารวจ ตลอดจนอํานายความสะดวกสบายในการดําเนินชีวิตประจําวนั มากยงิ่ ขึน้ผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 1. ผลกระทบในเชงิ บวก การกําเนิดของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณหกสิบกวาปีที่แลว เป็นกาวสําคัญท่ีนําไปสูยุคสารสนเทศ ในชวงแรกมีการนําเอาคอมพิวเตอร์มาใชเป็นเครื่องคํานวณ แตตอมาไดมีความพยายามพัฒนาใหคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สําคัญสําหรับการจัดการขอมูล เมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ไดกา วหนามากข้ึน ทาํ ใหส ามารถสรางคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลง แตประสิทธิภาพสูงขึ้น สภาพการใชงานจึงใชงานกันอยางแพรหลาย ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีตอชีวิตความเป็นอยูและสังคมจึงมีมาก มีการเรียนรูและใชสารสนเทศกันอยางกวางขวาง ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมกลาวไดดงั น้ี 1.1 การสรางเสริมคุณภาพชีวิตท่ีดีขึ้น สภาพความเป็นอยูของสังคมเมือง มีการพัฒนาใชระบบสื่อสารโทรคมนาคมเพือ่ ตดิ ตอ ส่ือสารใหสะดวกขนึ้ มีการประยุกต์มาใชกับเคร่ืองอํานวยความสะดวกภายในบา น เชน ใชควบคุมเครือ่ งปรับอากาศและใชควบคมุ ระบบไฟฟาู ภายในบาน เป็นตน 16 1.2 เสรมิ สรางความเทาเทยี มในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทําใหเกิดการกระจายไปท่ัวทุกหนทุกแหง แมแตถ่ินทุรกันดาร ทําใหมีการกระจายโอกาสการเรียนรู มีการใชร ะบบการเรียนการสอนทางไกล การกระจายการเรียนรูไปยังถิ่นหางไกล นอกจากน้ีในปัจจุบันมคี วามพยายามทีใ่ ชระบบการรักษาพยาบาลผานเครอื ขายสื่อสาร 1.3 สารสนเทศกับการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนําคอมพิวเตอร์และเคร่ืองมือประกอบชวยในการเรียนรู เชน วีดิ ทัศน์ เครื่องฉายภาพคอมพิวเตอร์ชวยสอน คอมพิวเตอร์ชวยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คํานวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียน ทํารายงานเพื่อใหผูบริหารไดทราบถึงปัญหาและการแกปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในสถานศึกษาปัจจุบันมีการเรยี นการสอนทางดานเทคโนโลยสี ารสนเทศในสถานศกึ ษาทุกระดับมากย่ิงขน้ึ 1.4 เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดลอม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอยางจาํ เป็น ตองใชส ารสนเทศ เชน การดแู ลรักษาปุา จําเป็นตองใชขอมูล มีการใชภาพถายดาวเทียม การติดตามขอมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจําลองรูปแบบสภาวะส่ิงแวดลอมเพ่ือปรับปรุงแกไข การเก็บรวมรวมขอมูลคุณภาพน้ําในแมน้ําตางๆ การตรวจวัดมลภาวะ ตลอดจนการใชระบบการตรวจวัดระยะไกลมาชวย ที่เรียกวาโทรมาตร เป็นตน 1.5 เทคโนโลยีสารสนเทศกับการปูองกันประเทศ กิจการทางดานการทหารมีการใชเทคโนโลยี อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหมลวนแตเก่ียวของกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม มีการใชระบบปูองกันภัย ระบบเฝาู ระวังทีม่ คี อมพิวเตอรค์ วบคุมการทํางาน 1.6 การผลติ ในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม การแขงขันทางดานการผลิตสินคาอุตสาหกรรมจําเป็นตองหาวิธีการในการผลิตใหไดมาก ราคาถูกลงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เขามามีบทบาทมาก มีการใชขอมูลขาวสารเพ่ือการบริหารและการจัดการ การดําเนินการและยังรวมไปถึงการใหบ รกิ ารกบั ลกู คา เพอ่ื ใหซ อ้ื สินคาไดส ะดวกข้ึน เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลเกย่ี วขอ งกบั ทุกเรอื่ งในชวี ติ ประจําวัน บทบาทเหลานี้มีแนวโนมทสี่ ําคญั มากยิง่ ข้ึน ดว ยเหตุนเ้ี ยาวชนคนรนุ ใหมจ ึงควรเรยี นรู และเขา ใจเกย่ี วกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ จะไดเ ป็นกาํ ลังสําคญั ในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศใหกาวหนาและเกิดประโยชน์ตอประเทศตอไป 2. ผลกระทบในเชงิ ลบ 2.1 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศตอ การศกึ ษา การใชเ ทคโนโลยสี ารสนเทศ มาผลติ สือ่ การเรยี นการสอนอาทิ บทเรียนคอมพิวเตอร์ชวยสอน บทเรยี นผา นเวบ็ หรอื บทเรียนออนไลน์ (e-Learning) อาจทําใหเ กดิ ปญั หาทีเ่ ห็นไดช ัดเชน 2.1.1 ผูสอนกับผูเรียนจะขาดความสัมพันธ์และความใกลชิดกันเพราะผูเรียน สามารถ ที่จะเรียนไดในโปรแกรมสําเร็จรูปทําใหความสําคัญของสถานศึกษาและผูสอนลดนอยลง 2.1.2 ผูเรียนท่ีมีฐานะยากจนไมสามารถที่จะใชส่ือประเภทน้ีได ทําใหเกิดขอไดเ ปรยี บเสียเปรยี บกนั ระหวางนักเรยี นที่มฐี านะดีและยากจน ทําใหเห็นวาผูที่มีฐานะทางเศรษฐกิจก็ยอมทีจ่ ะมีโอกาสทางการศกึ ษาและทางสงั คมดกี วาดวย 17 ผลกระทบในการนาํ เทคโนโลยีสารสนเทศมาใชใ นดานการเรียนการสอนควรนํามาใชเป็นส่ือเสริมอยางเหมาะสมตองยึดผูเรียนเป็นสําคัญใหผูเรียนเกิดกระบวนการคิด สวนบทบาทของสถาบันการศึกษาควรจัดสรรสื่อใหเพียงพอและเหมาะสมกับผูเรียนและสภาวะแวดลอม จะใหใหเกิดการใชเ ทคโนโลยีไดอ ยา งคุมคา 2.2 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศตอส่ิงแวดลอม อาจเกิดปัญหามลพิษตอสง่ิ แวดลอม ทงั้ นีก้ ็เพราะมนุษย์นําเทคโนโลยีทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศ ไปพัฒนาอยางผิดวิธีและนําไปใชในทางที่ผิด เพราะมุงเพียงแตจะกอประโยชน์ใหแกตนเองเทานั้น ดังนั้นผูนํามาใชจึงควรพิจารณาใหรอบคอบ ความเหมาะสม มีการประเมินความจําเป็น วิเคราะห์ผลกระทบตอส่ิงแวดลอมกอนที่จะนํามาใช 2.3 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศตอ สังคม 2.3.1 การนําเทคโนโลยีมาใชอาจทําใหเกิดปัญหาการวางงานจากการใชแรงงานมนุษย์ เพราะภาคอุตสาหกรรมหรือภาคการเกษตรมีความตองการใชแรงงานมนุษย์ลดลงในการเพ่ิมผลผลิต 2.3.2 การปรับตัวเพ่ือใหทันกับเทคโนโลยีสมัยใหมของพนักงานท่ีมีอายุมากหรือมีความรูนอย ก็จะทําใหไมสามารถปรับตัวเขากับเทคโนโลยีเหลานี้ได และรูสึกวาเทคโนโลยีสมัยใหมเปน็ ส่ิงทที่ ําไดย ากตอ งมีความรจู ึงจะเขา ใจได 2.3.3 สมาชิกในสงั คมมีการดําเนินชีวิตท่ีตางคนตางอยูไมมีความสัมพันธ์กันภายในสงั คมเพราะตา งมีชีวิตท่ีตอ งรีบเรงและดนิ้ รน ดังน้ันคนในสังคมจึงตองปรับตัวใหเขากับยุคสังคมสารสนเทศ ตองพัฒนาตนเองรูเทาทันเทคโนโลยสี ารสนเทศแลวใชใ หเ หมาะสมกับงาน 2.4 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศตอ เศรษฐกิจ 2.4.1 มนุษย์สามารถจับจายใชสอยไดงายมากขึ้นเพราะมีบัตรเครดิตทําใหไมตองพกเงนิ สด หากตองการซอ้ื อะไรที่ไมไ ดเตรียมการไวลวงหนาก็สามารถซ้ือไดทันทีเพียงแตมีบัตรเครดิตเทานั้นทําใหอ ัตราการเปน็ หนสี้ ูงขน้ึ 2.4.2 การแขงขันกันทางธุรกิจมีมากข้ึนเพราะตางก็มุงหวังผลกําไรซ่ึงก็เกิดผลดีคืออัตราการขยายตัวทางธุรกิจสูงขึ้นแตผลกระทบก็เกิดตามมา ซึ่งบางครั้งก็มุงแตแขงขันจนลืมความมมี นุษยธรรมหรอื ความมนี ้ําใจไป หากจะนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในวงการธุรกิจ ควรเป็นลักษณะของหุนสวนการคา การรวมทุน โดยนําเทคโนโลยีมาชวยในการส่ือสารและกําหนดมาตรฐานรวมกัน เชน การใชระบบแลกเปลี่ยนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Data Interchange: EDI) ในการแลกเปล่ียนเอกสารอิเลก็ ทรอนกิ ส์ในการคาอิเล็กทรอนิกส์ 2.5 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศตอสุขภาพจิต 2.5.1 เมอ่ื ดาํ เนินการชวี ติ แบบเดิมทเ่ี ป็นแบบเรียบงา ย ตองเปลยี่ นมาปรับตวั ใหทันกบั เหตุการณป์ จั จบุ ันตลอดเวลากอ็ าจจะทําใหเ กดิ ความเครียด ความวติ กกงั วลไมว าจะในหนา ท่ีการงานหรอื การดําเนนิ ชีวิตประจําวัน 2.5.2 พฤติกรรมของเยาวชน โดยเฉพาะเกมคอมพิวเตอรท์ ําใหเ ยาวชนมีพฤติกรรม 18กาวราว ชอบการตอ สู และการใชกําลัง เป็นตน 2.5.3 นักธุรกิจตองทํางานแขงกบั เวลา ไมมีเวลาไดพกั ผอนก็กอใหเกิดวามเครียดสขุ ภาพจิตกเ็ สียตามมาดว ย ดังนั้นทุกคนในครอบครัวตลอดจนสังคมควรเอาใจใสดูแลซึ่งกันและกัน ใหใชเทคโนโลยสี ารสนเทศใหเหมาะสม ถกู ตองตามหลกั ศลี ธรรม กลาวโดยสรุปในการใชเทคโนโลยีสารสนเทศมีท้ังดานบวกและดานลบ หากนํามาใชใหเหมาะสมก็จะสงผลตอคุณภาพชีวิตใหดีขึ้น และเพ่ิมศักยภาพการทํางานในหลายสาขาอาชีพ เชนการศึกษา ส่ิงแวดลอม และดานอุตสาหกรรม เป็นตน แตหากใชเทคโนโลยีสารสนเทศโดยไมระมัดระวังและขาดจิตสํานึก คุณธรรมจริยธรรมในการใชเทคโนโลยีสารสนเทศ ก็จะสงผลกระทบหลายดานเชนกัน อาทิ ดานสังคม สุขภาพจิต รวมถึงการศึกษาดวย ดังน้ันผูใชเทคโนโลยีสารสนเทศจึงควรมีความรูความเขาใจในเร่ืองของกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ จริยธรรมในการใชเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงความปลอดภัยในการใชง านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งจะไดกลาวโดยละเอียดตอไปในบทที่ 8แนวโน้มการใชแ้ ละการบรกิ ารเทคโนโลยสี ารสนเทศ ดวยอัตราเรงของความกาวหนาทางเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงวิถีความตองการของผูใชบริการ ทําใหอนาคตของการใชแ ละการบริการดานตางๆ เปลี่ยนแปลงไปมาก รูปแบบการใชและการบริการเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์มากข้ึน บริการไดทั่วถึง รวดเร็ว ตนทุนต่ํา และไดทุกสถานที่ สังคมโลกกําลังเปล่ียนแปลงเขาสู e-Society เป็นการใชชีวิตและดําเนินกิจการตางๆ ดวยขอมลู ขาวสารอิเล็กทรอนกิ ส์ กลมุ ประเทศอาเซียนไดบรรลขุ อ ตกลงรว มกนั ในการรวมกลุม เพ่ือใหเป็นการดําเนินการแบบ e-Asian ประเทศไทยไดตั้งกลยุทธ์รับดวยการเตรียมประเทศเขาสู e-Thailandโดยเนนใหมีกิจกรรมการดําเนินการทางดานสังคมอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ เพื่อเตรียมการใหสงั คมไทยเขา สู e-Society กจิ กรรมท่ีตองดําเนนิ การคือ เรง สงเสรมิ ใหภาคเอกชนไดดําเนินธุรกิจแบบe-Business และภาคราชการเรงการใหบริการแบบเบ็ดเสร็จ (one stop service) ดวยe-Government 1. การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต แนวโนมของเทคโนโลยีสารสนเทศ องค์กรตางๆ จะมีการใชประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ิมมากข้ึน เชน องค์กรของรัฐ โรงพยาบาล โรงเรียน อุตสาหกรรม และธุรกิจตาง ๆเนื่องจากอุปกรณ์อํานวยความสะดวก มีความหลากหลายทําใหคอมพิวเตอร์มีการใชงานที่งายขึ้นมีการพัฒนาโปรแกรมท่ีทํางานเฉพาะดานตางๆ ไดตรงกับความตองการของผูใช เคร่ืองคอมพิวเตอร์จะสามารถทํางานไดหลากหลายรูปแบบในเคร่ืองเดียว คือ มีความเป็นมัลติมีเดียมากข้ึน และประสิทธิภาพการทาํ งานกจ็ ะมกี ารประมวลผลเร็วขน้ึ การตดิ ตอสื่อสารกันระหวางเครื่องคอมพิวเตอร์ก็จะงา ยขนึ้ เป็นเพราะเรามกี ารใชเทคโนโลยีดานตางๆ มาอํานวยความสะดวกมากข้ึนการติดตอส่ือสารกนั ทาํ ไดในระยะเวลาอันรวดเรว็ หนวยงานของรัฐหรอื รฐั วิสาหกิจมกี ารพฒั นาระบบสารสนเทศเพ่ือใชในองค์กรดวยการเก็บขอมูลประมวลผลและวิเคราะห์ขอมูลแลวนําผลมาชวยในการวางแผนและตัดสินใจ ตวั อยา งการใชเทคโนโลยสี ารสนเทศในอนาคตจะมรี ปู แบบดงั นี้ 19 1.1 ดา นการติดตอ ส่ือสาร มนุษย์จะสามารถรับรูขาวสารกนั ไดอยา งไมมีอุปสรรคดังคําที่\"โลกไรพรมแดน\"ไมวาจะอยูท่ีใดในโลกน้ีก็สามารถท่ีจะติดตอกับผูอ่ืนไดโดยเครือขายอินเทอร์เน็ตซ่ึงเป็นการลดเง่ือนไขดานเวลาและภูมิศาสตร์ และเชื่อมโยงกันดวยบริการเครือขายสังคมออนไลน์จากการใชโซเชียลมเี ดียเพอ่ื การตดิ ตอ สอื่ สาร 1.2 ดา นการศึกษานกั เรียนนกั ศกึ ษาในอนาคตมีแนวโนมที่จะสามารถเรียนจากที่บานไดโดยไมตองไปเรียนเหมือนปัจจุบันโดยการเรียนการสอนทางไกลผานอินเทอร์เน็ต ไมวาจะในประเทศหรือตางประเทศ และความรูท่ีอยูบนอินเทอร์เน็ตก็มีไมจํากัดสาขาวิชาสามารถท่ีจะคนควาจากหองสมุดตาง ๆ ไดท่ัวโลก โดยอาศัยแนวคิดยูเลิร์นน่ิง (U-Learning) หรือยูบิควิตัสเลิร์นนิ่ง และบริการเครือขายสังคมออนไลน์มาประยุกต์ใชเพื่อการศึกษาใหมีการปฏิสัมพั นธ์ในลักษณะชุมชนการเรียนรูอ อนไลน์เพอ่ื สงเสรมิ การแลกเปลย่ี นเรียนรรู วมกนั มากขน้ึ 1.3 ดานการดําเนินชีวิต มนุษย์จะมีชีวิตที่สุขสบายมากย่ิงขึ้นเพราะคอมพิวเตอร์จะมีการพัฒนาในรูปแบบของหุนยนต์เพื่อทํางานแทนมนุษย์ งานที่ตองใชแรงงานที่มีความเสี่ยงสูงก็จะใชหุนยนต์ทํางานแทน อุปกรณ์ตางๆ ภายในบานก็จะควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ มนุษย์ไมตองคอยดูแลความปลอดภัยหรือความเรียบรอยภายในบานเอง แตจ ะมโี ปรแกรมคอยตรวจสอบใหท ง้ั หมดเป็นตน 1.4 ดานสขุ ภาพ วงการแพทย์จะมีความกาวหนา ในการรักษาโรคมากขึ้นเพราะมีการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใชทาํ ใหเ กดิ แพทยอ์ อนไลน์ขึ้น ขอมูลที่เป็นประโยชน์ก็จะไดเผยแพรใหท กุ คนไดร บั รผู านทางอนิ เทอร์เนต็ แพทยท์ ่ัวโลกสามารถท่ีจะรว มมอื กันในการปฏิบตั ิงานได 1.5 ดานการทอ งเท่ยี วและความบนั เทิง สามารถทําผานระบบอินเทอร์เน็ตไดท้ังหมดไมวา จะเป็นการจองตั๋ว การตรวจสอบสถานท่ี การสอบถามขอมูล การดูหนังฟงั เพลงตางๆ ตลอดจนการซ้ือของโดยทผ่ี ูใ ชบ รกิ ารไมต อ งเดนิ ไปซ้ือของตามหางสรรพสินคา เอง กลาวไดวา แนวโนมเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต จะมีการประยุกต์ใชในหลายสาขาอาชีพและในองค์กรหนวยงานตางๆ มากย่ิงข้ึนอยางกวางขวาง ซึ่งชวยอํานวยความสะดวก เพ่ิมประสิทธิภาพการทํางาน และเพิ่มผลผลิต รวมถึงเพ่ือความผอนคลาย และความบันเทิง โดยใชเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาชวยในการประมวลผลเพื่อความรวดเร็วถูกตองแมนยํา ประสานกับเทคโนโลยีเครือขายเพื่อการเผยแพรและการเขาถึงขอมูล อันจะสงผลตอการใหบริการแกผูใชบริการเปล่ียนรปู แบบไปตามความกา วหนาของเทคโนโลยสี ารสนเทศดงั จะไดกลา วในหัวขอ ตอไป 2. การบริการในยุคเศรษฐกิจฐานบรกิ าร (Service-based Economy) ปัจจุบันเรากําลังเขาสูยุคท่ีผูบริโภคถูกเรียกวา “สกรีนเนเจอร์” (Screenager) เพราะตองใชชีวิตอยูกับจอแสดงผลของอุปกรณ์ตางๆ ท่ีเพ่ิมขึ้นอยางมากมายท้ังแท็บเล็ต พีซี สมาร์ทโฟนรวมถึงจอแอลซดี ตี ามปาู ยโฆษณาตา งๆ ซึ่งสะทอ นใหเ ห็นวาเจนเนอร์เรชั่นคนรุนใหมจะใชเวลาในการรบั ส่อื ผานชอ งทางที่เป็นจอแสดงผลอิเล็กทรอนิกส์ท่ีเชื่อมตอกับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ทําใหสื่อใหม(New Media) เติบโตมากข้ึนโดยเฉพาะกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์ก สําหรับประเทศไทย ปี 2554 ผูใชเฟซบุ฿กเติบโตเกือบ 100 % จาก 6.7 ลานคน เป็น 13 ลานคน ตามดวยทวิตเตอร์ท่ีมีสัดสวนการใชงานเป็น 1 ใน 10 ของเฟซบุ฿ก ขณะที่ยูทูบ (Youtube) มียอดการเขาชมเฉล่ีย 1.2 ลานวิวตอวัน(นาตยา คชินทร, 2554, หนา 10) ดังน้ันการบริการสารสนเทศในอนาคต จะเป็นไปตาม 20ความกาวหนาทางเทคโนโลยีสารสนเทศ พฤติกรรมการใชขอมูลขาวสารของผูใช และสภาพทางเศรษฐกิจของแตละชมุ ชน แนวโนม การใหบริการจงึ ใชชองทางผา นอปุ กรณ์ท่ีใชง านงา ย และสะดวกในการพกพา เชน โทรศพั ทม์ อื ถอื และแท็บเล็ต ตัวอยา งนวัตกรรมการบริการดงั น้ี 2.1 การดาวน์โหลดโปรแกรมประยุกต์ (Application) อันเน่ืองจากการใชงานบริการดานขอมูลเน้ือหา (Content) ท่ีมีจํานวนมากขึ้น การดาวน์โหลดเกม แผนที่ เพลง ขาวสารอื่นๆ จึงมีความตองการโปรแกรมประยุกต์มากข้ึน ยอดการดาวน์โหลดโปรแกรมประยุกต์จึงเติบโตสูงข้ึน จากขอมูลยอดการดาวน์โหลดโปรแกรมประยุกต์ไปใชมากท่ีสุดคือ iPhone คิดเป็นรอยละ 65 รองลงมาเป็นระบบปฏิบัติการ Android รอยละ 9 Java รอยละ 8 Symbian รอยละ 7 และโปรแกรมอื่นๆรอยละ 11 โดยแบรนด์ที่มีโปรแกรมประยุกต์ใหเลือกมากท่ีสุดคือ Apple Store บน iPhoneรองลงมาเปน็ Android และ Symbian (อตริ ฒุ ม์ โตทวแี สนสขุ , 2552) 2.2 เทคโนโลยี QR Code (Quick Respond Code) มีวัตถุประสงค์ใหทําการถอดรหัสโคดอยางรวดเรว็ สามารถเขาถงึ แหลง ขอมูลน้นั ๆ ไดอ ยางรวดเร็ว เทคโนโลยีนี้มี 2 รูปแบบ ไดแก QRCode และ Bee Tag คือ สัญลักษณ์ของขอมูล ท่ีเป็นทั้งขอความ รูปภาพ SMS เบอร์โทรศัพท์ พิกัดทางภูมศิ าสตร์ หรือเป็น URL ของเว็บไซต์แหลงขอมูลนั้นๆ หรือจะออกแบบมาใหเหมือนกับบาร์โคดของสนิ คา โดยตดิ ตง้ั โปรแกรมประยกุ ตส์ าํ หรับอาน QR Code มาใสไ วใ นโทรศพั ท์มือถือ และสามารถใชกลองของโทรศัพท์มือถือไปสแกนเพ่ืออานขอมูลหรืออานโคดนั้นๆ ประโยชน์ของ QR Code เพื่อการประชาสมั พนั ธ์ การตดิ ตอสื่อสาร ตาํ ราหรือหนงั สือตางๆ ในอนาคตก็อาจทําในรูป QR Code เพื่อประหยดั พ้ืนทแี่ ละสามารถอา นขอมลู ไดในทุกอุปกรณ์พกพา 2.3 นวัตกรรม Mobile Payment เป็นการอํานวยความสะดวกในการทําธุรกรรมทางการเงินและชําระเงินผานโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะอยางยิ่งวิธีการแบบ Mobile ContactlessPayment กําลงั ไดร บั ความนยิ มเป็นอยางสูงในประเทศญี่ปุน โดยการชําระเงินดวยโทรศัพท์เคล่ือนท่ีผา นระบบไรส มั ผัส (Contactless) ผูใชบ ริการเพียงแคแ ตะโทรศัพท์ทมี่ ีบริการ PayPass หรืออุปกรณ์มือถืออ่ืนบนเครือ่ งอา น PayPass ก็สามารถชําระสนิ คานั้นได 3. การบรกิ ารแบบเว็บบริการและการเชอื่ มโยงสารสนเทศ แนวโนมการใชและการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตจะมีการใชเทคโนโลยีเครือขายที่ทําใหสื่อสารกันไดทุกที่ ทุกเวลา และเขาถึงสารสนเทศ ตลอดจนใชคอมพิวเตอร์ทั้งโดยทางตรงและทางออม ในการประยุกต์ใชงานดานตางๆ เชน ดานการแพทย์ การรักษาความปลอดภัยการดํารงชีวิตในชีวิตประจําวันตลอดจนทางการศึกษาที่นํามาใช เรียกวา ยูบิควิตัสเลิร์นน่ิงหรือยูเลิร์นน่ิง นอกจากน้ีจะมีการใชนาโนเทคโนโลยีเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการทํางานของอุปกรณ์ตางๆนับต้ังแตเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีสามารถประมวลผลไดเร็วข้ึน เชน คอมพิวเตอร์แบบควอน ตัม(Quantum Computer) คอมพิวเตอร์ดีเอ็นเอ (DNA Computer) กริดคอมพิวต้ิง (GridComputing) และคลาวน์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) สวนแนวโนมการใชและการใหบริการของสถาบันบริการสารสนเทศในอนาคต ระบบหองสมุดอัตโนมัติเป็น Integrated Library Systemโดยมีรูปแบบการบริการผานเว็บเมตาดาตา (Metadata) เพื่อเช่ือมโยงไปยังทรัพยากร (ResourceLink) และมีการสืบคนขามฐานขอมูลได (Cross Database Searching) นอกจากนี้ผูใชยังมีสวนรวมในการลงรายการทรพั ยากรและเชอ่ื มโยงขอมูลไปยังขอมูลที่ตองการเองได สามารถแลกเปลี่ยนขอมูล 21ระหวางกันได ในลักษณะเครือขายสังคมออนไลน์ การบริการสารสนเทศจะใหบริการทรัพยากรสิ่งพิมพ์รวมกับฐานขอมูลออนไลน์ มีการจัดสงทรัพยากรใหผูใช (Document Delivery) รวมถึงทรัพยากรทางอิเล็กทรอนิกส์อ่ืนๆ (e-Resource) และผูใชบริการจะเป็นผูเลือกใชแหลงสารสนเทศท่ีเป็นลักษณะมัลติมีเดีย และใชฐานขอมูลมัลติมีเดียดวยตนเอง ในสวนของการเขาถึงสารสนเทศ(Access to Information) สามารถใชบริการขอมูลออนไลน์ผานระบบเครือขายไรสาย รวมถึงผานโทรศพั ท์มอื ถือ ในดานเครือขายความรวมมือ (Consortium) สถาบันบริการสารสนเทศแตละแหงจะเป็นพันธมิตรกันเพ่ือเจรจาตอรองฐานขอมูลแตละประเภท ซ้ือทรัพยากรสารสนเทศรวมกัน และใชงานทรพั ยากรตา งๆ รว มกนั รวมถึงการพฒั นาระบบสารสนเทศรว มกันดว ยสรปุ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีที่มีการดําเนินการเพ่ือใหมีการจัดทําสารสนเทศไวใชงานมีการประยุกต์เคร่ืองมือและอุปกรณ์ตางๆ ไดแก คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคมเครื่องประมวลผลคําและเคร่ืองมือท่ีประมวลผลไดโดยอัตโนมัติอ่ืนๆ เพื่อรวบรวมจัดเก็บขอมูลจากแหลงขอ มูล การผลติ ส่ือสาร บนั ทกึ เรยี บเรียงใหม และแสวงหาประโยชน์จากสารสนเทศเพื่อใหผูใชสามารถเขาถึงสารสนเทศและใชงานรวมกันไดอยางสะดวก พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศมีพฒั นาการมายาวนานกวาจะเปน็ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดเล็ก ราคาถกู และประสิทธิภาพสูงท่ีใชใ นปัจจบุ ัน สวนเทคโนโลยีดานการส่ือสารโทรคมนาคมก็พัฒนาจนเป็นเทคโนโลยีเครือขาย กอเกิดเว็บ 2.0 ท่ีผูใชง านมสี ว นรวมในการแสดงความคดิ เห็น และมสี วนรว มในการนาํ เสนอเนื้อหาผานบล็อกจนกลายเป็นเว็บ 3.0 ในปัจจุบันท่ีมีลักษณะเป็นปัญญาประดิษฐ์ สวนประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศมีประโยชน์มากมายไมวาจะเป็นการเพ่ิมประสิทธิภาพการผลิตสารสนเทศ อํานวยความสะดวกในการเขา ถงึ และลดปญั หาดา นเวลาและภูมิศาสตร์ รวมถึงนํามาประยุกต์ใชงานในสาขาอาชีพตา งๆ ไมว าจะเปน็ การศึกษา ธุรกิจ ธนาคาร ดานตํารวจและความมั่นคงของประเทศ ดานการแพทย์การบันเทิง และการจัดการสิ่งแวดลอม รวมถึงการใหบริการในรูปแบบตางๆ ที่อํานวยความสะดวกและการเขาถึงผานระบบเครือขายสังคมออนไลน์ ดังน้ันผูเก่ียวของในการใชและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศจึงตองพิจารณาการใช การใหบริการอยางเหมาะสมท้ังน้ีเพราะเทคโนโลยีสารสนเทศมีทั้งผลกระทบในทางบวกและในทางลบ 22 คาถามทบทวน 1. ใหนกั ศึกษาอธิบายความสัมพนั ธร์ ะหวางขอมูล สารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศ 2. ในชีวติ ประจําวันของนกั ศึกษามีการใชเ ทคโนโลยสี ารสนเทศในดานใดบาง 3. ในชีวิตประจาํ วันของนักศึกษามีการใชฮ าร์ดแวร์อะไรบางและอุปกรณด์ ังกลาวอยูในหนวยใด 4. นักศึกษามีการใชซอฟตแ์ วรเ์ พือ่ การจดั การเรียนการสอนอะไรบาง 5. ใหนักศกึ ษาเปรยี บเทียบลักษณะของเวบ็ 1.0 เว็บ 2.0 และเวบ็ 3.0 และการนําไปใชงานในดา นการเรยี นการสอนของนักศึกษา 6. ใหน ักศึกษานาํ เสนอความคิดเหน็ การนาํ สื่อใหมมาใชในการเรยี นการสอนในสาขาวิชาชีพของนักศึกษา 7. ใหนกั ศกึ ษาแสดงความคิดเห็นอนาคตของเครือขายสงั คมออนไลน์กบั การทาํ งานในชวี ติ ประจําวัน 8. นักศึกษามีการดาวน์โหลดโปรแกรมประยุกตใ์ ช (Application) ตัวใดบา งแลว นาํ มาประยุกตใ์ ชใ นชวี ติ ประจาํ วันอยางไร 9. ตามความคิดเหน็ ของนักศึกษาจะมกี ารประยุกตใ์ ชเ ทคโนโลยี QR Code ในชวี ิตประจําวันอยางไรบา ง 10. ใหนักศกึ ษาอธิบายผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศทง้ั ในเชงิ บวกและเชิงลบจากการใชงานในชีวติ ประจาํ วนั ของนักศึกษา บทท่ี 2 เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ อาจารยก์ าญจนา เผอื กคง ในปัจจุบันทุกองค์กรมีการประยุกต์ใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานขององค์กรเพื่อใหบรรลุเปูาหมายสูงสุดขององค์กร เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบสําคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ท้ังนี้เพราะคอมพิวเตอร์เป็นเคร่ืองมือพ้ืนฐานในการจัดการขอมูล สารสนเทศ และจัดการความรูในองค์กรรวมถึงการประยุกต์ใชคอมพิวเตอร์ยังเป็นพ้ืนฐานท่ีกอใหเกิดการคิดคนนวัตกรรมใหมๆ ท่ีสรางสรรค์ขึ้นมาเพื่อใหอ งค์กรมีศักยภาพในการแขงขันกับคูแขงภายนอกไดมากย่ิงขึ้น นอกจากความสําคัญของคอมพิวเตอร์ที่มีตอการเพ่ิมประสิทธิภาพขององค์กรแลว ในสวนของการใชงานสวนบุคคลคอมพิวเตอร์ไดเขามามีบทบาทอยางมากในการทํางาน การติดตอส่ือสารของผูคนในยุคของการใชเครือขายสังคมออนไลน์ความรู้พน้ื ฐานเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครอื่ งอเิ ล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติทําหนาที่เสมือนสมองกลใชสําหรับแกปัญหาตาง ๆ ทั้งท่งี า ยและซบั ซอ น โดยวธิ ที างคณิตศาสตร์ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542) นับจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันคอมพิวเตอร์ไดมีการพัฒนาการทํางานมาอยางตอเนื่อง ท้ังในดานของขนาดที่เลก็ ลง ความเร็วในการประมวลผลขอมูลเร็วสูงขึ้น ความสามารถในการจัดเก็บขอมูลมมี ากขึ้น ความสามารถในการสอ่ื สารขอ มลู ทาํ ไดเ ร็วขึน้ 1. ลักษณะเด่นของคอมพวิ เตอร์ เนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มนุษย์เป็นผูประดิษฐ์ข้ึนมาความสามารถในการทํางานของเครอื่ งคอมพวิ เตอรม์ ีลักษณะเดนท่ีแตกตางจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อน่ื ๆ ดงั น้ี 1.1 การปฏบิ ัติงานอัตโนมัติ (self acting) เป็นความสามารถของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ในการประมวลผลขอมูลตามลําดับคําสั่ง ไดถูกตอง ตอเนื่อง โดยอัตโนมัติ ตามคําส่ังและข้ันตอนท่ีผใู ชงานคอมพวิ เตอรเ์ ป็นผกู าํ หนดไว 1.2 ความเร็ว (speed) เป็นความสามารถในการประมวลผลขอมูล (processingspeed) ภายในเวลาท่ีส้ันท่ีสุด ความเร็วในการประมวลผลจะเป็นตัวบงช้ีประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ ความเร็วของการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์พิจารณาจากความสามารถในการประมวลผลซ้ําๆ ในชวงเวลาหน่ึงๆ ที่เรียกวา \"ความถ่ี (frequency)\" โดยนับความถี่เป็น \"จํานวนคําสั่ง\" \"จํานวนครั้ง\" หรือ \"จํานวนรอบ\" ในหนึ่งนาที (cycle/second) โดยเรียกหนวยความเร็วน้ีวาเฮิร์ซ (Hertz : Hz) ตัวอยางเชน ประมวลผลได 100 คําสั่ง (100 ครั้ง หรือ 100 รอบ) ใน 1 วินาทีเรียกวา มีความถี่ (ความเร็ว) 100 Hz นั่นเอง ความเร็วในการประมวลผลขอมูล จะถูกกําหนดโดย 24หนวยประมวลผล (processor) ภายในซีพียู ซ่ึงคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสามารถประมวลผลคําส่ังไดมากกวา ลานคาํ สงั่ ตอวินาที เชน เคร่ืองคอมพิวเตอร์แบบต้ังโต฿ะ ที่มีความเร็วของการประมวลผลเป็น3.0 GHz จะมคี วามเรว็ ในการประมวลผล 3 พนั ลา นคําสง่ั ภายใน 1 วนิ าที เป็นตน 1.3 การจัดเก็บขอมูล (storage) เป็นความสามารถในการเก็บขอมูลในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีสามารถจัดเก็บไดเป็นจํานวนมากและสามารถเก็บไดเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะอยางย่ิงคอมพิวเตอร์ในยุคปจั จุบนั สามารถจัดเก็บขอมูลที่เป็นมัลติมีเดีย ทําใหเกิดการประยุกต์ใชงานคอมพิวเตอร์เพือ่ ความบนั เทิงมากข้ึน 1.4 ความนาเชื่อถือ (reliability) เป็นความสามารถท่ีเกี่ยวของกับโปรแกรมคําส่ังและขอมูล ท่ีนักคอมพิวเตอร์ไดกําหนดใหกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อกําหนดความนาเช่ือถือของคอมพิวเตอร์ คือ GIGO หรือ Garbage In Garbage Out น่ันคือ ถาปูอนคําสั่งหรือใชขอมูลท่ีไมสมบรู ณ์ก็อาจจะไดผ ลลัพธท์ ่ไี มดเี ทาท่คี วร 1.5 ความถูกตองแมนยํา (accuracy) เป็นความถูกตองแมนของการคํานวณของเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการคํานวณตัวเลขจํานวนมาก หรือคํานวณสูตรที่ซับซอนจะนิยมใชเคร่ืองคอมพวิ เตอรใ์ นการคํานวณ 1.6 การทํางานซํ้าๆ (repeatability) เป็นความสามารถของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีสามารถวนทาํ งานซาํ้ ๆ ได ขน้ึ กับโปรแกรมท่ีสง่ั ใหค อมพวิ เตอร์ทํางาน ทําใหส ามารถทาํ งานไดเ ร็วขนึ้ 1.7 การติดตอส่ือสาร (communication) เป็นความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีทําใหผ ใู ชงานสามารถทําการตดิ ตอสือ่ สารกนั ไดผ านระบบเครอื ขายคอมพวิ เตอร์ 2. หลกั การทางานของคอมพวิ เตอร์ เพ่ือใหเกิดการใชคอมพิวเตอร์สําหรับการทํางานอยางมีประสิทธิภาพ ผูใชคอมพิวเตอร์ตองเขาใจหลักการทํางานของคอมพิวเตอร์ รวมถึงตองรูจักสวนประกอบสําคัญของคอมพิวเตอร์เนือ่ งจากคอมพิวเตอรเ์ ป็นอุปกรณ์อเิ ลก็ ทรอนิกส์ที่ทํางานตามชุดคําส่ังหรือโปรแกรมตามที่มนุษย์เป็นผกู าํ หนดเขาไป หลกั การทํางานของคอมพวิ เตอร์ ดังแสดงในภาพที่ 2.1 ภาพที่ 2.1 หลกั การทาํ งานของคอมพวิ เตอร์ ที่มา (ศูนยเ์ ทคโนโลยอี ิเลก็ ทรอนกิ สแ์ ละคอมพิวเตอร์แหงชาติ, 2554) 25 จากภาพที่ 2.1 สามารถอธบิ ายหลกั การทํางานของคอมพิวเตอร์ได ดงั น้ี 2.1 มีการรบั ขอมูลคาํ สง่ั เขามายงั เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ผา นหนวยรับขอมลู /คําส่งั 2.2 ขอมูลจะถกู สงตอไปยังหนวยประมวลผลกลางเพื่อทําการประมวลผลตามคําสั่งท่ีต้ังไว 2.3 ในขณะท่ีทําการประมวลผลหนวยความจําหลักจะทําหนาที่เก็บคําส่ังตางๆ ในการประมวลผล 2.4 เม่ือประมวลผลเสรจ็ แลว ผลลัพธจ์ ะถกู เก็บท่ีหนว ยความจาํ สาํ รอง 2.5 หนวยแสดงผลทําหนา ที่แสดงผลลพั ธ์จากการประมวลผลฮาร์ดแวรค์ อมพวิ เตอร์ ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ (computer hardware) หมายถึง อุปกรณ์ตางๆ ท่ีประกอบข้ึนเป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะเป็นโครงรางสามารถมองเห็นดวยตาและสัมผัสได (พงษ์ศักด์ิผกามาศ, 2553, หนา 64) สวนประกอบของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์มีดังน้ี 1. หน่วยรบั ข้อมลู เข้า หนวยรับขอมูล (input unit) เป็นอุปกรณ์ท่ีทําหนาที่รับขอมูล/คําส่ัง เขาไปยังเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ ขอมลู ทนี่ ําเขา คอมพิวเตอร์ เป็นไดท้ังตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ เสียง ภาพ มัลติมีเดียอุปกรณท์ ที่ ําหนาทเ่ี ปน็ หนวยรับขอ มลู ประกอบดว ย 1.1 อุปกรณ์รับคําสั่งจากผูใช เพื่อสั่งการใหคอมพิวเตอร์ทํางาน ไดแก เมาส์ (mouse)คีย์บอร์ด (keyboard) ที่พบไดในเครื่องคอมพิวเตอร์แบบต้ังโต฿ะ แพดสัมผัสของคอมพิวเตอร์โนตบ฿ุก(touch pad) จอภาพแบบสัมผัส (touch screen) ซ่ึงปัจจุบันพบเห็นไดทั่วไปในคอมพิวเตอร์แบบแท็บเลต็ ตัวอยา งอปุ กรณ์รับคําส่งั ดงั ภาพที่ 2.2 ภาพท่ี 2.2 อุปกรณ์รับคาํ สงั่ ของเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ 1.2 อปุ กรณท์ ่นี าํ เขาขอมูลจากภายนอกเขามาสูเคร่ืองคอมพิวเตอร์ เชน ขอมูลภาพขอมูลเสียงและขอมูลวีดิทัศน์ ซึ่งอุปกรณ์นําเขาขอมูลเหลานี้อาจจะตองทําการจัดซื้อเพิ่มเติม ไดแกไมโครโฟน กลองถา ยรปู ดิจิทัล สแกนเนอร์และกลองบันทึกวิดีโอ เป็นตน โดยผูใชตองทําการเชื่อมตออุปกรณ์เหลานี้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ จากน้ันทําการโอนยายขอมูลเขามาเพ่ือนําไปใชงานตอไปอุปกรณ์นําเขา ขอมลู ภายนอกมายังเคร่ืองคอมพิวเตอร์ดังภาพที่ 2.3 26 ภาพท่ี 2.3 อปุ กรณน์ าํ เขาขอมูลภายนอกมายงั เครื่องคอมพิวเตอร์ 1.3 อุปกรณ์นําเขาขอมูลที่ทําใหคอมพิวเตอร์รับรูและแยกแยะความแตกตางระหวางอักขระและรูปแบบ (recognition device) เชน เคร่ืองอานรหัสบาร์โค฿ด (barcode reader) และอุปกรณ์พวก optical mark recognition (OMR) ซ่ึงเป็นอุปกรณ์อานจุดที่ทําการมาร์ค เชน เครื่องตรวจขอ สอบ เปน็ ตน อปุ กรณ์ทีท่ ําใหค อมพิวเตอรร์ บั รูและแยกแยะความแตกตางระหวางอักขระและรปู แบบดังแสดงในภาพที่ 2.4เคร่ืองอานบารโ์ คด เครื่องตรวจกระดาษคําตอบภาพที่ 2.4 อปุ กรณ์ท่ีทําใหคอมพวิ เตอร์รับรูและแยกแยะความแตกตา งระหวางอักขระและรูปแบบ 2. หน่วยประมวลผลกลาง หนวยประมวลผลกลาง (central processing unit: CPU) เปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ ทําหนาที่เป็นศูนย์กลางการประมวลผลและควบคุมระบบการทํางานตางๆ ของคอมพวิ เตอร์ เพื่อใหอ ุปกรณท์ ี่เกี่ยวของกบั คอมพิวเตอร์ทุกอยางทํางานสอดคลองสัมพันธ์กันดังภาพท่ี2.5 ภาพที่ 2.5 สว นประกอบของหนวยประมวลผลกลางทม่ี า (ศนู ยเ์ ทคโนโลยีอเิ ล็กทรอนกิ สแ์ ละคอมพิวเตอร์แหง ชาติ, 2554) 27 สวนประกอบของหนว ยประมวลผลกลาง มดี ังน้ี 2.1 หนวยควบคุม (control unit) ทําหนาท่ีควบคุมการทํางานของอุปกรณ์ทุกๆอุปกรณ์ ในหนวยประมวลผลกลาง รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่นํามาตอพวงเพ่ือควบคุมการทํางานสว นประกอบตา งๆ ของคอมพวิ เตอร์ แปลคําส่ังท่ีปูอนเขาสูคอมพิวเตอร์ ควบคุมใหหนวยรับขอมูลทําการรับขอ มลู เขามาเพอ่ื ทาํ การประมวลผล ควบคุมใหหนวยคํานวณและตรรกะทําการคํานวณขอมูลที่รบั เขา มา ตลอดจนควบคมุ การแสดงผลลพั ธ์ 2.2 หนวยคํานวณและตรรกะ (arithmetic and logic unit: ALU) ทําหนาที่คํานวณทางคณิตศาสตร์ (arithmetic operations) และการคํานวณทางตรรกศาสตร์ (logicaloperations) โดยปฏิบัติการท่ีเก่ียวกับการคํานวณตางๆ เชน การบวก ลบ คูณ และหาร สําหรับการคํานวณทางตรรกศาสตร์ ประกอบดวย การเปรียบเทียบคาจริง หรือเท็จโดยมีเง่ือนไข มากกวา นอยกวา หรอื เทากับ 2.3 หนวยความจาํ หลัก (main memory Unit) เป็นสวนหนง่ึ ของหนวยความจํา มีชื่อเรียกตางกันออกไป เชน main memory unit, primary storage unit และ internal storageunit หนวยความจําหลักทําหนาท่ีเก็บขอมูลและคําสั่งท่ีใชในการประมวลผลในคร้ังหน่ึงๆ เทานั้น ซ่ึงขอ มลู และคําสั่งจะถกู สงมาจากหนวยควบคมุ หนวยความจําหลักสามารถแบง ไดเ ป็น 2 ประเภท คอื 2.3.1 รอม (read only memory: ROM) เปน็ หนว ยความจําสําหรับเก็บคําส่ัง(program memory) ท่ีใชบอยๆ เชน คําส่ังเร่ิมตนการทํางานของคอมพิวเตอร์ โดยคําส่ังน้ีจะอยูภายในคอมพิวเตอร์ตลอดไปแมวาจะทําการปิดเคร่ืองก็ตาม หนวยความจําประเภทน้ีจะมีการเปล่ียนแปลงของขอมูลนอยมาก เชน ขอมูลท่ีใชในการเร่ิมตนระบบ (start up) ขอมูลควบคุมการรบั สงคําสัง่ /ขอ มลู ตลอดจนการแสดงผล เปน็ ตน 2.3.2 แรม (random access memory: RAM) เป็นหนวยความจําสําหรับเก็บขอมูลและคําสั่ง (data & programming memory) จากหนวยรับขอมูล ขอมูลและคําสั่งเหลานั้นจะหายไปเมื่อมีการรับขอมูล/คําส่ังใหม หรือในกรณีที่กระแสไฟฟูาขัดของหรือปิดเคร่ืองหนวยความจําแรมเป็นหนวยความจําท่ีสําคัญของคอมพิวเตอร์ ถาคอมพิวเตอร์มีความเร็วในการประมวลผลสูงและหนวยความจําแรมมีความจุสูง ก็จะชวยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลใหเร็วมากย่งิ ข้นึ 3. หน่วยความจา หนวยความจาํ ของคอมพวิ เตอร์ (memory unit) คือ สวนท่ีใชเก็บขอมูล/คําส่ัง สามารถแบงไดเป็น 2 ประเภท คอื 3.1 หนวยความจําหลัก (main memory unit) เป็นสวนหน่ึงของหนวยประมวลผลกลาง ดังกลาวไปแลว ขา งตน 3.2 หนวยความจําสํารอง (secondary memory unit) เป็นหนวยความจําท่ีใชเก็บขอมูลตางๆ ที่ไดผานกระบวนการประมวลผลมาแลว และหลังจากที่ไดทําการบันทึกขอมูลลงในหนวยความจําสํารองถึงแมจะปิดเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ขอมูลก็ยังคงอยู หนวยความจําสํารองมีหลายชนิด ประกอบดวย ฮาร์ดดิสก์ ซีดี ดีวีดี หนวยความจําแบบพกพา (handy drive, thumb drive,memory card ) เปน็ ตน ภาพท่ี 2.6 แสดงภาพหนวยความจําสํารองชนดิ ตางๆ 28 ภาพที่ 2.6 หนว ยความจาํ สํารอง 4. หนว่ ยแสดงผล หนวยแสดงผล (output unit) ทําหนาท่ีรับขอมูลจากหนวยความจําซึ่งผานการประมวลผลแลวมาแสดงในรูปแบบตางๆ โดยอาศัยอุปกรณ์แสดงผล ดงั นี้ 4.1 จอภาพ (monitor) จอภาพเป็นอุปกรณ์แสดงผลที่ใชตลอดเวลาเมื่อมีการใชงานคอมพวิ เตอร์ ดังนน้ั การเลือกใชจ อภาพจงึ มคี วามจําเป็นมากทีผ่ ใู ชตองเลือกใชใหเหมาะสมกับลักษณะของงานทท่ี าํ จอภาพสาํ หรบั เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ในปัจจุบัน มีดงั นี้ 4.1.1 จอแอลซีดี (liquid crystal display: LCD) เป็นจอภาพท่ีมีภาพเกิดจากแสงที่ถูกปลอยออกมาจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนแบบเย็นดานหลังของจอภาพ (black light) ผานชั้นกรองแสงแลว ว่งิ ไปยังครสิ ตลั เหลวทีเ่ รียงตวั ดวยกัน 3 เซลล์คือ แสงสีแดง แสงสีเขียวและแสงสีนํ้าเงินกลายเป็นจุดสีหรือพิกเซล (pixel) ท่ีสวางสดใสเกิดขึ้น จอแอลซีดีท่ีนิยมนํามาเป็นจอภาพสําหรับคอมพิวเตอร์เป็นแบบ thin film transistors (TFT) เนื่องสามารถแสดงภาพไดคมชัดและสวาง 4.1.2 จอแอลอีดี (light emitting diod : LED) เป็นจอภาพที่ใชเทคนิคการเกิดภาพเชนเดียวกับจอแอลซีดีแตมีการใชหลอดแอลอีดีมาแทนหลอดฟลูออเรสเซน ทําใหภาพมีความคมชดั มากยิง่ ข้ึน ราคาของจอแอลอีดีจะขึ้นกับความละเอียดของภาพท่ีปรากฏข้ึนท่ีจอภาพ จอภาพที่มีความละเอียดของภาพสูงราคาของจอภาพก็จะสูงตาม ความละเอียดของจอแอลอีดีท่ีพบเห็นในปัจจบุ ัน มดี ังนี้ 1) จอแอลอีดีแบบเอชดี (high definition LED หรือ HD LED) เป็นจอภาพแอลอีดีทีม่ คี วามละเอยี ดของภาพ ท่ี 1366 x 768 พเิ ซล 2) จอแอลอีดีแบบฟลูเอชดี ( full HD LED) เป็นจอภาพที่มีความละเอียดของภาพสงู ถึง 1920x 1080 พกิ เซล 4.2 ลาํ โพง (speaker) เปน็ อปุ กรณ์แสดงขอมูลทเ่ี ปน็ เสยี ง 4.3 เครอื่ งพมิ พ์ (printer) เป็นอปุ กรณแ์ สดงผลท่ีจําเป็นทต่ี องหาซ้ือเพิ่มเติม ถาตองการพิมพง์ านจากเอกสารตางๆ เครอื่ งพิมพ์สามารถแบง ได 3 ชนิด ดังน้ี 4.3.1 เครื่องพิมพ์แบบดอตเมตทริกซ์ (dot matrix printer) เคร่ืองพิมพ์ชนิดน้ี มีการทาํ งานคลายๆ เคร่อื งพิมพ์ดดี หัวพิมพม์ ีลกั ษณะเป็นหัวเข็ม (pin) มีแบบ 9 pin และ 24 pin เม่ือมีการส่ังพิมพ์งานหัวเขมจะกระทบผานผาพิมพ์ ทําใหเกิดตัวอักษรบนกระดาษ เครื่องพิมพ์ชนิดนี้เหมาะสําหรับงานทต่ี อ งทาํ สาํ เนาหลายฉบบั และนยิ มใชกบั กระดาษแบบตอ เนื่อง 4.3.2 เคร่ืองพิมพ์แบบพนหมึก (ink jet printer) เป็นเคร่ืองพิมพ์ท่ีมีหัวพนหมึกทาํ หนาท่ีพน หมกึ ออกจากตลับหมึก ซึ่งประกอบดวยสีดําและแมสีทั้ง 3 คือ สีแดง สีเหลือง และ สีนํ้า 29เงิน ในปัจจุบันเครื่องพิมพ์แบบพนหมึกนิยมประยุกต์ใชใหเป็นเคร่ืองพิมพ์ท่ีทําหนาท่ีไดหลายอยาง(multifunction) นน่ั คอื มีความสามารถในการพิมพ์งาน ถา ยเอกสาร สแกนภาพ และรับ-สง แฟ็กซ์ 4.3.3 เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ (laser printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใชหลักการทาํ งานเชน เดียวกับเคร่ืองถา ยเอกสารโดยการยิงเลเซอร์เพื่อใหเกิดตัวอักษรบนกระดาษ งานพิมพ์จากเครื่องเลเซอร์จะมีคุณภาพสูง เครื่องพิมพ์ชนิดนี้เหมาะที่จะใชในสํานักงานท่ีมีเครือขายทองถ่ิน(local area network) เพ่ือใหมีการใชเครื่องพิมพ์รวมกัน (share printer) เพ่ือความประหยัดและรวดเร็วในการทํางานเคร่ืองพมิ พ์แบบดอตเมตทริกซ์ เครื่องพมิ พ์แบบพน่ หมกึ เคร่ืองพมิ พ์แบบเลเซอร์ ภาพที่ 2.7 เครือ่ งพมิ พ์ประเภทตา งๆ 5. หน่วยตดิ ตอ่ ส่ือสาร หนวยติดตอสื่อสาร (communication unit) มีความสําคัญอยางมากกับการใชงานคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบัน เน่ืองจากหนวยติดตอส่ือสารทําใหคอมพิวเตอร์เช่ือมตอเขากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ รวมถึงการเช่ือมตอเขากับระบบอินเทอร์เน็ต หนวยติดตอส่ือสารในเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ แบงไดดังนี้ 5.1 หนวยติดตอสื่อสารท่ีเช่ือมตอเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆประกอบดวย 5.1.1 พอร์ตยูเอสบี (universal serial bus: USB) เป็นพอร์ตการเชื่อมตอที่ทําใหคอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมตอกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ รวมถึงหนวยความจําภายนอกได พอร์ตยูเอสบีเปน็ พอร์ตพื้นฐานทค่ี อมพวิ เตอร์สว นมากจะตองมี ในปัจจุบันการรับสงขอมูลผานพอร์ตยูเอสบีพัฒนามาถึงเวอร์ชั่นท่ี 3.0 โดยความเร็วในการแลกเปลี่ยนขอมูลผานพอร์ตยูเอสบีทําไดสูงสุดถึง 4.8Gbps 5.1.2 พอร์ตวีจีเอ (video graphics array VGA) เป็นพอร์ตการเชื่อมตอกับจอภาพหรือเคร่ืองโปรเจคเตอร์ เพอื่ แสดงขอ มลู ภาพและเสยี งใชใ นการนาํ เสนองานภาพท่ี 2.8 พอรต์ วีจเี อและสายการเชอ่ื มตอ 30 5.1.3 พอร์ตเอชดีเอ็มไอ (high definition multimedia interface: HDMI) เป็นพอร์ตการเชอ่ื มตอจากเคร่ืองคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องเสียงหรือทีวีท่ีมีพอร์ตเอชดีเอ็มไอ โดยสัญญาณทีส่ งผานพอร์ตเอชดีเอ็มไอจะเปน็ ขอมูลภาพและเสียงที่มีความละเอยี ดสูง ภาพท่ี 2.9 พอรต์ เอชดเี อ็มไอ 5.1.4 บลูทูธ (bluetooth) เป็นการเช่ือมตอเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนกิ ส์อื่นๆ ผานคล่ืนวทิ ยุ (radio) ระยะส้นั ในระยะไมเกิน 33 ฟุต ซึ่งการสงสัญญาณสามารถสงผานสิ่งกีดขวางได เชน การสงผานขอมูลจากโทรศัพท์มือถือมายังเคร่ืองคอมพิวเตอร์ โดยอุปกรณ์ทั้งสองตอ งเปดิ สัญญาณบลูทูธพรอมกัน จากนั้นทําการคนหาอุปกรณ์ เม่ืออุปกรณ์ทั้งสองติดตอกันไดกส็ ามารถรบั สงขอมูลระหวางอุปกรณไ์ ด ดังแสดงในภาพที่ 2.10 ภาพที่ 2.10 การเช่อื มตอ ดวยบลทู ูธ 5.2 หนว ยติดตอ สอื่ สารท่ที ําหนาที่เช่อื มตอ เขาสรู ะบบอินเทอร์เน็ต การสอ่ื สารผา นระบบอินเทอร์เน็ตเปน็ สิง่ จําเปน็ สาํ หรับการดําเนนิ ชวี ิตในปัจจุบัน ท้ังในสวนของการเรียนและการทํางาน เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันแทบทุกเคร่ืองจะมีการติดต้ังอุปกรณ์สําหรับการเชอ่ื มตอเขาสรู ะบบอินเทอรเ์ น็ต เพ่อื เพ่มิ ความสะดวกสบายใหกับผูใชคอมพิวเตอร์มากยงิ่ ขึ้น อุปกรณ์ท่เี ชื่อมตอ เขาสรู ะบบอินเทอรเ์ นต็ แบง ได 2 ประเภท ดังน้ี 5.2.1 อุปกรณเ์ ชื่อมตอระบบอนิ เทอร์เนต็ แบบใชสายสัญญาณ ประกอบไปดว ย 1) การ์ดเน็ตเวิร์ค (network adapter card) หรือท่ีเรียกกันท่ัวไปวาแลนการ์ด เป็นอุปกรณ์ที่ทําหนาที่เช่ือมตอเครื่องคอมพิวเตอร์เขาสูระบบเครือขายทองถ่ิน ทําใหสามารถส่ือสารขอมูลกับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ในหนวยงานหรือในองค์กรเดียวกันได สามารถใชงานเคร่ืองพิมพ์รวมกัน สามารถใชไฟล์ขอมูลรวมกัน รวมถึงสามารถเชื่อมตอเขาสูระบบอินเทอร์เน็ตไดถาหนวยงานน้ันๆ ไดทําการใชบริการอินเทอร์เน็ตแบบวงจรเชา (lease line internet) จากผูใหบริการอินเทอรเ์ นต็ คอมพวิ เตอร์ในยุคปัจจุบันจะมีการติดต้ังการ์ดเน็ตเวิร์คมาเพ่ือพรอมใชงาน ผูใชเพียงแต 31ใชสายสญั ญาณเช่อื มตอจากเครือ่ งคอมพวิ เตอรไ์ ปยงั จดุ เช่อื มตอก็สามารถใชงานเครือขายทองถ่ินและเขา สูระบบอินเทอรเ์ นต็ ได 2) โมเด็ม (modem) เป็นอุปกรณ์พ้ืนฐานที่ทําใหเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถส่ือสารขอมูลไดโดยผานสายโทรศัพท์ โมเด็มทําหนาที่แปลงสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ใหเป็นสัญญานอนาล็อกผานสายโทรศัพท์ไปยังเคร่ืองบริการขอมูลปลายทางท่ีทําหนาที่เปรียบเสมือนประตูที่ทําใหสามารถทองไปยังระบบอินเทอร์เน็ตได โมเด็มท่ีใชในการเชื่อมตอเขากับระบบอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันจะเป็นโมเด็มแบบเอดีเอสแอล (asymmetric digital subscriber line:ADSL) เป็นโมเดม็ สําหรับการเชื่อมตอ อนิ เทอรเ์ น็ตความเร็วสูงผานโครงขายโทรศัพท์ ความเร็วในการรบั -สง ขอมลู มากกวา 56 kbps 5.2.2 อุปกรณเ์ ช่ือมตอระบบอนิ เทอรเ์ น็ตแบบไรส าย การใชง านคอมพิวเตอรส์ ว นบคุ คลในยคุ ปัจจุบันเนนการใชงานคอมพิวเตอร์แบบพกพามากข้นึ ดังนัน้ อปุ กรณก์ ารเชอ่ื มตอเขากบั ระบบอนิ เทอร์เน็ตแบบไรสายจึงจําเป็นอยางมากการเชอ่ื มตอคอมพวิ เตอรเ์ ขาสูระบบอนิ เทอรเ์ น็ตแบบไรสาย ประกอบดวย 1) การเช่ือมตอตามมาตรฐาน 802.11 Wi-Fi เป็นการเช่ือมตอเครื่องคอมพิวเตอร์เขากับระบบเครือขายคอมพิวเตอร์แบบไรสายผานแอคเซสพอยต์ (access point) หรือจดุ ปลอ ยสัญญาณ การเชื่อมตอเขา สรู ะบบอินเทอร์เน็ตแบบวายฟายน้ีเป็นที่นิยมใชงานอยางมากตามหนวยงานสถานศกึ ษา หนวยงานหรือองค์กรขนาดใหญที่ใหบริการการใชงานอินเทอร์เน็ตแบบไรสายใหกับสมาชิกขององค์กร โดยสมาชิกในองค์กรนั้นๆ จะไดรับ รหัสผูใช (user name) และรหัสผาน(password) ในการเขาใชงานอินเทอร์เน็ตแบบไรสาย นอกจากนี้ตามหางสรรพสินคาหรือสถานท่ีที่มีคนไปใชบริการจํานวนมากจะมีจุดปลอยสัญญาณเพ่ือเขาใชงานอินเทอร์เน็ตแบบไรสาย โดยผูใชงานสามารถสมัครเขาใชบริการ ซ่ึงในปัจจุบันมีผูใหบริการ เชน ทรูวายฟาย และ เอไอเอส เป็นตน โดยผูใชบริการตองเสียคาใชจายในการเขาใชบริการดวย นอกจากน้ีรัฐบาลยังไดสงเสริมใหประชาชนเขาถึงบริการอินเทอร์เน็ตแบบไรสายที่ไมเสียคาใชจายผานบริการ ฟรีวายฟาย (free wifi) ซ่ึงจะเปิดใหบริการตามหนวยงานของรัฐ เชน ท่ีทําการเขต สวนสาธารณะ ที่ประชาชนท่ัวไปสามารถเขาใชบริการไดฟรี โดยตองทําการลงทะเบียนเพื่อเขาใชงานและสามารถเขาใชงานไดคร้ังละ 2 ช่ัวโมงเคร่ืองคอมพิวเตอร์แบบพกพาทุกชนิดในปัจจุบัน ไมวาจะเป็นคอมพิวเตอร์โนตบุ฿ก คอมพิวเตอร์แบบเนต็ บก฿ุ หรอื คอมพิวเตอรแ์ บบแท็บเลต็ จะมีความสามารถในการรบั สัญญาณวายฟายได 2) การเช่ือมตออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (mobile broadband) การเชือ่ มตอ อนิ เทอรเ์ นต็ ความเร็วสงู เป็นการเชอื่ มตอ เครื่องคอมพิวเตอร์เขากับโครงขายโทรศัพท์เคลื่อนท่ีความเร็วสูง เชน โครงขาย 3G ทําใหความเร็วในการเขาใชงานอินเทอร์เน็ตทั้งการสงและการรับขอมูลทําไดเร็วมากขึ้น โดยในการเขาใชงานระบบอินเทอร์เน็ตผูใชตองมีซิมการ์ดของบริษัทท่ีใหบริการเครือขายโทรศัพท์เคลื่อนท่ีความเร็วสูง จากนั้นทําการเชื่อมตอเขาสูระบบอินเทอร์เน็ตผานWWAN (wireless wire area network) ซ่ึงคอมพิวเตอร์แบบพกพาบางรุนและบางยี่หอเทานั้นท่ีตดิ ตงั้ ระบบการเชื่อมตอ นเี้ ขา มา เม่อื เชอ่ื มตอเขากับระบบไดก็สามารถใชงานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได การเช่ือมตอ เขา กบั ระบบอินเทอร์เน็ตความเรว็ สูงผา นวีแวนดังแสดงในภาพท่ี 2.11 32 ภาพที่ 2.11 การเช่อื มตอ เขา สวู ายฟายอินเทอร์เน็ตและอินเทอร์เน็ตความเรว็ สงู ในกรณีทเี่ คร่อื งคอมพวิ เตอร์แบบพกพาน้นั ไมมอี ปุ กรณ์เพ่ือเชื่อมตอวีแวน สามารถใชอุปกรณ์ที่เรียกวา แอร์การ์ด (air card) เพื่อการเขาถึงระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได ซ่ึงปัจจุบันราคาของแอร์การ์ดไมสูงมากนัก โดยทําการใสซิมการ์ดเขาไปในแอร์การ์ด เสียบแอร์การ์ดท่ีพอร์ตยูเอสบี ทําการตดิ ตั้งโปรแกรมซ่ึงสวนมากจะติดตั้งอัตโนมัติเมื่อมีการเชื่อมตอแอร์การ์ดกับคอมพิวเตอร์ จากนั้นจะสามารถเชอ่ื มตอเขา สูร ะบบอินเทอร์เนต็ ไดซอฟต์แวรค์ อมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ (software) หมายถึง โปรแกรมตางๆ ที่สามารถนําเขามาใชเพื่อปฏิบัติงานและจัดการกับคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์รอบขาง ใหสามารถทํางานรวมกันไดอยางมีประสิทธิภาพ (โอภาสเอยี่ มสิรวิ งศ,์ 2554, หนา 149) 1. ประเภทของซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์เป็นชุดคําสั่งท่ีสั่งใหคอมพิวเตอร์ทํางาน ซ่ึงการทํางานน้ันมีหลากหลายแตกตา งกนั ไป สามารถแบง ประเภทของซอฟต์แวร์ไดด ังนี้ 1.1 ซอฟต์แวร์ระบบ (system software) ทําหนาท่ีควบคุมการทํางานของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์รวมถึงอุปกรณ์ตางๆ ท่ีมาพวงตอใหทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ เพ่ือจัดระบบการเก็บขอ มลู การรบั สง ขอมูล การเกบ็ ขอมูลลงในหนว ยความจํา ซอฟต์แวร์ระบบ ประกอบดว ย 1.1.1 ระบบปฏิบัติการ (operating system: OS) เป็นกลุมของโปรแกรมทําหนาท่ีเชอ่ื มโยงระหวา งเครือ่ งคอมพิวเตอรแ์ ละผใู ช อํานวยความสะดวกในการใชโปรแกรมตางๆ รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรตางๆ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ใหทํางานอยางมีประสิทธิภาพ หนาที่ของระบบปฏบิ ัติการมดี ังนี้ 1) ควบคุมการทํางานของโปรแกรมและอุปกรณ์ตางๆ โดยเฉพาะอุปกรณ์รับขอ มูลและแสดงผลขอมลู (input/output device) ใหผ ใู ชส ามารถใชอุปกรณ์ตางๆ ไดอยางสะดวก 33 2) จัดสรรทรัพยากรซ่ึงใชรวมกัน (shared resource) โดยเฉพาะในเครื่องคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง เชน เคร่ืองซุปเปอร์คอมพิวเตอร์และเมนเฟรม ซึ่งมีการใชหนวยประมวลผลกลางและหนว ยความจํารวมกัน ในลกั ษณะมัลติโปรแกรมมิ่ง (multiprogramming) ซอฟต์แวรร์ ะบบปฏิบตั ิการ สามารถจาํ แนกได ดังน้ี 1) ระบบปฏิบัติการสําหรับติดต้ังในเคร่ืองคอมพิวเตอร์สวนบุคคล ไดแกโปรแกรมไมโครซอฟต์วินโดว์ (Microsoft Windows) รุนตางๆ แมคโอเอส (Mac OS) ท่ีติดตั้งในเคร่ืองแมค รวมถึง ลีนุกส์ (Linux) ซ่ึงเป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (opensources) ทม่ี คี นนยิ มใชเ ปน็ จํานวนมาก เปน็ ตน 2) ระบบปฏิบัติการสําหรับเคร่ืองใหบริการขอมูล (server) ไดแก ยูนิกส์(Unix) และวนิ โดวเ์ ซิรฟ์ เวอร์ (Windows Server) รนุ ตางๆ เปน็ ตน 3) ระบบปฏิบัติการสําหรับคอมพิวเตอร์พกพาและโทรศัพท์มือถือ เชนคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ไดแก iOS สําหรับไอเพดจาก Apple รวมถึงระบบปฏิบัติการ Android และWindows 8 สําหรบั แท็บเลต็ ย่ีหออ่ืนๆ เชน Samsung Galaxy Tab และ Acer Iconia Tab เป็นตน 1.1.2 โปรแกรมแปลภาษา (complier and interpreter) เป็นซอฟต์แวร์ท่ีทําหนาที่แปลภาษาโปรแกรมเม่ือมีการเขียนโปรแกรมเพ่ือใหคอมพิวเตอร์เขาใจรหัสคําส่ังท่ีปูอนเขาไปโ ด ย ส ว น ม า ก โ ป ร แ ก ร ม แ ป ล ภ า ษ า จ ะ ถู ก บ ร ร จุ ม า พ ร อ ม กั บ ชุ ด โ ป ร แ ก ร ม ท่ี ใ ช ใ น ก า ร เ ขี ย นภาษาคอมพิวเตอรภ์ าษาตา ง ๆ เชน ภาษา C ภาษา JAVA เปน็ ตน 1.1.3 โปรแกรมอรรถประโยชน์ (utilities program) เป็นซอฟต์แวร์ระบบท่ีถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพการทํางานของคอมพิวเตอร์มากย่ิงข้ึน ตัวอยางของโปรแกรมอรรถประโยชนใ์ นระบบปฏิบตั ิการ Windows 7 เป็นซอฟต์แวรใ์ นกลุม system tools ดงั แสดงใน ภาพท่ี 2.12 โปรแกรมอรรถประโยชน์ในระบบปฏบิ ตั ิการ Windows 7 34 1.2 ซอฟต์แวรป์ ระยุกต์ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software) คือ ซอฟต์แวร์ที่ถูกพัฒนาข้ึนมาเพ่ือประยุกต์กบั งานท่ผี ใู ชต องการ ซอฟตแ์ วรป์ ระยกุ ต์แบงได 2 ประเภท ดังนี้ 1.2.1 ซอฟต์แวร์สําเร็จรูป (package software) เป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถหาซื้อมาใชง านไดส ะดวกตดิ ต้งั และทํางานไดท ันที ประกอบดว ย 1) ซอฟต์แวร์ระบบการจัดการฐานขอมูล เชน MySQL, MS Access,Oracle, SQL Server เปน็ ตน 2) ซอฟต์แวร์ประมวลผลคํา เชน MS Word, Word Pad, Note Pad,Adobe Page Maker เปน็ ตน 3) ซอฟต์แวรค์ าํ นวณ เชน MS Excel 4) ซอฟต์แวร์จัดการขอ มูลดา นงานธรุ กิจ เชน ซอฟต์แวร์ทาํ บัญชี 5) ซอฟตแ์ วร์นาํ เสนอ (presentation software) เชน MS Power Point 6) ซอฟต์แวร์เพ่อื การติดตอ สอ่ื สาร เชน MS Outlook, โปรแกรมบราวเซอร์เปน็ ตน 7) ซอฟต์แวร์เพ่ือพัฒนางานมัลติมีเดีย เชน Adobe Photoshop, AdobeIllustrator, Color Draw และ Macromedia Flash เปน็ ตน 8) ซอฟต์แวร์เพื่อความบันเทิง เชน Windows Media Player, PowerDVD, Winamp เป็นตน 9) ซอฟต์แวร์พัฒนาเว็บไซต์ เชน Macromedia Dreamweaver และ MSFront Page เป็นตน 1.2.2 ซอฟต์แวร์เฉพาะดาน เป็นซอฟต์แวร์ที่บริษัทซอฟต์แวร์ทําการพัฒนาขึ้นมาเพ่ือใหตอบสนองกับความตองการของผใู ชเฉพาะดา น เชน ซอฟต์แวร์ควบคุมสินคาคงคลัง ซอฟต์แวร์ท่ใี ชในโรงพยาบาล เป็นตน 2. แนวโน้มของการใชซ้ อฟต์แวรใ์ นอนาคต เน่อื งจากปจั จบุ ันความเจริญกาวหนาทางดานเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการส่ือสารขอมูลไดมีการพัฒนามาอยางตอเนื่อง ซอฟต์แวร์ซ่ึงเป็นสวนสําคัญในการทํางานของคอมพิวเตอร์ก็มีการพฒั นาตามไปดว ย แนวโนมของการใชซ อฟตแ์ วร์ในอนาคต มีดังนี้ 2.1 การแขงขันกันทางดานซอฟต์แวร์ท่ีใชสําหรับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์แบบแท็บเล็ตจะมีมากยิ่งข้ึนเพราะในอนาคตจะมีผูใชสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์แบบแท็บเล็ตเพ่ิมขึ้ นโดยเฉพาะอยางยง่ิ ระบบปฏิบัตกิ าร iOS ของบรษิ ัท Apple ท่ใี ชเป็นระบบปฏิบัติในสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของ Apple ระบบปฏิบัติการ Androids ของ Google ที่ปัจจุบันพบไดในสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตรวมถึงระบบปฏิบัติการ windows 8 จาก Microsoft 2.2 ผทู ใี่ ชงานสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอรแ์ ท็บเลต็ จะทําการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ตางๆผาน แอพพลเิ คชัน่ สโตร์ (application store) มากยิ่งขน้ึ 2.3 การเขาใชงานซอฟต์แวร์ทําไดหลายทาง ไมวาจะเป็นซอฟต์แวร์ท่ีติดตั้งในเครอ่ื งคอมพิวเตอร์น้นั ๆ โดยตรง การใชซ อฟต์แวรผ์ านเวบ็ แอพพลิเคชั่นและเว็บเซอรว์ ิส 35 2.4 การใชงานซอฟต์แวร์ผานการประมวลผลแบบกลุมเมฆ (cloud computing) มากยงิ่ ขน้ึ 2.5 มีการใชงานซอฟต์แวร์ในรูปแบบของบริการมากยิ่งข้ึน (Software as a Service:SaaS) ซึ่งเป็นการใหบริการซอฟต์แวร์ผานเครือขายอินเทอร์เน็ต ผูท่ีตองการใชงานซอฟต์แวร์ไมจาํ เปน็ ตองตดิ ต้ังซอฟตแ์ วรไ์ วที่หนวยงานหรอื คอมพวิ เตอร์ของตนเอง 2.6 จะมีการผสมผสานการใชงาน (integration) ระหวางการประมวลผลแบบกลุมเมฆสมารท์ โฟน และเครือขา ยสังคมออนไลน์ ในการทาํ งานขององคก์ รมากย่งิ ขึน้ประเภทของคอมพวิ เตอร์ การแบง ประเภทของคอมพิวเตอร์ในที่นี้จะแบงคอมพิวเตอร์ตามสมรรถนะและประสิทธิภาพในการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นหลัก (ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แหง ชาติ, 2554) แบง ประเภทของคอมพิวเตอร์ ไดดงั นี้ 1. ซูเปอรค์ อมพิวเตอร์ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะในการทํางานสูงกวาคอมพิวเตอร์แบบอ่ืนๆ ดังนั้นจึงเรียกคอมพิวเตอร์ประเภทนี้วา คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (highperformance computer) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สามารถคํานวณตัวเลขท่ีมีจุดทศนิยมดวยความเร็วสูงขนาดหลายรอยลานคําสั่ง/วินาที ดังน้ันคอมพิวเตอร์ประเภทน้ีจึงเหมาะกับงานท่ีมีการคํานวณมากๆ เชน งานวิเคราะห์ภาพถายจากดาวเทียม งานวิเคราะห์พยากรณ์อากาศ งานทําแบบจําลองโมเลกลุ ของสารเคมี งานวิเคราะหโ์ ครงสรา งอาคารทีซ่ ับซอ น เปน็ ตน 2. เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer) เป็นคอมพิวเตอร์ท่ีมีสมรรถนะสูงมากถัดจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยสามารถประมวลขอมูลไดอยางรวดเร็วหลายสิบลานคําสั่ง/วินาทีคอมพิวเตอร์ประเภทน้ีเหมาะกับการใชงาน ดานวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และธุรกิจ โดยเฉพาะงานท่ีเก่ียวของกับขอมูลจํานวนมากๆ เชน งานธนาคาร ซ่ึงตองตรวจสอบบัญชีลูกคาหลายคน งานของสํานักงานทะเบียนราษฎร์ที่เก็บรายละเอียดท่ีจําเป็นของประชากรท่ีมากกวา 60 ลานคน งานจัดการบนั ทกึ การสงเงนิ ของผปู ระกันตนทง้ั ประเทศของสํานกั งานประกนั สงั คม เป็นตน 3. มนิ คิ อมพวิ เตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะตํ่ากวาเคร่ืองเมนเฟรม ทํางานไดชา กวา ควบคุมอปุ กรณร์ อบขางไดนอยกวา และราคาก็ถูกกวาเคร่ืองเมนเฟรม การใชงานไมจําเป็นตองใชบุคลากรควบคุมมากนัก มินิคอมพิวเตอร์จึงเหมาะกับงานหลายประเภท เชนงานวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และพบไดต ามหนว ยงานราชการระดบั กรม 4. ไมโครคอมพวิ เตอร์ ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) นิยมเรียกอีกอยางวา คอมพิวเตอร์สวนบุคคล(personal computer: PC) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก ในปัจจุบันมีการใชคอมพิวเตอร์สวนบคุ คลอยางแพรห ลาย เนือ่ งจากราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์ไมแพงรวมถึงประสิทธิภาพในการทํางานสงู สามารถจําแนกคอมพวิ เตอร์สว นบคุ คลตามขนาดของเครือ่ งและลักษณะของการใชงาน ไดดงั น้ี 36 4.1 คอมพิวเตอร์แบบต้ังโต฿ะ (desktop computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีใชงานเฉพาะที่ไมเหมาะสําหรับพกพา นิยมซ้ือมาใชตามบานและตามสํานักงานทั่วไป คอมพิวเตอร์แบบตั้งโตะ฿ เป็นคอมพวิ เตอรส์ วนบคุ คลทมี่ คี วามสามารถของการประมวลผลสูงท่ีสุดในบรรดาคอมพิวเตอร์สวนบุคคลท้ังหมด ดังนั้นคอมพิวเตอร์แบบต้ังโต฿ะจะเหมาะกับการทํางานที่ตองใชความสามารถของคอมพิวเตอร์สูงๆ เชน การเขียนโปรแกรม การประมวลผลงานมัลติมีเดีย การเลนเกม เป็นตนคอมพิวเตอร์แบบตัง้ โต฿ะทใ่ี ชก ันในปจั จบุ นั แบง ไดเป็น 4.1.1 คอมพิวเตอร์แบบตง้ั โต฿ะทมี่ ีเคส (case) เปน็ คอมพวิ เตอร์แบบตั้งโต฿ะที่พบเห็นไดทั่วไป ซึ่งบางครั้งอาจมีการเรียกวาเทาเวอร์เคส (tower case) ซึ่งภายในของเคสจะประกอบดวยอุปกรณห์ ลักตางๆ เชน ฮาร์ดดิสก์ แผงวงจรหลัก (main board) ซ่ึงมีสล฿อตสําหรับติดต้ังการ์ดตางๆและหนวยความจาํ 4.1.2 คอมพิวเตอร์ตั้งโต฿ะแบบทัชพีซี (touch pc) หรือ ออล์อินวัน (all in one)เป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต฿ะท่ีไมมีเคส แตอุปกรณ์สําคัญตางๆ ไมวาจะเป็นเป็นแผงวงจรรวม ฮาร์ดดิสก์หนว ยความจาํ หลัก และอุปกรณ์อื่นๆ จะติดต้ังมาพรอมกับจอแสดงผลซึ่งบางรุนเป็นจอแสดงผลแบบสมั ผัสคอมพวิ เตอร์ต้ังโต฿ะแบบมีเคส คอมพวิ เตอร์ตั้งโตะ฿ แบบออลอ์ นิ วนัภาพท่ี 2.13 คอมพิวเตอร์ตง้ั โต฿ะ 4.2 คอมพิวเตอร์แบบพกพา (portable computer) เป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีสามารถพกพาไปตามท่ีตางๆ ไดอยางสะดวกและงายดาย ซ่ึงปัจจุบันคอมพิวเตอร์แบบพกพาเป็นท่ีนิยมอยางมากเนื่องราคาถูกลง ประสิทธภิ าพการทํางานสงู สามารถเชอื่ มตอเขา สูร ะบบอินเทอร์เน็ตนอกสถานท่ีไดโดยสะดวก สามารถแบงประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาตามสมรรถนะและลักษณะการใชงานไดดังน้ี 4.2.1 คอมพิวเตอร์โนตบ฿ุก (notebook) เป็นคอมพิวเตอร์แบบพกพาประเภทแรกในปัจจุบันผูผลิตคอมพิวเตอร์สวนมากมีการผลิตเคร่ืองคอมพิวเตอร์โนตบุ฿กออกมาวางจําหนายใหเลือกซ้ือมากมาย แตกตางกันไปทั้งในสวนของความเร็วของหนวยประมวลผล ขนาดของหนาจอแสดงผล ความจุของฮาร์ดดิสก์ ขนาดของหนวยความจําหลัก ระยะเวลาในการใชงานแบตเตอรี่อุปกรณ์เชื่อมตออินเทอร์เน็ต พอร์ตการเช่ือมตอกับอุปกรณ์ภายนอก และนํ้าหนักของตัวเครื่องเคร่อื งคอมพิวเตอร์โนตบ฿ุกเป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์แบบพกพาท่ีมีสมรรถนะการทํางานสูง ความเร็วในการประมวลผลเปน็ รองเฉพาะคอมพวิ เตอร์แบบตงั้ โตะ฿ คอมพิวเตอรโ์ นตบุ฿กสามารถประมวลผลหลายอยางพรอ มๆ กัน (multitasking) สามารถพกพาไปตามทตี่ า งๆ ไดจงึ ทําใหปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์โนตบ฿ุกไดร ับความนิยม 37 4.2.2 คอมพิวเตอร์เน็ตบุ฿ก (netbook) เป็นคอมพิวเตอร์ท่ีมีลักษณะภายนอกคลายกับคอมพิวเตอร์โนตบุ฿ก แตมีความแตกตางกัน คือ คอมพิวเตอร์เน็ตบุ฿กเนนการทํางานเพ่ือใชงานอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก และทํางานกับโปรแกรมพื้นฐานทั่วไป เชน ชุดโปรแกรมออฟฟิศ เลนเกมท่ีใชความสามารถของคอมพิวเตอร์ไมสูงมากนัก ความสามารถในการประมวลผลตํ่ากวาคอมพิวเตอร์โนต บ฿กุ ใชซพี ียูในการประมวลผลคนละกลุม กบั คอมพวิ เตอร์โนตบุ฿ก ราคาถกู กวา นํ้าหนักเบากวาและขนาดเล็กกวาคอมพิวเตอร์โนตบุ฿ก (นํ้าหนักประมาณ 1.0-1.3 Kg. ขนาด 10.1”-11”) ความจุของฮาร์ดดิสก์นอยกวา ไมมีการติดต้ังออพติคอลไดร์ฟสําหรับอานแผนซีดีและดีวีดี คอมพิวเตอร์เน็ตบ฿ุกถูกออกแบบมาเพ่ือเนนการประหยัดพลังงานเป็นหลัก ไมวาจะเป็นซีพียู และอุปกรณ์อื่นๆ จะใชพลังงานนอย ทําใหระยะเวลาในการใชงานคอมพิวเตอร์เน็ตบ฿ุกยาวนานกวาคอมพิวเตอร์โนตบุ฿กระยะเวลาในการใชงานคอมพิวเตอร์เน็ตบ฿ุกอยางตํ่าสุดประมาณ 3-4 ชั่วโมงและสามารถใชงานยาวนานถงึ 7-8 ช่ัวโมง ทั้งนี้ขน้ึ กบั ลักษณะของแอพพลเิ คช่ันท่ีใชงาน 4.2.3 คอมพวิ เตอรแ์ ท็บเล็ต (tablet) เป็นคอมพวิ เตอรแ์ บบพกพาท่ีไดรับความนิยมมากท่สี ุดในปัจจบุ นั นับตง้ั แตบรษิ ทั Apple ไดเ ปิดตัวคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตที่มีชื่อวา “iPad” สาเหตุท่ีคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตไดรับความนิยมอยางสูงในปัจจุบันเน่ืองจากคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตมีลักษณะเดนดังน้ี 1) คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเป็นคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก ขนาดของหนาจอแตกตางกันไปต้งั แต 7” -11” นา้ํ หนักเบาบางรนุ หนกั ไมถงึ 1 Kg. 2) คอมพวิ เตอร์แท็บเล็ตใชหนาจอแบบสัมผัส (touch screen) ในการเขาถึงแอพพลเิ คชน่ั ตางๆ 3) ใชค ีย์บอร์ดเสมือน (virtual keyboard) เมือ่ ตอ งการพมิ พข์ อความ และในคอมพวิ เตอร์แท็บเล็ตบางรุนมกี ารใช keyboard dock เมื่อตอ งการพมิ พ์เอกสารดา ยคีย์บอรด์ 4) ระยะเวลาในการใชง านยาวนานกวาคอมพิวเตอรพ์ กพาชนิดอนื่ 5) เนนการใชงานอินเทอร์เน็ต ดูหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( e-book) และเลนเกม 6) ใชร ะยะเวลาในการเปดิ เครอ่ื งเพอ่ื ทาํ งานสน้ั มาก 7) มีระบบรองรับการเช่อื มตอ อินเทอรเ์ น็ต ทั้งแบบวายฟาย และอินเทอร์เน็ตความเร็วสงู ผา นโครงขาย 3G 8) รองรับการเลนเกมจากการสัมผัสไดดีเน่ืองจากมีระบบตรวจวัดการเคลือ่ นไหว (motion sensing) หลายจดุ 9) สามารถดกู ารแสดงผลไดท ั้งแนวต้ังและแนวนอน 10) มแี หลง บริการใหดาวนโ์ หลดแอพพลิเคชนั่ มากกมาย 11) คอมพิวเตอร์แท็บเลต็ บางรนุ มีคณุ สมบตั ิของโทรศัพท์มือถือรวมดว ย 38 คอมพิวเตอร์โนต บุ฿ก คอมพิวเตอร์เนต็ บุก฿ คอมพิวเตอรแ์ ท็บเล็ต ภาพท่ี 2.14 คอมพิวเตอร์แบบพกพารปู แบบตา งๆตารางท่ี 2.1 แสดงรายการเปรียบเทยี บคอมพวิ เตอร์สวนบุคคลประเภทตางๆรายการ คอมพวิ เตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพวิ เตอร์โน้ตบกุ๊ คอมพวิ เตอรเ์ นต็ บกุ๊ คอมพวิ เตอรแ์ ท็บเล็ต เหมาะสําหรับการใชวตั ถปุ ระสงค์ เนน การใชง านทต่ี องการ สามารถใชง านได เหมาะสําหรับการใช งานอนิ เทอร์เนต็ ทัว่ ไป ดาวนโ์ หลดวดิ โี อจากในการใชงาน ความสามารถของการ เทียบเทากับ งานอนิ เทอรเ์ น็ต youtube การใชงาน social network เกม ประมวลผลสงู เชน งาน คอมพวิ เตอร์แบบตัง้ โตะ฿ โปรแกรมออฟฟิศ การดเู อกสารผา น e- book ไมเหมาะสาํ หรบั เขียนโปรแกรม งาน พกพาสะดวก งานเขยี น ท่วั ๆ ไป ไมเ หมาะ งานพมิ พเ์ อกสาร จาํ นวนมาก ออกแบบ กราฟิก ใช โปรแกรม งานกราฟิก สําหรับงานท่ตี อ งใช 7” -11” ทุกรุนเป็น touch screen แอพพลิเคชนั่ ทัว่ ไปได เหมาะสาํ หรบั การ การประมวลผลของ Dual-Core ARM เลน เกม การประมวลผล ทํางานนอกสถานท่ี ซีพยี ูที่คอนขางสูง Cortex-A9, Apple A4, A5 แอนิเมชัน่ จอสมั ผสั /คียบ์ อรด์ เสมือนขนาดของ 18.5”–23” บางรุน เปน็ 11”-15.6” บางรนุ เป็น 10.1”-11” 16-64 GB/จอภาพ จอแบบ multi touch จอแบบ multi touch Intel Atom 512 MB- screen screen 1 GBหนวยประมวลผล Intel core i3, i5, i7, Intel core i3, i5, i7, AMD AMDหนวยรับ คยี ์บอรด์ คีย์บอร์ด คยี ์บอร์ดขอมูลคาํ ส่งั 500 GB- 1 TB/ 4-8 500 GB- 1 TB/ 300-500 GB/ความจุ GB 4-8 GB 2-4 GBฮารด์ ดสิ ก/์แรม 39ตารางที่ 2.1 แสดงรายการเปรยี บเทยี บคอมพิวเตอรส์ วนบุคคลประเภทตา งๆ (ตอ )รายการ คอมพิวเตอร์ตง้ั โต๊ะ คอมพิวเตอร์โนต้ บ๊กุ คอมพวิ เตอรเ์ น็ตบกุ๊ คอมพิวเตอรแ์ ท็บเล็ตพอร์ต/การ USB, 10/100/1000 USB, 10/100/1000 USB, 10/100/1000 802.11 b/g/n wifi, micro USB, Microเชอื่ มตอ Mbps สําหรับ LAN, Mbps สําหรับ LAN, Mbps สาํ หรบั LAN, HDMI บางรนุ รองรบั 3GHDMI, card reader, HDMI, card reader, HDMI, card reader,VGA, Bluetooth, VGA, Bluetooth, VGA, Bluetooth,บางรุนเป็นจอสมั ผสั 802.11 b/g/n wifi, 802.11 b/g/n wifi, บางรนุ มี WWAN บางรุนมี WWAN รองรบั 3G รองรบั 3Gระยะเวลาใน เฉลีย่ 3-5 ช่ัวโมง เฉลีย่ 6-8 ชัว่ โมง เฉลยี่ 10 ชว่ั โมงหรือการใชงาน มากกวาแบตเตอร่ี ติดตั้งจากออพตคิ อล ไดรฟ์ ตดิ ตง้ั ผา นระบบ ตดิ ตง้ั จากออพติคอล จากแหลงโหลดการติดตง้ั ติดตง้ั จากออพตคิ อล อินเทอรเ์ น็ต และจาก ไดรฟ์ ติดต้ังผา น โปรแกรม เชนแอพพลิเคชน่ั ไดร์ฟ ตดิ ตัง้ ผา นระบบ พอรต์ ยเู อสบี ระบบอินเทอร์เนต็ Android market 1.5-2.5 Kg และจากพอรต์ ยูเอสบี และ iTunes อนิ เทอรเ์ นต็ และจาก 15,000- 50,000 พอร์ตยเู อสบี 1.3-1.5 Kg 500 g – 1 Kg.น้ําหนัก .- 9000 –18,000 8,000 – 20,000 บาทราคา 15,000- 50,000การเลือกซอ้ื คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ท่ีจําเป็นตองมีไวเพื่อประกอบการเรียนหรือการทํางาน ราคาของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันไมแพงมากนัก ประสิทธิภาพการทํางานสูงขึ้นมาก หลักเกณฑ์ในการเลอื กซ้ือคอมพิวเตอรเ์ พื่อนํามาใชง าน มีดังน้ี 1. คํานึงถึงวัตถุประสงค์การใชงานเป็นหลัก ผูซื้อควรระบุวัตถุประสงค์หลักในการใชงานใหไดกอนท่ีจะเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์แตละประเภทมีวัตถุประสงค์ในการใชงานตางกนั ดงั ไดกลา วแลว ในตารางท่ี 2.1 2. งบประมาณ เมื่อกําหนดวัตถุประสงค์หลักไดแลว จะทําใหทราบวาควรซื้อคอมพิวเตอร์ประเภทใด ถัดมาตองดูงบประมาณวาจะสามารถซ้ือคอมพิวเตอร์ไดที่ราคาประมาณเทาไหร จะไดคณุ สมบตั ิตางๆ (specification) ของคอมพวิ เตอร์อยางไรบา ง 3. ทาํ การพิจารณาคณุ สมบัตติ า งๆ ของคอมพิวเตอร์ เพือ่ ประกอบการซ้ือ ดงั น้ี 3.1 ความเรว็ ของซพี ียูหรอื หนว ยประมวลผล เพราะความสามารถในการประมวลผลของคอมพิวเตอรข์ ึน้ อยกู ับความเร็วของซีพียู ราคาของคอมพิวเตอร์ขึ้นกับความเร็วของซีพียู เป็นหลัก ถาย่งิ ประมวลผลไดเรว็ ราคากจ็ ะสูงตาม ย่หี อ ของซีพียเู ป็นสิ่งที่ตอ งพจิ ารณาควบคูก นั ไปดวย 3.2 ความจุของแรม เนื่องจากแรมเป็นสวนที่ชวยในการประมวลขอมูลรวมกับซีพียูดังนั้นตองพิจารณาความจุของแรมรวมดวย ถาความจุของแรมมากจะชวยซีพียูในการประมวลผลใหเรว็ มากข้ึน ท้ังนี้ตองพิจารณาถึงความสามารถในการอัพเกรดแรมในอนาคตวาสามารถเพ่ิมแรมไดอีกหรือไมแ ละสามารถเพิ่มไดสูงสดุ เทาไหร 40 3.3 ความจุของฮาร์ดดิสก์ เนื่องจากฮาร์ดดิสก์เป็นหนวยความจําสํารองท่ีใชในการเก็บขอมูลงานตางๆ ในคอมพิวเตอร์ ผูซื้ออาจจะตองเลือกซ้ือคอมพิวเตอร์ท่ีมีความจุฮาร์ดดิสก์สูงถามีขอ มลู ทต่ี องการจัดเกบ็ เปน็ จาํ นวนมาก 3.4 พอร์ตในการเชื่อมตออุปกรณ์ เป็นอีกส่ิงหนึ่งท่ีตองพิจารณาทุกคร้ังเม่ือเลือกซื้อคอมพวิ เตอร์ โดยเฉพาะอยางยิ่งคอมพิวเตอร์แบบพกพา เน่ืองจากตองมีการเชื่อมตอคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์อ่ืนๆ เพ่ือความบันเทิง เพ่ือการโอนยายขอมูลและการนําเสนองานเป็นตน พอร์ตพ้ืนฐานท่ีควรมี ประกอบดว ย 1) พอร์ตยเู อสบี 2) พอรต์ วจี ีเอ 3) พอรต์ เอชดีเอ็มไอ และ 4) พอร์ตออดิโอ เป็นตน 3.5 อุปกรณ์ในการเช่ือมตอ อินเทอรเ์ น็ต อุปกรณ์พื้นฐานในการเช่ือมตออินเทอร์เน็ตของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต฿ะจะเป็นการ์ดเน็ตเวิร์ค และการบิวต์อินโมเด็มมาในตัวเคร่ือง แตคอมพิวเตอร์แบบพกพาซึ่งเนนการใชงานนอกสถานท่ีตองมีความสามารถในการรับสัญญาณวายฟายดังน้ันจําเป็นตองมีมาตรฐานการเชื่อมตอ 802.11 b/g/n wifi เพื่อเช่ือมตอกับวายฟายอินเทอร์เน็ตรวมถงึ ควรมกี ารรองรับวแี วน เพอ่ื การเช่ือมตอ อินเทอรเ์ น็ตความเร็วสงู ดว ย 3.6 หนาจอแสดงผล เป็นอีกหนึ่งปัจจัยท่ีตองพิจารณา หนาจอแสดงผลท่ีเป็นแบบ FullHD ทีม่ คี วามละเอยี ดและความคมชัดของภาพสงู จะมีราคาสูงกวา แบบ HD ทั่วๆ ไป 3.7 บริการหลังการขายและการรับประกันตัวเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นส่ิงที่จําเป็นมากเพราะถาคอมพิวเตอร์มีปัญหาตองมีการสงศูนย์ซอม รวมถึงถามีการรับประกันเครื่อง เชน ประกันอุบัติเหตุ หรือ ประกันการสูญหาย จะทาํ ใหผ ูใ ชง านมน่ั ใจในการใชง านคอมพวิ เตอร์มากข้ึน 3.8 ในสวนของการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์แบบพกพา ส่ิงท่ีตองพิจาณารวมดวย คือระยะเวลาในการใชงานของแบตเตอร่ี ควรเลือกซื้อรุนคอมพิวเตอร์พกพาท่ีแบตเตอร่ีมีระยะเวลาในการใชงานไดยาวนานและตองคํานึงถึงนํ้าหนักของตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รวมน้ําหนักของแบตเตอรี่เขา ไปแลวดว ย ควรเลือกซือ้ คอมพิวเตอร์พกพาทีม่ นี าํ้ หนักเบาเพราะพกพาไดสะดวกการบารุงรักษาคอมพวิ เตอร์ เนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ใชกระแสไฟฟูาเพื่อใหอุปกรณ์ตางๆภายในเคร่ืองสามารถทํางานได ดังน้ันเพ่ือใหยืดอายุการใชงานของคอมพิวเตอร์ใหยาวนานข้ึน ผูใชตองหม่นั บํารงุ รักษาคอมพวิ เตอร์ ดังนี้ 1. การบารุงรักษาฮาร์ดแวรค์ อมพวิ เตอร์ การบํารุงรักษาฮารด์ แวร์คอมพิวเตอร์ เป็นการบํารุงรักษาตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ใหอยูในสภาพท่ีพรอ มใชง านอยูเสมอ ผูใ ชงานคอมพวิ เตอร์ควรปฏบิ ตั ิดังนี้ 1.1 ทําความสะอาดเคร่ืองคอมพิวเตอร์ดวยผาแหงทุกครั้ง เพราะการใชผาท่ีเปียกชื้นจะทําใหค วามชื้นไปเกาะตามช้ินสวนตา งๆ สงผลตอการทาํ งานของอปุ กรณ์นนั้ ๆ ได 1.2 ตอ งทําความสะอาดเคร่อื งขณะทป่ี ดิ เครื่องเทา น้นั 1.3 ในกรณีท่ีเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบต้ังโต฿ะ ควรจัดวางคอมพิวเตอร์ในท่ีปลอดโปรง ไมควรต้ังในมุมอับ เพราะจะทําใหการระบายความรอนของพัดลมระบายอากาศทํางานไดไมดีเทาทค่ี วร 41 1.4 ในกรณที ่ใี ชส เปรย์ ไมควรฉดี นา้ํ ยาลงทีเ่ ครอื่ งคอมพิวเตอร์โดยตรง ควรฉีดลงบนผาและไมใหช ้นื จนเกนิ ไป 1.5 หลกี เล่ยี งการดม่ื นํา้ และกินของขบเคย้ี วใกลกับคอมพิวเตอร์ เพราะอาจเกิดการหกเลอะของนํ้าท่คี อมพิวเตอร์ และมเี ศษของขบเคี้ยวตกลงไปในคยี บ์ อร์ดได 1.6 ในกรณีท่ีเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา ควรจัดหาซอฟต์เคสสําหรับเครื่องคอมพวิ เตอรเ์ พื่อปอู งกันการกระแทกจากการตกหลน ของเคร่อื งคอมพวิ เตอร์ 1.7 ยืดระยะเวลาการใชงานแบตเตอร่ีสําหรับคอมพิวเตอร์แบบพกพา โดยการปิดโปรแกรมทีไ่ มจ าํ เป็นตองใชง านทุกคร้งั ปดิ การเชื่อมตอ อุปกรณ์ เชน ปิดการใชงานบลูทูธ และปิดการเชื่อมตออินเทอร์เนต็ ทุกคร้ัง เม่อื หยุดใชงาน 2. การบารุงรกั ษาข้อมูลในเคร่อื งคอมพิวเตอร์ นอกจากจะบํารุงรักษาตัวเคร่ืองคอมพิวเตอร์แลว ผูใชตองใหความสําคัญกับขอมูลตางๆท่ีจัดเก็บในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ เพ่ือปูองการสูญหายหรือถูกทําลาย ผูใชงานสามารถดูแลขอมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนี้ 2.1 ตดิ ตงั้ โปรแกรมสแกนและกาํ จัดไวรัสคอมพิวเตอร์และตองทําการอัพเดตโปรแกรมสม่าํ เสมอ 2.2 สรา งโฟลเดอรเ์ พื่อเกบ็ ขอมูลในไดรฟ์ ทไ่ี มไดติดตั้งโปรแกรมระบบ (โปรแกรมระบบสวนมากติดตั้งท่ีไดร์ฟ C:) ทั้งน้ีเพ่ือปูองกันการสูญหายของขอมูลเมื่อโปรแกรมระบบรวมถึงระบบปฏบิ ตั ิการเกดิ ปญั หาในการใชงาน 2.3 หมั่นใชโปรแกรมอรรถประโยชน์ เชน disk cleanup เพ่ือกําจัดไฟล์ที่ไมจําเป็นในฮารด์ ดิสก์ เชน ไฟล์ขยะใน Internet temporary file 2.4 uninstall โปรแกรมทีไ่ มจาํ เป็นตองใชง านออก เพ่อื ประหยัดพนื้ ที่ของฮาร์ดดิสก์ 2.5 ในไดร์ฟ C: ที่ติดตั้งโปรแกรมระบบปฏิบัติการ ตองเหลือพ้ืนท่ีของฮาร์ดดิสก์อยางนอย 500-700 MB เพราะจะเกิดปญั หากบั การสตาร์ทระบบปฏิบตั ิการเมือ่ หนวยคําจาํ ไมเพยี งพอ 2.6 หม่ันสํารองขอมลู จากฮาร์ดดสิ กล์ งในหนวยความจําสาํ รองอ่ืนๆ เสมอ 2.7 ใช scandisk และ disk defragment อยางนอยเดือนละ 1 คร้ัง เพ่ือปูองกันการสญู เสียทอ่ี าจจะเกดิ กับฮารด์ ดสิ ก์ 2.8 ไมค วรถอดสายอุปกรณ์เช่ือมตอขณะที่กําลังเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะอาจทําใหแ ผงวงจรรวมเสยี หายได 2.9 ติดต้ังไฟร์วอลล์ (firewall) เพื่อปูองกันไวรัสหรือการบุกรุกรูปแบบตางๆ จากการใชงานอนิ เทอร์เน็ต 2.10 ทําการสํารองซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการและไดร์ฟเวอร์ของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ไวทุกคร้ัง เพอ่ื ประโยชน์ในการติดตง้ั ซอฟตแ์ วรร์ ะบบในกรณีทีค่ อมพวิ เตอรเ์ กิดปัญหา 42สรุป คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ท่ีมีความจําเป็นตอการดําเนินกิจการของทุกๆ องค์กร เพราะคอมพิวเตอร์ชวยเพ่ิมประสิทธิภาพในการทํางาน องค์ประกอบท่ีสําคัญของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ประกอบดวย หนวยรับขอมูล หนวยประมวลผล หนวยความจํา หนวยแสดงผล และหนวยติดตอส่ือสาร คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท มีการแบงประเภทของคอมพิวเตอร์ตามขนาดและสมรรถนะในการใชงาน ไดแก ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ เมนเฟรม มินิคอมพิวเตอร์ และไมโครคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์สวนบุคคล ซึ่งแบงไดเป็น คอมพิวเตอร์แบบต้ังโต฿ะ และคอมพิวเตอร์แบบพกพา คอมพิวเตอร์แบบพกพาเป็นคอมพิวเตอร์สวนบุคคลที่ไดรับความนิยมมากท่ีสุดในปัจจุบัน ประกอบดวย คอมพิวเตอร์โนตบุ฿ก คอมพิวเตอร์เน็ตบุ฿ก และคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตซอฟต์แวร์เป็นส่ิงจําเป็นเพราะเป็นชุดคําส่ังที่ส่ังใหคอมพิวเตอร์ทํางาน ซอฟต์แวร์ แบงไดเป็นซอฟต์แวรร์ ะบบ และซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์ ในการเลือกซือ้ คอมพิวเตอร์ตองคํานึงถึงวัตถุประสงค์ในการใชงานเปน็ หลกั รวมถงึ เม่อื มกี ารซ้ือคอมพวิ เตอร์มาใชง านแลว ตอ งหม่นั ดูแลรกั ษาอยางสม่ําเสมอ 43 คาถามทบทวน1. คอมพวิ เตอรม์ ีความสําคญั ตอ การเรียนของนักศึกษาอยา งไรบาง2. จงบอกหลักการทํางานของคอมพวิ เตอร์3. สว นประกอบหลกั ของฮารด์ แวร์คอมพวิ เตอรม์ ีอะไรบาง4. หนวยประมวลผลกลาง มคี วามสาํ คัญอยา งไรตอ การทาํ งานของคอมพิวเตอร์5. คอมพวิ เตอรม์ ีกี่ประเภท จงอธิบาย6. คอมพิวเตอร์โนตบุก฿ และคอมพวิ เตอรเ์ นต็ บุ฿ก มีความเหมอื นและตางกนั อยา งไรบา ง7. เพราะเหตุใดคอมพวิ เตอร์แทบ็ เลต็ จึงเป็นทนี่ ยิ มในปัจจบุ นั8. ซอฟตแ์ วร์ประยกุ ตค์ อื อะไร ใหย กตัวอยา งมา 5 ซอฟต์แวร์9. นักศกึ ษามวี ิธีการเลือกชื้อคอมพิวเตอรโ์ นต บุ฿กอยางไรบา ง10. จงบอกวิธกี ารดแู ลรักษาไฟล์ขอ มลู ในเคร่ืองคอมพวิ เตอรม์ า 5 ขอ พรอมอธบิ าย บทท่ี 3 เทคโนโลยกี ารส่อื สารขอ้ มลู อาจารย์สุระสทิ ธิ์ ทรงมา้ ปจั จบุ ันเทคโนโลยกี ารสื่อสารไดมีการพัฒนาอยางรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สูงข้ึนกวาเดิมอาทเิ ชน ระบบคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต โดยเราจะเห็นไดวาในปัจจุบันตามอาคารบานพักอาศัยรวมไปถึงสํานักงานตางๆ มีการใชงานระบบคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตกันอยางแพรหลาย โดยถูกนํามาใชในชีวิตประจําวันจนกลายเป็นส่ิงจําเป็นมากขึ้น เชน การเก็บขอมูล การติดตอส่ือสาร การคน ควา ขอ มลู การซื้อขายสินคา รวมถึงความบันเทิง เป็นตน ซึ่งสามารถกระทําไดสะดวกและรวดเร็วโดยระบบอินเทอร์เนต็ น้นั มาจากการพัฒนาทางดานเทคโนโลยีการสื่อสารขอมูล หรือเรียกวา “ระบบเครือขายคอมพิวเตอร์” ซ่ึงในปัจจุบันระบบเครือขายคอมพิวเตอร์เป็นเร่ืองที่ใกลตัวมากกวาในอดีตเป็นอยางมาก เพราะสามารถพบเห็นและทําความเขาใจไดงายข้ึน สําหรับเนื้อหาบทน้ีจะกลาวถึงภาพรวมในเร่ืองของระบบเครือขา ยคอมพิวเตอร์ความรูเ้ บื้องต้นเกีย่ วกบั ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ นิยามของคําวาระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) ไดมีนักวิชาการไดกลา วถงึ ความหมายของระบบเครือขา ยคอมพวิ เตอร์ ไวหลายทา นดงั นี้ พิศาล พิทยาธุรวิวัฒน์ (2551, หนา 15) ไดใหความหมายระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ไววาระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การนําเคร่ืองคอมพิวเตอร์รวมถึงอุปกรณ์ตาง ๆ เชน สวิตช์เราท์เตอร์ เครื่องพิมพ์ มาเชื่อมโยงเป็นระบบเครือขาย โดยมีตัวกลางในการนําพาสัญญาณ เพ่ือใหสามารถติดตอส่อื สารกันได ทําใหเ กิดประโยชน์ในการใชง านดานตา งๆ ฝุายผลิตหนังสือตําราวิชาการคอมพิวเตอร์ สํานักพิมพ์ซีเอ็ดยูเคช่ัน (2551, หนา 21) ไดใหความหมายไวว า ระบบเครอื ขา ยคอมพิวเตอร์ หมายถึง การนํากลุมคอมพิวเตอร์ต้ังแต 2 เคร่ืองข้ึนไปมาเช่ือมตอกันเป็นเครือขาย การเชื่อมตอกลุมคอมพิวเตอร์เขาดวยกัน จําเป็นตองมีส่ือกลางในการสอื่ สาร ซึง่ อาจเป็นสายเคเบลิ หรอื คลน่ื วทิ ยุ จตุชัย แพงจันทร์ และอนุโชต วุฒิพรพงษ์ (2551, หนา 6) ไดกลาววา ระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ หมายถึง ระบบท่ีมีคอมพิวเตอร์อยางนอยสองเคร่ืองเช่ือมตอกันโดยใชสื่อกลาง และสามารถส่อื สารขอมลู กันไดอ ยา งมปี ระสทิ ธิภาพ จากขอ มูลขางตนสรุปไดวา ระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การติดตอสื่อสารหรือการเชื่อมตอกันระหวางระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต 2 เครื่องข้ึน ผานสื่อกลางในการติดตอส่ือสารหรือการเชื่อมตอ ไดทั้งสื่อกลางแบบมีสายหรือส่ือกลางแบบไมมีสายก็ได อาทิเชน สายเคเบิล หรือผานคลน่ื วทิ ยุ โดยมีจุดประสงค์หลกั เพื่อแลกเปลย่ี นขอ มูลขาวสารหรือใชใ นการติดตอ ส่ือสารซึ่งกันและกนั 46 1. องค์ประกอบของระบบการส่ือสารขอ้ มลู การส่ือสารขอมูลไมวาจะเป็นคนหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ จะประสบความสําเร็จหรือไมข้ึนอยูกับสวนประกอบหลายประการ โดยพื้นฐานแลวระบบการสื่อสารขอมูลจะประกอบไปดวย 5สว นสาํ คัญดงั นี้ 1.1 ขอมูล (Data) คือส่ิงท่ีเราตองการสงไปยังปลายทาง เชน ขาวสารหรือสารสนเทศอาจเป็นขอความ ภาพ วิดีโอ หรือสื่อประสม (Multimedia) ซ่ึงขอมูลท่ีสงไปจะผานสื่อกลางอาจจะเปน็ แบบมีสายและแบบไมม สี ายกไ็ ด เมอื่ ไปถึงปลายทางผูร ับจะตองสามารถเขาใจขาวสารนนั้ ได 1.2 ฝุายสงขอมูล (Sender) คือ แหลงกําเนิดขาวสาร (Source) หรืออุปกรณ์ท่ีนํามาใชสําหรบั สง ขา วสาร ตัวอยางอปุ กรณส์ งขอ มูล เชน คอมพวิ เตอร์ โทรศัพท์ เราทเ์ ตอร์ เปน็ ตน 1.3 ฝุายรับขอมูล (Receiver) คือ จุดหมายปลายทางของขาวสาร (Destination) หรืออุปกรณ์ที่นํามาใชสําหรับรับขาวสารท่ีสงมาจากฝุายสงขอมูล เชน คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ วิทยุโทรทัศน์ เราท์เตอร์ เปน็ ตน 1.4 สื่อกลางสงขอมูล (Media) คือ ชองทางการติดตอสื่อสารที่จะนําเอาขอมูลขาวสารจากฝาุ ยสง ขอมลู ไปยังฝุายรับขอมูล ซึ่งเป็นเสมือนเสนทางที่ลําเลียงขอมูลจากตนทางไปยังปลายทางโดยปัจจุบนั ส่ือกลางมอี ยู 2 ลกั ษณะ คอื แบบมสี าย เชน สายคูบิตเกลียว สายใยแกวนําแสง และแบบไมม ีสาย เชน คลนื่ วิทยุ คลน่ื ไมโครเวฟ คลื่นอนิ ฟราเรด เป็นตน 1.5 โพรโตคอล (Protocol) คือ มาตรฐานหรือขอ ตกลงที่จะใชใ นการติดตอสื่อสารรวมกันระหวางฝุายผูสงกับฝุายผูรับ นั้นก็คือการส่ือสารจะประสบความสําเร็จหรือไมข้ึนอยูกับวาผูรับสารไดเขาใจสารตรงตามท่ีผูสงตองการหรือไม กรณีที่ผูรับสารเขาใจขาวสารผิดพลาดจะถือไดวาการสื่อสารนั้นลมเหลว เชน คนไทยตองการส่ือสารกับคนลาว โดยตางคนตางพูดภาษาของตนเองรับรองวาไมสามารถส่ือสารกันไดอยางแนนอน จําเป็นตองมีภาษากลางที่ท้ังสองฝุายยอมรับ ในท่ีน้ีใหเป็นภาษาองั กฤษ ทั้งคนไทยและคนลาวก็ใชภาษาองั กฤษตดิ ตอสื่อสารกันกจ็ ะส่อื สารกันเขาใจ โพรโตคอลในท่ีน้ีคอื ภาษาอังกฤษ เปน็ ตน โดยเมื่อนําองคป์ ระกอบของระบบการสอื่ สารขอมูลทั้งหมดมารวมกัน สามารถแสดงไดดังภาพที่ 3.1 ภาพท่ี 3.1 องค์ประกอบของระบบการสื่อสารขอมูล ท่มี า (นิสติ รนิ รดา โยธาปาน และนิสิตอรสุมน ศานตวิ งศ์สกลุ , 2555) 47 2. องคป์ ระกอบของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การส่ือสารขอมลู ผานระบบเครอื ขายคอมพวิ เตอร์มีองค์ประกอบดงั ตอไปนี้ 2.1 คอมพิวเตอร์ คือ ระบบเครือขา ยจะตองมีคอมพิวเตอร์อยางนอย 2 เคร่อื ง ข้นึ ไป โดยคอมพวิ เตอรจ์ ะเปน็ รนุ ไหน ยี่หอไหนก็ใชงานได 2.2 การ์ดเชื่อมตอเครือขาย (Network Interface Card: NIC) เป็นการ์ดที่เสียบเขากับชองเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นจุดเช่ือมตอระหวางคอมพิวเตอร์และเครือขาย ปัจจุบันการ์ดน้ีสวนใหญจะติดต้งั ภายในคอมพวิ เตอรม์ าใหแลว 2.3 สื่อกลางและอุปกรณ์สําหรับการรับสงขอมูล (Physical Media) คือ ชองทางในการสื่อสารขอมูลเป็นไดทางแบบมีสายและแบบไมมีสาย เชน สายคูตีเกลียว หรือคลื่นวิทยุ เป็นตน และอุปกรณ์เช่ือมตอ ตา งๆ เชน ฮับ สวติ ช์ เราทเ์ ตอร์ เกตเวย์ เป็นตน 2.4 โพรโตคอล (Protocol) คือมาตรฐานหรือขอตกลงที่ต้ังข้ึนเพื่อทําใหผูท่ีจะสื่อสารกันเขาใจกัน หรือโปรโตคอลเดียวกัน เชน กรณีท่ีจะเช่ือมตอเขาระบบอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์จะเชอื่ มตอ ผานโพรโตคอล TCP/IP เป็นตน 2.5 ระบบปฏิบัติเครือขาย (Network Operating System: NOS) คือชุดโปรแกรมที่เป็นตัวชวยจัดการเกี่ยวกับการใชงานเครือขายของผูใชแตละคน หรือเป็นตัวกลางในการควบคุมการใชทรพั ยากรตา งๆ ของเครอื ขาย เชน Windows server 2008, Unix และ Linux เปน็ ตน 3. ประโยชน์ของระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบเครือขา ยคอมพวิ เตอรก์ อใหเกิดประโยชนต์ างๆ มากมายหลายประการดว ยกนั 3.1 ดานการใชทรัพยากรรวมกันได ซึ่งถือเป็นประโยชน์สูงสุดของการเช่ือมตอระบบเครอื ขา ยคอมพิวเตอร์ 3.2 ดานการลดคาใชจาย คือ เม่ือมีระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ท่ีสามารถใชทรัพยากรรว มกนั ไดส งผลตอ การลดคา ใชจายลง 3.3 ดานความสะดวกในดานการส่ือสาร การใชคอมพิวเตอร์เพื่อการส่ือสารสงผลใหการตดิ ตอเพื่อดาํ เนินธุรกรรมใด ๆ บรรลุผลไดอ ยางสะดวกและรวดเรว็ 3.4 ดานความนาเช่อื ถอื ของระบบงาน เน่อื งจากขอมูลขาวสารตา งๆ มกี ารจดั เก็บไวหลายที่โดยมีระบบปฏิบัติการเครือขาย เป็นซอฟต์แวร์ที่ชวยจัดการสิทธิการใชงานของผูใชและมีระบบปอู งกนั ความปลอดภัย ทดี่ แี ละมปี ระสทิ ธภิ าพรปู แบบการสอ่ื สารขอ้ มลู บนระบบเครอื ขา่ ย ในการติดตอส่ือสารกันระหวางเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในระบบเครือขาย จะมีรูปแบบของการสอ่ื สารหลักๆ อยู 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. การส่ือสารแบบ Unicast ลักษณะการส่ือสารแบบ Unicast เป็นโหมดการรับสงขอมูลจากคอมพิวเตอร์หน่ึงไปยังอีกเคร่ืองหน่ึงในระบบเครือขายในลักษณะ 1 ตอ 1 หรือเรียกวา One-to-One การสงลักษณะนี้ ตัวเราท์เตอร์ ใชโพรโทคอลในการคนหาเสนทางระหวางโหนด เชน Routing Internet Protocol 48version 2 (RIP), Open Shortest Path Finding version 2 (OSPF) เป็นตน เน่ืองจากการส่ือสารแบบ Unicast เปน็ การสงขอมูลระหวางคอมพิวเตอร์แบบงา ย ๆ แตจ ะมปี ญั หาถาจํานวนคอมพิวเตอร์ในการรับสงเพิ่มมากเกินไป จะสงผลทําใหเกิดปัญหาการสงขอมูลในเครือขายมากเกินไป (NetworkLoad) ลักษณะการส่ือสารแบบ Unicats แสดงไดด ังภาพที่ 3.2 ภาพท่ี 3.2 ลักษณะการสอื่ สารแบบ Unicast ท่ีมา (McQuerry S, 2008) 2. การสอ่ื สารแบบ Broadcast การสื่อสารแบบ Broadcast โหมดน้ันเป็นการสงขอมูลจากคอมพิวเตอร์ตนทางหน่ึงเครื่องไปยังเครื่องปลายทางทุกเคร่ืองท่ีติดตออยูในลักษณะของการแพรกระจายขอมูล แบบ 1 ตอทั้งหมด หรือเรียกวา One-to-All การแพรขอมูลแบบสงไปยังเครื่องทุกเคร่ืองนั้น จะตองมีการประมวลผลขอมูลที่เคร่ืองปลายทาง สวนเคร่ืองที่ไมตองการรับขอมูลนั้นก็จะไดรับขอมูลไปดวย แตตองท้ิงขอมูลที่ไดรับมา เป็นการสูญเสียความสามารถในการประมวลผลไป อีกท้ังยังทําใหมีปริมาณขอมูลสงอยูในเครือขายจํานวนมากโดยเปลาประโยชน์ และสามารถเกิดเป็นปัญหา พายุขอมูล(Broadcast storm) ได การสอื่ สารแบบ Broadcast น้ีปจั จบุ ันมีการใชงานอยเู ฉพาะใน (Local AreaNetwork: LAN เทาน้ัน เนื่องจากเป็นการยากในการหาเสนทางเม่ือสงออกไปยัง (Wide AreaNetwork: WAN) ดังนั้นจงึ ใชเฉพาะใน LAN ซงึ่ จดั การไดดงี ายกวา บน WAN แสดงดงั ภาพที่ 3.3 ภาพท่ี 3.3 ลักษณะการสื่อสารแบบ Broadcast ท่ีมา (McQuerry S, 2008) 3. การส่ือสารแบบ Multicast โหมดการส่อื สารขอมูลแบบ Multicast เป็นการสงขอมูลจากเคร่ืองตนทางหนึ่งไปยังกลุมของเครอื่ งปลายทางเฉพาะกลุม ทีม่ กี ารกาํ หนดแบบ 1 ตอกลุมเฉพาะ หรือ One-to-N ซ่ึง N ในที่น้ีอยูตง้ั แต 0 ถงึ ทง้ั หมด การสง ขอ มูลจะสง ไปยังเฉพาะกลุม ทตี่ อ งการรบั ขอมูลเทาน้ัน การสงขอมูลแบบนี้จะแตกตางจาก Unicast และ Broadcast มาก คือ ขอมูลจะถูกสงจากตนทางเพียงแพ็กเก็ต(Packet) เดียวและจะถูกสงตอโดยตัวเราท์เตอร์ จนถึงกลุมเครือขายปลายทาง และจะสงแพ็กเก็ต 49ขอมูลไปยังเคร่ืองในกลุมเฉพาะ (Multicast Group) ที่กําหนด โดยจะทําการคัดลอกแพ็กเก็ตขอมูลแลว สงใหแ กเ ครอ่ื งปลายทางทุกเครอ่ื งทต่ี องการ แสดงไดดังภาพที่ 3.4 ภาพท่ี 3.4 ลกั ษณะการสอื่ สารแบบ Multicast ทม่ี า (McQuerry S, 2008)ทิศทางของการสือ่ สารข้อมูลบนระบบเครือข่าย สําหรับการติดตอสื่อสารกันระหวางผูสง (คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ตนทาง) และผูรับ(คอมพวิ เตอร์ปลายทางหรอื อุปกรณ์ปลายทาง) มีลกั ษณะการส่ือสารได 3 รปู แบบดังน้ี 1. การส่ือสารแบบซมิ เพล็กซ์ การสื่อสารแบบซิมเพล็กซ์ (Simplex) หรือการสื่อสารแบบทางเดียวเป็นการสื่อสารท่ีมีลักษณะผูสงทําหนาที่สงสารอยางเดียว และผูรับก็จะมีหนาที่รับสารอยางเดียว โดยท่ีผูรับไมสามารถสง ขาวสารกลบั ไปยังผูสงได จะคลายกบั การที่เราน่ังฟังวิทยุ หรือดูโทรทัศน์ เราจะเป็นผูรับอยางเดียวไมสามารถเป็นผูส ง ได เชน คียบ์ อรด์ และจอภาพแบบทัชสกรีน แสดงไดด ังภาพที่ 3.5 One way only ภาพที่ 3.5 การสอ่ื สารแบบซิมเพล็กซ์ 2. การสื่อสารแบบฮาลฟ์ ดเู พลก็ ซ์ การสอื่ สารแบบฮาลฟ์ ดูเพลก็ ซ์ (Half-Duplex) หรือการสื่อสารแบบทางใดทางหนึ่งท่ีผูรับและผูสงสามารถสงขาวสารระหวางกันได แตตองเป็นคนละเวลา คือหากผูสงสงขอมูลไปหาผูรับระหวางน้ันผูรับจะไมสามารถสงขอมูลไปหาผูสงไดตองรอจนวาผูสงจะสงเสร็จจึงสามารถสงขอมูลขาวสารได เชน การใชวิทยุส่ือสารของตํารวจ การสื่อสารในรูปแบบน้ี ตองอาศัยการ สลับสวิตซ์ เพ่ือแสดง การเป็นผูสงสัญญาณคือตองผลัดกันพูด และจะไมสามารถสงขอมูลพรอมกันได แสดงไดดังภาพที่ 3.6 50 TWO WAY BUT NOT AT THE SAME TIME ภาพที่ 3.6 การส่อื สารแบบฮาลฟ์ ดูเพล็กซ์ 3. การสอ่ื สารแบบฟลู ดูเพล็กซ์ การส่ือสารแบบฟูลดูเพล็กซ์ (Full-Duplex) หรือการส่ือสารแบบสองทิศทาง เป็นการส่ือสารท่ีทั้งผูรับและผูสง สามารถสงขอมูลขาวสารถึงกันไดในระยะเวลาหนึ่งไดพรอมกัน หรือการตดิ ตอสื่อสารกนั ไดตลอดทั้งผสู งและผรู บั ในเวลาเดยี วกัน เชน การใชโ ทรศพั ท์ แสดงไดด งั ภาพท่ี 3.7 BOTH WAY AT THE SAME TIME ภาพท่ี 3.7 การสอ่ื สารแบบฟูลดเู พล็กซ์ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ เพื่อความเขาใจมากยิ่งขึ้นจําเป็นตองทําความเขาใจถึงระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ โดยเราสามารถจําแนกประเภทของระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ออกไดหลายประเภทตามหลักเกณฑ์ท่ีใชสําหรับการจาํ แนกประเภท อาทิเชน แบงตามขนาดพ้ืนท่ีการใหบริการ แบงตามลักษณะการไหลของขอมูล และแบงตามลักษณะหนาที่การทํางานของคอมพิวเตอร์ในเครือขาย โดยขอยกตัวอยางเป็นสังเขปดังน้ี 1. แบ่งตามขนาดพืน้ ที่ให้บริการ หรอื เรียกอกี อยางวา การแบง ตามขนาดทางกายภาพ โดยสิ่งท่ีตองคํานึงถึงสําหรับการแบงตามขนาดพื้นท่ีการใหบริการคือ ความเร็วในการติดตอรับสงขอมูลขาวสารระหวางกัน จะมีลักษณะคลายกบั การทาํ งานของมนษุ ยเ์ ราคือ เมอ่ื ยใู กลก็จะติดตอสื่อสารกันไดอยางรวดเร็วและมีขอผิดพลาดนอย ซ่ึงจะแตกตางกับการอยูในพ้ืนที่ที่หางไกลกันทําใหการติดตอสื่อสารกันทําไดชาลงและโอกาสความผิดพลาดก็มีสูงข้ึนตามไปดวย โดยหากเราใชขนาดพื้นที่การใหบริการ สามารถแบงได 3ประเภท ดังน้ี 1.1 เครือขา่ ยท้องถิ่น (Local Area Network: LAN) หรือเรียกวาเครือขายเฉพาะพ้ืนที่ เป็นเครือขายท่ีติดต้ังและใชงานและมีพื้นที่ใหบริการครอบคลุมระยะใกล มักใชภายในหองสํานักงาน ภายในตัวอาคาร หรือระหวางอาคารที่อยูบริเวณใกลเคียงกัน เป็นเครือขายท่ีเป็นพ้ืนฐานสําหรับระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ท่ัวไป ตัวอยาง 51เทคโนโลยีที่ใชสําหรับเครือขายเฉพาะที่ ไดแก อีเธอร์เน็ต (Ethernet) โทเคนริง (Token Ring)สาํ หรับกรณีระบบไรส ายไดแก WI-Fi (IEEE 802.11) 1.2 เครอื ข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network: MAN) หรือเรียกวาเครือขายในพ้ืนที่เมือง เป็นเครือขายที่มีพ้ืนที่ใหบริการครอบคลุมอาณาบริเวณกวางกวา เครอื ขายทองถน่ิ และจะตอ งใชเ ครอื ขายสาธารณะเขา มาตัวกลางในการติดตอสื่อสารเชน โครงขายขององค์การโทรศัพท์ หรือการส่ือสารแหงประเทศไทย สวนใหญติดตั้งและใชบริการสําหรับติดตอสื่อสารกันในระดับจังหวัด หรือระหวางสาขาของสํานักงานที่อยูคนละพ้ืนที่กัน โดยเป็นการเช่ือมโยงระหวางเครือขายทองถ่ินท่ีอยูคนละพื้นที่เขาดวยกัน ตัวอยางเทคโนโลยีที่ใชสําหรับเครือขายระดับเมือง ไดแก FDDI เมโทอีเธอร์เน็ต (Metro-ethernet) สําหรับกรณีระบบไรสายไดแกWIMAX (IEEE 802.16) 1.3 เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network: WAN) หรือเรียกวาเครือขายพื้นที่กวาง เป็นเครือขายท่ีมีพ้ืนที่ใหบริการครอบคลุมอาณาบริเวณท่ีหางไกลกันมากกวางกวาเครือขายระดับเมือง ใชเป็นเครือขายสําหรับติดตอส่ือสารกันในระดับประเทศ ระดับทวีป และตอ งใชเครอื ขายสาธารณะเขามาเป็นตัวกลางในการติดตอสื่อสาร ไดแกโครงขายขององค์การโทรศัพท์ หรือการส่ือสารแหงประเทศไทย เชน คูสายโทรศัพท์ Dial-Up line/คูสายเชา Leased line/ISDN/ADSL สามารถสงไดท ั้งขอมูลเสยี งและภาพในเวลาเดียวกัน เป็นตน ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงเครือขายระดับทองถ่ิน และระดับเมืองเขาดวยกัน ซึ่งตัวอยางท่ีเห็นไดชัดคือ ระบบอินเทอร์เน็ต โดยสามารถอธบิ ายถงึ พน้ื ทก่ี ารใหบริการของ LAN MAN WAN ไดดังภาพที่ 3.8 ภาพท่ี 3.8 ประเภทของระบบเครือขาย ท่ีมา (พุฒ กอนทอง, 2550) 52 2. แบ่งตามลักษณะการไหลของข้อมูล เครือขายคอมพิวเตอร์ไดตามลักษณะการไหลของขอมลู ออกเป็น 2 ประเภทคือ 2.1 เครือข่ายแบบรวมศนู ย์ (Centralized Network) เป็นเครือขายที่มีโครงสรางงายท่ีสุด โดยคอมพิวเตอร์ทุกเคร่ืองจะติดตอส่ือสารกับผานจุดรวมศูนย์เทาน้ัน สวนใหญเป็นระบบที่มีการติดต้ังฐานขอมูลหลักท่ีสาขาใหญ โดยมีคอมพิวเตอร์ที่สถานีปลายทางกระจายอยูท่ัวประเทศ เชน ระบบ Automatic Teller Machine(ATM) ของธนาคาร ระบบควบคุมสนิ คา เป็นตน 2.2 เครือข่ายแบบกระจาย (Distributed Network) คอมพิวเตอร์แตละเครื่องในเครือขายแบบกระจายจะสามารถสงขอมูลไปยังคอมพวิ เตอรใ์ ดๆ กไ็ ดใ นเครอื ขา ย จะชว ยเพิม่ ความนา เช่ือถือของระบบเครือขายได 3. แบ่งตามลักษณะหน้าท่ีการทางานของคอมพิวเตอร์ ใชล ักษณะการแชรข์ อมูลของคอมพิวเตอร์ หรือลักษณะหนาท่ขี องคอมพวิ เตอร์แตละเคร่อื งเปน็ เกณฑ์ 3.1 ระบบเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพยี ร์ (Peer-to-Peer Network) หรือเรยี กวาระบบเครอื ขายแบบเวิร์กกรุ฿ป (Workgroup) เป็นเครือขายคอมพิวเตอร์ท่ีไมมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และไมมีการแบงชั้นความสําคัญของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมตอเขากับเครือขายคอมพวิ เตอรท์ กุ เครื่องจะมสี ทิ ธเิ ทา เทยี มกนั ในการจัดการใชเ ครือขาย ซ่ึงเรียกวา เพียร์ (Peer) นั้นเองคอมพิวเตอรแ์ ตละเครือ่ งจะทําหนา ทเ่ี ป็นทัง้ ไคลเอนทแ์ ละเซิร์ฟเวอร์แลวแตการใชงานของผูใช เคร่ืองขา ยประเภทนไ้ี มจาํ เป็นตองมผี ดู ูแลและจัดการระบบ แสดงไดด ังภาพท่ี 3.9 ภาพท่ี 3.9 ระบบเครือขายแบบเพยี รท์ ูเพียร์ (Peer to Peer) หรอื (Workgroup) ทมี่ า (Sheehan M, 2009) 3.2 ระบบเครอื ข่ายแบบไคลเอนทเ์ ซริ ฟ์ เวอร์ (Client Server Network) กรณีระบบเครือขายคอมพิวเตอร์มีจํานวนเคร่ืองคอมพิวเตอร์มากข้ึน การดูแลและจัดการกับระบบจะทําไดยากขึ้น ซ่ึงจะไมเหมาะสมกับระบบเครือขายแบบเพียร์ทูเพียร์ เนื่องจากเครือขายจําเป็นตองมีเซิร์ฟเวอร์ทําหนาท่ีจัดการเร่ืองตางๆ และใหบริการอ่ืนๆ เครื่องเซิร์ฟเวอร์น้ัน 53ควรเป็นเครอ่ื งทม่ี ีประสิทธิภาพสูงและสามารถใหบริการกับผูใชไดหลายๆ คนในเวลาเดียวกัน และในขณะเดยี วกันกต็ องทําหนาท่ีรกั ษาความปลอดภัยในการเขาใชบ รกิ ารและทรพั ยากรตางๆ ของผูใชดวยเครือขายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์เป็นระบบที่สวนใหญยอมรับวา เป็นมาตรฐานของการสรางเครือขายในปัจจุบันแลว ขอดี คือ สามารถแชร์ขอมูล เครื่องพิมพ์ ของแตละเคร่ืองได มีระบบSecurity ท่ีดี และสามารถจัดสรร แบง ปันการใชท รพั ยากรไดดี แสดงไดด งั ภาพที่ 3.10 ภาพที่ 3.10 ระบบเครือขายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์ (Client Server Network) ทมี่ า (Sheehan M, 2009)มาตรฐานระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ จากท่ีไดกลาวมาแลวถึงเร่ืองการแบงประเภทของระบบเครือขาย ซึ่งสามารถแบงไดหลายประเภทตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด แตที่นิยมใชกันคือแบงตามขนาดพื้นท่ีใหบริการ ในที่นี้ขอกลาวถึงมาตรฐานของระบบเครอื ขายท่ีนิยมใชด ังนี้ 1. มาตรฐานเครือข่ายท้องถ่ิน (Local Area Network: LAN) เปน็ มาตรฐานท่เี ป็นท่ีนิยมใชก ันมากในปัจจบุ ัน โดยท่ัวไปมี 3 แบบ คอื 1.1 Ethernet พฒั นาขึ้นโดยบริษัท Xerox ถือเป็นมาตรฐานของระบบเครือขายทองถิ่นท่ีไดรับความนิยมมากท่ีสุดในปัจจุบัน ซึ่งมีการกําหนดมาตรฐานโดยสถาบันวิศวกรไฟฟูาและอิเล็กทรอนิกส์ IEEE (Institute of Electrical and Electronics Engineers) โดยท่ีมาตรฐานEthernet ท่ีนิยมในระบบเครือขายทองถิ่น จะใชมาตรฐาน IEEE 802.3 เชน Ethernet (10 Mbps),Fast Ethernet (100 Mbps), Gigabit Ether (1000 Mbps) โดยท่ี Ethernet จะใชเทคนิคการสงขอมูลแบบ CSMA/CD (Carrier Sense Multiple Access/Collision Detection) กลาวคือถาเกิดสงขอ มูลพรอมกนั และสัญญาณชนกัน จะตองสงขอมลู ใหม 1.2 Token-Ring พัฒนาขึ้นโดยบริษัท IBM จะใช Access Method แบบ TokenPassing ในการเชื่อมตอสามารถใชไดท้ังสาย Coaxial, UTP, STP หรือสายใยแกวนําแสง (Fiberoptic) ระบบเครือขายแบบนี้มีความคงทนตอความผิดพลาดสูง (Fault-tolerant) ความเร็วในการรบั สงขอมูลจะอยูที่ 4-16 Mbps จะใชม าตรฐาน IEEE 802.5 54 1.3 FDDI (Fiber Distributed Data Interface) เป็นมาตรฐานเครือขายความเร็วสูงท่ีทํางานอยูในช้นั Physical สวนใหญนําไปใชเช่ือมตอเป็น Backbone (เป็นสายสัญญาณหลักเช่ือมตอระหวางเครือขายทองถ่ินเขาดวยกัน ใช Access Method แบบ Token-passing และใช Topologyแบบวงแหวนคู (Dual Ring) ซ่ึงชวยทําใหทนตอขอบกพรอง (Fault tolerance) ของระบบเครือขายไดดขี ้นึ ทํางานอยูท่ีความเรว็ 100 Mbps 2. มาตรฐานระบบเครือข่ายระดบั ประเทศ (Wide Area Network: WAN) 2.1 X.25 เป็นโปรโตคอลมาตรฐานของเครือขายแบบเกา ไดรับการออกแบบโดย CCITTประมาณ ค.ศ. 1970 เพื่อใชเป็นสวนติดตอระหวางระบบเครือขายสาธารณะแบบแพ็กเกตสวิตช์(Packet Switching) กับผูใชระบบ x.25 เป็นการสื่อสารแบบตอเนื่อง (Connection-oriented) ที่สนับสนนุ การเชอื่ มตอ วงจรสอ่ื สารแบบ Switching Virtual Circuit (SVC) และ Permanent VirtualCircuit (PVC) 2.2 Frame Relay เฟรมรีเลย์เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาตอจาก X.25 อีกทีหน่ึง ในการสงขอมูล เฟรมรีเลย์จะมีการตรวจเช็คความถูกตองของขอมูลที่จุดปลายทาง ทํางานแบบ PacketSwitching 2.3 ATM (Asynchronous Transfer Mode) เป็นระบบเครือขายความเร็วสูง ปัจจุบันระบบองค์กรใหญๆ นิยมใชง านอยางแพรหลายในวงการอุตสาหกรรมการสื่อสาร โดยระบบ ATM จะมกี ารสง ขอ มลู จํานวนนอยๆ ท่ีมขี นาดคงทีท่ีเรียกวา เซลล์ (Cell)ระบบเครือข่ายไร้สาย ปัจจุบันเทคโนโลยีระบบเครือขายไรสาย (Wireless LAN: WLAN) เป็นเทคโนโลยีท่ีมีผูใหความสนใจมาก เน่ืองจากเป็นระบบส่ือสารขอมูลท่ีมีความยึดหยุนสูง สวนใหญจะนิยมติดตั้งเพิ่มเติมหรือแทนท่ีท่ีไมสามารถติดตั้งระบบเครือขายทองถิ่นแบบใชสายสัญญาณได เชน หองประชุมสํานักงานที่เป็นอาคารโบราณ รานอาหาร เป็นตน ระบบเครือขายทองถ่ินไรสายจะใชคลื่นวิทยุเป็นสญั ญาณ และใชอ ากาศเป็นตัวนาํ สัญญาณ ปัจจุบันเครือขายทองถ่ินไรสายสามารถรับสงขอมูล ไดถึง100 Mbps ซึ่งมคี วามเรว็ มากกวา อเี ธอรเ์ นต็ แบบ 10 Base-T ประโยชน์ท่สี ําคัญของการใชระบบการส่ือสารไรสายที่เห็นไดอยางชัดเจนคือการท่ีไมมีสายสัญญาณทําใหเกิดความคลองตัวสูง สามารถยายคอมพิวเตอร์ไปที่บริเวณไหนก็ไดที่มีสัญญาณ อีกทั้งยังติดตั้งไดงายรวมท้ังลดคาใชจายในเรื่องของติดตั้งสายสัญญาณลงได และขยายระบบเครือขายไดงายเพียงเคร่ืองคอมพิวเตอร์เคร่ืองดังกลาวมีการด์ สัญญาณก็สามารใชง านไดท ันที ระบบเครือขา ยไร หมายถึง การส่ือสารขอมูลระหวางคอมพวิ เตอรผ์ า นระบบเครือขาย โดยไมตองผานสายสัญญาณ แตจะมีการสงขอมูลผานการใชคล่ืนความถี่วิทยุในยานวิทยุ (RadioFrequency: RF) และคล่ืนอินฟราเรด (infrared) แทน โดยระบบเครือขายไรสายก็ยังมีคุณสมบัติครอบคลุมทุกอยางเหมือนกับระบบเครือขายทองถิ่น (LAN) แบบใชสายทั่วไป ระบบเครือขายไรสายพัฒนาขน้ึ ในปี ค.ศ. 1971 บนเกาะฮาวาย โดยเป็นผลงานของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาวาย ท่ีช่ือวา “ALOHNET” ซ่ึงความสามารถในขณะนั้นสามารถสงขอมูลเป็นแบบ Bi-directional คือสงขอมูลไป-สงขอมูลกลับได ผานคล่ืนวิทยุ สื่อสารกัน ซึ่งเป็นการสงขอมูลระหวางคอมพิวเตอร์ดวยกันเอง 55จํานวน 7 เคร่ือง ที่ตั้งอยูบนเกาะ 4 เกาะโดยรอบ และมีศูนย์กลางการเช่ือมตออยูท่ีเกาะท่ีชื่อวาOahu 1. ประเภทของเครอื ขา่ ยไรส้ าย การแบงประเภทของเครือขายไรสายก็มีลักษณะเชนเดียวกับเครือขายแบบมีสายทั่วไปโดยนยิ มแบง เป็น 4 ประเภท คอื 1.1 ระบบเครือข่ายไร้สายส่วนบคุ คล (Wireless Personal Area Network:WPAN) เปน็ การใชงานในลักษณะท่ีครอบคลุมพ้ืนที่จํากัด เชน อยูภายในบานพักอาศัย หรือหองทํางานเล็กๆ ซึ่งมีอยูสองระบบที่รองรับการทํางานสวนบุคคล คือ IR (Infra-Red) และBluetooth ประมาณไมเ กนิ 3 เมตร และบลูทธู ระยะหาง ไมเ กิน 10 เมตร แสดงไดด ังภาพที่ 3.11 ภาพท่ี 3.11 ระบบเครือขา่ ยไรส้ ายส่วนบุคคล (WPAN) ท่มี า (Innetrex, 2012) 1.2 ระบบเครือขายทอ งถิ่นไรสาย (Wireless Local Area Network: WLAN) เป็นการใชงานในลักษณะที่ครอบคลุมพ้ืนท่ีกวางกวาประเภทระบบเครือขายไรสายสวนบุคคล เชน อยูภายในสํานักงานเดียวกัน อาคารเดียวกัน ระยะหางระหวางอุปกรณ์ประมาณ 0ถึง 100 เมตร แสดงไดดงั ภาพท่ี 3.12 ภาพที่ 3.12 ระบบเครือขายทอ งถ่นิ ไรส าย (WLAN) ทีม่ า (Innetrex, 2012) 56 1.3 ระบบเครือขา ยเมอื งไรส าย (Wireless Metropolitan Area Network: WMAN) เป็นการใชง านในลักษณะที่ครอบคลุมพ้ืนที่กวาง เชน ใชงานระหวางองค์กร ระหวางเมือง และมรี ะบบเครอื ขายทห่ี ลากหลายมากขึน้ แสดงไดด ังภาพท่ี 3.13 ภาพที่ 3.13 ระบบเครือขา ยเมอื งไรส าย (WMAN) ท่มี า (กิติมา เพชรทรัพย์, 2555) 1.4 ระบบเครือขา ยขนาดใหญไรสาย (Wireless Wide Area Network: WWAN) เป็นการใชงานในเครือขายขนาดใหญ เชน ระหวางเมืองขนาดใหญ ระหวางประเทศโดยการสื่อสารลักษณะอยางนี้จะใชการส่ือผานดาวเทียมแทน ในกรณีท่ีขามไปตางประเทศ แสดงไดดังภาพท่ี 3.14 ภาพที่ 3.14 ระบบเครือขา ยขนาดใหญ (WWAN) ที่มา (Innetrex, 2012) 57มาตรฐานของระบบเครือข่ายไร้สาย ในปี พ.ศ. 25540 คณะกรรมการ Institute of Electrical and Electronics Engineers(IEEE) ไดป ระกาศมาตรฐาน 802.11 ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางของการทํางานของระบบเครือขายไรสายโดยปกติแลวการเชื่อมตอระบบเครือขายไรสาย จําเป็นตองมีอุปกรณ์ 2 ชิ้น คือ ตัวแอคเซสพอยค์และตวั รบั -สง สัญญาณไรส าย ซึ่งหลังจากมีการประกาศมาตรฐาน 802.11 ออกมา ซง่ึ มีความเร็วสูงสุดของมาตรฐานอยูท่ี 2 Mbps ซึ่งชาเม่ือเปรียบเทียบกับเครือขายแบบใชสาย ดังนั้นคณะกรรมการIEEE จึงไดตั้งทีมงานข้ึนมา 2 กลุม เพื่อพัฒนามาตรฐาน WLAN โดยกลุมแรกคือ TGa (TaskGroup a) พัฒนามาตรฐาน IEEE 802.11a โดยใชความถี่ท่ี 5 GHz และสามารถรองรับขอมูลไดที่ 69 12 18 24 36 48 และ 54 Mbps สวนทีม TGb พัฒนามาตรฐาน IEEE 802.11b โดยใชความถี่ท่ี2.4 GHz และสามารถรองรับขอมูลอยู 4 อัตราคือ 1 2 5.5 และ 11 Mbps และตอมาก็มีการพัฒนามาตรฐานของเครือขา ยไรส ายอยางตอ เนื่อง สรุปไดดังน้ี 1. มาตรฐาน IEEE802.11 พัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2540 อุปกรณ์สามารถรับสงขอมูลไดท่ีอัตราเร็ว 1 และ 2 Mbpsผานการสงขอมูลแบบอินฟาเรด (Infrared) หรือ คล่ืนความถี่วิทยุ 2.4, 5 GHz มีระบบรักษาความปลอดภยั โดยใชร ะบบ WEP 2. มาตรฐาน IEEE802.11a พัฒนาข้ึนในปี พ.ศ. 2542 อุปกรณ์สามารถรับสงขอมูลไดที่อัตราเร็ว 54 Mbps ผานการสงขอมูลดวยสัญญาณวิทยุยานความถี่ 5 GHz ใชเทคนิคการสงขอมูลแบบ OFDM (OrthogonalFrequency Division Multiplexing) แตเน่ืองจากยานความถี่ 5 GHz น้ันไดถูกหามใชในบางประเทศ รวมถึงประเทศไทย และประกอบกับยานความถี่ท่ีสูงทําให อุปกรณ์มีราคาแพง และระยะทางท่ีสามารถใชงานไดส น้ั กวายานความถี่ 2 GHz จึงทําใหมาตรฐาน IEEE802.11a น้ันไมเป็นท่ีนยิ มใชก ันมากนัก 3. มาตรฐาน IEEE802.11b พัฒนาขึ้นพรอมกับ IEEE802.11a ในปี พ.ศ. 2542 อุปกรณ์สามารถรับสงขอมูลไดท่ีอตั ราเร็ว 11 Mbps ใชเ ทคนิคการสงขอมูลแบบ CCK (Complimentary Code Keying) และ DSSS(Direct Sequence Spread Spectrum) ใชยานความถี่ 2.4 GHz ซึ่งเป็นยานความถี่ ISM(Industrial Scientific and Medical) สําหรับการสื่อสารทางดานวิทยาศาสตร์, อุตสาหกรรม, และการแพทย์ จะเห็นวาอัตราเร็วการรับสงขอมูลน้ันตํ่ากวามาตรฐาน IEEE802.11a คอนขางมาก แตเนือ่ งจากมาตรฐาน IEEE802.11 ใชยานความถ่ีท่ีต่ํากวาจึงทําใหสามารถใชงานไดระยะทางท่ีไกลกวามาตรฐาน IEEE802.11a ประกอบกับความถี่ที่ต่ําทําใหอุปกรณ์มีราคาถูก จึงทําใหมาตรฐานIEEE802.11b เป็นท่ีนิยมใชกันอยางแพรหลายมากกวา และทําใหเกิดเคร่ืองหมายการคา Wi-Fi ซึ่งกําหนดขึ้นจากหนวยงาน WEGA (Wireless Ethernet Compatibility Alliance) เพ่ือบงบอกวาอุปกรณ์นั้นไดผานการตรวจสอบ และรับรองวาเป็นไปตามมาตรฐาน IEEE802.11b และสามารถใชงานรวมกับอปุ กรณอ์ ่ืน ๆ ทม่ี เี คร่ืองหมายการคา Wi-Fi เหมอื นกันได 58 4. มาตรฐาน IEEE802.11g พฒั นาขึ้นข้ึนในปี พ.ศ. 2546 ใชเทคนิคการสงขอมูลแบบ OFDM และใชยานความถ่ี 2.4GHz อุปกรณ์สามารถรับสงขอมูลไดท่ีอัตราเร็ว 54 Mbps และสามารถทํางานกับมาตรฐานเกาIEEE802.11b ได (Backward-Compatible) จึงทําใหมาตรฐาน IEEE802.11g นั้นเป็นท่ีนิยม และเขา มาแทนทม่ี าตรฐาน IEEE802.11b ในทสี่ ดุ 5. มาตรฐาน IEEE802.11n พัฒนาข้ึนในปี พ.ศ. 2548 เป็นมาตรฐานท่ีกําลังเขามาแทนท่ีมาตรฐาน IEEE802.11gโดยในมาตรฐาน IEEE802.11n น้ีไดมีการพัฒนาใหสามารถรับสงขอมูลไดในระดับ 100-540 Mbpsตามทฤษฎีตารางที่ 3.1 เปรียบเทียบมาตรฐานของเครือขา ยไรส ายปี 2540 2542 2542 2546 2548มาตรฐาน 802.11 802.11a 802.11b 802.11g 802.11nความถี่ 2.4 GHz 5 GHz 2.4 GHz 2.4 GHz 2.4 GHzสอ่ื Infrared, Radio Radio Radio Radio Radioเทคนคิ DSSS, FHSS OFDM CCF, DSS OFDM OFDMเขา้ รหสั DQPSK BPSK DQPSK/CCK OFDM/CCKอัตราการส่ง 2 Mbps 54 Mbps 11 Mbps 54 Mbps 100-540 Mbpsครอบคุลม 35 ม. (ปิด) 38 ม. (ปิด) 38 ม. (ปดิ ) 70 ม. (ปิด) พืน้ ท่ี 120 ม. (โลง ) 140 ม. (โลง ) 140 ม.(โลง ) 250 ม.(โลง)เกณฑ์การวดั ประสทิ ธภิ าพของเครอื ข่าย เมื่อมีการนําเอาระบบเครือขายคอมพิวเตอร์เขามาใชงาน ผูใชจะรูไดอยางไรวาระบบเครือขายของเราน้ันมีประสิทธภิ าพมากนอยเพียงใด ท้ังการวัดประสิทธิภาพของระบบเครือขายขึ้นอยูกับจุดประสงค์หลักของระบบเครือขายนั้น แตอยางไรก็ดีเรามีเกณฑ์การวัดประสิทธิภาพโดยทั่วไปเอาไวชว ยในการพจิ ารณาดังนี้ 1. สมรรถนะ (Competency) สมรรถนะหรอื ความสามารถของระบบเครอื ขายประเมินไดจากหลายปัจจัยดังนี้ 1.1 เวลาทใี่ ชในการถา ยโอนขอมูล คือเวลาถายโอนขอมูลจากตนทางไปยงั ปลายทางหรือจากปลายทางมายงั ตนทาง เชน การอัพโหลด การดาวน์ โหลด เป็นตน หรืออาจจะเปน็ ชวงระยะเวลาการรองขอขอ มลู จนไดร ับขอมูลกลบั มา 1.2 จํานวนผใู ชงานในระบบเครอื ขาย เนอ่ื งจากหากมีผใู ชง านบนเครือขายมาก ก็จะทําใหการส่ือสารขอมูลในระบบเครือขายก็มากตามไปดวย ทําใหใชเวลาในการส่ือสารมากข้ึน และสงตอประสิทธิภาพการใชงานท่ีดอยลงไป ระบบเครือขายที่ดีจึงควรระบุจํานวนสูงสุดท่ีสามารถรองรับใหชดั เจน เพราะหากผูใชงานเขา ถึงจาํ นวนมากเกนิ ไปอาจสงผลทาํ ใหเ ครือขา ยหลมได 59 1.3 ชนิดส่ือกลางที่ใชสงขอมูล เน่ืองจากส่ือกลางแตละประเภทมีความสามารถรองรับความเรว็ ท่แี ตกตา งกนั ดงั น้นั ควรจะเลือกใชสอ่ื กลางที่เหมาะสมกับลักษณะการใชงานระบบเครือขายของเรา เชน ตอ งแสดงมัลติมีเดยี แบบอินเทอร์เอกทีฟ ก็ตองใชส่ือที่รองรับการถายโอนขอมูลไดมากๆและรวดเร็ว ตามไปดวย 1.4 อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์ยอมสงผลตอความเร็วในการสงผานขอมลู ดงั นั้นเครือขายคอมพวิ เตอรท์ ่ีมซี พี ยี ู ประมวลผลดวยความเร็วสูง หรืออุปกรณ์สวิตช์ท่ีสงขอมูลดวยความเร็วสูง ยอมสงผลใหเกิดประสิทธิภาพโดยรวมของระบบที่ดี ตัวอยางเชน เลือกใชเครื่องเซิร์ฟเวอรท์ ีม่ สี มรรถนะสูง กย็ อมดีกวาเครื่องเซิร์ฟเวอร์ตํ่ากวาหรือเลือกใชสวิตช์แทนฮับ ก็ยอมดีกวาเปน็ ตน 1.5 ซอฟต์แวร์ เป็นสวนสําคัญที่สงผลตอสมรรถนะโดยรวมของเครือขาย เชนระบบปฏิบัติการเครือขายท่ีมีประสิทธิภาพ ยอมมีระบบการทํางานและควบคุมอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ใหทาํ งานไดอยางมปี ระสทิ ธิภาพ และรวดเรว็ 2. ความน่าเชือ่ ถือ (Reliability) โดยสามารถประเมนิ ความนาเชื่อของระบบเครือขา ยไดจากสิง่ ตอไปนี้ 2.1 ปริมาณความถ่ีของความลม เหลวในการสง ขอ มลู เครือขายทุกเครือขายมีโอกาสเกิดความลมเหลวได แตอยางไรกต็ ามหากเกดิ ข้นึ แลวควรสงผลกระทบตอผูใชงานใหนอ ยที่สุด 2.2 ระยะเวลาที่ใชการกคู ืนขอมลู หรือกูคืนระบบกรณเี กดิ ความสม เหลวขนึ้ ใหสามารถใชงานไดต ามปกติใหไ ดระยะเวลารวดเรว็ ทีส่ ดุ 2.3 การปูองกันเหตุการณ์ตางๆ ที่ทําใหระบบเกิดความลมเหลว เครือขายที่ดีตองมีการปูองกันภัยตางๆ ที่อาจเกิดขึ้นไดในทุกสถานการณ์ เชน เรื่องของไฟฟูาขัดของ รวมถึงภัยธรรมชาติดังน้ันระบบท่ีดตี อ งมกี ารออกแบบใหมกี ารสาํ รองขอมูลที่ดีดวย 3. ความปลอดภัย (Security) ถือเป็นหัวใจสําคัญที่สุดโดยเนนไปที่ความสามารถที่จะปูองกันบุคคลท่ีไมมีสิทธ์ิในการเขาถึงขอมูล หรือระบบเครือขาย โดยอาจใชรหัสการเขาถึงขอมูล เป็นตน และความสามารถในการปูองกันภัยคุกคามตางๆ เชน การปูองกันไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นเพ่ือใหระบบเครือขายมีความปลอดภัยสูงสุดการประยุกต์ใชง้ านของระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ ปัจจุบันระบบเครือขา ยคอมพิวเตอร์ถอื วาเป็นสว นหนึง่ ในชีวิตประจาํ วนั ไปแลว รวมถงึ มีการประยุกต์ใชง านกบั หลายๆ หนว ยงาน โดยขอยกตัวอยางทเี่ ห็นไดช ดั เจนดงั นี้ 1. ด้านการตดิ ตอ่ สอ่ื สาร 1.1 บริการกระดานขาวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bulletin Boards services) หรือเว็บบอร์ด (Web board) ซ่ึงเป็นการแลกเปลี่ยนขอมูลขาวสารรวมและแสดงความคิดเห็นผานกระดานขาวของกลุมแบบอิเล็กทรอนิกส์ ผูสนใจสามารถเขามาชมและฝากขอความไวได ทําใหขา วสารสามารถแลกเปลี่ยนไดท่ัวโลกอยางรวดเรว็ 60 1.2 จดหมายและจดหมายเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail and Voice Mail)การสง จดหมายทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เป็นการสง ขาวสารโดยระบุตัวผูรับเชนเดียวกับการสงจดหมาย แตผรู ับจะไดจดหมายอยางรวดเร็วเน่ืองจากเป็นการสงผานเครือขายคอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมโยงกันอยู สวนระบบจดหมายเสยี งจะเปน็ จดหมายท่ีผูรับสามารถรบั ฟังเสยี งทฝ่ี ากมากไดด วย 1.3 การประชุมระยะไกลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Teleconference) ถือเป็นเรอื่ งทไี่ ดค วามสนใจมาก โดยผูใ ชจะสามารถประชุมกันไดตั้งแต 2 คนข้ึนไปผานระบบเครือขาย ไมวาผูใชงานแตละคนอยูท่ีใดเพียงเชื่อมตอเขากับระบบเครือขายได ก็สามารถรวมประชุมไดแลวทําใหประหยัดคา ใชจ า ยในการเดินทาง และยังเป็นการประหวัดเวลาของผรู วมประชมุ แตละคนดวย 1.4 การสนทนาแบบออนไลน์ การพูดคุยตอบโตก นั ในเครือขา ยไดในเวลาเดียวกันโดยการพิมพ์ขอความผานทาง Keyboard เรียกบริการแบบนี้วา Talk กรณีที่เป็นการคุยกัน 2 คน และเรียกวา chart กรณีทคี่ ุยกนั เป็นกลมุ (Internet Relay Chat หรอื IRC) เชน MSN Google Talk 2. ดา้ นการคน้ หาขอ้ มูล หรือบริการสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Information services) เป็นประโยชน์ท่ีสําคัญท่ีสุดอยางหน่ึงของระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ โดยผูใหบริการจะสามารถบริการสารสนเทศที่มีความสําคัญและเป็นที่ตองการของผูใช ผานทางเครือขาย ซ่ึงผูใชจะสามารถเรียกดูสารสนเทศเหลา นน้ั ไดทนั ทีทนั ใดและตลอด 24 ชั่วโมง เชน การใชเว็บบราวเซอร์สืบคนหาขอมลู 3. ด้านธรุ กิจและการเงนิ 3.1 การแลกเปลี่ยนขอมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange - EDI)ระบบ EDI จะเป็นกระบวนการที่ชวยใหองค์กรทางธุรกิจตาง ๆ สามารถแลกเปล่ียนเอกสารที่เป็นแบบฟอร์มมาตรฐานตาง ๆ เชน ใบสงของ ใบสั่งซ้ือ หรืออื่น ๆ ในรูปของขอมูลอิเล็กทรอนิกส์ผานระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ ทําใหสามารถลดการใชแบบฟอร์มที่เป็นกระดาษ ลดการปูอนขอมูลซํา้ ซอ น รวมทัง้ เพิม่ ความเร็วและลดความผดิ พลาดที่เกดิ จากการทาํ งานของมนุษย์ดวยมาตรฐานอีดีไอที่ยอมรับใชงานกนั ทั่วโลกไดเกดิ ขึ้น 3.2 การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Funds Transfer -EFT) การทําธุรกรรมทางเงินกับธนาคาร พบไดในชีวิตประจําวัน ตัวอยางท่ีเห็นไดชัดเจนในปัจจุบันก็คือการฝาก-ถอนเงินผานเครือ่ ง ATM (Automated teller machine) รวมท้ังระบบการโอนเงินระหวางบัญชี ไมวาจะทําผานเคาน์เตอรธ์ นาคารหรือผานระบบธนาคารทางโทรศพั ทก์ ็ตาม 3.3 การสั่งซื้อสินคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Shopping) บริการการสั่งซ้ือสินคาทางอิเล็กทรอนิคส์ มีแนวโนมของการคาโลกในยุคตอไป ผูซ้ือสามารถสั่งซื้อสินคาจากบานหรือที่ทํางาน โดยดูลักษณะของสินคาจากภาพท่ีสงมาแสดงท่ีหนาจอ และผูคาสามารถไดรับเงินจากผูซ้ือดวยบริการโอนเงนิ ทางอิเลคทรอนิกสแ์ บบตา ง ๆ ทันที 4. ด้านการศึกษา ปัจจุบนั สามารถระบบเครือขายมสี วนชวยดา นการศกึ ษาอยางมากเชน การเรยี นการสอนผา นอนิ เทอรเ์ น็ต และการคน หาความรูต า งๆ บนอินเทอรเ์ น็ต เปน็ ตน 61 5. ดา้ นการแพทย์ ตามโรงพยาบาลใหญๆ มกี ารนําเอาระบบเครือขายเขาไปใชง านกนั มาก ท่ีเห็นไดชดั เจนคือการจดั เก็บขอมลู คนไข ปัจจบุ นั สามารถเรียกผา นอินเทอรเ์ นต็ ไดแลว ทาํ ใหล ดระยะเวลาของหมอและยังชว ยใหก ารวินิจฉัยไดถูกตอ งครบถว น และการใชตรวจรักษาโรคทางไกลผา นระบบเครอื ขายการประยกุ ตใ์ ช้งานระบบเครือข่ายภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดสุ ติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตมีการนําเอาเทคโนโลยีการส่ือสารขอมูลมาชวยในดานการบริหารจัดการและการเรียนการสอนมา ดังจะเหน็ ไดจ ากมหาวทิ ยาลยั ฯลงทุนดานโครงสรางของระบบการสื่อสารไวครอบคลมุ ท้งั ภายในมหาวทิ ยาลัยฯและศูนย์การศึกษา โดยระบบเครือขายแบบมีสายจะใชสายใยแกวนําแสง (Fiber Optic) เชื่อมตอระหวางอาคาร และใชอุปกรณ์เช่ือมโยงเครือขายดวยอุปกรณ์เครือขายความเร็วสูง (Gigabit Ethernet) และเครือขายแบบไรสายมีการเพิ่มจุดติดต้ังตัวแอคเซสพอยค์ใหครอบคลุมพื้นที่ทั่วท้ังมหาวิทยาลัยฯ เพื่อรองรับปริมาณความตองการใชงานของนักศึกษาที่มีจํานวนและปริมาณขอมูลเพ่ิมมากขึ้น โดยมหาวิทยาลัยไดเตรียมระบบตางๆไวคอยใหบริการนักศึกษา เชน SDU Hosting, SDU IDM, SDU Kiosk, SDU LIVE, SDU MAIL, SDU WIFI,SDU VPN, SDU WEB เป็นตน ซึ่งแมขายท้ังหมดต้ังอยูหอง Server บริเวณอาคาร 11 ช้ัน 2 หอง ITControl เน่ืองจากมีการติดต้ังระบบรักษาความปลอดภัย มีระบบสํารองตางๆ ไวพรอม เชน ระบบระบายอากาศ และระบบ Monitor ทําสะดวกในการบริหารจัดการ บํารุงรักษา และสามารถตรวจสอบแกไขปัญหาไดอยางรวดเร็ว โดยนักศึกษาเขาไปหารายละเอียดเพิ่มเติมไดท่ี เว็บไซต์ กลุมงานเทคนิคและระบบเครือขาย http://network.dusit.ac.th/main/ ตอไปขอนําเสนอวิธีการใชงานระบบตา งๆที่มหาวิทยาลัยไดเ ตรียมไวใหด ังนี้ 1. บริการโฮสต้ิง บริการเว็บโฮสติ้ง (SDU Hosting) คือ การใหบริการรับฝากเว็บไซต์ ภายใตโดเมนเนมของ dusit.ac.th สําหรับหนวยงานภายใตมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต สําหรับหนวยงาน บุคลากรหรือ นักศกึ ษา ท่ีตองการสรางเว็บไซต์ เพ่ือประชาสัมพันธ์หนวยงาน หรือในงานอ่ืน ใหผูดูแลเว็บไซต์ทําการดาวน์โหลดแบบฟอร์ม พรอมทั้งกรอกรายละเอียดใหครบสมบูรณ์ หลังจากน้ันใหนํามาสงท่ีเจาหนาทีก่ ลมุ งานเทคนคิ และระบบเครือขา ย เมือ่ ไดข อพ้นื ที่มาแลวและนักศึกษาไดจัดทําเว็บไซต์เป็นของตนเองแลวน้ันจะไดเว็บไซต์ ท่ีชื่อวา http://dusithost.dusit.ac.th/~username ซึ่งUsername จะเป็นรหัสนักศึกษาของตนเอง โดยนักศึกษาสามารถเขาใชงานพ้ืนท่ีเพื่อปรับแกไขเนือ้ หาไดจากเวบ็ ftp://dusitftp.dusit.ac.th 62 ภาพท่ี 3.15 แบบฟอรม์ การใชพ น้ื ทใี่ หบริการ Web Hosting Server ของนักศึกษา 2. บริการจัดการผู้ใชจ้ ากสว่ นกลาง ระบบการจัดการผูใชจากสวนกลาง (IDM: Identity Manager) หรือเรียกวา SDU IDMเป็นระบบการจัดการเกี่ยวกับรหัสผูใช ของบริการดานออนไลน์ของมหาวิทยาลัย เชน การเปล่ียนPassword หรือตรวจสอบสถานะของผูใชงาน โดยการจัดการรหัสผูใชโดย IDM น้ันจะมีผลกับรหัสเขาใชใ นบรกิ ารท้ังหมดของมหาวทิ ยาลัย แสดงไดด งั ภาพที่ 3.16 ภาพที่ 3.16 หนา เว็บ SDU IDM เพื่อ Log In เขาไปจัดการเก่ียวกบั บญั ชผี ูใช 3. เครอ่ื งใหบ้ รกิ ารอัตโนมัติ เครื่องใหบริการอัตโนมัติ หรือ SDU Kiosk เป็นเครื่องที่ใหบริการอัตโนมัติ (Multi-function self-service kiosk) โดยมีไวใหบริการแก อาจารย์ เจาหนาที่ และนักศึกษา สําหรับอาจารย์ และเจา หนาท่ีจะใหบริการ ในเรื่องลงเวลาในการทํางาน เป็นหลัก สวนนักศึกษาจะมีบริการไดแก เช็คเร่ืองเกรด พิมพ์ใบเกรด ตรวจสอบการคางหนังสือจากหองสมุด ดูรายวิชาท่ีลงเรียนตารางสอน ตารางสอบ และอื่น ๆ โดยมีจุดที่ใหบริการเครื่องบริการอัตโนมัติ ภายในมหาวิทยาลัยฯบริเวณอาคาร 1 บริเวณทางขึ้นใกลกับธนาคารกรุงศรีฯ อาคาร 32 บริเวณหนาลิฟท์ อาคาร 4ทางเดินช้ัน 1 อาคาร 3 ช้ัน 1 ใกลกัน Contact Center และสํานักวิทยบริการฯ หนาอาคารฝ่ังหอ งสมุด และบริเวณศูนยก์ ารศกึ ษาทุกศูนย์ แสดงไดด งั ภาพที่ 3.17 63 ภาพท่ี 3.17 เคร่ืองใหบ รกิ ารอัตโนมตั ิ (SDU Kiosk) 4. บรกิ ารอเี มลนกั ศกึ ษา บริการอีเมลนักศึกษา (SDU Live) เป็นบริการท่ีจะทําใหนักเรียน นักศึกษา สามารถใชงาน Live@edu สําหรับ การทํางานรวมกัน และการติดตอสื่อสารโดยสามารถใชงานทุกบริการท่ีมีโดยใช รหัสผูใชเพียงรหัสเดียว ไมวาจะเป็น อีเมล Windows Live Messenger หรือ การแชร์ขอมูลซง่ึ SDU Live จะประกอบไปดว ยสวนตางๆใหนักศึกษาเขาใชงาน คือ Microsoft Office OutlookLive, Microsof Live Messenger, Microsoft Live Mobile, Microsoft Live Skydrive,Microsoft Live Space, Office Live Workspace การเข้าใช้งานนักศึกษาสามารถเขาใชงานโดยใหเขามาท่ี http://www.sdulive.net 5. บรกิ ารอเี มลบคุ ลากร บริการอีเมลบุคลากร (SDU Mail) คือ บริการรับ สงอีเมลล ระบบปฏิทิน ไฟล์เอกสารแนบ รายชื่อติดตอ และขอมูลอ่ืนๆ สําหรับบุคลากร ซึ่งเป็นระบบ Microsoft Exchange Server ที่สามารถทําใหระบบการสื่อสารทํางานไดอยางตอเนื่อง การรับสงอีเมลไมติดขัด ชวยปูองกันผูใชและขอมลู อนั มีคา ขององค์กร จากอันตรายตางๆทม่ี าทางอเี มลขยะและไวรสั 6. บริการอนิ เทอร์เนต็ ไร้สาย บรกิ ารอนิ เทอร์เน็ตไรสาย (SDU WIFI) เป็นบริการท่ีใหนักศึกษาเขาใชระบบอินเทอร์เน็ตไดจากทุกบริเวณภายในมหาวิทยาลัยฯ โดยนักศึกษาสามารถใชเคร่ืองคอมพิวเตอร์พกพา หรือโทรศัพท์เช่ือมตออินเทอร์เน็ตได เม่ือนักศึกษาพบสัญญาณ Wireless ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ก็ทําการเชื่อมตอไดทันที เม่ือเชื่อมตอแลวนักศึกษาจะเขาอินเทอร์เน็ต จะตองทําการ Log Inเขา สรู ะบบกอ น จึงจะสามารถเขาใชบริการได แสดงไดดังภาพที่ 3.18 64 ภาพที่ 3.18 หนา Log In เพ่ือเขา สูร ะบบอนิ เทอร์เน็ตผา น SDU WIFI 7. บรกิ ารเว็บ VPN บริการเวบ็ VPN หรอื SDU VPN เป็นบรกิ าร SDUNET@Home เป็นบริการที่ใชหลักการของ SSL VPN สําหรับนักศึกษาและ บุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดสุ ิต ทใี่ ชบ ริการ Internetจากผูใหบริการท่ัวไปสามารถ ใชบริการสืบคนขอมูลหองสมุดอิเล็กทรอนิกส์ และระบบอื่นๆ ท่ีจําเปน็ ตอ งใชหมายเลข IP Address ของมหาวทิ ยาลยั โดยใช User name และ Password เดียวกันกับ E-mail ของมหาวิทยาลัยฯ โดยนักศึกษาสามารถเขาใชงานอินเทอร์เน็ตผาน VPN (VirtualPrivate network) ไดท างเว็บไซต์ http://webvpn.dusit.ac.th แสดงไดดังภาพ 3.19 ภาพที่ 3.19 หนา เว็บไซต์การเขา ใชง านอนิ เทอร์เนต็ ผา น VPN 65สรปุ เทคโนโลยีการสื่อสารขอมูลมีบทบาทตอการดํารงชีวิตอยา งมาก ดงั จะเห็นไดจากมีการใชงานระบบอินเทอร์เน็ตอยางแพรหลาย ซ่ึงพื้นฐานของระบบอินเทอร์เน็ตน้ันพัฒนามาจากระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ ซึ่งหมายถือการติดตอสื่อสารหรือการเช่ือมตอกันระหวางระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต 2เครื่องข้ึนไป ผานสื่อกลางในการติดตอส่ือสาร โดยมีจุดประสงค์หลักเพ่ือแลกเปลี่ยนขอมูลขาวสารหรือใชในการติดตอส่ือสารซึ่งกันและกัน องค์ประกอบของระบบการสื่อสารขอมูลจะประกอบไปดวยขอมูล ฝุายผูสงขอมูล ฝุายผูรับขอมูล ส่ือกลางสงขอมูล และโพรโตคอล และหากเป็นการติดตอส่ือสารผานระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ตองมีประกอบไปดวย เครื่องคอมพิวเตอร์อยางนอย 2เครื่อง การ์ดเช่ือมตอเครือขาย ส่ือกลางและอุปกรณ์สําหรับการรับสงขอมูล โพรโตคอล และระบบปฏิบัติการเครอื ขา ย โดยรปู แบบการส่ือสารขอมูลบนระบบเครือขาย มี 3 รูปคือ แบบ Unicastแบบ Broadcast และแบบ Multicast และมีทิศทางการส่ือสารขอมูลแบบซิมเพล็กซ์ แบบฮาล์ฟดูเพล็กซ์ และแบบฟูลดเู พล็กซ์ ท้ังนี้เราสามารถจําแนกประเภทของเครือขายออกไดหลายลักษณะตามหลกั เกณฑท์ ่ใี ช เชน แบงตามขนาดพื้นที่การใหบริการ (LAN, MAN, WAN) แบงตามลักษณะการไหลของขอมูล (Centralized, Distributed) และแบงตามลักษณะหนาท่ีของคอมพิวเตอร์ (Peer toPeer, Client Server) สาํ หรับการตดิ ตอสือ่ สารกนั ระหวา งคอมพวิ เตอร์นน้ั จาํ เป็นตอ งมีมาตรฐานท่ีใชกันเพ่ือใหการติดตอสื่อสารกันไดอยางสมบูรณ์ โดยมาตรฐานของเครื่องขายทองถิ่นจะใช Ethernet,Token-Ring, FDDI และมาตรฐานของเครือขายระดับประเทศใช X.25, Freame Relay, ATM เมื่อเทคโนโลยีมีการพัฒนาขึ้นอยางตอเนื่องทําใหเกิดระบบเครือขายไรสายขึ้น ซึ่งในการติดตอสื่อสารกันน้ันไมจําเป็นตองมีสายสัญญาณ แตยังคงความสามารถเหมือนกับระบบเครือขายแบบมีสาย โดยสามารถแบงประเภทของเครือขายไรสายได 4 ประเภทคือ ระบบเครือขายไรสายสวนบุคคล ระบบเครือขา ยทอ งถน่ิ ไรสาย ระบบเครอื ขา ยเมืองไรสาย และระบบเครอื ขายขนาดใหญไรสาย และมีการใชมาตรฐานในการติดตอสื่อสารในปัจจุบันเป็น 802.11n หลักเกณฑ์การพิจารณาประสิทธิภาพของระบบเครือขายพิจารณาไดจาก สมรรถนะ ความนาเช่ือถือ และความปลอดภัย โดยสามารถประยุกต์ใชงานระบบเครือขายในดานการติดตอส่ือสาร ดานการคนหาขอมูล ดานธุรกิจและการเงินดานการศึกษา และดา นการแพทย์ ทัง้ นี้มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนดุสติ มกี ารประยุกต์ใชระบบเครือขายในดานการบริหารจัดการและการเรียนการสอน คือ SDU Hosting, SDU IDM, SDU Kiosk, SDULIVE, SDU MAIL, SDU WIFI, SDU VPN, SDU WEB เป็นตน อน่ึงเทคโนโลยีมีการส่ือสารมีการพัฒนาขน้ึ อยางตอเนือ่ ง ฉะนัน้ จําเป็นตองเรียนรอู ยูตลอดเวลาเพื่อกา วใหท ันกบั เทคโนโลยี 66 คาถามทบทวน 1. เทคโนโลยกี ารสื่อสารขอมลู มีความสําคญั ตอการดํารงชวี ิตของนักศึกษาอยา งไรบาง 2. องคป์ ระกอบพ้ืนฐานของระบบส่อื สารขอ มูลแตละชนดิ ทําหนาทีอ่ ยางไร 3. การสอ่ื สารผานระบบเครอื ขายคอมพิวเตอร์จะตองมีองค์ประกอบอะไรบาง พรอมอธิบาย 4. รปู แบบการสื่อสารขอมูลชนิดใดที่นิยมในเครอื ขา ยทองถ่นิ ในปัจจุบนั เพราะอะไรจงอธบิ าย 5. ระบบเครือขา ยแบบเพยี ร์ทเู พียร์และระบบเครือขายแบบไคลเอนท์เซริ ์ฟเวอร์ มคี วามเหมือนและแตกตา งกันอยา งไร จงอธิบาย 6. มาตรฐานของระบบเครอื ขา ยชนดิ ใดที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ ใชใ นการเชอ่ื มโยงขอ มลู ระหวา งอาคาร เพราะอะไรจงอธิบาย 7. ระบบเครือขา ยคอมพิวเตอร์แบบมีสายและระบบเครือขา ยคอมพิวเตอร์แบบไรสาย มีความเหมือนและแตกตา งกันอยา งไร 8. เพราะเหตุใดระบบเครือขา ยไรส ายจงึ เปน็ ที่นยิ มในปจั จบุ ัน 9. นักศึกษาสามารถประยุกต์ใชงานระบบเครือขา ยกบั การเรยี นไดอยา งไร 10. มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดุสิตมีการการประยุกตใ์ ชง านระบบเครือขายคอมพวิ เตอรก์ ับการบรหิ ารจัดการและการเรยี นการสอน ใหนกั ศกึ ษายกตวั อยา งระบบตางๆท่มี หาวิทยาลยั ฯ เตรยี มไวใ หบรกิ ารนักศึกษา อยางนอย 5 ตัวอยาง พรอ มอธิบายวิธีการใชงาน บทที่ 4 อนิ เทอรเ์ นต็ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์สายสุดา ปนั้ ตระกลู อินเทอร์เนต็ เป็นระบบเครอื ขา ยคอมพิวเตอรท์ เี่ ชื่อมตอ คอมพวิ เตอร์หลายลานเคร่ืองทั่วโลกเขา ดว ยกนั จนเรียกไดว า เปน็ “เครือขา ยไรพ รมแดน” ผูใชคอมพิวเตอร์ทั่วโลกสามารถเชื่อมตอเครื่องของตนเขาสูระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อแลกเปล่ียนขาวสารขอมูลตางๆ ทั้งประเภทขอความ ภาพ เสียงและอ่ืนๆ ไมวาจะเป็นขอมูลทางดานการศึกษา ธุรกิจ การคา การลงทุน รวมถึงขอมูลท่ีใหความบันเทิง โดยทุกๆ คนสามารถเขามาใชบริการเครือขายน้ีไดจากทั่วทุกมุมโลก เพียงมีเครื่องคอมพวิ เตอร์และอปุ กรณใ์ นการเช่ือมตอเทานั้น อินเทอร์เน็ตยังเป็นแหลงรวมของขอมูลมหาศาลและยงั เปน็ ชองทางติดตอสื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนขอมูลที่สะดวกรวดเร็วเหมาะสมกับการเปล่ียนแปลงของสังคมออนไลน์ในยคุ ปัจจุบันประวตั คิ วามเปน็ มาและพฒั นาการของอินเทอรเ์ น็ต อินเทอร์เน็ต (internet) มาจากคําวา inter connection network หมายถึง เครือขายของเครือขายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องท่ัวโลกใหสามารถติดตอส่ือสารถึงกันได โดยใชมาตรฐานเดียวกันในการรับสงขอมูล (สุวิช ถิระโคตร, 2554, หนา 9)ซึ่งเครือ่ งคอมพวิ เตอร์แตล ะเคร่อื งสามารถรับสง ขอมลู ในรูปแบบตา งๆ เชน ตัวอักษร ภาพและเสียงไดสามารถคนหาขอมูลจากท่ีตางๆ ไดอยางสะดวกรวดเร็ว เพราะอินเทอร์เน็ตมีมาตรฐานในการรับสงขอมูลท่ีชัดเจนเป็นหนึ่งเดียวจึงทําใหการเช่ือมตอคอมพิวเตอร์ตางชนิดกันสามารถทําไดอยางสะดวกซึ่งโดยทั่วไปแลวคอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมตอกันเขาเป็นเครือขายหลักของอินเทอร์เน็ต มักจะเป็นระบบเครือขายของมินิคอมพิวเตอร์หรือระบบเครือขายทองถ่ินและเครือขายของเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ จึงอาจกลาวไดวาอินเทอร์เน็ตเป็น เครือขายของเครือขาย (network of network) สวนคอมพิวเตอร์สวนบุคคลน้ันมักจะไมเช่ือมตอกับเครือขายอินเทอร์เน็ตตลอดเวลาเพียงแตเช่ือมตอเขาไปตามความตอ งการในการใชงานเทานนั้ 1. ประวัติความเปน็ มาของอินเทอรเ์ น็ต อินเทอร์เน็ตมีจุดเร่ิมตนมาจากโครงการเครือขายคอมพิวเตอร์ทางการทหารของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกาที่มีชื่อโครงการวาอาร์พาเน็ต (ARPANET: advanced researchproject agency) เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยมีรูปเเบบของการทํางานท่ีเครื่องคอมพิวเตอร์แตละเครื่องสามารถสง ขอมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เคร่ืองอื่นๆ ไดในหลายๆ เสนทาง ถึงแมวาจะมีคอมพิวเตอร์บางเครือ่ งในเครอื ขา ยถกู ทาํ ลายหรือขดั ของ แตค อมพิวเตอร์เครื่องอ่ืนๆ ก็ยังสามารถติดตอส่ือสารกันไดโดยผานเสนทางอื่นที่ยังใชงานไดดี นอกจากนี้ยังใชในการทดลองสําหรับพัฒนาวิธีควบคุมการสงผานตามมาตรฐานอินเทอร์เน็ต (tranmission contocol protocol/internet protocol :TCP/IP) เพ่ือใหคอมพิวเตอร์ทุกเคร่ืองสามารถติอตอกันไดโดยใชมาตรฐานเดียวกัน ซ่ึงถือวาเป็นส่ิง 68สําคัญท่ีอาร์พาเน็ตไดวางรากฐานไวใหกับอินเทอร์เน็ตเพราะจากมาตรฐานการรับสงขอมูลแบบTCP/IP ทําใหค ร่อื งคอมพิวเตอร์ตางชนิดกันสามารถติดตอส่ือสารและรับสงขอมูลไปมาระหวางกันได(ดารณี พิมพช์ า งทอง, 2552, หนา 23-24) อาร์พาเน็ตไดรับการพัฒนาโดยการควบคุมของหนวยงาน 3 แหง อันไดแก สํานักงานเทคนิคการประมวลผล (information processing techniques office) ในสังกัดของ ARPA บริษัทบีบีเอ็น (bolt beranek and newman lnc) และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย 4 แหง ไดแกมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ลอสแอนเจลิส สถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียซานตาบารา และมหาวิทยาลัยยูทา ตอมาในปี พ.ศ. 2529 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แหงชาติของสหรัฐอเมริกา (national science foundattion : NSF) ไดวางระบบเครือขายข้ึนมาอีกระบบหน่ึงเรียกวา NSFNET ซ่ึงประกอบดวยซูเปอร์คอมพิวเตอร์จํานวน 5 เคร่ืองใน 5 รัฐ เช่ือมตอเขาดว ยกนั เพ่อื ใชประโยชนท์ างการศกึ ษาและการคนควาทางวิทยาศาสตร์ โคยใช TCP/IP เป็นมาตรฐานใ น ก า ร รั บ ส ง ข อ มู ล เ ช น กั น ทํ า ใ ห ก า ร ข ย า ย ตั ว ข อ ง เ ค รื อ ข า ย เ ป็ น ไ ป อ ย า ง ร ว ด เ ร็ ว เ น่ื อ ง จ า กสถาบันการศึกษาตางๆ ตองการที่จะเช่ือมตอเขากับเครือขายดวย เพ่ือใชงานซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใหคุมคามากที่สุด และสามารถแลกเปล่ียนขอมูลระหวางกันได ทําใหเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือขายมีจํานวนเพมิ่ มากขึ้นเรื่อยๆ และนอกจาก ARPANET และ NSFNET แลว ยังมีเครือขายอ่ืนๆ อีกหลายเครือขาย เชน UUNET, UUCP, BITNET แเละ CSNET เป็นตน ซึ่งตอมาเครือขายเหลาน้ีไดเชื่อมตอเขาดวยกันโดยมี NSFNET เป็นเครือขายหลัก ในปี พ. ศ. 2530 เครือขาย ARPANET ไดรวมตัวเขากับ NSFNET จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2533 ไดมีการยกเลิกการใชงานเครือขาย ARPANET ในท่ีสุด(สุวิช ถิระโคตร, 2554, หนา 9-11) แตจํานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือขายก็มีจํานวนเพ่ิมมากข้ึนเร่อื ยๆ จนอนิ เทอรเ์ น็ตกลายเปน็ เครอื ขายท่ีใหญท่ีสุดในโลกอยางเชนในปจั จบุ ัน สําหรับอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยนั้น เร่ิมมีการเชื่อมโยงกับระบบเครือขายอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ และสถาบันเทคโนโลยีแหงเอเชีย (AIT) การเชื่อมตออินเทอร์เน็ตของทั้งสองสถาบันเป็นการใชบริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โดยความรวมมือกับประเทศออสเตรียตามโครงการ IDP (the internationaldevelopment plan) ซ่ึงเป็นการติดตอเช่ือมโยงเครือขายดวยสายโทรศัพท์ จนกระท่ัง พ.ศ.2531มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ ไดย่ืนขอท่ีอยูอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยไดรับช่อื sritrang.pus.th ซ่ึงนบั วาเป็นท่ีอยอู นิ เทอรเ์ นต็ แหง แรกของประเทศไทย ตอมาในปี พ.ศ. 2535 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไดเชื่อมตอกับเครือขาย UUNET ของบรษิ ทั เอกชนทร่ี ฐั เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา การเชื่อมตอในระยะเร่ิมแรกโดยวงจรเชา (leased line)มีความเร็ว 9600 bps (bit per second) ซ่ึงตอมามีมหาวิทยาลัยอีกหลายแหงไดขอเช่ือมตอเขากับเครือขายผานระบบและเรียกชื่อเครือขายนี้วา ไทยเน็ต (thainet) ซึ่งถือเป็นประตู (gateway) แหงแรกทีน่ ําประเทศไทยเขา สเู ครอื ขายอินเทอร์เนต็ สากล และในปีเดียวกันศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แหงชาติ (national eIectronic and computer technology center :NECTEC) ไดจัดต้ังเครือขายแหงใหมขึ้นเรียกวาเครือขายไทยสาร (thaisarn) เป็นประตู (gateway)แหง ทส่ี องของประเทศไทยและในปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาและหนวยงานตางๆ ของรัฐ ไดเช่ือมโยงเครือขายคอมพิวเตอร์ของตนเองเขาสูเครือขายอินเทอร์เน็ตผานทางเครือขายท้ังสองแหงเป็นจํานวน 69มาก นอกจากนี้ยังมีเอกชนอีกหลายแหงที่จัดตั้งศูนย์จําหนายเพื่อเป็นผูใหบริการอินเทอร์เน็ตและเชื่อมตอ เขา สูเ ครอื ขายอนิ เทอร์เนต็ สากล 2. พัฒนาการของอนิ เทอร์เน็ต ในยุคที่เครอื ขา ยสังคมปจั จบุ นั มีการติดตอและแลกเปลีย่ นขาวสารผานเครือขายออนไลน์หรืออินเทอร์เน็ต ระบบอินเทอร์เน็ตจึงไดมีการพัฒนาเทคโนโลยีเว็บอยางตอเนื่องเพื่อตอบสนองตอความตอ งการและความสะดวกในการติดตอส่ือสาร จากอดีตท่ีเป็นเว็บ 1.0 มาเป็นเว็บ 2.0 และเขาสูเว็บ 3.0 โดยเว็บเชิงความหมายเป็นเทคโนโลยีหน่ึงของเว็บ 3.0 ท่ีทําใหมีการเชื่อมโยงขอมูลของเว็บผูพัฒนาและเว็บของแหลงขอมูลอ่ืนที่สัมพันธ์กัน ทําใหเกิดระบบสืบคนท่ีมีประสิทธิภาพ สามารถสืบคนขอมูลไดอยางรวดเร็วและตรงประเด็นภายใตความสัมพันธ์ของคําที่มีความหมายตอกัน และสามารถเชอื่ มโยงไปยังขอมูลที่ตอ งการอยางแทจริงดวยรูปแบบการติดตอสื่อสารขอมูลจากเทคโนโลยีXML (extensive markup language), RDF (resource description framework) และ OWL(web ontology language) สงผลใหเ กดิ นวตั กรรมการสืบคนขอมูลผานฐานขอมูลขนาดใหญที่มีการเชื่อมโยงความสมั พันธ์ของขอมูล ภาพที่ 4.1 วิวฒั นาการของเทคโนโลยเี วบ็ ทีม่ า (Radar & Nova, 2007) 70 Web 1.0 Web 2.0 Web 3.0 Dial-up, 50k Broadband, 1Mb Mobile, 10Mb Static web Dynamic web Semantic web Read Only Read-Write Read-Write-Execute E-mail Wikis Artificial Intelligence Instant Messaging XML Scalable vector Personal websites Blogging Commerce Social Networking graphics Ontologyภาพที่ 4.2 เปรียบเทียบการใชงานเวบ็ 1.0 เว็บ 2.0 และเว็บ 3.0 ท่ีมา (Web 3.0, 2010) จากภาพท่ี 4.1 และภาพที่ 4.2 แสดงใหเห็นวาเทคโนโลยีเว็บและระบบอินเทอร์เน็ตไดมีการพัฒนาอยางตอเนื่อง เพ่ือใหผูใชสามารถใชบริการในการติดตอหรือแลกเปล่ียนขาวสารผานเครอื ขายที่มคี วามสะดวกและรวดเรว็ โดยมีวิวัฒนาการเทคโนโลยีเว็บจากเว็บ 1.0 ในลักษณะ staticweb ที่ผูใชสามารถอานขอมูลไดเพียงอยางเดียวจากเจาของเว็บไซต์ที่เป็นผูสรางเนื้อหามาสูเว็บ2.0ท่ีผูใชสามารถอานและสรางเนื้อหาไดเองในลักษณะ dynamic web และสามารถติดตอเช่ือมโยงหรือสรางสังคมเครือขายข้ึนมาผานเว็บไซต์ตาง ๆ จนถึงปัจจุบันเร่ิมเขาสูเว็บยุค 3.0 ท่ีผูใชสามารถอาน สราง รวมท้ังใหเว็บไซต์สามารถจัดการเชื่อมโยงขอมูลเว็บท่ีเกี่ยวของกันและสามารถเขาถึงเนื้อหาของเว็บไดดีขน้ึ (พนิดา ตันศิริ, 2554, หนา 49-50) เทคโนโลยที ี่ใชในการสรางเว็บ 3.0 ประกอบดว ย 2.1 artificial intelligence (AI) เปน็ การนาํ ปัญญาประดษิ ฐ์มาใชวิเคราะห์พฤติกรรมและความตองการของผูใช เพอ่ื ใหเ กิดการทาํ งานอยางอัตโนมตั ิ 2.2 automated reasoning เป็นการสรางระบบใหมีการประมวลผลอยางสมเหตุผลแบบอตั โนมัติ โดยใชห ลักการทางคณติ ศาสตร์มาชวยในการวิเคราะห์และประมวลผล 2.3 cognitive architecture เปน็ การนาํ เสนอระบบประมวลผลทีม่ กี ารทํางานเหมือนกันดว ยการสรา งเคร่ืองมอื ในโลกเสมือนมาใชใ นการทาํ งานจรงิ 2.4 composite applications เป็นระบบประยุกต์ท่ีสรางจากการรวมหลายระบบเขาดว ยกัน เพอ่ื ทาํ ใหเกดิ ประสิทธิภาพในการใชงานมากขึ้น 2.5 distributed computing เป็นการใชคอมพิวเตอร์ต้ังแต 2 เคร่ือง ท่ีสามารถส่ือสารถงึ กันไดบ นเครอื ขา ยในการประมวลผล โดยใชสวนท่ีแตกตางกันของโปรแกรมเขามาชวยประมวลผลในการทํางาน 2.6 human-based genetic algorithms เป็นกระบวนการท่ีอนุญาตใหมนุษย์สามารถสรางนวัตกรรมท่ีทําใหสามารถเปล่ียนแปลง เกี่ยวพันและเชื่อมโยงกันไดหลายรูปแบบแลวแตความตอ งการ 71 2.7 knowledge representation เปน็ วธิ กี ารทรี่ ะบบใชใ นการเขารหสั และเก็บความรูในฐานความรู 2.8 web ontology language (OWL) เป็นภาษาท่ีใชอธิบายขอมูลในเว็บไซต์จากความสัมพันธ์ โดยพจิ ารณาจากความหมายของส่งิ ตางๆ ทาํ ใหเ กดิ ประสทิ ธิภาพในการคนหาขอ มลู 2.9 scalable vector graphics (SVG) เป็นรูปแบบของ XML ท่ีนิยามวัตถุในภาพวาดดว ย point path และ shape 2.10 semantic web เป็นเว็บเชิงความหมายท่ีสามารถเชื่อมโยงขอมูลท่ีสัมพันธ์กันเขาดวยกันท้ังจากแหลงขอ มลู เดียวกนั และตา งแหลง กนั ทาํ ใหเกดิ การเชือ่ มโยงฐานขอมลู เขาดวยกัน 2.11 semantic wiki เป็นการอธิบายขอมูลซอนขอมูล และใหขอมูลท่ีเกี่ยวของกับคําท่ีตอ งการไดอยางถกู ตอ งและแมน ยาํ ขึน้ 2.12 software agent เป็นโปรแกรมที่สามารถเป็นตัวแทนในการทํางานตามท่ีกําหนดแบบอตั โนมัติ องค์กรเว็บไซต์สากล (world wide web consortium : W3C) ไดกําหนดคําสําคัญที่เป็นมาตรฐานสําหรับเว็บ 3.0 คือ ตองเป็นเว็บที่มีคุณลักษณะเว็บเชิงความหมายท่ีสามารถประมวลผลและวิเคราะห์ขอมูลท่ีเช่ือมโยงกันจากความตองการของผูใช อาจกลาวไดวา เว็บเชิงความหมาย เป็นเทคโนโลยีหนึ่งของเว็บ 3.0 ท่ีเนนการจัดการกับเน้ือหาที่มีการจัดเก็บใน metadata ที่มีการแบงขอมูลออกเป็นสวนยอยหรือฐานขอมูลความรู ontology เพ่ือนิยามความหมายของขอมูลและอาศัยหลักการเช่ือมโยงชุดขอมูลที่สัมพันธ์กัน โดยใชเทคโนโลยีตางๆ เชน RDF, OWL ทําใหระบบสืบคนของเวบ็ เชงิ ความหมายนาํ ไปประมวลผลและแสดงผลไดอ ยา งมีประสทิ ธิภาพในประเด็นที่ตรงกับความตองการ โดยผูใชสามารถเชื่อมตอการใชงานแอพพลิเคชันบนอุปกรณ์ใดก็ได ท้ังคอมพิวเตอร์และโทรศัพทเ์ คลอ่ื นท่ี รวมทัง้ สามารถเขาถงึ ขอมลู ไดโดยงา ยผา นการเชอื่ มโยงฐานขอ มลู ความรูหลักการทางานของอนิ เทอร์เน็ต การทํางานขององค์ประกอบตางๆ ในระบบอินเทอร์เน็ตจะสอดคลองกันไดตองใชโพรโทคอล (protocol) หรือขอตกลงที่กําหนดไวเป็นมาตรฐานในการติดตอส่ือสารระหวางเครื่องคอมพิวเตอร์ ทกี่ าํ หนดขน้ึ เพื่อใหเคร่ืองคอมพิวเตอร์ตางชนิดกันสามารถติดตอสื่อสารเพ่ือแลกเปลี่ยนขอมูลระหวางกันไดอยางถูกตองภายใตมาตรฐาน TCP/IP โดย TCP (transmission controlprotocol) ทําหนาที่ควบคุมการรับสงขอมูลจากตนทางไปยังปลายทางใหถูกตองและครบถวนสวน IP (internet protocol) ทําหนาที่ในการคนหาท่ีอยูของเคร่ืองปลายทางและเสนทางการสงขอมูลโดยผานเกตเวย์ (gateway) หรอื เราเตอร์ (router) หลกั การทาํ งานพ้ืนฐานของ TCP/IP ในการรับสงขอมูล ทําหนาที่แบงขอมูลออกเป็นหนวยยอยๆ เรียกวาแพ็กเกจ (package) ซึ่งแตละแพ็กเกจจะมีการระบุสวนหัว (header) ที่ระบุถึงหมายเลขที่อยู (IP address) ของปลายทางและตนทางและขอมูลอ่ืนๆ เพื่อทําการสงขอมูลไปในเครือขา ยซงึ่ มีหลายเสน ทาง โดยเราเตอร์จะเป็นตัวจัดเสนทางในการสงแพ็กเกจ ไปยังโหนดถัดไป แตละแพก็ เกจอาจไมไดไปเสนทางเดียวกันท้ังหมดหรืออาจไมไปถึงปลายทางพรอมกันท้ังหมด แตเมื่อไปถึงจดุ หมายเครอ่ื งปลายทางจะรวบรวมแพ็กเกจท้งั หมดเขา มาแลว คืนสภาพกลับมาเปน็ ขอมลู เดิม 72 1. ไอพีแอดเดรส ไอพีแอดเดรส (IP address) คือ หมายเลขประจําตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีเชื่อมตอเขากับเครือขายอินเทอร์เน็ต เพื่อเอาไวอางอิงหรือติดตอกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในเครือขาย IPaddress ถูกจดั เปน็ ตัวเลขชุดหน่งึ ขนาด 32 บติ ใน 1 ชดุ น้จี ะมตี ัวเลขถกู แบง ออกเปน็ 4 สวน สวนละ8 บิต เทา ๆ กัน สามารถแทนคาได 2564 หรือ 4,294,967,296 คา เพื่อใหงายตอการจํา เวลาเขียนจงึ แปลงใหเป็นเลขฐานสิบกอน โดยคั่นแตละสวนดวยเคร่ืองหมายจุด (.) ดังน้ันในตัวเลขแตละสวนนี้จึงมีคาไดไมเกิน 256 คือ ต้ังแต 0 จนถึง 255 เทาน้ัน เชน IP address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต คือ 203.183.233.6 ซ่ึง IP address ชุดนี้จะใชเป็นที่อยูเพ่ือติดตอกับเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์อน่ื ๆ ในเครอื ขาย ภาพที่ 4.3 การสงขอ มลู บนอินเทอร์เนต็ โดยใช IPv4 ทีม่ า (NECTEC's IPv6 Testbed, 2011) หมายเลขไอพีแอดเดรสที่ใชกันทุกวันนี้ คือ ไอพีเวอร์ช่ันที่ 4 (Internet protocol version4 : IPv4) ซึ่งจะเป็นระบบ 32 บิต ใชเป็นมาตรฐานในการสงขอมูลในเครือขายอินเทอร์เน็ตตั้งแตปีค.ศ. 1981 เพ่ือรองรับการขยายตัวของเครือขายอินเทอร์เน็ตท่ีเติบโตอยางรวดเร็ว นักวิจัยของ IETF(the internet engineering task force) จึงพัฒนาอินเทอร์เน็ตโพรโทคอลรุนที่หก (internetprotocol version 6 : IPv6 ) บางคร้ังเรียกวา next generation internet protocol หรือ IPngเพื่อทดแทนอินเทอร์เน็ตโพรโทคอลรุนเดิมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงโครงสรางของตัวโพรโทคอล ใหรองรับหมายเลขไอพีแอดเดรสจํานวนมากและปรับปรุงคุณลักษณะอื่นๆ อีกหลายประการ ทั้งในแงของประสิทธิภาพและความปลอดภัย รองรับระบบแอปพลิเคชันใหมๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและเพ่ิมประสิทธิภาพในการประมวลผลแพ็กเกจใหดีข้ึน ทําใหสามารถตอบสนองตอการขยายตวั และความตอ งการใชง านเทคโนโลยีบนเครือขา ยอนิ เทอร์เนต็ ไดเ ปน็ อยา งดี 73 ความแตกตา งระหวาง IPv6 และ IPv4 มีอยู 5 สวนใหญๆ คือ การกําหนดหมายเลขและการเลือกเสนทาง (addressing & routing) ความปลอดภัย อุปกรณ์แปลแอดเดรส (networkaddress translator : NAT) การลดภาระในการจัดการของผูดูแลระบบและการรองรับการใชงานในอปุ กรณพ์ กพา (mobile devices) การเพิ่มขนาดแอดเดรสจาก 32 บติ เป็น 128 บิต ดงั ภาพท่ี 4.4 IPv4 IPv6 Interface IDaaa.aaa.aaa.aaa network prefix xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx a: เลขฐาน 10 ; เลขฐาน 16 128 bits xxxx = 0000 ถงึ FFFF ภาพที่ 4.4 รปู แบบของแอดเดรส IPv4 และ IPv6 ทีม่ า (NECTEC's IPv6 Testbed, 2011) จากภาพจะเห็นการเปล่ียนแปลงที่ชัดเจนท่ีสุด คือ ขนาดของแอดเดรสที่เพ่ิมมากข้ึน ซึ่งIPv4 มีแอดเดรสขนาด 32บิต ขณะที่ IPv6 มีแอดเดรสที่เพิ่มขึ้นเป็น 128 บิต ทําใหมีจํานวนแอดเดรสถึง 3.4x102 หมายเลข (340,282,366,920,938,463,463,374,607,431,768,211,456)หมายเลข IPv6 ประกอบไปดวยกลุมตัวเลข 8 กลุม และคั่นดวยเครื่องหมาย ( : ) โดยแตละกลุมคือเลขฐาน 16 จํานวน 4 ตัว (16 bit) เชน 3FEE:085B:1F 1F:0000:0000:0000:00A9:1234 เขียนยอได คือ 3FEE:85B:1F 1F::A9:1234 โดยมีเง่ือนไขในการเขียนคือหากมีเลขศูนย์ดานหนาของกลุมใดสามารถละไวไดและหากในกลุมใดเป็นเลขศูนย์ท้ังหมด คือ 0000 สามารถละไวได แตสามารถทําลกั ษณะน้ไี ดในตาํ แหนง เดยี วเทา นั้นเพอื่ ไมใหเกิดความสับสน การปรับเปล่ียนระบบจาก IPv4 ไปสู IPv6 ใชเทคนิคการสื่อสารระหวางเครือขาย IPv6ดวยกัน โดยมีเครือขาย IPv4 เป็นส่ือคั่นกลาง โดยใชเทคนิคการปรับเปลี่ยน network addresstranslation protocol translation (NAT-PT) ซึ่งเป็นการแปลงสวนหัวของไอพีแพ็กเกจจาก IPv4เป็น IPv6 เม่ือปรับเปลี่ยนเครือขายตนทางและปลายทางเป็นการใชงาน IPv6 ท้ังหมด ซ่ึงเรียกการเชอื่ มตอ ลกั ษณะนีว้ า IPv6-native network ดังแผนภาพแสดงการปรับเปลี่ยนระบบจาก IPv4 ไปสูIPv6 74ปจั จบุ นั เครอื ขา่ ย อนิ เทอร์เนต็ ปัจจุบัน อนิ เทอร์เน็ตยุคใหม่ อนาคตเครือข่ายสว่ นใหญร่ วมถึง อินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนมาใช้ IPv6สว่ นใหญ่รวมถึง (IPv4 internet) (IPv6 internet),อนิ เทอร์เนต็ ยงั คง เครอื ขา่ ยองคก์ รยคุ ใหม่ใช้ IPv4 6bone (IPv6 network)เทคนิคท่ีนิยมใช้ในการปรับเปล่ียนระบบ ระหวา่ งการปรบั เปลย่ี นท้งั เครือขา่ ย1. dual stack (IPv6/IPv4) เดมิ (IPv4)และเครือขา่ ยท่ปี รบั เปลีย่ น ระบบเกา่2. IPv6-over-IPv4 tunnel แล้ว (IPv6) อาจมีความจาเป็นตอ้ ง ทางานรว่ มกัน ซ่ึงจะอาศัยเทคนคิ ทย่ี ังคงใช้ IPv4 (6to4 automatic tunnel หรอื protocol translation (NAT-PT) manually configured tunnel) หรือ DNS proxy (DNS-ALG) ระบบเกา่ Dual stack เครอื ขา่ ยองค์กรซง่ึ ทย่ี งั คงใช้ IPv4 ส่วนใหญย่ งั คงใช้ เครอื ข่าhยoขstอsงฝ่ายที่ได้ IPv4 ปรบั เปลยี่ นมาใช้ IPv6 ภาพที่ 4.5 แผนภาพแสดงการปรบั เปลีย่ นระบบจาก IPv4 ไปสู IPv6 ท่มี า (NECTEC's IPv6 Testbed, 2011) จากภาพที่ 4.5 แสดงใหเห็นถึงการปรับเปลี่ยนระบบจาก IPv4 ไปสู IPv6 ท่ีสามารถปรับเปล่ยี นไดเกือบทัง้ หมด IPv6 รองรับปรมิ าณของไอพีแอดเดรสในอนาคตไดจํานวนมาก โดยมีการปรับเปล่ียนรูปแบบของขอมูลสวนหัว (header) ใหสนับสนุนการหาเสนทางของเราเตอร์ เพ่ิม flowlabel เพ่ือชวยในการทํางานของขอมูลท่ีมีลักษณะตอเนื่อง (streaming) เชน ขอมูลเสียงและวิดีโอแบบ real-time เพ่ิมรูปแบบในรักษาความปลอดภัยของขอมูลและรองรับเทคโนโลยีใหมๆ รวมถึงควบคุมอุปกรณ์เครื่องใชไฟฟูาประจําบานท่ีมีหมายเลขไอพีแอดเดรสประจําทําใหสั่งการไดทันที(สุธี พงศาสกุล และณรงค์ ลํ่าดี, 2551, หนา 50-51) เชน เครื่องเลน DVD สามารถรับสงหนังมาไดโดยตรงจากอินเทอร์เน็ตหรือสงสัญญาณไปยังโทรทัศน์ที่อยูตามมุมตางๆ ของบานได ควบคุมการเปิดปิดไฟ ตรวจสอบสถานะของเครื่องใชไฟฟูาผานสายไฟในบาน ทําใหการรับสงขอมูลทําไดอยางรวดเรว็ สามารถติดตอกนั ไดโดยตรง 2. โดเมนเนม โดเมนเนม (domain name หรือ domain name system : DNS) หมายถึง ช่ือท่ีถูกเรียกแทนการเรียกเป็นหมายเลขอินเทอร์เน็ต (IP address) สวนใหญจะเป็นช่ือที่สื่อความหมายถึงหนวยงาน หรือเจาของเว็บไซต์น้ันๆ เพ่ือใชเป็นตัวอางอิงแทน ซ่ึงชื่อโดเมน ประกอบดวย ชื่อเครื่องคอมพวิ เตอร์ ชอื่ โดเมน ชอ่ื สบั โดเมน ท่ีสมั พนั ธ์กบั หมายเลขไอพขี องเคร่ืองน้ันๆ เชน IP address คือ203.183.233.6 แทนที่ดวยช่ือ dusit.ac.th เพ่ือใหผูใชงานสามารถจดจําชื่อไดงายกวาการจําหมายเลขไอพี 75 รปู ที่ 4.6 DNS และ DNS Serverท่ีมา (กองบรรณาธกิ าร, 2553, หนา 24)เน่ืองจากการติดตอส่ือสารกันในระบบอินเทอร์เน็ตใชโพรโทคอล TCP/IP เพ่ือส่ือสารกันโดยจะตองมี IP address ในการอางอิงเสมอ แต IP address นี้ถึงแมจะจัดแบงเป็นสวนๆ แลวก็ยังมีอุปสรรคในการท่ีตองจดจํา ถาเครื่องท่ีอยูในเครือขายมีจํานวนมากขึ้น การจดจําหมายเลข IP ดูจะเป็นเร่ืองยาก และอาจสับสนจําผิดได แนวทางแกปัญหาคือการต้ังชื่อหรือตัวอักษรข้ึนมาแทนท่ี IPaddress ซงึ่ สะดวกในการจดจาํ ไดง า ยกวาการจําตวั เลขโดเมนที่ไดร บั ความนิยมกนั ทั่วโลกท่ถี ือวาเป็นโดเมนสากล มดี งั น้ี คอื.com ยอ มาจาก Commercial ธุรกิจ.edu ยอมาจาก Education การศึกษา.int ยอ มาจาก International organization องคก์ รนานาชาติ.org ยอ มาจาก Organization หนวยงานที่ไมแ สวงหากําไร.net ยอมาจาก Network หนวยงานท่ีมธี รุ กิจดา นเครือขา ยการขอจดทะเบียนโดเมนตองเขาไปจดทะเบียนกับหนวยงานที่รับผิดชอบ ช่ือโดเมนท่ีขอจดนน้ั ไมส ามารถซา้ํ กับชอ่ื ทมี่ อี ยูเ ดมิ ซงึ่ สามารถตรวจสอบชอื่ โดเมนไดจากหนวยงานท่รี ับผดิ ชอบการขอจดทะเบยี นโดเมน มี 2 วธิ ี ดว ยกัน คือ1. การขอจดทะเบียนใหเป็นโดเมนสากล (.com .edu .int .org .net) ตองขอจดทะเบยี นกบั www.networksolution.com ซง่ึ เดมิ คอื www.internic.net2. การขอทดทะเบยี นท่ลี งทายดวย .th (thailand) ตองจดทะเบยี นกับ www.thnic.netโดเมนเนมทลี่ งทาย ดว ย .th ประกอบดวย.ac.th ยอมาจาก academic thailand สาํ หรับสถานศึกษาในประเทศไทย.co.th ยอมาจาก company thailand สาํ หรบั บรษิ ทั ที่ทําธรุ กจิ ในประเทศไทย.go.th ยอ มาจาก government thailand สาํ หรบั หนว ยงานตา ง ๆ ของรัฐบาล.net.th ยอ มาจาก network thailand สาํ หรับบริษทั ทที่ ําธรุ กิจดา นเครือขา ย.or.th ยอ มาจาก organization thailand สาํ หรับหนว ยงานท่ไี มแ สวงหากาํ ไร.in.th ยอ มาจาก individual thailand สําหรับบุคคลท่ัวๆ ไป 76 3. โปรแกรมเวบ็ บราวเซอร์ เว็บบราวเซอร์ (web browser) คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผูใชสามารถดูขอมูลและโตตอบกบั ขอมูลสารสนเทศทจี่ ัดเก็บในหนาเว็บเพจที่สรางดวยภาษาเฉพาะ เชน ภาษา HTML, PHP,CGI, javascript ตางๆ เพ่ือใชในการคนหาขอมูลเพื่อความบันเทิงหรือธุรกรรมอ่ืนๆ ที่จัดเก็บไวในระบบบริการเวบ็ หรอื ระบบคลงั ขอมูลอืน่ ๆ โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ท่ีพบในปัจจุบัน ไดแก internet explorer, google chrome,firefox, opera, safari, crazy browser, avant browser, maxthon browser, konquerorและ plawan Browser ในบทน้ีจะเปรียบเทียบขอดีและขอ จาํ กัดเฉพาะโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ท่ีไดรับความนิยมในปัจจุบันมากท่ีสุด 5 โปรแกรม คือ internet explorer (IE), firfox, google chrome, operaและ safari ดังตารางท่ี 4.1ตารางที่ 4.1 เปรียบเทยี บขอดีและขอจาํ กัดของโปรแกรมเวบ็ บราวเซอร์โปรแกรมเวบ็ บราวเซอร์ ขอ้ ดี ข้อจากัด1. Internet Explorer - เป็นบราวเซอร์ท่ีมีการใชงานมากที่สดุ - ถาเปดิ เว็บเพจหลายๆ หนาโปรแกรมจะ2. Firefox - สามารถเขา ถึงขอ มลู ไดทกุ เวบ็ ไซต์ คาง3. Google Chrome - เมื่อพบปญั หาในการใชง านสามารถแกไ ข ปัญหาไดง า ย - ใชห นวยความจาํ คอมพวิ เตอรจ์ าํ นวนมาก4. Opera - ใหความเป็นสว นตวั สูงสุด - ทาํ งานชา เม่อื เปรยี บเทยี บกบั - มอี ุปกรณเ์ สรมิ (add-ons) บราวเซอร์อื่นๆ - ปูองกนั การบกุ รุกจากสปายแวร์ ไวรสั - ผูใชยงั มีจาํ นวนนอ ยเม่อื เทียบกบั - มีระบบการรกั ษาความปลอดภยั และ ระบบการอพั เดตอยูตลอดชวยแกป ัญหา โปรแกรม internet explorer ไดทนั ที - ไมส ามารถแสดงผลเว็บเพจไดท กุ เวบ็ เพจ - มีลูกเลนหลากหลาย หรือถา แสดงได ขอมลู อาจไมส มบูรณ์ - ไมส ามารถเขาไปยงั เวบ็ ไซตข์ องสถาบนั - ทํางานเรว็ การเงินตา งๆ ได - มแี ถบสาํ หรับการคน หาขอมลู ที่รวดเร็ว - ตัวเคอร์เซอรม์ ักจะเลื่อนไปอยูดา นหนา - ขนาดไฟล์เลก็ ใชพ ้ืนทฮ่ี าร์ดดสิ ก์ในการ สุด จัดเกบ็ นอ ย - การกําหนดแท็บดาํ คลมุ ขอความทาํ ได - หนาตา งดาวนโ์ หลดอยูแถบดา นลาง - ดงึ แอพพเิ คช่ันของกเู กลิ มาใชง านอยา ง ยาก สะดวก - ไตเตล้ิ บารส์ ัน้ - มีโปรแกรมชว ยแปลภาษาเวลาเขา ใชเ ว็บ - ไมส ามารถเขา ไปยังเวบ็ ไซต์ของสถาบัน ตางประเทศ การเงนิ ตา งๆ ได - การลบตัวอกั ษร ถาคาํ ท่ีมสี ระอยดู ว ย - ทํางานเรว็ - รูปลักษณส์ วย จะถูกลบไปทัง้ หมด - มี download manager ในตัว - ฟังก์ชนั การทาํ งานนอย บางหนา เวบ็ แสดงผลผดิ พลาด - ไมร องรบั เวบ็ เพจของสถาบนั การเงิน ตางๆ 77โปรแกรมเวบ็ บราวเซอร์ ขอ้ ดี ข้อจากัด5. Safari - โหลดหนาเวบ็ ไดอยา งรวดเรว็ - ฟังกช์ ันการทาํ งานมีไมม าก - เขา ถงึ java script ไดอยางรวด เรว็ - มปี ญั หาดา นภาษาไทย - รองรับ CSS animations และ CSS web - มีปญั หาเรอ่ื งรปู แบบตัวอักษร font - สแกนขอมลู ไดร วดเร็ว - กําจัดไวรสั สปายแวรต์ า ง ๆ ไดด ีการเชอื่ มตอ่ อินเทอรเ์ น็ต การเช่ือมตออินเทอร์เน็ตเป็นการเช่ือมโยงกันของคอมพิวเตอร์บนระบบเครือขาย เสมือนเป็นใยแมงมุมท่ีครอบคลุมท่ัวโลกในแตละจุดที่เชื่อมตออินเทอร์เน็ตน้ัน สามารถเช่ือมตอกันผานหนวยงานท่ีเรียกวา “ผูใหบริการอินเทอร์เน็ต” หรือ ISP (internet service provider) ซ่ึงเป็นเจาของและผูดูแลระบบคอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมกับอินเทอร์เน็ต แตไมใชเจาของอินเทอร์เน็ต เหมือนกับการทเ่ี อาคอมพวิ เตอร์ของแตละคนมาตอกันเป็นเครือขาย ยอมไมมีใครเป็นเจาของเครือขายท้ังระบบแตทุกคนเป็นเจาของเครื่องเฉพาะสวนของตนเอง ผูใหบริการอินเทอร์เน็ตอาจเป็นบริษัทหรือหนว ยงานท่เี ปดิ บริการใหผูใชท่ัวไปเช่ือมตอเคร่ืองคอมพิวเตอร์เขากับเครือขายของตน เพื่อตอเขากับอินเทอร์เน็ตอีกทีหนึ่ง โดยมีการเก็บคาบริการเป็นทอดๆ ไป ใครตอผานเคร่ืองของใครก็ตองเสียคาบริการใหกับคนนั้น เชน ISP รายใหญๆ ในตางประเทศเก็บคาบริการจาก ISP ในเมืองไทย และISP ในเมืองไทย (กรุงเทพฯ) ก็เก็บคาบริการจากลูกคาท่ีเป็นผูใชรายบุคคล องค์กร บริษัท หรือ จากISP รายยอย ภายใตเครอื ขายของตนท่ีอยูใ นตางจังหวดั อีกทีหนงึ่ (ดวงพร เก๋ยี งคาํ , 2551, หนา 14) ตวั อยาง ผใู หบ รกิ ารอินเทอร์เนต็ ในเมืองไทย - บรษิ ทั อินเทอรเ์ นต็ ประเทศไทย จํากัด - บรษิ ทั ทรูอนิ เทอรเ์ น็ต จํากัด - บริษัท สามารถอนิ โฟเนต จํากดั - บริษทั ทีโอที จํากัด (มหาชน) - บริษทั เอ-เน็ต จาํ กดั - และบรษิ ัทอ่ืนๆ อีกหลายราย การเชอ่ื มตอ คอมพวิ เตอรเ์ ขากบั เครือขา ยของผูใหบริการอินเทอร์เน็ต สามารถแบงออกเป็น2 แบบ คือ การเชอ่ื มตอ อินเทอร์เน็ตแบบใชสายและแบบไรสาย ดังมรี ายละเอียดดังน้ี 1. การเช่อื มต่ออินเทอร์เน็ตแบบใชส้ าย การเช่ือมตออินเทอร์เน็ตแบบใชสาย (wire internet) แบงเป็นการเชื่อมตอแบบรายบุคคลและแบบองค์กร 1.1. การเช่อื มตออินเทอร์เน็ตรายบุคคล การเช่ือมตออินเทอร์เน็ตรายบุคคล (individual connection) คือ การเชื่อมตออินเทอร์เนต็ จากท่ีบาน (home user) หรือท่ีเรียกวา Dial-Up ที่ตองอาศัยคูสายโทรศัพท์ในการเขาสูเครือขายอินเทอร์เน็ต ผูใชตองสมัครเป็นสมาชิกกับผูใหบริการอินเทอร์เน็ตกอน จากน้ันจะไดเบอร์ 78โทรศัพทข์ องผูใหบริการอินเทอร์เน็ต รหัสผูใช (user name) และรหัสผาน (password) ผูใชจะเขาสูระบบอินเทอร์เน็ตไดโดยใชโมเดม็ ท่ีเชื่อมตอกับคอมพิวเตอร์ของผูใชหมุนไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของผใู หบริการอินเทอร์เนต็ จากนนั้ จงึ สามารถใชง านอินเทอร์เนต็ ได ภาพที่ 4.7 การเช่อื มตออนิ เทอร์เนต็ ผา นสายโทรศัพท์ ในการเชื่อมตออินเทอร์เน็ตรายบุคคล ผูใชบริการตองมีเคร่ืองคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์โมเด็มและผูใหบริการอินเทอร์เน็ตท่ีมีแพ็กเกจการใหบริการท้ังแบบรายช่ัวโมงและรายเดือน การเช่ือมตอแบบ Dial-Up มีขอดีคือใชงานงาย เสียคาใชจายนอย จะจายคาบริการเมื่อหมุนโทรศัพท์เช่ือมตอในแตล ะคร้งั และคาช่ัวโมงอนิ เทอรเ์ นต็ ตามแพ็ตเกจของผูใ หบริการอนิ เทอร์เนต็ ทีเ่ ลือกใช 1.2 การเช่อื มตออินเทอรเ์ น็ตแบบองคก์ ร การเช่ือมตออินเทอร์เน็ตแบบองค์กร (corporate connection) จะพบไดท่ัวไปตามหนวยงานตาง ๆ ท้ังภาครัฐและเอกชน หนวยงานตางๆ เหลาน้ีจะมีเครือขายทองถ่ินเป็นของตัวเองซ่ึงเครือขายทองถิ่นจะเช่ือมตออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ผานวงจรเชาวิธีน้ีจะพบไดในหนวยงานขนาดใหญ เชน สถาบันการศึกษา รา นอินเทอรเ์ น็ตคาเฟุตลอดจนบา นท่มี ีคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่อง ดังน้ันบคุ ลากรในหนวยงานจึงสามารถใชอ นิ เทอรเ์ น็ตไดต ลอดเวลา ภาพท่ี 4.8 การเชื่อมตออินเทอร์เน็ตแบบองค์กร 79 2. การเชอ่ื มต่ออนิ เทอรเ์ น็ตแบบไรส้ าย การเชื่อมตออินเทอร์เน็ตแบบไรสาย (wireless internet) แบงเป็นการเชื่อมตอผานเครอื ขายผใู หบ รกิ ารโทรศพั ท์เคล่อื นที่ และระบบเครอื ขา ยวายฟายสาธารณะ 2.1 การเช่ือมตออินเทอร์เน็ตแบบไรสายผานเครือขายผูใหบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยเทคโนโลยีท่ีใชเป็นมาตรฐานของการส่ือสารขอมูลไดรับการพัฒนาอยางตอเน่ือง เชน GPRS, CDMAและ EDGE ซ่ึงเทคโนโลยีที่ใชนั้นตองเหมาะสมกับเครือขายโทรศัพท์เคล่ือนที่ เชน ผูใหบริการระบบGSM ไดแก AIS, DTAC และ True ใชเทคโนโลยี GPRS สวน Hutch จะเนนการใหบริการในระบบCDMA ระดับความเร็วในการรับสงขอมูลดวยอินเทอร์เน็ตไรสาย ในทางทฤษฎีสําหรับ GPRSมีความเร็วสูงสุดประมาณ 83.6 Kbps สวน EDGE มีความเร็วสูงสุดประมาณ 236.8 Kbps และCDMA มีความเรว็ สูงสดุ ประมาณ 2.4 Mbps แตในการตดิ ต้ังใชงานจริงจะตา่ํ กวาน้ัน เชน GPRS อยูท่ีประมาณ 40 kbps สวน CDMA จะขึน้ อยูกบั เทคโนโลยีที่ใช ขอดีของอินเทอร์เน็ตแบบไรสายสามารถเช่ือมตอไดทุกที่ทุกเวลาและมีแพ็กเกจใหเลือกหลายแบบ ทั้งแบบเหมาจาย รายเดือน คิดตามช่ัวโมงการใชงานหรือปริมาณขอมูลท่ีใช สวนคา บริการขนึ้ อยูก ับผใู หบริการแตละราย 2.2 ระบบเครือขายวายฟายสาธารณะ (Wi-Fi public hotspot) เป็นบริการเชื่อมตออินเทอร์เน็ตดวยระบบ LAN ไรสาย (wireless LAN หรือ WLAN) ในบริเวณที่มีขอจํากัดในการเดินสาย LAN เพ่ือใหบ คุ คลทั่วไปไดตอใชงาน จุดที่ใหบริการมักจะเป็นพ้ืนที่สาธารณะที่คาดวาจะมีผูมาใชบ ริการเปน็ จํานวนมาก เชน สนามบนิ โรงแรม โรงพยาบาลหรือมหาวิทยาลัย โดยผูใหบริการจะนําอุปกรณ์ระบบ LAN ไรสาย เชน ตัวกระจายสัญญาณ หรือ จุดเขาใช (access point) ท่ีเชื่อมตอกบั ระบบเครือขายภายในอาคารและตอเขากับอินเทอร์เน็ตไปติดตั้งไวในสถานที่นั้นๆ เมื่อผูใชบริการนําโนตบุ฿คหรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ท่ีรองรับเทคโนโลยีวายฟาย (Wi-Fi) เชน 802.11b, 802.11g หรือ802.11n เขามาในพ้ืนที่ใหบริการท่ีเรียกวา จุดฮอตสปอต (hotspot) พรอมกับชั่วโมงอินเทอร์เน็ตไรสาย (wireless internet card) ที่มีรหัสผูใชและรหัสผานก็สามารถใชบริการในพ้ืนท่ีของจุดฮอตสปอตไดทันทตี ามเงือ่ นไขการใชง านของผูใหบริการ ภาพที่ 4.9 Wi-Fi Public Hotspot ท่ีมา (เทคโนโลยี Wi-Fi, 2553) 80 สําหรับประเทศไทย กระทรวงเทคโนโลยีและการส่ือสาร มีนโยบายจะเปิดใหบริการอินเทอร์เน็ตไรสายในท่ีสาธารณะฟรี (free Wi-Fi) ในสถานที่ราชการ สวนสาธารณะ และสถานท่ีทองเท่ียว ในปี 2555 จํานวน 20,000 จุด ใชช่ือล็อกอิน samartwifi.th ใหบริการดวยระดับความเรว็ 2 Mbps โดยบริษทั ทโี อทีเป็นผูดําเนินการ เพื่อใหประชาชนสามารถเขาถึงอินเทอร์เน็ตโดยไมเสียคาใชจาย และคาดวาจะขยายจุดใหบริการไดมากกวา 250,000 จุด ภายในเวลา 5 ปี ซึ่งโครงการฟรีวายฟายจะใหประโยชน์ในดานเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมทั้งประชาชนผใู ชบ ริการท่ีจะไดรับบริการขอมูลขาวสารออนไลน์ เพ่ือเป็นสวนหนึ่งในการผลักดันประเทศสูสมาร์ทไทยแลนด์อินเทอรเ์ น็ตความเรว็ สงู การใหบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมักใชเทคโนโลยีการรับสงขอมูลความเร็วสูง หรือที่เรียกวา การรับสงขอมูลแบบบรอดแบรน์ (Broad band) ทําใหผูใชบริการสามารถรับสงขอมูลไดอยางรวดเร็ว เชน การเช่ือมตอดวยระบบ ISDN ระบบ ADSL เคเบิลโมเด็ม อินเทอร์เน็ตผานดาวเทยี ม WiMAX และ 3G 1. ระบบ ISDN ISDN (integrated service digital network) เป็นการเช่อื มตอสายโทรศัพท์ระบบใหมท่ีรับสงสัญญาณเป็นดิจิทัลทั้งหมด อุปกรณ์และชุมสายโทรศัพท์จะเป็นอุปกรณ์ท่ีสนับสนุนระบบของISDN โดยเฉพาะ ไมวาจะเป็นเครื่องโทรศัพท์และโมเด็มสําหรบั ISDN 1.1 การใหบรกิ าร ISDN แบงเป็น 2 แบบคือ 1.1.1 BAI (basic access interface) หรือ BRI (basic rate interface) เป็นบริการคูสาย ISDN สําหรับบานหรือองค์กรขนาดเล็ก 1 คูสายสามารถรองรับไดถึง 8 อุปกรณ์แตสามารถใชพรอมกนั ไดเพียง 2 อปุ กรณ์ มกี ารแบงการรับสง ขอมูลออกเป็น 64 Kbps ดังนั้นถาใชโทรศัพท์ ISDNตออินเทอร์เน็ตจะไดความเร็วถึง 128 Kbps เมื่อใชพรอมกันทงั้ 2 ชองสัญญาณ 1.1.2 PRI (primary rate interface) เป็นการใหบริการคูสาย ISDN สําหรับองค์กรขนาดใหญ แบงการรับสง ขอมูลออกเป็น 30 ชองสัญญาณ ความเร็วในชองละ 64 Kbps ถาใชพรอมกนั หมดจะไดความเร็วในการรับสง ขอมูล 2.048 Mbps 1.2 อปุ กรณ์ท่ีใชในการตอ อินเทอรเ์ น็ตดวยระบบโทรศัพท์ ISDN 1.2.1 network terminal (NT) เปน็ อปุ กรณท์ ี่ใชตอ จากชุมสาย ISDN เขากับอุปกรณ์ดจิ ิทลั ของ ISDN โดยเฉพาะ เชน เคร่ืองโทรศัพทด์ ิจทิ ัล เครื่องแฟกซ์ดจิ ทิ ัล 1.2.2 terminal adapter (TA) เป็นอุปกรณ์แปลงสัญญาณเพ่ือใชตอ NT เขากับอุปกรณ์ทใี่ ชก ับโทรศัพทบ์ านระบบเดมิ และทําหนาท่ีเปน็ ISDN modem ที่ความเรว็ 64-128 Kbps 1.2.3 ISDN card เป็นการ์ดทีต่ อ งเสียบในแผงวงจรหลกั ในคอมพิวเตอร์เพ่ือตอกับ NTโดยตรง ในกรณที ีไ่ มใ ช terminal adapter 2. ระบบโทรศพั ท์ ADSL ADSL (asymmetric digital subscriber loop) เป็นการเช่ือมตออินเทอร์เน็ตผานสายโทรศัพท์แบบเดิม แตใชการสงดวยความถี่สูงกวาระบบโทรศัพท์แบบเดิม ชุมสายโทรศัพท์ท่ี 81ใหบริการหมายเลข ADSL จะมีการติดต้ังอุปกรณ์ คือ DSLAM (dsl access module) เพื่อทําการแยกสัญญาณความถ่ีสูงออกจากระบบโทรศัพท์เดิม และลัดเขาเชื่อมตอกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง สวนผใู ชบรกิ ารอนิ เทอรเ์ น็ตจะตองมี ADSL modem ท่ีเช่ือมตอกับคอมพิวเตอร์ ความเร็วในการเช่ือมตออนิ เทอรเ์ น็ตผาน ADSL จะมีความเรว็ ท่ี 128/128 Kbps 256/256 Kbps และ512/512 Kbps อุปกรณ์ที่ใชในการเช่อื มตออินเทอรเ์ น็ตแบบ ADSL ประกอบดวย 2.1 ADSL modem ทําหนาท่ีในการแปลงสัญญาณ ซ่ึงมีทั้งแบบท่ีตอกับสาย LAN หรือสายท่ีตอกับพอรต์ USB สว นคอมพิวเตอร์ตอ งใชโพรโทคอล PPPoE (PPP over Ethernet) 2.2 splitter ทําหนาที่แยกสัญญาณความถี่สูงของ ADSL จากสัญญาณโทรศัพท์แบบธรรมดา โดยใชอุปกรณ์น้ีทําหนาที่ยานความถ่ีตํ่าใหกับโทรศัพท์บานและแยกความถี่สูงๆ ใหกับโมเด็ม ADSL ภาพท่ี 4.10 การใหบ รกิ าร ADSL 3. เคเบิลโมเด็ม อินเทอร์เน็ตผานเคเบิลโมเด็ม (cable modem) เป็นการเชื่อมตออินเทอร์เน็ตดวยความเร็วสูงโดยไมใชสายโทรศัพท์ แตอาศัยเครือขายของผูใหบริการเคเบิลทีวี ความเร็วของการใชเคเบิลโมเด็มในการเช่ือมตออินเทอร์เน็ตจะทําใหความเร็วสูงถึง 2/10 Mbps (มีความเร็วในการอปั โหลดท่ี 2 Mbps และความเร็วในการดาวน์โหลดที่ 10 Mbps) องค์ประกอบของการเช่ือมตอ อินเทอรเ์ น็ตดวยเคเบิลโมเด็ม ตองมีการเดินสายเคเบิลจากผูใหบริการเคเบิล มาถึงบาน ซ่ึงเป็นสายโคแอกเชียล (coaxial) ตัวแยกสัญญาณ (splitter) และcable modem ทาํ หนาท่ีแปลงสญั ญาณ 82 ภาพท่ี 4.11 การทํางานของเคเบิลโมเดม็ 4. อินเทอร์เน็ตผา่ นดาวเทยี ม อินเทอร์เน็ตผานดาวเทียม (satellite internet) เป็นบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยใชด าวเทยี ม มใี หบริการ 2 แบบ คือ 4.1 one way คอื การสง ขอมูลผา นดาวเทียมแบบทางเดียว (downstream) มีความเร็วประมาณ 8 Mbps ซึ่งเรว็ กวาการเชื่อมตอแบบเดมิ 5-8 เทา แตการเรียกดูขอมูลจากอินเทอร์เน็ตตองอาศยั การหมุนโทรศัพท์ผานโมเด็มเพ่ือเรียกไปยังผูใหบริการอินเทอร์เน็ตแบบธรรมดา เพ่ือแจงขอมูลที่ตองการกอนทําการสงขอมูลมายังจานรับสัญญาณไดถูกตอง เชน iPTV ของ บริษัท cs loxinfo ที่เรียกวาระบบ turbo internet โดยผา นการรบั สัญญาณจากดาวเทยี มไทยคม 4.2 two way คือการสงขอมูลท้ังแบบ downstream และ upstream ผานดาวเทียมท้งั หมด โดยจานรับสัญญาณจะเป็นชองทางสงขอมูลขึ้นและรับสัญญาณไดตามปกติ แตมีขอจํากัดคือราคาอุปกรณแ์ ละคาบรกิ ารมีราคาสูง เหมาะสาํ หรบั ผใู ชทอ่ี ยูในบริเวณพน้ื ที่สายโทรศัพท์เขาไมถึงหรือพื้นที่หางไกลเป็นการใหบริการแบบไมจํากัดพื้นที่ เชน ระบบ iPSTAR ของ บริษัท cs loxinfo โดยผานการรับสัญญาณจากดาวเทียม iPSTAR 5. WiMAX WiMAX มาจากคําวา worldwide interoperability for microwave access คือเทคโนโลยีสาํ หรับบรอดแบนดไ์ รสาย ถาตองการใชงานตองทําการเช่ือมตอกับสายเคเบิล โดยใช T1,DSL หรือโมเด็มเคเบิล WiMAX เป็นมาตรฐานที่มีวิวัฒนาการสําหรับการสรางเครือขายไรสายแบบหน่ึงจุดเช่ือมตอไปยังอีกหลายจุด (P2MP) และทํางานไดในระยะทางไกล นอกจากการเชื่อมตอบรอดแบนด์ไดในรัศมีทางไกล WiMAX ยังมีแอปพลิเคชันท่ีหลากหลาย มีชองส่ือสารภาคพื้นดินไรสาย และสามารถเชื่อมตอดวยความเร็วสูงอยางที่องค์กรธุรกิจตางๆ ตองการ เม่ือมีการนํา WiMAX 83มาใชสถานผี ูใ หบ ริการจะสามารถแผข ยายการเชื่อมตออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไปยังบานและธุรกิจในรัศมีถึง 50 กิโลเมตร ทําใหบริเวณดังกลาวกลายเป็น WIMAN และเป็นเครือขายการสื่อสารไรสายอยา งแทจริง 6. ระบบ 3 G 3G (3rd generation) หรือยุคที่ 3 ของเครือขายโทรศัพท์เคล่ือนท่ี เปรียบเสมือนอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนโทรศัพท์เคลื่อนท่ี เป็น มาตรฐานการสื่อสารของโทรศัพท์ไรสาย ที่กําหนดโดย International Telecommunication Union ไดระบุถึงบริการในการรับสงขอมูลที่หลากหลาย มีความเร็วในการรับสงขอมูลของระบบ 3G ในการ download อยูท่ีระดับความเร็ว14.0 Mbit/s (1.75 MB/s) และการ upload อยูท่ีระดับความเร็ว 5.8 Mbit/s (0.725 MB/s) (รอฮีมปรามาสม, 2554, หนา 47) นอกเหนือไปจากการใชงานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพ่ือการสนทนา หรือสงขอความแลว การติดตอทางอินเทอร์เน็ต ผานเครือขายสังคม (social network) บริการ VDOconference และใชงานบริการตางๆ ที่ปกติเคยมีแตบนคอมพิวเตอร์ เชน อีเมลและการสนทนาออนไลน์ (chat) กลายเปน็ การใชงานหลักบนโทรศัพทเ์ คลื่อนทใี่ นปัจจุบันการป้องกันภยั จากอินเทอร์เน็ต การปูองกันภัยจากอินเทอร์เน็ต เป็นการปูองกันการบุกรุก การโจมตีทําลายขอมูลโดยอาศัยเทคโนโลยีและกระบวนปกปูองการทํางานในดานตางๆ ผูใชบริการตองรูจักภัยจากอินเทอร์เนต็ และเรียนรูว ธิ กี ารปอู งกนั ภยั ใหเ หมาะสม 1. ภัยจากอินเทอร์เน็ต ภัยจากอินเทอร์เน็ตท่ีพบในปัจจุบัน นอกจากไวรัสคอมพิวเตอร์แลว ยังมีโปรแกรมอันตรายประเภทอ่ืนๆ เชน สปายแวร์ (spyware) แอดแวร์ (adware) และสแปมเมล์ (spam mail)ซ่ึงสามารถแบงตามลักษณะการทํางานไดดังนี้ (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร,2551, หนา 25 ; กองบรรณาธิการ, 2553, หนา 464-465) 1.1 ไวรัสและโปรแกรมอันตราย 1.1.1 boot sector/master boot record ไวรัสประเภทน้ีจะฝังตัวไวท่ีบูตเซกเตอรข์ องฮารด์ ดสิ ก์ หรือ เรียกวา master boot record (MBR) ทุกๆครั้งที่บูตเครื่องข้ึนมา เม่ือมีการเรียกระบบปฏิบตั ิการ โปรแกรมไวรสั จะทํางานกอนและเขาไปฝังตัวอยูในไฟลโ์ ปรแกรม 1.1.2 ไวรัสท่ีติดไฟล์โปรแกรม จะฝังตัวอยูในไฟล์โปรแกรม ซ่ึงปกติจะเป็นไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น .com หรือ .exe และไวรัสบางตัวสามารถเขาไปอยูในโปรแกรมท่ีมีนามสกุลเป็น .sysไดด ว ย จะทาํ งานเมอ่ื โปรแกรมถกู เรยี กใชพ รอมฝงั ตัวในไฟลโ์ ปรแกรมอ่ืนๆ เพอื่ ระบาดตอ ไป 1.1.3 macro viruses จะติดกับไฟล์เอกสารซึ่งใชเป็นตนแบบ ทุกๆเอกสารที่เปิดข้นึ ใชด ว ยตนแบบอนั นัน้ จะเกดิ ความเสยี หายขึน้ 1.1.4 trojan horse เป็นโปรแกรมท่ีถูกเขียนขึ้นมาใหทําตัวเหมือนวาเป็นโปรแกรมธรรมดา ทั่วๆไป เพอื่ หลอกลอผูใชใหทําการเรียกข้ึนมาทํางาน แตเมื่อถูกเรียกขึ้นมาก็จะเร่ิมทําลายไฟล์และโปรแกรมทนั ที 84 1.1.5 worm หรือ ตวั หนอน ตางจากไวรัสชนิดอนื่ คอื สามารถแพรกระจายตัวเองไดโดยไมตองฝังตัวในโปรแกรมหรอื ไฟล์ใดๆ และมผี ลกระทบตอ ระบบมากท่ีสดุ 1.1.6 exploit เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาใหสามารถเจาะระบบ โดยอาศัยชองโหวของระบบปฏิบัติการเพื่อใหไวรัสสามารถครอบครอง ควบคุม หรือกระทําการอยางหน่ึงอยางใดบนระบบได 1.2 สปายแวรแ์ ละแอดแวร์ 1.2.1 สปายแวร์ (spyware) เป็นโปรแกรมดักขอมูลเมื่อผูใชติดต้ัง โปรแกรมเหลาน้ีจะสรา งความราํ คาญหรือขโมยขอมูลสําคัญ เชน รหัสผาน หมายเลขบัตรเครดิต หรือขึ้นป็อปอัพ เพ่ิมทูลบารค์ นหาบนหนาบราวเซอร์ ตลอดจนเปิดหนาเว็บที่ไมพึงประสงค์ข้ึนมาเอง หรือมีผลขางเคียงกับการทาํ งานของ โปรแกรมโดยคาดไมถึง เชนไมสามารถใชคีย์ภาษาไทยในชองรับขอมูลของแบบฟอร์มบนเวบ็ ได 1.2.2 แอดแวร์ (adware) เป็นโปรแกรมโฆษณาที่ถูกติดต้ังขึ้น เมื่อผูใชเขาไปเยี่ยมชมหรอื ดาว์นโหลดโปรแกรมฟรีตางๆ เชน เกม วอลล์เปเปอร์ หรือคลิปวิดีโอจากเว็บไซต์ที่มีโฆษณานี้อยแู อดแวรจ์ ะกอ กวนโดยแสดงปูายโฆษณาข้นึ มาบอยๆ เพือ่ เชญิ ชวนใหซอ้ื สินคา นอกจากไฟล์ท่ีเป็นปัญหาของสปายแวร์และแอดแวร์ยังรวมถึงไฟล์คุกกี้ (cookies)ท่ีเวบ็ ตา งๆ สง่ั ใหโ ปรแกรมบราวเซอร์เก็บไว เป็นชอ งทางใหผูอ น่ื ตดิ ตามการทองเว็บของผูใชบริการได 1.3 สแปมเมล์ (spam mail) หรอื เมล์ขยะ (junk mail) เป็นการสงอีเมล์ไปยงั ผรู บั โดยไมมีการรอ งขอ โดยสงเป็นจาํ นวนมากนับแสนหรือลานฉบับมีวัตถปุ ระสงคใ์ นการสง ท่ีหลากหลายต้ังแตก ารโฆษณาสนิ คา ลอ ลวง โจมตรี ะบบ ขอมลู ประเภทน้ีจะรบกวนการทาํ งานของอินเทอรเ์ น็ตทาํ ใหเสยี เวลาในการคัดแยกและลบท้ิง กินเนื้อทีใ่ นเมลบ์ อ็ กซ์ และเพิ่มปรมิ าณขอมลู ท่ีไรประโยชน์ 2. วิธกี ารป้องกันภัยจากอนิ เทอรเ์ นต็ วิธีการปอู งกนั ภยั จากอนิ เทอร์เนต็ อาจทาํ ไดโ ดยการตดิ ตั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์รักษาความปลอดภัย การประยกุ ตใ์ ชว ิธกี ารปูองกันใหเหมาะสมมหี ลายวธิ ีดงั นี้ (พนิดา พานิชกุล,2553, หนา 67-69) 2.1 การประเมินความเส่ียง คือ การพิจารณาถึงภัยคุกคามประเภทตางๆ ท่ีอาจเกิดขึ้นกับระบบคอมพิวเตอร์และระบบเครือขายขององค์กร เพ่ือหากทางปูองกันไดอยางถูกตอง และเหมาะสมกบั เวลาและตน ทนุ ทตี่ อ งนํามาจัดการ 2.2 นโยบายความม่ันคงปลอดภัย กําหนดขอบังคับตามความตองการดานความมั่นคงปลอดภัยและการควบคุมขององค์กร พรอมท้ังกําหนดบทลงโทษสําหรับผูละเมิดนโยบาย เชน เพ่ือความปลอดภัยของขอ มูล องคก์ รจาํ เปน็ ตองบลอ็ กอีเมลท์ ่ีแนบไฟล์ .exe 2.3 การใหความรูดานความมั่นคงปลอดภัย เป็นการใหความรู เชน การฝึกอบรมดานความมน่ั คงปลอดภยั เพอ่ื สรา งความตระหนกั แกผ ูใ ชบริการ 2.4 การปอู งกัน ทําไดโดยการติดตั้ง firewall ที่ทําหนาท่ีตรวจสอบขอมูลที่ผานเขาออกระหวางระบบเครือขาย ติดต้ัง antivirus software เพื่อปูองกันการโจมตีจากสปายแวร์ มีการซอมแซมซอฟต์แวร์และเครอื ขายอยเู สมอ ตรวจสอบการสํารองขอมูลอยางสมํ่าเสมอและจัดใหมีการตรวจสอบความมัน่ คงปลอดภัยเป็นระยะ 85 2.5 ระบบการตรวจจับการบุกรุก (intrusion detection system : IDS) คือระบบซอฟต์แวร์ท่ีติดตามการจราจรและพฤติกรรมท่ีนาสงสัยในเครือขาย จะทําการแจงเตือนไปยังผูดูแลระบบทันทีท่ีพบการบุกรุก ในบางกรณีระบบ IDS จะมีการตอบสนองการจราจรท่ีไมพึงประสงค์ เชนสกัดกัน้ การจลาจรดังกลาวไมใหเ ขา ถงึ ผูใชหรอื หมายเลข IP ทแ่ี ทจริงได 2.6 honey pot คือ ระบบหลุมพรางที่ออกแบบมาใหเป็นเหย่ือลอผูโจมตี ใหหันมาโจมตีเครื่อง honey pot แทนที่จะโจมตรี ะบบสําคัญขององคก์ ร เปน็ ระบบท่ีชวยรักษาความปลอดภัยท่ีสามารถตั้งคาของระบบ เชน อาจใชเพ่ือการปูองกันหรือตรวจจับการบุกรุกหรือเพื่อรวบรวมขอมูลการบุกรุก 3. การปูองกันสปายแวร์ ดวยโปรแกรม windows defender ท่ีชวยรักษาความปลอดภัยทางอินเทอรเ์ นต็ ใชต รวจสอบและกาํ จดั สปายแวร์ การทํางานของโปรแกรมมหี นาที่ ดังน้ี 3.1 spyware protection ชวยปูองกันขอมูลและคอมพิวเตอร์โดยมีหลักในการทํางาน คือ คนหาหรือสแกน กําจัดโปรแกรมจําพวกสปายแวร์ และปูองกันกับ real-time โดยเฝูาระวังสิ่งแปลกปลอมทพี่ ยายามบกุ รกุ เขามาในเครื่องคอมพวิ เตอร์ 3.2 scanning and removing spyware ในระหวางการสแกนโปรแกรมจะตั้งคาอันตรายใหกับส่ิงที่ตรวจพบโดยอัตโนมัติวาควรอยูในระดับใด เชน high ตองลบท้ิงทันที mediumปานกลาง หรอื low ไมค อ ยมอี นั ตรายสรปุ อินเทอร์เน็ตเป็นเครือขายท่ีเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเคร่ืองท่ัวโลกใหสามารถติดตอสื่อสารถึงกันได โดยใชโพรโทคอล TCP/IP ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันในการรับสงขอมูล ไมวาจะเป็นการเชื่อมตอผานสายโทรศัพท์ หรือการเชื่อมตอแบบไรสาย คอมพิวเตอร์ทุกเคร่ืองท่ีอยูในเครือขายอินเทอร์เน็ตตองมีหมายเลขไอพีแอดเดรสท่ีไมซ้ํากัน สามารถบงบอกถึงรหัสเครือขายของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ใหสามารถเชื่อมโยงถึงกันไดในระบบเครือขาย ท่ีตองการความรวดเร็วมีการใชบรกิ ารอินเทอร์เน็ตความเร็วสงู หรือเรยี กวา การรบั สงขอมูลแบบบรอดแบรน์ท่ีมีบทบาทสําคัญตอการรับสงขอมูลขาวสาร การดําเนินงานในดานตางๆ โดยเฉพาะกิจกรรมในชีวิตประจําวันที่ตองมีสวนเก่ยี วขอ งกบั อนิ เทอร์เน็ตมากขึ้นอยางหลีกเลย่ี งไมไ ด ในหลายประเทศรวมท้ังประเทศไทยไดพยายามสงเสริมใหประชาชนเรียนรูและใชงานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเป็นชองทางท่ีชวยเพิ่มโอกาสในการเรยี นรู และเป็นการเปิดหนาตา งไปสคู วามรูรวมทั้งวิทยาการใหมๆ จากทั่วทุกมุมโลกดังน้ันอินเทอร์เน็ตจึงเป็นเรื่องสําคัญที่ควรศึกษาเรียนรู เพื่อใหสามารถใชงานและปูองกันภัยจากอินเทอร์เนต็ ไดอยางถูกตองและเปน็ ประโยชน์อยางแทจรงิ 86 คาถามทบทวน 1. จงอธิบายความหมายและความสําคญั ของอนิ เทอร์เน็ต 2. จงอธบิ ายวิวัฒนาการของอินเทอรเ์ นต็ พรอมยกตัวอยางการใหบ รกิ ารในแตล ะยคุ 3. จงอธบิ ายหลกั การทาํ งานพ้นื ฐานของโพรโทคอล TCP/IP 4. จงอธบิ ายความแตกตา งระหวาง IPv6 และ IPv4 5. จงยกตวั อยา งผูใหบ ริการ ISP (internet service provider) 1 ราย พรอมอธบิ ายเหตุผลในการเลอื ก 6. การเช่ือมตอคอมพิวเตอร์แบบมีสายมกี ่ีประเภท แตละประเภทมีขอแตกตางกนั อยางไร 7. จงอธิบายองค์ประกอบและขอ ดีของการเชื่อมตออนิ เทอรเ์ น็ตผานระบบโทรศัพท์ ADSL 8. จงยกตวั อยา งบริการอินเทอรเ์ น็ตความเร็วสงู ที่นักศึกษาเลอื กใชบรกิ าร พรอ มอธบิ ายเหตุผล 9. จงเปรียบเทยี บขอดแี ละขอ จาํ กดั ของโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ทน่ี ักศกึ ษาเคยใชง านอยา งนอย 3 โปรแกรม 10. ใหนกั ศกึ ษายกตัวอยา งภัยจากอนิ เทอร์เนต็ ทเ่ี คยพบและมีวธิ ีการปูองกันอยา งไร บทท่ี 5 เครือขา่ ยสังคมออนไลน์ อาจารยท์ พิ วัลย์ ขันธมะ ในยุคท่ีการใชเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว วิวัฒนาการการส่ือสารไดเปลี่ยนแปลงไปตามรูปแบบของการใชเทคโนโลยี สมัยกอนเริ่มจากการใชโทรเลข โทรศัพท์พื้นฐานโทรศัพท์เคล่ือนที่ คอมพิวเตอร์ จนมาถึงชองทางการส่ือสารผานอินเทอร์เน็ต การนําส่ือเทคโนโลยีสมัยใหมท่ีเรียกวา เครือขายอินเทอร์เน็ต มาประยุกต์ใชใหตรงกับความตองการของมนุษย์เริ่มมีบทบาทและมีอิทธิพลสัมพันธ์กับชีวิตประจําวันของมนุษย์ในปัจจุบัน ไมวาจะเป็นการใช Facebook,Twitter, Wikipedia, YouTube และ Blog เป็นตน ลวนแตเป็นเว็บเครือขายสังคมออนไลน์ท่ีผูใชใหความสนใจและใชเพ่ือเป็นจุดศูนย์รวมของการแสดงความเป็นตัวตน หรือความชอบในเรื่องใดเรื่องหน่ึงก็ตาม จะเห็นวาการสื่อสารและการเขาถึงขอมูลนั้นทําไดรวดเร็วและทันเหตุการณ์สืบเน่ืองจากการใชเว็บท่ีเป็นเครือขายสังคมออนไลน์ในบริบทตางๆ ท้ังดานส่ือสารมวลชน การศึกษา การเมืองการตลาด บนั เทงิ ศาสนาและศลิ ปะวฒั นธรรม เป็นตน ลว นแตม ีการสงสารและเผยแพรขอมูลผานส่ือที่เรียกวาเครือขายสังคมออนไลน์ โดยอาศัยอุปกรณ์ที่ชวยในการเขาถึงอยางโทรศัพท์เคลื่อนที่คอมพิวเตอร์แบบตางๆ เพ่ือชวยอํานวยความสะดวกรวดเร็ว และงายตอการใชเครือขายสังคมออนไลน์ ดังน้ันเครือขายสังคมออนไลน์จึงเป็นชองทางการส่ือสารท่ีเติบโตขึ้นควบคูไปกับความกาวหนาทางเทคโนโลยีเครือขายและการสื่อสาร เพ่ือใหบริการผานเว็บไซต์ที่เป็นจุดเช่ือมโยงระหวางบุคคลที่มีเครือขายสังคมออนไลน์ของตนเองผานเครือขาย รวมทั้งเชื่อมโยงบริการตางๆ ใหตรงกบั ความตองการของผูใชแนวคดิ เกย่ี วกับเครอื ข่ายสังคมออนไลน์ 1. ความหมายของเครือขา่ ยสังคมออนไลน์ เครือขายสังคมออนไลน์ (Social Network) ไดมีนักวิชาการหลายทานใหความหมายไวดังน้ี ณัฐพร มักอุดมลาภ (2554) ใหความหมาย Social Network หรือสังคมออนไลน์คือรูปแบบของสังคมบนโลกอินเทอร์เน็ต ท่ีผูเลนอินเทอร์เน็ตจะแบงปันความสนใจ หรือเรื่องราวตางๆเขาดวยกัน และเช่ือมโยงไปในทิศทางเดียวกัน โดยสวนใหญจะใชเว็บไซต์เป็นชองทางในการติดตอส่ือสาร ซ่งึ มที งั้ การสง อเี มลหรือขอความหากัน ราชบัณฑิตยสถาน (2554) ไดบญั ญัติคําวา “Social Network” ใชคําไทยวา “เครือขายสังคมออนไลน์” หมายถึงกลุมบุคคลผูติดตอสื่อสารกันโดยผานสื่อสังคม ซึ่งนอกจากจะสงขาวสารขอมลู แลกเปล่ยี นกันแลว ยงั อาจจะรว มกนั ทํากิจกรรมทสี่ นใจดว ยกนั 88 วิลาส ฉํ่าเลิศวัฒน์ (2554) กลาววา “Social Network” คือ สังคมออนไลน์ หรือกลุมของผูคนที่แชร์ส่ิงที่สนใจรวมกันโดยใชเคร่ืองมือท่ีเรียกวา Social Network Site หรือ SocialNetwork Service (SNS) เชน Hi5, MySpace, Facebook และ Twitter เปน็ ตน วิกิพีเดียสารานุกรมไทย (2555) ใหความหมาย บริการเครือขายสังคมออนไลน์ (socialnetwork service) เป็นรูปแบบของเว็บไซต์ในการสรางเครือขายสังคมออนไลน์ สําหรับผูใชงานในอินเทอร์เน็ต เขียนและอธบิ ายความสนใจและกิจการทไ่ี ดท าํ และเช่ือมโยงกับความสนใจและกิจกรรมของผูอื่น ในบริการเครือขายสังคมออนไลน์จะประกอบไปดวย การแชต สงขอความ สงอีเมลวดิ โี อ เพลง อปั โหลดรูป บลอ็ ก รูปแบบการทํางานคอื คอมพิวเตอรเ์ กบ็ ขอ มูลพวกน้ไี วในรูปฐานขอมูลSQL สว นวิดโี อ หรอื รูปภาพ อาจเก็บเป็นไฟลก์ ไ็ ด กลาวไดวา เครือข่ายสังคมออนไลน์ หมายถึง สังคมออนไลน์ที่มีการเช่ือมโยงกันเพ่ือสรางเครือขายในการตอบสนองความตองการทางสังคมท่ีมุงเนนในการสรางและสะทอนใหเห็นถึงเครือขาย หรือความสัมพันธ์ทางสังคม ในกลุมคนที่มีความสนใจหรือมีกิจกรรมรวมกัน บริการเครือขายสังคมออนไลน์จะใหบริการผานหนาเว็บ และใหมีการตอบโตกันระหวางผูใชงานผานอนิ เทอร์เนต็ องคป์ ระกอบของเครอื ขายสังคมออนไลน์ (ธนพฤกษ์ ชามะรัตน์, 2551) มีดงั น้ี 1.1 การมีสมาชกิ ของเครอื ขาย 1.2 การมีจดุ มุง หมายรว มกัน 1.3 การปฏบิ ัตหิ นา ทข่ี องสมาชกิ ในเครือขา ย 1.4 การสอ่ื สารภายในเครือขา ย 1.5 การมปี ฏสิ ัมพันธ์เชิงแลกเปลีย่ น 1.6 การใหบริการสมาชิกเครือขายสังคมออนไลน์ในรูปแบบตางๆ 2. ความเป็นมาของเครอื ขา่ ยสงั คมออนไลน์ การเกิดขึ้นและเติบโตของเครือขายสังคมออนไลน์นี้มาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจากเว็บ 1.0 (เว็บเน้ือหา) มาสูเว็บ 2.0 (เว็บเชิงสังคม) ซึ่งจุดเดนของเว็บ 2.0 คือ การท่ีผใู ชสามารถสรา งเนื้อหาบนอินเทอรเ์ น็ตไดเอง โดยไมจาํ กดั วาจะตองเปน็ ทมี งานหรือผดู ูแลเว็บไซต์ ซ่ึงเรียกวา User Generate Content ขอดีของการที่ผูใชเขามาสรางเน้ือหาไดเอง ทําใหมีการผลิตเนื้อหาเขามาเป็นจํานวนมาก และมีความหลากหลายของมุมมองความคิด เพราะจากเดิมผูดูแลจะเป็นคนคิดและหาเนื้อหามาลงแตเพียงกลุมเดียว นอกจากนี้ผูใชยังเป็นผูกําหนดคุณภาพของเนื้อหาโดยการใหคะแนนวาเน้ือหาใดที่ควรอานหรือเขาไปเรียนรูไดเอง โดยเว็บ 2.0 จะเนนที่ชุมชนใหผูใชไดอานและเขียน สามารถแบงปันเน้ือหากันได (วิลาส ฉ่ําเลิศวัฒน์, 2554 และ เศรษฐพงศ์มะลิสุวรรณ, 2553) เว็บ 2.0 ยุคแหงการสื่อสารสองทาง จึงเป็นส่ือหลักที่นํามาซึ่งความเปลี่ยนแปลงจนเกิดการปฏิวัติรูปแบบเทคโนโลยีสูเว็บเซอร์วิสหลายอยาง จากไอซีคิวและเพิร์ชในยุคเริ่มแรก ตามมาดวยเอ็มเอสเอ็น ไฮไฟฟ มายสเปซ มัลติพายจนมาถึงเฟซบ฿ุก ตามการพัฒนาของเว็บ 2.0 การสื่อสารแบบสองทางจึงเป็นที่มาใหเกิดการพัฒนาเครือขายสังคมออนไลน์ เพ่ือเป็นชองทางในการเขาถึงตามความตองการของผูใชที่มีรวมกัน จะเห็นไดจากปรากฏการณ์ของเครือขายสังคมออนไลน์เกิด 89ขนึ้ มาจากดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) ของอินเทอร์เน็ต ซึ่งแสดงใหเห็นวาผูใชมีพฤติกรรมการใชง าน ดังนี้ (กองบรรณาธกิ าร, 2554) 2.1 การติดตอ สอ่ื สาร (Connecting) รูปแบบการติดตอส่ือสารทีเ่ ปลย่ี นไป 2.2 การแสดงตัวตน (Self Expression) การแสดงตวั ตนในสังคมออนไลน์ 2.3 การหาความรู (Knowledge) การสืบคน หาขอ มลู ความรูตางๆ 2.4 ความบันเทิง (Entertainment) การเปดิ รบั ความบันเทิงผานดิจิทัล 2.5 รูปภาพ (Photo) การแบง ปนั รปู ภาพใหเพ่ือนดู ความสําเร็จของเครือขายสังคมออนไลน์ไดพัฒนาเรื่อยมาจากตางประเทศจนเร่ิมเขาสูในประเทศไทยตามยุคสมัยของเว็บผูใหบริการเครือขายสังคม ตามความนิยม และรูปแบบในการใชงานกลาวคือ เครือขายสังคมออนไลน์มีพัฒนาการควบคูมาพรอมกับเทคโนโลยีการส่ือสารต้ังแตชวงเว็บ2.0 ท่ีเป็นรูปแบบการสื่อสารแบบสองทางนั่นเอง จะเห็นไดวามนุษย์เป็นสัตว์สังคมจึงตองการสรางปฏิสัมพนั ธ์และมกี ารแลกเปลี่ยนแบง ปันขอ มูลในเรอ่ื งทส่ี นใจซ่ึงกนั และกันตารางที่ 5.1 พฒั นาการสําคัญของเครอื ขายสงั คมออนไลน์ ปี พฒั นาการสาคัญของเครอื ข่ายสังคมออนไลน์พ.ศ. 2514พ.ศ. 2521 อีเมลฉบบั แรกของโลกถูกสงจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปอีกเคร่ืองหนึ่งที่อยูถัดไปทางดานขวา พรอมขอ ความ “QWERTYUIOP”พ.ศ. 2537พ.ศ. 2538 เกิดระบบกระดานขาว (Bulletin Board System-BBS) ขึ้นเป็นคร้ังแรก โดยมีพ.ศ. 2539 จุดประสงค์เพื่อแลกเปล่ียนขาวสาร และแฟูมขอ มูลระหวา งสมาชกิ ดว ยกนั ในประเทศไทยพ.ศ. 2540 เรียก BBS วา เว็บบอร์ดพ.ศ. 2542 Geocities (Geocities.com) เปน็ เวบ็ เครือขายสังคมออนไลนแ์ รกๆ ของโลกถือกําเนิดข้ึน โดยผใู ชสามารถสรางเว็บของตวั เองบนพ้นื ท่ีของ Geocities เกิด theGlobe.com เว็บเครือขายสังคมออนไลน์ท่ีสรางโดยนักเรียนจากคอร์เนล ซ่ึงให ผูใ ชส ามารถจดั การขอ มูลสวนบคุ คลของตนเองได เกิด ICQ โปรแกรมสนทนา เปดิ ตวั AOL Instant Messenger โปรแกรมสง ขอความเหมือน MSN และยงั คงไดรบั ความนิยมมาถงึ ในปัจจุบัน เปิดตัว Sixdegrees.com พรอมท้ังใหผูใชส ามารถสรางและปรบั แตงโปรไฟลแ์ ละรายช่ือ เพ่อื นได เปดิ ตัว LiveJournal (livejournal.com) บล็อกทมี่ ผี มู นี ยิ มใช เปิดตวั เครือขายสังคมออนไลน์ทีจ่ ับกลมุ เชื้อสายเอเชยี -อเมริกันอยา ง AsianAve หรอื Asian Avenue (asianave.com) เปิดตัว BlackPlanet (blackplanet.com) เปน็ ชมุ ชนทจี่ บั กลุมคนผิวสี เปิดตัว epinions.com เพ่ือใหผูใชส ามารถควบคมุ เน้ือหาและติดตอ ถงึ กันได เปิดตัว QQ Instant Messenger จากประเทศจนี เป็นคร้ังแรก 90 ปี พฒั นาการสาคญั ของเครอื ข่ายสังคมออนไลน์พ.ศ. 2543 LunarStorm (lunarstorm.se) จากสวีเดนท่จี ับกลมุ วยั รนุ เป็นเปูาหมายลอนซ์เว็บพ.ศ. 2544 MiGente (migente.com) ของอเมริกาทีจ่ ับกลมุ คนสเปนและโปรตุเกสพ.ศ. 2545 ในชว งปลายปี พ.ศ. 2543 คาบเกี่ยวปี พ.ศ. 2544 ตน แบบ Social Network อยา งพ.ศ. 2546 Sixdegrees ปดิ ตวั เอง ไดทิง้ แนวคิดเกีย่ วกบั Social Network ใหผูตามอยา ง Facebook, Friendster และ Linkedin เติบโตและทํารายไดมาจนถึงทกุ วนั นี้พ.ศ. 2547พ.ศ. 2548 เปิดตวั Wikipedia เว็บสารานุกรมเนื้อหาเสรี เปิดตัว BitTorrentพ.ศ. 2549พ.ศ. 2551 ลอนซ์ Friendster (Friendster.com) เปน็ ตนตํารับเครอื ขายสงั คมออนไลน์พ.ศ. 2553 Fotolog (fotolog.com) หน่งึ ในเว็บแชร์ภาพที่เกาแกและใหญท่ีสุดเปิดตวั ข้ึนพ.ศ. 2554 เปิดตัว Myspace (myspace.com) และนบั เปน็ เวบ็ ไซตท์ ่ีนาํ การตลาดมาจับอยา งเต็มตัว ซึง่ ปัจจุบนั กย็ ังเปน็ เว็บที่มีผใู ชง านอยู เปิดเว็บศนู ยก์ ลางระหวางนักทอ งเทย่ี วท่ตี อ งการท่ีพกั กับผูท่ีพรอมใหท ่ีพักอยาง CouchSurfing (couchsurfing.com) เปิดตวั tribe.net, Xing (xing.com), Linkedin (linkedin.com), classmates.com, jaiku (jaiku.com), last.fm, Hi5 (hi5.com), Second Life QQ ถกู ขายใหกับ Tencent ผูใหบ รกิ ารอนิ เทอรเ์ น็ตอันดบั หน่ึงของจนี เปิดตัว Pantip (pantip.com) เว็บของไทย เปิดตวั Mutiply (multiply.com), Flickr (flickr.com), Mixi (mixi.com), Digg (digg.com), World of Warcraf เปดิ ตวั Facebook เพื่อใหนักศกึ ษาในมหาวทิ ยาลัยตดิ ตอกัน เรม่ิ ทมี่ หาวทิ ยาลยั ฮารว์ าร์ด เปิดตัวเวบ็ วดิ โี อแชริง่ อันดบั หนึ่งอยาง YouTube เปดิ ตวั Ning, Skype Facebook เรม่ิ ขยายเครอื ขา ยสูเดก็ มธั ยมปลายหลงั ประสบความสําเร็จกบั กลุม นักศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั เปิดตัว Twitter Facebook ขยายสูบุคคลทวั่ ไปอยา งเตม็ รปู แบบ Microsoft จับกระแสเครือขายสังคมออนไลน์ดว ยการเปิดตัว Windows Live Spaces Facebook ตดิ อนั ดบั หน่ึงของเครอื ขา ยสังคมออนไลน์ มีการสรางภาพยนตร์ The Social Network ท่ีเลาเร่ืองของ Facebook และไดรับผล ตอบรับเป็นอยางดีจากผูชม สงผลใหเกิดความพยายามในการสรางหนังจากเร่ืองของ Google ตามมา Facebook มีผูใ ชเ พม่ิ ขึน้ ระดับ 800 ลา นคนในปลายปี เปดิ ตวั Google+ เป็นครง้ั แรก ทม่ี า (กองบรรณาธิการ, 2544, หนา 41-44) 91ประเภทของเครอื ข่ายสังคมออนไลน์ เครือขายสงั คมออนไลนท์ ่ีใหบ รกิ ารตามเว็บไซต์สามารถแบง ขอบเขตตามการใชง านโดยดูท่ีวตั ถุประสงคห์ ลักของการเขา ใชงาน และคุณลกั ษณะของเวบ็ ไซต์ที่มรี ว มกัน กลา วคือ วตั ถุประสงค์ของการเขา ใชง านมเี ปูาหมายในการใชง านไปในทางเดยี วกันมีการแบงประเภทของเครอื ขายสงั คมออนไลน์ออกตามวัตถปุ ระสงคข์ องการเขาใชงาน ได 7 ประเภท (ภเิ ษก ชยั นิรนั ดร์, 2553 และเศรษฐพงศ์ มะลิสวุ รรณ, 2553) ดงั น้ี 1. สร้างและประกาศตัวตน (Identity Network) เครอื ขายสงั คมออนไลน์ประเภทนใ้ี ชสาํ หรับใหผเู ขา ใชงานไดมพี ืน้ ที่ในการสรางตวั ตนข้นึ มาบนเวบ็ ไซต์ และสามารถท่จี ะเผยแพรเรื่องราวของตนผานทางอนิ เทอรเ์ น็ต โดยลักษณะของการเผยแพรอาจจะเปน็ รปู ภาพ วดิ ีโอ การเขียนขอความลงในบลอ็ ก อีกท้ังยงั เปน็ เว็บทีเ่ นน การหาเพ่อื นใหม หรือการคนหาเพอื่ นเกาทข่ี าดการติดตอ การสรา งประวัตขิ องตนเอง โดยการใสรูปภาพและกราฟิกท่ีแสดงถึงความเป็นตวั ตนของเราใหเ พื่อนท่ีอยใู นเครอื ขายไดร ูจักเรามากย่ิงขึ้น และยงั มีลักษณะของการแลกเปลีย่ นเรื่องราว ถายทอดประสบการณ์ตางๆ รวมกนั ซ่งึ ในสังคมประเภทนี้สามารถทีจ่ ะสรางกลมุ เพื่อนข้ึนมาไดอยางไมม ีท่ีสิ้นสดุ ซึ่งผใู หบรกิ ารเครือขายสงั คมออนไลนป์ ระเภทนไี้ ดแก Facebook, Google+, Friendster, MySpace และ Hi5 เปน็ ตน สว นการสรา งและประกาศตวั ตนผานการเขยี นบทความ (Weblog) มลี ักษณะเป็นระบบจัดการเน้ือหา (Content Management System: CMS) ใหผใู ชสามารถสรางบทความท่เี รยี กวาโพสต์ (Post) และทาํ การเผยแพรบทความของตนเองผานเว็บผูใหบรกิ าร เปน็ การเปดิ โอกาสใหคนที่มีความสามารถในดานตา งๆ สามารถเผยแพรค วามรคู วามสามารถของตนเองดว ยการเขียนบทความไดอยา งเสรี ซ่ึงอาจจะถกู นาํ มาใชไ ดใ น 2 รูปแบบ ไดแก 1.1 Blog บล็อก เป็นชอ่ื เรียกสัน้ ๆ ของ Weblog ซง่ึ มาจากคาํ วา “Web” รวมกบั คําวา “Log”ที่เปน็ เสมอื นบนั ทึกหรือรายละเอียดขอมลู ทเ่ี ก็บไว ดงั นั้นบล็อกจงึ เปน็ โปรแกรมประยุกต์บนเวบ็ ที่ใชเกบ็ บนั ทึกเร่ืองราว หรอื เน้ือหาที่เขยี นไวโดยเจาของเขียนแสดงความรูสกึ นกึ คดิ ตา งๆ โดยท่ัวไปจะมผี ูทีท่ าํ หนา ทีห่ ลักทีเ่ รียกวา “Blogger” เขียนบันทึกหรือเลา เหตุการณท์ ี่อยากใหคนอานไดรบั รู หรอืเปน็ การเสนอมุมมองและแนวความคดิ ของตนเองใสเขาไปในบลอ็ กน้ัน ลักษณะเดน ของบล็อกคือ จะมีการอัพเดทเนื้อหาเปน็ ประจาํ ทั้งนจ้ี ะมีกลุมเปาู หมายทสี่ นใจในเน้ือหาเหลาน้ันโดยเฉพาะ บทความท่ีเขียนข้นึ ใหมมีการจดั เรียงลําดับกอ นหลังตามวนั เวลาที่ผูเขียนบลอ็ กโพสต์ลงไป สว นบลอ็ กทเ่ี ปน็ ที่นยิ มใชก นั เชน Bloggang, Exteen, Blogspot และ Blogger เป็นตน 1.2 ไมโครบล็อก (Micro Blog) เครอื ขายสงั คมออนไลน์ประเภทนีม้ ลี ักษณะเดน โดยการใหผูใชโ พสต์ขอ ความจํานวนสนั้ ๆ ผา นเว็บผูใหบ รกิ าร และสามารถกําหนดใหส ง ขอความน้ันๆ ไปยงั โทรศัพท์เคลอื่ นท่ีได เชนTwitter 92 2. สรา้ งและประกาศผลงาน (Creative Network) เครอื ขายสงั คมออนไลน์ประเภทนี้ เปน็ สงั คมสาํ หรับผูใ ชท ี่ตองการแสดงออกและนําเสนอผลงานของตวั เอง สามารถแสดงผลงานไดจ ากท่วั ทุกมุมโลก จึงมีเวบ็ ไซตท์ ่ีใหบริการพ้ืนท่ีเสมือนเป็นแกลเลอรี่ (Gallery) ท่ีใชจดั โชวผ์ ลงานของตัวเองไมว า จะเปน็ วิดโี อ รูปภาพ เพลง อีกทั้งยงัมจี ุดประสงค์หลักเพ่ือแชรเ์ น้ือหาระหวางผูใชเว็บทใ่ี ชฝากหรือแบงปนั โดยใชวิธีเดยี วกันแบบเว็บฝากภาพ แตเ วบ็ น้เี นน เฉพาะไฟล์ทเี่ ปน็ มัลตมิ ีเดีย ซึ่งผใู หบ ริการเครือขา ยสังคมออนไลน์ประเภทนี้ ไดแ กYouTube, Flickr, Multiply, Photobucket และ Slideshare เป็นตน 3. ความชอบในส่ิงเดียวกัน (Passion Network) เปน็ เครอื ขายสังคมออนไลน์ท่ีทําหนา ท่ีเก็บในสง่ิ ทชี่ อบไวบ นเครอื ขาย เปน็ การสราง ท่ีคัน่ หนงั สอื ออนไลน์ (Online Bookmarking) มแี นวคิดเพื่อใหผ ูใชส ามารถเกบ็ หนาเว็บเพจทค่ี ั่นไวใ นเคร่ืองคนเดียวก็นํามาเกบ็ ไวบ นเวบ็ ไซต์ได เพือ่ ที่จะไดเปน็ การแบงปนั ใหกับคนท่ีมีความชอบในเรื่องเดยี วกัน สามารถใชเปน็ แหลงอางองิ ในการเขาไปหาขอมูลได และนอกจากนยี้ ังสามารถโหวตเพอ่ื ใหคะแนนกับที่ค่ันหนังสือออนไลนท์ ี่ผูใ ชค ดิ วามปี ระโยชน์และเป็นท่ีนิยม ซ่ึงผใู หบรกิ ารเครือขา ยสงั คมออนไลนป์ ระเภทนี้ ไดแก Digg, Zickr, Ning, del.icio.us, Catchh และ Reddit เปน็ ตน 4. เวทีทางานร่วมกัน (Collaboration Network) เปน็ เครือขายสงั คมออนไลน์ทต่ี อ งการความคดิ ความรู และการตอยอดจากผูใชท ี่เป็นผูมีความรู เพ่ือใหความรูท่ไี ดออกมามีการปรับปรุงอยางตอเน่ืองและเกิดการพฒั นาในท่ีสดุ ซ่ึงหากลองมองจากแรงจงู ใจทีเ่ กิดขน้ึ แลว คนท่ีเขา มาในสังคมนี้มกั จะเป็นคนทม่ี ีความภูมิใจท่ีไดเผยแพรสงิ่ ท่ีตนเองรู และทาํ ใหเ กดิ ประโยชน์ตอ สงั คม เพอ่ื รวบรวมขอมูลความรใู นเร่ืองตางๆ ในลักษณะเน้ือหาท้ังวิชาการ ภูมิศาสตร์ประวตั ิศาสตร์ สินคา หรอื บริการ โดยสว นใหญมักเปน็ นักวิชาการหรือผเู ชีย่ วชาญ ผูใหบริการเครือขายสังคมออนไลน์ในลักษณะเวทที ํางานรว มกัน เชน Wikipedia,Google earth และ Google Maps เปน็ ตน 5. ประสบการณเ์ สมือนจริง (Virtual Reality) เครอื ขา ยสังคมออนไลน์ประเภทนมี้ ีลกั ษณะเป็นเกมออนไลน์ (Online games) ซงึ่ เป็นเวบ็ ท่ีนิยมมากเพราะเป็นแหลงรวบรวมเกมไวม ากมาย มลี ักษณะเปน็ วดิ โี อเกมท่ผี ูใ ชส ามารถเลนบนเครอื ขายอนิ เทอรเ์ นต็ เกมออนไลนน์ ้ีมีลกั ษณะเป็นเกม 3 มิตทิ ่ีผใู ชนาํ เสนอตวั ตนตามบทบาทในเกมผเู ลน สามารถติดตอ ปฏิสมั พนั ธก์ ับผูเลน คนอน่ื ๆ ไดเสมอื นอยใู นโลกแหงความเป็นจริง สรางความรสู กึสนกุ เหมือนไดมสี ังคมของผูเ ลนทชี่ อบในแบบเดยี วกัน อีกทั้งยังมีกราฟกิ ทสี่ วยงามดงึ ดดู ความสนใจและมกี จิ กรรมตา งๆ ใหผ เู ลน รสู ึกบันเทงิ เชน Second Life, Audition, Ragnarok, Pangya และWorld of Warcraft เปน็ ตน 6. เครอื ขา่ ยเพ่ือการประกอบอาชีพ (Professional Network) เป็นเครือขา ยสังคมออนไลน์เพอ่ื การงาน โดยจะเปน็ การนําประโยชน์จากเครือขา ยสังคมออนไลน์มาใชในการเผยแพรป ระวตั ผิ ลงานของตนเอง และสรางเครือขายเขากบั ผูอน่ื นอกจากน้ีบริษทั ทต่ี องการคนมารว มงาน สามารถเขามาหาจากประวัติของผใู ชท ่ีอยใู นเครอื ขา ยสังคมออนไลนน์ ้ีได ผูใ หบ รกิ ารเครือขายสังคมออนไลน์ประเภทน้ี ไดแก Linkedin เป็นตน 93 7. เครือขา่ ยทเ่ี ชื่อมต่อกนั ระหว่างผูใ้ ช้ (Peer to Peer : P2P) เปน็ เครือขา ยสังคมออนไลนแ์ หงการเช่ือมตอกนั ระหวางเครื่องผใู ชด วยกันเองโดยตรง จึงทาํ ใหเ กดิ การสอ่ื สารหรือแบง ปนั ขอมูลตางๆ ไดอยา งรวดเร็ว และตรงถึงผใู ชท ันที ซ่ึงผใู หบรกิ ารเครือขายสงั คมออนไลน์ประเภทนี้ ไดแก Skype และ BitTorrent เปน็ ตนผู้ให้และผู้ใชบ้ ริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ 1. กลุม่ ผู้ใหบ้ รกิ ารเครอื ข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network Service : SNS) ผูใหบริการเครือขายสังคมออนไลน์ท้ังในประเทศและตางประเทศมีจํานวนมากและมีลักษณะการใหบริการที่แตกตางกัน ในหนังสือเลมนี้รวบรวมเฉพาะบางเว็บไซต์เพื่อเป็นตัวอยาง โดยแบง ตามประเภทของเครอื ขา ยสังคมออนไลนท์ ี่กลาวมาแลว ขางตน ดังน้ี 1.1 สรางและประกาศตวั ตน (Identity Network) 1.1.1 Facebook เฟซบุ฿ก เป็นบริการเครือขายสังคมออนไลน์ เปิดใหบริการเม่ือ 4 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2547 เจาของคือ Facebook, Inc. ผูกอตั้งคือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)ปจั จบุ ันเปน็ ทนี่ ิยมและมีจาํ นวนผูใ ชเพิ่มขนึ้ อยา งรวดเร็ว เฟซบุ฿กมบี รกิ ารเพ่ือใหผูใชสรางขอมูลสวนตัวเพ่ิมเพื่อนจากบัญชีรายชื่อผูใชอื่น สงขอความ อัปโหลดภาพ และไฟล์วิดีโอตางๆ และมีการสรางเพจเฟซบ฿ุกของผูใชเพื่อใหบริการขอมูลขาวสารท้ังภาครัฐและเอกชน นอกจากนั้นผูใชยังสามารถเขารวมกลุมตามความสนใจสวนตัว จัดกลุมตามสถานท่ีทํางาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือความสนใจอื่นรว มกบั เพือ่ นในบญั ชผี ใู ชอ ่ืนๆ ได ภาพที่ 5.1 เฟซบุก฿ ของ ดร.ไพฑูรย์ สีฟาู ท่มี า (ไพฑรู ย์ สฟี ูา, 2555) 1.1.2 Twitter ทวิตเตอร์ เป็นบริการเครือขายสังคมออนไลน์ประเภทไมโครบล็อก จัดเป็นบล็อกขนาดเล็ก มีคุณสมบัติคลายกับบล็อกทั่วไป ทวิตเตอร์กอต้ังเม่ือเดือนมีนาคม พ.ศ. 2549 โดยแจ็ก คอร์ซีย์, บิซ สโตน และ อีวาน วิลเลียมส์ เจาของบริษัท Obvious Corp ท่ีซานฟรานซิสโกสหรัฐอเมริกา ทวิตเตอร์กําหนดใหผูใชสามารถสงขอความไดตอครั้งจํานวนไมเกิน 140 ตัวอักษร 94ขอความท่ีโพสต์ไปยังทวิตเตอร์จะแสดงอยูบนเว็บเพจของผูใชคนนั้นบนเว็บไซต์ และผูใชคนอื่นสามารถเลือกรับขอความเหลานี้ทางเว็บไซต์ทวิตเตอร์ อีเมล เอสเอ็มเอส เมสเซนเจอร์ อาร์เอสเอสหรอื ผา นโปรแกรมเฉพาะ เชน Twitterific, Twhirl และ TweetDesk ภาพที่ 5.2 ทวิตเตอรข์ องพงศส์ ขุ หิรญั พฤกษ์ ทม่ี า (พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์, 2555) 1.1.3 Bloggang บล็อกแกง฿ เป็นบริการเครอื ขา ยสังคมออนไลนป์ ระเภทบล็อกของประเทศไทยท่ีเปดิ บลอ็ กเพอ่ื ใหบริการกับผูใช เพื่อใหผูใชนําเสนอเร่ืองราวและเหตุการณ์ตางๆ ของผูใชในรูปแบบของบทความ กราฟิก หรือวิดีโอ และอนุญาตใหผูอื่นท่ีเขามาดูบล็อกน้ันๆ สามารถเขียนความคิดเห็นตางๆ ลงไปได การสมัครเป็นสมาชิกบล็อกแก฿งจะตองสมัครเป็นสมาชิกของเว็บพันทิปกอน เมื่อเป็นสมาชิกของพันทปิ แลว จะไดสทิ ธิ์ในการเปน็ สมาชกิ ของบล็อกแก฿งทันที ภาพที่ 5.3 บลอ็ กสําหรับความงามของ erk-erk ทมี่ า (พีรญา ปอู มอาษา, 2555) 95 1.2 สรางและประกาศผลงาน (Creative Network) 1.2.1 YouTube ยทู ูบ เปน็ เวบ็ ไซต์ประเภทแชร์ไฟลว์ ิดีโอ กอ ตั้งเม่อื 15 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2548โดย แชด เฮอร์ลีย์ สตีฟ เชง และยาวีด คาริม ยูทูบมีบริการเพ่ือใหผูใชงานสามารถอัปโหลดและแลกเปลย่ี นคลปิ วิดีโอผานทางเวบ็ ไซต์ รวมถงึ การสรางรายการโทรทัศน์ มิวสิกวิดีโอ วิดีโอจากสมาชิกงานโฆษณา ผานเว็บยูทูบ ผูใชสามารถอัปโหลดวิดีโอของตนเอง หรือนําไฟล์วิดีโอที่มี การอปั โหลดไวไปใสไวในบล็อกหรือเว็บไซต์ของตนไดผานทางคําสั่งท่ีกําหนดให ยูทูบมีนโนบายไมใหผูใชอัปโหลดคลิปที่มลี ิขสทิ ธ์ิ นอกเสียจากเจาของลิขสิทธิ์ไดอปั โหลดเอง ภาพที่ 5.4 ยทู บู เผยแพรผ ลงานของนองนาํ้ มนต์ ท่ีมา (กมลเพชร พุทธวรคุณ, 2555) 1.2.2 Flickr ฟลิคเกอร์ เป็นบริการเครือขายสังคมประเภทแชร์รูปภาพ มีตนกําเนิดจากประเทศแคนาดา บริษัทลูดิคอร์ป (Ludicorp) เป็นผูพัฒนาโดย Caterina Fake และ StewartButterfield ไดพัฒนาระบบการจัดเก็บขอมูลโดยคํานึงถึงระดับของผูใชงาน เพ่ือใหมีการเช่ือมโยงขอมูลถึงกันทัง้ หมด ตอมาบริษัทยาฮู (Yahoo) ไดซ้ือฟลิคเกอร์พรอมท้ังบริษัทลูดิคอร์ปมาพัฒนาใหมีขนาดใหญและรองรบั สมาชิกของยาฮูเอง ฟลิคเกอร์มีรูปแบบการใหบริการเพอื่ ใหผูใชอัปโหลดรูปภาพเกบ็ และสามารถแบง ปันใหผูอ ืน่ ดไู ด 96 ภาพที่ 5.5 ฟลคิ เกอร์บรกิ ารแบงปันภาพ ทม่ี า (ฟลิคเกอร,์ 2555) 1.3 ความชอบหรอื คลง่ั ไคลในสง่ิ เดยี วกัน (Passion Network) 1.3.1 Ning หนิงเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์สําหรับบุคคลและองค์กรในการสรางเครือขายทางสังคมที่กําหนดเอง เปิดตัวเมอื่ เดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 หนิงไดรวมกอตั้งโดย Marc Andreessenและ Gina Bianchini หนิงเป็นเว็บสําหรับผูที่ชอบอะไรที่เหมือนกัน และสรางชุมชนเพื่อตอบสนองความสนใจและความตองการของกลุม ขอมูลเนื้อหาที่ดีนาสนใจจะทําใหผูใชเขามารวมดวยตนเองและสรา งสงิ่ ที่ดีเพื่อชมุ ชน หนิงมบี ริการใหผ ใู ชสามารถสรางเว็บไซต์ชุมชนมีลักษณะท่ีกําหนดเอง เชนรูปถาย วิดีโอ เว็บบอร์ด บล็อก และการบริการในสวนการสนับสนุน นอกจากนี้ผูใชยังสามารถสรางรายไดโดยใชบริการผานทางพันธมิตรท่ีจัดต้ังขึ้นโดยหนิงและการเพ่ิมการแสดงผลโฆษณา เชนGoogle AdSense ภาพที่ 5.6 หนงิ บรกิ ารสรางชมุ ชนออนไลน์ทช่ี อบเร่ืองเหมือนกนั ทม่ี า (หนงิ , 2555) 97 1.3.2 Digg ดิกก์ เปิดตัวเม่ือเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ผูกอตั้งคือ เควิน โรส เจาของคือ Digg, Inc. ดิกก์เป็นเว็บไซต์ประเภทชุมชนเน้ือหาที่เกี่ยวกับขาวเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เป็นสวนใหญ โดยนําเอาการค่ันหนาเว็บผสมกับบล็อกเพื่อใหมีการเช่ือมโยงเน้ือหาเว็บเขาดวยกัน และมีการกรองเนื้อหาในลักษณะใหผูใชไดรวมลงคะแนนดวยความเทาเทียมกัน เน้ือหาขาวตางๆ และเว็บไซต์จะถูกสงเขามาโดยผูใช จากนั้นจะถูกเล่ือนใหไปแสดงท่ีหนาแรกโดยผานระบบการจัดอันดับจากผูใช ภาพที่ 5.7 ดิกก์ชุมชนเนือ้ หาขาวทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ท่ีมา (ดิกก์, 2555) 1.3.3 Pantip พันทิป เป็นเว็บไซต์ของประเทศไทยท่ีใหบริการกระดานขาวสําหรับผูท่ี ช่ืนชอบในเร่ืองเดียวกัน กอต้ังโดยนายวันฉัตร ผดุงรัตน์ เปิดตัวเม่ือวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2546 พันทิปใหบริการผูใชโดยจัดใหมีหองสนทนาเป็นกลุมใหญครอบคลุมเรื่องตางๆ เชน คอมพิวเตอร์เทคโนโลยี วทิ ยาศาสตร์ การเมอื ง ความรู กีฬา บนั เทิง ศาสนา ความงาม และกฎหมาย เป็นตน ภาพที่ 5.8 พนั ทิปชมุ ชนออนไลนท์ ่ีชอบในเร่ืองเหมือนกนั ที่มา (พนั ทปิ , 2555) 98 1.4 เวทีทาํ งานรว มกัน (Collaboration Network) 1.4.1 Wikipedia วิกพิ เี ดียเปน็ โครงการสารานุกรมเนือ้ หาเสรีหลายภาษาบนเว็บไซต์ เปิดตัวในปีพ.ศ. 2544 โดย จิมมี เวลส์ และแลร์รี แซงเจอร์ คําวา \"วิกิพีเดีย\" มาจากการผสมคําวา wiki ซ่ึงเป็นลักษณะของการสรางเว็บไซต์แบบมีสวนรวม เป็นคําในภาษาฮาวายท่ีแปลวา \"เร็ว\" และคําวาencyclopedia ท่แี ปลวา สารานุกรม วิกิพีเดียเป็นเครือขายสังคมออนไลน์ประเภทเวทีทํางานรวมกันมีการตอยอดทางความคิด เกิดขึ้นจากการรวมเขียนของผูใชท่ัวโลกทุกคนที่เขาถึงวิกิพีเดีย และรวมแกไขเน้ือหาในบทความอยางเสรี นอกจากเป็นสารานุกรมแลววิกิพีเดียใหบริการสถานการณ์ขาวเหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดขน้ึ ในปัจจบุ นั บทความท่ใี หความรู และเทคโนโลยตี างๆ อกี ดวย ภาพท่ี 5.9 วกิ ิพเี ดยี สารานกุ รมตอ ยอดทางความคิด ทม่ี า (วิกิพีเดีย, 2555) 1.4.2 Google Earth กูเกิล เอิร์ธ พัฒนาโดยบริษัทกูเกิล เป็นซอฟต์แวร์สําหรับใหบริการดูแผนท่ีภาพถายทางอากาศจากท่ัวโลก และผังเมอื งซอนทบั ลงในแผนทร่ี วมทัง้ ระบบจีไอเอส (GIS) ในรูปแบบ3 มิติ กอนใชงานผูใชตองดาวน์โหลดกูเกิล เอิร์ธจาก http://www.earth.google.com กูเกิล เอิร์ธใชขอมูลจากภาพถายทางอากาศของ U.S. public domain และภาพถายดาวเทียมของคีย์โฮลมาดัดแปลงรวมกับระบบแผนที่จากกูเกิลแมพ กูเกิล เอิร์ธ จัดเป็นเครือขายสังคมออนไลน์ประเภทเวทีทํางานรวมกัน เพราะการสรางแผนท่ีของตัวเองหรือแบงปันขอมูลแผนท่ีใหคนอื่นตามที่ไดมีการปักหมุดเอาไว ทําใหคนท่ีเขามาไดรับประโยชน์ในการสืบคนขอมูลเหลาน้ัน ซึ่งเป็นการตอยอดแบบสาธารณะ และยงั ใหค วามรทู างภมู ศิ าสตร์ การทองเท่ียวเดินทาง การจราจร และท่ีพัก 99 ภาพที่ 5.10 กูเกิล เอริ ์ธบริการแผนทแ่ี ละเสนทาง ทม่ี า (กูเกลิ เอริ ์ธ, 2555) 1.5 ประสบการณ์เสมอื นจริง (Virtual Reality) 1.5.1 Second Life เซคันด์ไลฟ พัฒนาโดยบริษัทลินเดนรีเสิร์ช เซคันด์ไลฟไดรับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมที่เรียกวา ไซเบอร์พังก์ (cyberpunk) และนวนิยายของนีล สตีเฟนสัน (NealStephenson) เรื่อง Snow Crash ใหบริการเม่ือ พ.ศ. 2546 เป็นเครือขายสังคมออนไลน์ท่ีชวยในการรวมสรางประสบการณ์เสมือนจริง ผูใชสามารถใชบริการผานทางโปรแกรมลูกขายที่ชื่อวาSecond Life Viewer ซงึ่ เซคันดไ์ ลฟไ มใชเพียงเกม 3 มิติแตเ ป็นโลกเสมอื นจรงิ ภายในโลกเสมือนน้ันมีระบบเศรษฐกิจเป็นของตัวเอง มีหนวยเงินที่เรียกวา ลินเดนดอลลาร์ (Linden Dollar: L$) ใชในการซื้อ ขาย เชา แลกเปลี่ยนสินคาและบริการตางๆ กับผูเลนอ่ืน หากตองการเขาใชงานเซคันด์ไลฟสามารถดาวนโ์ หลดโปรแกรมไปติดต้ังและลงทะเบยี นผา นเวบ็ ไซต์ ภาพที่ 5.11 เซคันด์ไลฟเกมประสบการณเ์ สมือนจรงิ ที่มา (เซคันด์ไลฟ, 2555) 100 1.5.2 World of Warcraft เกมรูปแบบ Massively multiplayer online game (MMORG) ในจักรวาลของ warcaft พัฒนาโดย Blizzard Entertainment เริ่มวางจําหนายในวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2547 สรา งโดยนาํ บรรยากาศในซีร่ีย์ Warcraft จําลองไวในเกม และไดจัดทําเป็นเกม 3 มิติโดยผูเลนนาํ เสนอตวั ตนตามบทบาทในเกม ทําใหผูเลนสามารถติดตอปฏิสัมพันธ์กับผูเลนคนอ่ืนๆ ไดเสมือนอยูในโลกแหง ความเป็นจริง ภาพท่ี 5.12 World of Warcraft เกมประสบการณ์เสมือนจริง ท่ีมา (World of Warcraft, 2555) 1.6 เครือขายเพอ่ื การประกอบอาชพี (Professional Network) ลิงค์อิน (LinkedIn) เป็นเว็บไซต์เครือขายสังคมท่ีใหบริการเพื่อการประกอบอาชีพเนนดานเครือขายธุรกิจ โดยจุดประสงค์หลักของลิงด์อินเพื่อใหบริการแกใหผูใชที่ลงทะเบียนกับทางเว็บไซต์แลว ผูใชจะสามารถสรางรายการสวนตัวเกี่ยวกับอาชีพสําหรับติดตอกับผูอ่ืนหรือกับบริษัทตางๆ และเปน็ การสรางเครือขา ยทางอาชพี ของผใู ชเอง ภาพที่ 5.13 ลงิ ด์อินบรกิ ารสรา งเครอื ขายเพ่ือการประกอบอาชีพ ท่มี า (ลงิ ด์อนิ , 2555) 101 1.7 เครือขา ยทเ่ี ช่อื มตอ กนั ระหวา งผใู ช (Peer to Peer : P2P) 1.7.1 Skype สไกป เป็นโปรแกรมที่ใหผูบริการผูใชสําหรับสนทนาโทรศัพท์ สนทนาแบบวิดโี อ สงขอความผานอินเทอรเ์ นต็ สไกปก อ ตั้งโดย Niklas Zennström และ Janus Friis ชาวสวีเดนหนาท่ีของสไกป คือใหบริการผานทางคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งสูคอมพิวเตอร์อีกเคร่ืองหนึ่งเป็นเสียงและภาพขณะสนทนา การสงขอความ และการสงขอมูลในรูปแบบไฟล์ โดยไมเสียคาใชจาย รวมถึงการประชุมผานออนไลน์ไมเกิน 5 คน สไกปทํางานบนเทคโนโลยีระบบเครือขายแบบ Peer toPeer โดยผูใชง านสามารถติดตอ โดยตรงระหวา งผูใชงานกับผูใชงานอ่ืนท่ีกําลังออนไลน์อยู การใชงานงาย สะดวกรวดเร็ว การโทรศัพท์ผานสไกปมีท้ังแบบท่ีใหบริการฟรีและแบบท่ีคิดคาบริการ หากตองการเขาใชงานสไกปสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมไปติดตั้งและลงทะเบียนผานเว็บไซต์http:// www.skype.com ภาพที่ 5.14 สไกปบรกิ ารสนทนาผานอนิ เทอรเ์ นต็ ท่ีมา (สไกป, 2555) 1.7.2 BitTorrent บิตทอร์เรนต์ เป็นโพรโทคอลรูปแบบ peer-to-peer ในการแลกเปล่ียนขอมูลระหวางเคร่ืองคอมพิวเตอร์ดวยกันโดยตรงผานเครือขายอินเทอร์เน็ต ถูกพัฒนาต้ังแตเดือน เมษายนพ.ศ. 2544 จากความคิดของแบรม โคเฮน (Bram Cohen) ท่ีตองการใหการสงผานขอมูลสามารถอํานวยประโยชน์ไดท้ังขาเขาและขาออก เครือขายของการใชโปรแกรมบิตทอร์เรนต์น้ันเป็นลักษณะโยงใยถึงกันหมดทุกเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถรับสงไฟล์ถึงกันไดตลอดเวลา ซึ่งทุกเคร่ืองจะเป็นทั้งผูรับและผูให เมื่อไฟล์เร่ิมตนเผยแพรมาจากคอมพิวเตอร์เครื่องหน่ึง เคร่ืองอ่ืนๆ ท่ีตองการไฟล์ ก็จะคอยๆ ไดรับไฟล์แบบสุม ทันทีที่ไดรับไฟล์มาครบ คอมพิวเตอร์เคร่ืองน้ันก็สามารถสงตอไฟล์ที่ไดรับมาแลวใหเครื่องอ่ืนที่ยังไมมีไดทันที เป็นลักษณะของการเติมเต็มใหกัน โปรแกรมบิตทอร์เรนต์จึงสามารถทําใหการสงผานขอมูลสามารถอํานวยประโยชน์ไดทั้งขาเขาและขาออก การใชงานตองมีโปรแกรมท่ีเรียกวาทอร์เรนต์ไคลเอนต์กอน หลังจากน้ันจึงจะสามารถไปดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซต์บติ ทอร์เรนตต์ างๆ ได 102 ภาพท่ี 5.15 บิตทอรเ์ รนต์บรกิ ารสาํ หรบั ดาวน์โหลดไฟล์ระหวางผใู ช ที่มา (บิตทอรเ์ รนต์, 2555) 3. กลมุ่ ผ้ใู ช้บรกิ ารเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผใู ชเ ครอื ขายสังคมออนไลน์สามารถกาํ หนดขอบเขตไดเป็นกลุมชวงวัย (เศรษฐพงศ์ มะลิสวุ รรณ, 2553) ดังน้ี 2.1 กลมุ Generation Z กลุมผูมอี ายุอยูร ะหวา ง 6-10 ปี เป็นกลุมท่ีมีอายุที่นอ ยทีส่ ุด เกิดและเติบโตมาพรอมกับยุคเทคโนโลยีดิจิทัลและเว็บ 2.0 เป็นพวกท่ีมีความกาวหนาทางเทคโนโลยี เด็กกลุมนี้จะมีความตองการใชเทคโนโลยีสูงมาก เพราะนอกจากจะเป็นผูใชแลว ยังเป็นผูสราง หรือดัดแปลงเทคโนโลยีเพ่ือตอบสนองความตองการของตัวเองไดดวย ชอบความเป็นอิสระ ความเป็นสวนตัว นิยมท่ีจะใชเครือขายสังคมออนไลน์เพื่อเรียนรูเรื่องราวตางๆ ดวยตนเองผานเกมออนไลน์ เชน SecondLife,Audition, Ragnarok, Pangya และ World of Warcraft 2.2 กลุม Generation Y และ Generation D (Digital) ผมู อี ายุระหวาง 15-30 ปี เป็นกลุมวัยรุน นักเรียน นักศึกษา และกลุมวัยเร่ิมทํางาน(First Jobber) กลุมน้ีเติบโตมาพรอมๆ กับการพัฒนาเทคโนโลยีการส่ือสารสมัยใหมท่ีมีการขยายตัวอยางรวดเร็วสงผลถึงชีวิตของพวกเขา เห็นไดชัดจากโทรศัพท์มือถืออะนาล็อก (Analog) กับเว็บ 1.0ซ่ึงเป็นยุคเริ่มตนของการส่ือสารแบบไรสาย ดังน้ันคนรุนน้ีจึงนิยมการเปลี่ยนแปลงแบบกาวกระโดดชอบความทันสมยั ของเทคโนโลยีดจิ ทิ ลั จะใชเพอ่ื ความบันเทิงและการติดตอสอ่ื สารระหวางกลุมเพื่อนเชน เลนเกม ดาวน์โหลดเพลง ภาพ หรือวิดีโอตางๆ เชน เฟซบ฿ุก และยูทูบ เป็นตนคนกลุมนี้จึงเป็นกาํ ลังสําคญั ในการสรา งรากฐานใหแ กส ังคมในปัจจุบัน ซึ่งตอไปในอีก 10-20 ปีขางหนา คนกลุมนี้ก็จะกา วขน้ึ ไปรบั ผิดชอบดแู ลส่งิ ทีต่ นสรา งขึน้ มาแทน Generation X 2.3 กลมุ Generation X ผูมีอายุระหวาง 30-45 ปี เป็นกลุมคนวัยทํางาน นักวิชาการ ผูเช่ียวชาญนกั การเมือง นักส่อื สารมวลชน เป็นกลุมท่ีรับเทคโนโลยีแบบผูใช (User + Consumer) เป็นสวนมากจะใชประโยชน์ในการสืบคนหาขอมูลขาวสาร ติดตอสื่อสารกับลูกคาโดยการใชเป็นเครื่องมือทาง 103การสื่อสารการตลาด การคนหาความรู การอานขาวสารประจําวัน เชน วิกิพีเดีย กูเกิล เอิร์ธทวติ เตอร์ เวบ็ บล็อก และเว็บไซต์ของสํานักขา วตางๆเครอื ขา่ ยสงั คมออนไลน์กบั การประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวัน ความกาวหนาอยางรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ทําใหสังคมเกิด การเปลี่ยนแปลงไป เครือขายสังคมออนไลน์ไดกลายเป็นเครือขายทางสังคมขนาดใหญท่ีถูกเช่ือมตอกันดวยรปู แบบท่เี ฉพาะเจาะจง ทงั้ ดานมุมมอง ความคิด การแลกเปลี่ยน มติ รภาพ ธุรกิจ ซึ่งเป็นไปตั้งแตในระดบั บคุ คลที่มีความใกลชิดไปจนถึงระดับชาติ เครือขายสังคมออนไลน์จึงเป็นการรวมกันเขาไวซึ่งความผูกพันและความสนใจรวมกันไว จะเห็นไดวามีการประยุกต์ใชเครือขายสังคมออนไลน์ใหเขากับชวี ิตประจาํ วันของมนุษยใ์ นดา นตางๆ ดงั นี้ 1. ดา้ นการสอื่ สาร (Communication) เครือขายสังคมออนไลน์ถูกนํามาใชเป็นชองทางในการนําเสนอขาวสารผานเว็บไซต์ของสํานักขาว เชน ไทยรัฐ ผูจัดการออนไลน์ หรือท่ีอยูในรูปแบบของเว็บบล็อก เชน oknation.net ท่ีมีผูส่ือขาวของสํานักขาวเป็นผูเขียนบทความ หรือกรณีของนักขาวพลเมืองท่ีเปิดโอกาสใหคนทั่วไปสามารถเปน็ นกั ขา วได โดยการอัปโหลดขอมลู ขาวสารไปยังเว็บบล็อกตางๆ ไดโดยไมปิดก้ัน เครือขายสังคมออนไลน์ประเภทตางๆ ยังเป็นเคร่ืองมือท่ีใชในการชวยส่ือสารดานขาวสารและสังคมไดเป็นอยางดี เชน จากเหตุการณ์นํ้าทวมคร้ังใหญในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 เทศบาลนครปากเกร็ดไดใชเพจเฟซบ฿ุกเพื่อเป็นเคร่ืองมือสื่อสารไดฉับไวกับคนในพื้นท่ี การใชทวิตเตอร์ในการใหขอมูลขาวสารจราจรของสถานีวิทยุพทิ ักษ์สันตริ าษฎร์ (สวพ. FM91) (@fm91trafficpro) ภาพท่ี 5.16 เฟซบ฿ุกเทศบาลนครปากเกร็ด ท่ีมา (เทศบาลนครปากเกรด็ , 2555) 104 ภาพท่ี 5.17 ทวติ เตอรส์ วพ. FM91 ทมี่ า (สถานีวิทยุพทิ ักษ์สันติราษฎร์ (สวพ. FM91), 2555) 2. ดา้ นการศกึ ษา (Education) เครือขายสังคมออนไลน์ถูกนํามาใชในการสืบคน ความรู ขอเท็จจริง ท้ังดานภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ ท่ีเรียกวา สารานุกรมออนไลน์ ซ่ึงสามารถนําไปใชอางอิงได อยางวิกิพีเดีย เป็นตน มีการนําเครือขายสังคมออนไลน์มาประยุกต์ใชสําหรับจัดการเรียนการสอนในรูปแบบตางๆ เชน การสื่อสารองค์ความรู เน้ือหาสาระวิชาการ บทความ วิดีโอ รูปภาพ และเสียงไปยังผเู รยี น ทาํ ใหเ กิดการเรียนรูในโลกออนไลน์ที่ไมจํากัดเฉพาะในชั้นเรียน ทั้งครูและนักเรียนสามารถแบงปันเน้ือหา องค์ความรู ขอมูล ภาพ และเสียง ผานเครือขายสังคมออนไลน์จนเกิดเป็นสื่อสังคมระหวางครูกับนักเรียน ระหวางครูกับครู และนักเรียนกับนักเรียน ทําใหเกิดเป็นความรวมมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกัน โดยผูสอนเลือกใชเครือขายสังคมออนไลน์แตละประเภทมาปรับใชใหเขา กบั การเรยี นการสอน ภาพที่ 5.18 บลอ็ กเผยแพรขอมลู ทางการเรยี นการสอนของ ผศ.บญุ ญลกั ษม์ ตํานานจติ ร ที่มา (บญุ ญลักษม์ ตํานานจิตร, 2555) 105 ภาพที่ 5.19 เพจเฟซบกุ฿ เผยแพรขาวการศึกษาของมหาวทิ ยาลัยราชภัฏสวนดสุ ิต ทมี่ า (มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสวนดสุ ิต, 2555) 3. ด้านการตลาด (Marketing) การนําเครือขายสังคมออนไลน์มาใชประโยชน์ในการสรางแบรนด์ไดอยางชัดเจน เพราะเป็นเครื่องมือท่ีมีประสิทธิภาพสูงในการส่ือสารเพ่ือสรางการเขาถึง สรางความสัมพันธ์ การมีสวนรว มกับผูบริโภคไดด แี ละวัดผลไดทันที เชน การโฆษณาออนไลน์ การสรางความสัมพันธ์กับลูกคาผานเว็บไซต์ของบริษัทโออิชิกรุ฿ป จํากัด (มหาชน) ที่สรางข้ึนเพื่อใหลูกคาเขามาแสดงและบอกถึงแนวคิดตางๆ ที่ลูกคามีตอผลิตภัณฑ์ การประชาสัมพันธ์ขาวสารตางๆ ของบริษัทท่ีนิยมใชเว็บบล็อกในการแจงรายการสงเสริมการการขาย การเผยแพรคลิปวิดีโอโฆษณาของบริษัทไทยประกันชีวิต ผานยูทูบเป็นตน ภาพที่ 5.20 เพจเฟซบ฿ุกของบริษทั โออชิ กิ ร฿ุป จํากัด (มหาชน) ท่ีมา (บริษัทโออิชิกรุป฿ จาํ กดั (มหาชน), 2555) 106 4. ดา้ นบันเทิง (Entertainment) การนําเครือขายสังคมออนไลน์มาใชในงานโฆษณา ผลิตรายการ เป็นเคร่ืองมือสื่อสารระหวางบริษัท และศิลปิน จะเห็นไดจากบริษัทผูผลิตผลงานทางดานบันเทิงมีความนิยมใชประโยชน์จากเครอื ขายสงั คมออนไลน์ผานยทู ูบ เชน การใหดาวนโ์ หลดเพลง มิวสคิ วดิ ีโอ การแชร์ไฟล์วดิ ีโอ ไฟล์เพลง การสรางแฟนเพจของศิลปินดารา นักรองผานเฟซบ฿ุกหรือทวิตเตอร์ การผลิตรายการทีวีออนไลน์ เปน็ ตน ภาพที่ 5.21 ยทู บู ของโดมออนไลน์ ที่มา (ปกรณ์ ลมั , 2555) 5. ดา้ นสื่อสารการเมอื ง (Communication Political) การนําเครือขายสังคมเป็นเคร่ืองมือในการพูดคุยสื่อสาร ติดตอกันระหวางกลุมคน หรือบุคคลท่ีตองการแลกเปล่ียนความคิดทางการเมือง กลุมน้ีจัดเป็นกลุมที่สรางกระแสนิยมใหกับเครือขายสังคมออนไลน์ระดับโลกเม่ือ บารัค โอบามา ใชยูทูบเป็นเครื่องมือประกอบการหาเสียงจนไดร บั การรับเลือกตัง้ เปน็ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา การเผยแพรคลิปวิดีโอการทํางานและการแถลงนโยบายตางๆ ของรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกา การนําทวิตเตอร์มาใชประกอบการส่ือสารทางการเมืองของนายกรัฐมนตรกี บั ประชาชน การเปดิ เพจเฟซบ฿ุกรวมกลุม แสดงความคิดเห็นทางการเมืองเปน็ ตน 107 ภาพท่ี 5.22 ยูทูบของรฐั บาลประเทศสหัฐอเมริกา ท่มี า (ไวท์เฮาส์, 2555)ผลกระทบของเครือขา่ ยสังคมออนไลน์ เครือขายสังคมออนไลน์น้ันไมใชเร่ืองที่เกิดขึ้นมาใหม แตเป็นเรื่องท่ีแทรกซึมเขามาสูชีวิตประจําวันของเราทีละนอยแบบไมรูตัวมานานแลว เว็บไซต์ที่เราเขาไปใชงานเกือบทุกเว็บไดเปลี่ยนตัวเองจากผูใหบริการขอมูลมาเป็นผูใหบริการท่ีเปิดโอกาสใหสมาชิกไดมีสวนรวมในการผลิตขอมูลดวยตัวเอง จนกระทั่งเป็นเว็บไซต์เครือขายสังคมออนไลน์อยางสมบูรณ์แบบในที่สุด เครือขายสังคมออนไลน์จึงเป็นรูปแบบทางเลือกในการใชชีวิตแบบใหมที่ชวยผูใชทางดานเวลา ระยะทาง และงบประมาณ เป็นตน ผูใชเครือขายสังคมออนไลน์จึงควรศึกษาถึงผลกระทบจากเครือขายสังคมออนไลน์ที่ไดเ ขา ไปใขงานเพื่อใหเกดิ ประสิทธผิ ลสูงสุดกบั ตัวผูใชเ อง 1. ผลกระทบเชิงบวก 1.1 เป็นส่ือในการนําเสนอผลงานของตัวเอง เชน งานเขียน รูปภาพ วิดีโอตางๆ เพื่อใหผูอ่นื ไดเ ขา มารับชมและแสดงความคิดเหน็ 1.2 เป็นสื่อท่ีใชในการแบงปันขอมูล รูปภาพ ความรูใหกับผูอ่ืน สามารถแลกเปลี่ยนขอ มลู ความรูใ นสิง่ ทส่ี นใจรว มกนั ได เป็นคลังขอมูลความรขู นาดยอม 1.3 เป็นเวทีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเร่ืองตางๆ เชน การศึกษา การเมือง บันเทิงศิลปะวฒั นธรรม การตลาด สนิ คาและการบรกิ าร 1.4 เป็นเครอื ขายกระชบั มิตร สรา งความสัมพนั ธ์ทด่ี ีจากเพอ่ื นสเู พอื่ นได 1.5 เปน็ เครือ่ งมือชว ยในการสื่อสารใหมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถส่ือสารไดหลายรูปแบบเชน ขอ ความ รูปภาพ วดิ โี อ สามารถส่อื สารกับคนทีม่ ีความชื่นชอบในเรื่องเดียวกัน แลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ หรอื รวมตวั กันทาํ กิจกรรมที่มีประโยชน์ 1.6 เป็นเคร่ืองมือชวยในการพัฒนาชุมชน โดยใชเครือขายสังคมออนไลน์เป็นเคร่ืองมือในการเชอ่ื มตอ ประชาชนในชุมชนกบั กลมุ องค์กรตา งๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทาํ ใหป ระชาชนในชุมชนสามารถถา ยทอดปญั หาและความตอ งการไดโ ดยตรง 108 1.7 เป็นส่ือในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกคาสําหรับบริษัทและองค์กรตางๆ สรางความเช่ือมั่น สรางความสัมพันธ์ สรางกิจกรรม หรือพูดคุยตอบขอซักถามถึงสินคาและบริการใหกับลูกคา ชวยเพ่ิมการรับรูและเสริมสรางภาพลักษณ์ที่ดีใหกับธุรกิจ และเป็นชองทางสรางยอดขายและผลกําไรใหเพม่ิ ข้นึ อกี ทั้งสามารนําคําแนะนาํ ของลูกคามาปรับปรุงการบริการได 1.8 ชวยประหยัดคาใชจา ยในการตดิ ตอสอื่ สารกบั ผูอื่นดวยชองทางที่สะดวกและรวดเร็ว 2. ผลกระทบเชิงลบ 2.1 เป็นชองทางที่ถูกละเมิดลิขสิทธ์ิ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอางไดงาย หากผูใชรูเ ทาไมถ ึงการณห์ รอื ขาดวิจารณญาณในการใชง าน อาจถกู หลอกลวงหรอื ละเมดิ สทิ ธสิ ว นบุคคลได 2.2 หากผูใชหมกหมุนกับการเขารวมเครือขายสังคมออนไลน์มากเกินไปอาจสงผลเสียตอสุขภาพ และอาจทําใหประสิทธิภาพในการทํางานหรือการเรียนลดลง อีกทั้งจะทําใหเสียเวลาถาผใู ชใชอยา งไมรูคุณคา 2.3 เปน็ ชองทางที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์กระแสสังคมในเร่ืองเชิงลบ และอาจทําใหเกิดกรณีพิพาทบานปลาย 2.4 ภัยคุกคามจากเครือขายสังคมออนไลน์ในรูปแบบตางๆ เชน การเผยแพรภาพและขอความอันมีลักษณะดูหม่ินและไมเหมาะสมตอสถาบันพระมหากษัตริย์ การสรางเฟซบ฿ุกปลอมแอบอางชื่อและรูปภาพเพ่ือนําไปใชกระทําการหลอกลวงผูอื่น การถูกลักลอบเขาถึงขอมูลสวนตัวที่ไมไดเปดิ เผยผา นทางเฟซบก฿ุ การถา ยคลปิ วิดีโอลามกอนาจารอัปโหลดผา นยทู ูบ เปน็ ตนสรุป เครือขายสังคมออนไลน์นับไดวาเป็นชองทางหนึ่งในการติดตอส่ือสาร แสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนขอมูล และทํากิจกรรมตางๆ ที่มีการเชื่อมโยงกันเพื่อสรางเครือขายในการตอบสนองความตองการทางสังคมที่มุงเนนในการสรางความสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์ โดยการเขาใชบริการผานหนาเว็บและโตตอบกันระหวางผูอ่ืนผานโลกออนไลน์ เราในฐานะผูใชบริการเครือขายสังคมออนไลน์ควรท่ีจะตองทําความเขาใจแนวคิดพื้นฐานและความหมายของเครือขายสังคมออนไลน์อีกทั้งรูจักเลือกใชและเขาถึงเว็บผูใหบริการเครือขายสังคมออนไลน์แตละประเภทใหตรงกับความตองการของตนเอง ควรรูจักท่ีจะประยุกต์ใชเครือขายสังคมออนไลน์ใหเขาชีวิตประจําวันของตนเอง ควรศกึ ษาผลกระทบของการใชเครือขา ยสงั คมออนไลน์ท้ังในเชิงบวกและเชิงลบ เพ่ือใหตนเองไดรับรูและทราบขอมูลขาวสารตางๆ จากการใชเครือขายสังคมออนไลน์ และสามารถนํามาปรับใชเป็นกรณีศึกษาใหเ พื่อใหเกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ กับตนเองและสังคม เครือขายสังคมออนไลน์ถือไดวาเป็นสว นประกอบสวนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ยุคเทคโนโลยี ดังน้ันเราในฐานะผูใชจักตองรูใหเทาทันเครือขายสังคมออนไลน์ และควรที่จะตองรูจักหนาท่ีของตนเองในการอยูรวมกับผูอ่ืนในสังคม หากเรารูจักหนา ท่ีและปฏบิ ัติตนไดตามหนาที่แลวน้ันสังคมทเ่ี ราอยยู อมเปน็ สังคมท่สี งบสุข 109 คาถามทบทวน 1. นกั ศกึ ษาจงอธบิ ายความหมายของเครือขายสังคมออนไลนต์ ามความเขาใจของนักศึกษา 2. นกั ศึกษาจงบอกองคป์ ระกอบของเครือขา ยสงั คมออนไลน์มีอะไรบา ง 3. นักศกึ ษาจงอธบิ ายเครอื ขา ยสังคมออนไลนก์ บั เว็บ 2.0 มคี วามสมั พันธก์ ันอยา งไร 4. นกั ศึกษาจงบอกประเภทของเครือขา ยสงั คมออนไลน์มกี ่ปี ระเภท อะไรบา ง 5. นักศึกษาจงยกตวั อยางผใู หบรกิ ารเครือขา ยสงั คมออนไลน์แตละประเภทท่ีรจู ัก 6. นกั ศึกษาตอ งการสรางและประกาศตัวตนควรเลอื กใชผูใ หบรกิ ารเครือขา ยสังคมออนไลน์ใดบาง 7. นักศกึ ษาจงระบุชว งอายขุ องนกั ศึกษาและบุคคลในครอบครัวเป็นผใู ชเ ครือขายสงั คมออนไลนก์ ลมุ ใดบาง 8. นักศกึ ษาจงอธบิ ายถึงความสําคญั เครือขา ยสังคมออนไลน์ทมี่ ีตอ ชีวติ ประจาํ วนั ของนักศึกษา 9. นักศกึ ษาประยกุ ตใ์ ชเ ครอื ขา ยสังคมออนไลนใ์ นชีวิตประจาํ วนั อยางไรบา ง 10. นกั ศึกษาควรปฏบิ ัตติ นอยา งไรบางในการเปน็ สมาชกิ ท่ีดีของเครือขา ยสังคมออนไลน์ บทที่ 6 ฐานขอ้ มูลและการสืบคน้ ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ปริศนา มชั ฌิมา ขอมูลและสารสนเทศมีอยูมากมายในอินเทอร์เน็ต ท้ังขอความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ จําเป็นตองอาศัยการจัดการขอมูลอยางเป็นระบบ เพื่อความสะดวกในการบันทึกขอมูลลดความซ้ําซอนของการจัดเก็บขอมูล สามารถเปลี่ยนแปลงและแกไขขอมูลใหทันสมัยอยูเสมอที่สําคญั สามารถสืบคนขอ มูลไดอยางสะดวกรวดเรว็ และตรงกับความตองการ ซึ่งตองอาศัยเทคนิคและเคร่ืองมือในการสืบคน จากฐานขอมูลอิเล็กทรอนิกส์ และฐานขอมูลทั่วไปในอินเทอร์เน็ต เพ่ือใหไดขอมลู และสารสนเทศตามตองการจากแหลง ขอมูลตา งๆความรู้เบือ้ งตน้ เก่ยี วกับฐานขอ้ มูลและการสืบค้น 1. ความหมายของฐานข้อมูลและการสืบค้น “ฐานข้อมูล” คือ การรวบรวมขอมูลท่ีตองการจะจัดเก็บ ซึ่งตองมีความสัมพันธ์กันหรือเป็นเรื่องเดียวกันไวดวยกัน เพื่อสะดวกในการใชงาน (ปริศนา มัชฌิมา, 2554, หนา 12) โดยอาศัยโปรแกรมท่ีทําหนาที่ในการกําหนดลักษณะขอมูลท่ีจะเก็บไวในฐานขอมูล อํานวยความสะดวกในการบันทกึ ขอมูลลงในฐานขอมูล แกไ ขปรบั ปรุงขอมูล คนหาขอมูล กําหนดสิทธ์ิผูที่ไดรับอนุญาตใหใชฐ านขอมลู ได ทําใหผูใชสามารถเขาถึงขอมูลไดงาย สะดวกและมีประสิทธิภาพ เสมือนเป็นตัวกลางระหวา งผูใชกับฐานขอมูลใหสามารถติดตอกันได เชน ในการเขาใชฐานขอมูลระบบทะเบียนออนไลน์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต http://webregis.dusit.ac.th ผูใชตองมีบัญชีผูใช (account) คือช่ือล็อกอิน (username) และรหัสผาน (password) เพื่อจะเขาไปใชบริการไดตามสิทธิ์ที่ผูดูแลระบบไดก าํ หนดไว “การสืบค้น” คือ การคนหาขอมูลที่ตองการจากแหลงตางๆ ท่ีจัดเก็บไว กลับคืนมาดวยวิธีการและเทคนิคอยางเป็นขั้นตอน โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเคร่ืองมือในการเขาถึงขอมูลอยางสะดวก รวดเร็ว และตรงกับความตองการของผูใช (ปริศนา มัชฌิมา, 2552, หนา 26) ในยุคของ ICT เทคโนโลยีมีความเจริญกาวหนา การคนหาขอมูลจึงไดพัฒนาจากการคนหาในหองสมุดมาเป็นการคนหาไดในทกุ หนทกุ แหงทอี่ ินเทอร์เน็ตไปถึง ดวยเครอ่ื งมอื ทีม่ ีใหบ ริการอยางมากมาย โดยส่ิงที่ตองการคนหาอาจจะเป็นเอกสารที่เขียนเป็นขอความหรือตัวอักษรท่ีเรียงตอกันเป็นคํา วลี หรือประโยคที่มีความหมาย หรืออาจจะเป็นรูปภาพ เสียงคน เสียงดนตรี เสียงเพลง และวิดีโอ โดยระบบการสบื คนสารสนเทศท่ีดีตองสามารถดึงเอาสารสนเทศที่เกี่ยวของกับส่ิงที่ผูใชตองการออกมาไดอยางรวดเร็ว ถกู ตอ ง แมนยํา และครบถวนสมบรู ณ์ 112 2. องคป์ ระกอบของระบบฐานขอ้ มูล ระบบฐานขอมูลประกอบดวยสวนสําคัญหลักๆ 5 สวน คือ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ขอมูลกระบวนการทาํ งาน และบุคลากร ดังรายละเอียดตอไปน้ี 2.1 ฮาร์ดแวร์ (hardware) หมายถึง คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ตางๆ เพ่ือเก็บขอมูลและประมวลผลขอมูล ซึ่งอาจประกอบดวยเครื่องคอมพิวเตอร์ต้ังแตหน่ึงเครื่องข้ึนไป หนวยเก็บขอมูลสํารอง หนวยนําเขาขอมูล และหนวยแสดงผลขอมูล นอกจากนี้ยังตองมีอุปกรณ์การส่ือสารเพื่อเช่ือมโยงอุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องใหสามารถแลกเปล่ียนขอมูลกันได เป็นตน โดยระบบฐานขอมูลท่ีมีประสิทธิภาพดีตองอาศัยเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง คือ สามารถเก็บขอมูลไดจํานวนมากและประมวลผลไดอยางรวดเร็ว เพื่อรองรับการทํางานจากผูใชหลายคน ท่ีอาจมีการอา นขอ มลู หรอื ปรบั ปรงุ ขอ มลู พรอมกนั ในเวลาเดยี วกนั ได 2.2 ซอฟต์แวร์ (software) หมายถึง โปรแกรมที่ใชในระบบการจัดการฐานขอมูล ซึ่งทําหนาที่ในการจัดเก็บ บันทึก แกไขปรับปรุง และคนหาขอมูล นอกจากนั้นยังสามารถกําหนดสิทธ์ิของผูใชดวย ทําใหผูใชสามารถเขาถึงขอมูลไดงาย สะดวกและมีประสิทธิภาพ ซึ่งซอฟต์แวร์ที่ใชในการจดั การฐานขอ มูล ไดแ ก Microsoft Access, PostgreSQL, Oracle และ MySQL เปน็ ตน 2.3 ขอมูล (data) ระบบการจัดการฐานขอมูลที่ดีและมีประสิทธิภาพ ควรประกอบดวยขอมูลที่มีความถูกตอง รวดเร็วและเป็นปัจจุบัน มีความสมบูรณ์ ชัดเจนและกะทัดรัด สอดคลองกับความตองการของผูใช 2.4 กระบวนการทํางาน (procedures) หมายถึง ขั้นตอนการทํางานเพ่ือใหไดผลลัพธ์ตามที่ตองการ เชน คูมือการใชงานระบบทะเบียนออนไลน์สําหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ตั้งแตการเขาใชงานระบบ วิธีการลงทะเบียนเรียน การตรวจสอบผลการเรียนการตรวจสอบการชาํ ระคาลงทะเบียน และการคน หาตารางสอนตารางสอบ เป็นตน 2.5 บุคลากร (people) คือ บคุ คลท่ีเกย่ี วของกับระบบการจดั การฐานขอมูล ซ่งึ ไดแ ก 2.5.1 ผูบริหารขอมูล (data administrators) ทําหนาท่ีในการกําหนดความตองการในการใชขอมูลขาวสารขององค์กร การประมาณขนาดและอัตราการขยายตัวของขอมูลในองคก์ ร ตลอดจนทําการจดั การดูแลพจนานกุ รมขอมูล เป็นตน 2.5.2 ผูบริหารฐานขอมูล (database administrators) ทําหนาท่ีในการบริหารจัดการ ควบคุม กําหนดนโยบาย มาตรการ และมาตรฐานของระบบฐานขอมูลท้ังหมดภายในองค์กรตัวอยางเชน กําหนดรายละเอียดและวิธีการจัดเก็บขอมูล กําหนดควบคุมการใชงานฐานขอมูลกําหนดระบบรักษาความปลอดภัยของขอมูล กําหนดระบบสํารองขอมูล และกําหนดระบบการกูคืนขอมูล เป็นตน ตลอดจนทําหนาท่ีประสานงานกับผูใช นักวิเคราะห์ระบบ และนักเขียนโปรแกรมเพื่อใหก ารบริหารระบบฐานขอ มลู สามารถดําเนนิ ไปไดอยา งมีประสทิ ธิภาพ 2.5.3 นักวิเคราะห์ระบบ (systems analysts) มีหนาที่ศึกษาและทําความเขาใจในระบบงานขององค์กร ศึกษาปัญหาที่เกิดข้ึนจากระบบงานเดิม และความตองการของระบบใหมที่จะทาํ การพัฒนาขึ้นมา รวมทั้งตองเป็นผูท่ีมีความรู ความเขาใจในกระบวนการทํางานโดยรวมของท้ังฮาร์ดแวรแ์ ละซอฟต์แวรอ์ กี ดว ย 113 2.5.4 นักออกแบบฐานขอมูล (database designers) ทําหนาที่นําผลการวิเคราะห์ ซ่ึงไดแ กปญั หาท่เี กิดขนึ้ จากการทํางานในปจั จบุ นั และความตองการท่ีอยากจะใหมีในระบบใหม มาออกแบบฐานขอ มลู เพือ่ แกปัญหาทเ่ี กดิ ข้นึ และใหตรงกบั ความตองการของผูใชง าน 2.5.5 นักเขียนโปรแกรม (programmers) มีหนาที่รับผิดชอบในการเขียนโปรแกรมประยุกต์เพ่ือการใชงานในลักษณะตาง ๆ ตามความตองการของผูใช ตัวอยางเชน การเก็บบนั ทึกขอ มูล และการเรยี กใชขอ มูลจากฐานขอมูล เป็นตน 2.5.6 ผูใช (end-users) เป็นบุคคลท่ีใชขอมูลจากระบบฐานขอมูล เชน ในระบบทะเบียนออนไลน์ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ผูใชจะประกอบไปดวย นักศึกษา อาจารย์ และเจาหนา ที่ทีเ่ กยี่ วของ ซ่ึงวัตถุประสงค์หลักของระบบฐานขอมูล คือ ตอบสนองความตองการในการใชงานของผใู ช กระบวนการ กาหนดผ้ใู ช้ฐานข้อมลู ทางาน ผ้บู ริหาร ผ้บู ริหาร ข้อมูล ฐานข้อมูล ฮาร์ ดแวร์ จดั การ ผ้อู อกแบบผู้ใช้ โปรแกรมเมอร์ ฐานข้อมลู ใช้ เขียน ออกแบบ ระบบฐานข้อมลู โปรแกรม ฐานข้อมลู ประยุกต์ เข้าถงึ ข้อมลู ภาพท่ี 6.1 องค์ประกอบของระบบฐานขอมลู ทีม่ า (ปรศิ นา มชั ฌิมา, 2552, หนา 17) 3. กระบวนการสบื คน้ สารสนเทศ กระบวนการสืบคนสารสนเทศเร่ิมจากผูใชใสคําสอบถาม (query) เขาไปในระบบคําสอบถามเป็นสารสนเทศท่ีผูใชตองการคนหา เชน การใสคําสําคัญในชองท่ีใหใสคําสอบถามหรือใสคําคน เมื่อระบบรับทราบคําสอบถาม ก็จะทําการสืบคนสารสนเทศจากเอกสารหรือสิ่งที่ตองการ ในท่ีน้ีเรียกวา เอกสาร (documents) โดยอาจจะมีลักษณะเป็นขอความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ ซึ่งอาจจะอยูใ นแผน ซีดี/ดวี ดี ี หรืออยใู นระบบเครอื ขายคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ไดนําเสนอเป็นสารสนเทศที่ถูกดึงออกมา (information retrieved) ซ่ึงอาจจะเป็นขอความ รูปภาพ เสียง หรือวิดีโอ ข้ึนกับความตอ งการของผูใช โดยท่ัวไปจะไมใชมีเพียงรายการเดียว แตจะมีหลายรายการ ซึ่งควรสอดคลองสัมพันธ์ (relevance) กับสงิ่ ทีผ่ ใู ชตองการคนหา อยางไรก็ตามหากผลลัพธ์มีหลายรายการ ควรมีการ 114จัดอันดับ (rank) ตามความสอดคลองมากนอย โดยใหรายการที่มีความสอดคลองกับสิ่งท่ีตองการคนหาอยูกอน สวนรายการท่ีมีความสอดคลองนอยอยูหลัง และท่ีสําคัญหากไมสอดคลองกับสิ่งที่ตองการคน หาเลย กไ็ มค วรอยูในรายการทถี่ กู ดงึ ออกมา (ศุภชัย ตั้งวงศ์ศานต์, 2551, หนา 5) สุดทายผใู ชต องพิจารณาวารายการท่ีดึงออกมาสอดคลองกับส่ิงท่ีผูใชตองการคนหาหรือไม ถาไมสอดคลองก็สามารถปรับเปล่ียนคําสอบถาม (query reformulation) เป็นคําสอบถามใหม และปูอนเขาไปในระบบใหมอ ีกคร้ัง เอกสาร (Documents)คาํ สอบถาม การสบื คน้ สารสนเทศ สารสนเทศทถี่ ูกดงึ ออกมา (Query) (Information Retrieval) (Information Retrieved) ภาพที่ 6.2 กระบวนการสืบคนสารสนเทศ ท่ีมา (ศภุ ชัย ตง้ั วงศศ์ านต,์ 2551, หนา 4) 4. ประโยชน์ของฐานข้อมลู เม่ือมีการนําระบบฐานขอมูลมาใช เพื่ออํานวยความสะดวกในการบันทึกขอมูล แกไขปรับปรุงขอมูล คนหาขอมูล รวมท้ังกําหนดผูท่ีไดรับอนุญาตใหใชฐานขอมูล ทําใหฐานขอมูลมีขอดีมากมาย ไดแ ก 4.1 ลด คว าม ซ้ํา ซอ นใ นก าร จัด เก็ บข อมู ล เน่ื อง จา กก าร จัด ทํา ฐ า นข อมู ลจะมีการรวบรวมขอมูลประเภทตางๆ เขามาจัดเก็บไวในระบบและเก็บขอมูลเพียงชุดเดียวซ่ึงทุกฝาุ ยท่เี กีย่ วของจะสามารถเรียกใชขอมลู ทีต่ อ งการได เป็นการประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บ และทําใหเกิดความรวดเรว็ ในการคนหาและจดั เก็บขอมูลดว ย 4.2 ขอมูลท่ีจัดเก็บมีความทันสมัย เมื่อขอมูลในระบบฐานขอมูลไดรับการดูแลปรับปรุงอย า ง ต อเ น่ื อ ง ทํ า ใ ห ขอ มู ล ท่ี จัด เ ก็ บ เป็ น ข อ มูล ท่ี มี ค ว า ม ทั น สมั ย ต รง กั บ เ หตุ ก า ร ณ์ในปจั จุบนั และตรงกบั ความตองการอยูเ สมอ 4.3 ใชขอมูลรวมกันได เน่ืองจากระบบการจัดการฐานขอมูลสามารถจัดใหผูใชแตละคนเขาใชขอมูลในแฟูมท่ีมีขอมูลเดียวกันไดในเวลาเดียวกัน เชน ฝุายบุคคลและฝุายการเงินสามารถทจ่ี ะใชข อ มลู จากแฟูมประวัตพิ นักงานในระบบฐานขอมลู ไดพรอมกัน 4.4 จัดทําระบบการรักษาความปลอดภัยของขอมูลได ผูบริหารระบบฐานขอมูลสามารถกําหนดรหัสผานเขาใชงานขอมูลของผูใชแตละราย และใหผูใชแตละรายมีสิทธิ์ในการทาํ งานกบั ขอมลู ไมเ ทา เทียมกันได โดยระบบการจัดการฐานขอมูลจะทําการตรวจสอบสิทธ์ิใน 115การทาํ งานกบั ขอมลู ทุกครงั้ เชน การตรวจสอบสทิ ธใิ์ นการเรยี กดขู อมูล การลบขอมูล การปรับปรุงขอ มูล และการเพมิ่ ขอ มลู ในแตละแฟูมขอมลูฐานข้อมลู อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เพอ่ื การสบื ค้น ฐานขอมูลอิเล็กทรอนิกส์เพ่ือการสืบคนขอมูลและสารสนเทศ ท่ีมีใหบริการในอินเทอร์เน็ตไดแก ฐานขอมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์ ฐานขอมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ฐานขอมูลวิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์หรืองานวิจัยอิเล็กทรอนิกส์ ฐานขอมูลกฤตภาค และฐานขอมูลรายการทรัพยากรสารสนเทศของสถาบันบริการสารสนเทศ ดังรายละเอยี ดตอ ไปน้ี 1. ฐานขอ้ มูลวารสารอิเลก็ ทรอนิกส์ วารสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Journal) คือ สื่อรูปแบบหน่ึงท่ีเผยแพรเป็นฉบับตอเนื่องมีกําหนดออกทแ่ี นนอนและเสนอขอ มูลขา วสารทที่ นั สมยั รายงานความกา วหนาทางวชิ าการ กิจกรรมและผลงานในสาขาวิชาตางๆ (Hatua, 2006) มีการจัดเก็บ บันทึกและเผยแพรในรูปของขอมูลคอมพิวเตอร์และส่ืออิเล็กทรอนิกส์ โดยสามารถคนขอมูลและส่ังซ้ือหรือบอกรับเป็นสมาชิกไดจากฐานขอมูลซีดีรอม ฐานขอมูลออนไลน์และเครือขายคอมพิวเตอร์ โดยสถาบันการศึกษาตางๆ มีบรกิ ารฐานขอมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อการศึกษาคนควาเชิงวิชาการ ทําใหเกิดประโยชน์ในการเรียนการสอน งานวิจัย รวมถึงการเพ่ิมพูนความรูและประสบการณ์แกบุคลากรและนักศึกษา โดยสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ใหบริการวารสารอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ทง้ั ที่เป็นเนือ้ หาสรปุ หรอื บทคัดยอหรือสาระสังเขป และเอกสารฉบบั เต็ม ดงั นี้ตารางท่ี 6.1 ฐานขอมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Journal) ที่มีใหบริการในสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (สํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศมหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดสุ ติ , 2554)ชอ่ื ฐานข้อมูล รายละเอียดACM Digital Library เป็นฐานขอ มลู ทางดา นคอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศ จากวารสาร นิตยสาร เอกสารการประชุมวิชาการ จดหมายขาว และ ขา วสารทจี่ ัดทาํ โดย ACM (Association for Computing Machinery) ขอมลู เอกสาร บทความฉบับเตม็ บรรณานุกรม และสาระสังเขปACS Journals ครอบคลุมสาขาวชิ าเคมี และสาขาวิชาท่ีเกย่ี วของ จาก The American Chemical Society ใหขอมูลบทความวารสารฉบับเต็มเฉพาะวารสารท่ี บอกรบั ตวั เลม เทา นนั้EBSCO Academic ครอบคลุมสหสาขาวชิ า ไดแก สงั คมศาสตร์ มนุษยศาสตร์Search Premier ศิลปศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ นติ ิศาสตร์ บริหารธุรกจิ วทิ ยาศาสตร์ท่วั ไป วิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ และวิทยาศาสตรส์ ่ิงแวดลอ ม เป็นตน ใหขอมูลดรรชนแี ละสาระสงั เขปไมน อยกวา 8,500 ชอื่ เรื่อง และ เอกสารฉบับเต็ม (full text) 116 ชื่อฐานข้อมูล รายละเอียดBSCO Business เปน็ ฐานขอมูลที่มเี น้ือหาครอบคลุมสาขาวชิ าดานการบริหารธุรกิจ และSource Complete การจดั การ การตลาด การโฆษณาประชาสมั พันธ์ การบญั ชี การเงินและ การธนาคาร เปน็ ตน เปน็ เอกสารฉบบั มีวารสารฉบับใหมเพม่ิ ขึน้ ทุกปีEBSCO Computer และมีวิดีโอประกอบการเรียนการสอน จาก Harvard Business& Applied School การใชง านโดยผา นระบบ IP ของม.ราชภัฏสวนดสุ ติ เทานั้นSciences ครอบคลุมสาขาวชิ า วทิ ยาการคอมพิวเตอร์ การวิจยั และComplete(CASC) การพฒั นา การประยุกตใ์ ช CASE การแสดงขอมลู ดัชนี สาระสังเขปEBSCO Education วารสารวิชาการ ส่งิ พิมพ์ และวารสารฉบับเต็มResearchComplete เปน็ ฐานขอ มูลเฉพาะทางดานการศึกษา ซึ่งรวบรวมวารสารหลัก (coreEmerald journals) หนังสือ (books and monographs) และงานวิจัยเฉพาะManagement Xtra, ทางตา งๆEMX PLUS ครอบคลุมสาขาวชิ าดานการจัดการ การบญั ชีและการเงินธุรกจิERIC เศรษฐศาสตร์ และทรัพยากรมนุษย์ เป็นตน การใชงานโดยผานระบบ IP ของม.ราชภฏั สวนดุสติ เทาน้ันISI Web of Science เปน็ ฐานขอมลู สงิ่ พิมพด์ านการศึกษา และสาขาท่ีเกี่ยวของ จากวารสาร บทความ งานวจิ ัย รายงานการศึกษา คูมือตางๆH.W.Wilson ใหขอ มูลทางบรรณานกุ รมและสาระสงั เขป ครอบคลุมสาขาวชิ า วทิ ยาศาสตร์ มนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และIEEE/IEE Electronic ศลิ ปะ จากวารสาร รวมทั้งยงั สามารถบอกการอา งองิ ไดด ว ย (citedLibrary (IEL) references) ครอบคลุมสาขาวชิ า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มนุษยศาสตร์ProQuest สงั คมศาสตร์ ศลิ ปะ เกษตรศาสตร์ ธุรกจิ และการศึกษา ใหขอมูลABI/INFORM ดรรชนี สาระสงั เขป และเนื้อหาเตม็ ตามเอกสารตน ฉบบัComplete ครอบคลุมสาขาวิชาคอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศ วิศวกรรมไฟฟูาอิเลก็ ทรอนิกส์ และสาขาวชิ าที่เกี่ยวของProQuest Nursing จากบทความวารสาร นิตยสาร เอกสารการประชุม รวมทงั้ เอกสาร& Allied Health มาตรฐานของ IEEESource รวบรวมขอ มูลทางดานธุรกิจ การตลาด การโฆษณา เศรษฐศาสตร์ การ จัดการทรพั ยากรมนุษย์ การเงิน ภาษี และรฐั ประศาสนศาสตร์ รวมถงึ สารสนเทศของบรษิ ัทตางๆ และสามารถคน บทความฉบบั เต็มไดจ าก วารสารท่ัวโลก ครอบคลุมสาขาการพยาบาลและสหเวชศาสตร์ ประกอบดวย สาธารณสุข สขุ อนามยั รังสีวิทยา ทนั ตกรรม และคลนิ ิก รปู แบบเนือ้ หา เปน็ ฉบบั เตม็ การใชงานโดยผานระบบ IP ของม.ราชภฏั สวนดุสติ เทานนั้ 117 ชือ่ ฐานข้อมูล รายละเอยี ดScience Direct ครอบคลุมสาขาวชิ า การแพทย์ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สขุ ภาพ สังคมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์ มบี รรณานกุ รม พรอ มสาระสงั เขป และบทความฉบบั เตม็ ผูใ ชสามารถคนหาฐานขอ มูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์ไดโดยเขาไปที่เว็บไซต์ของสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต http://arit.dusit.ac.th เลือกเมนู“ฐานขอมูลออนไลน์” จะปรากฏรายช่ือและรายละเอียดของฐานขอมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์ตางๆใหส บื คนไดต ามความตองการ (ภาพท่ี 6.3) โดยกอนท่ีผูใชจะทําการสืบคน ควรอานคูมือใชงาน ซึ่งจะบอกรายละเอียดเก่ียวกับขั้นตอนในการสืบคนวารสารอิเล็กทรอนิกส์ในแตละฐานขอมูล เพ่ือจะไดสืบคนอยางถกู วิธีและไดขอ มูลที่ตรงกับความตองการ ภาพท่ี 6.3 เวบ็ ไซตส์ ํานักวทิ ยบรกิ ารและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนดสุ ติ ที่ใหบรกิ ารฐานขอมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Journal) 2. ฐานข้อมูลหนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) เป็นหนังสือท่ีสรางขึ้นดวยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็นแฟูมขอมูลที่สามารถอานเอกสารผานทางหนาจอคอมพวิ เตอร์ หรอื อปุ กรณอ์ เิ ลก็ ทรอนิกสแ์ บบพกพาอนื่ ๆ ได ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์ทาํ ใหเกิดความสะดวกรวดเร็วในการใชงาน และผูอานสามารถอานพรอมๆ กันได โดยไมตองรอใหอีกฝุายสงคืนหนังสือกับมาท่ีหองสมุด ซ่ึงแตกตางกับหนังสือในหองสมุดทั่วๆ ไป (สํานักเทคโนโลยีเพ่ือการเรียนการสอน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน, 2554) โดยสถาบันการศึกษาตางๆจะมีบริการฐานขอมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เพ่ืออํานวยความสะดวกแกบุคลากรและนักศึกษาของ 118สถาบันนนั้ ๆ โดยสาํ นักวทิ ยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนดุสิต ใหบริการหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ ในลักษณะของเอกสารฉบับเต็ม จากสํานักพิมพ์ช้ันนําในหลากหลายสาขาวิชา(ตารางที่ 6.2 และภาพที่ 6.4) รวมท้ังผลงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ไดแก ผลงานวิจัยหนงั สือ ตาํ รา ผลงานทางวิชาการ ภาคนพิ นธ์และวทิ ยานพิ นธ์ของบณั ฑติ วิทยาลัย (ภาพที่ 6.5)ตารางท่ี 6.2 ฐานขอมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) ที่มีใหบริการในสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (สํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศมหาวิทยาลัยราชภฏั สวนดสุ ิต, 2554)ชื่อฐานข้อมูล รายละเอียดNetLibrary หนงั สอื อเิ ล็กทรอนิกสข์ อง NetLibrary จํานวน 5,962 รายการ และe-Book หนังสือ Public Accessible eBooks จาํ นวน 3,461 รายการ ครอบคลุมทกุ สาขาวชิ า ใหเ นอื้ หาฉบบั เต็มSpringerLink หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ จากสาขาวิชาชีววิทยา แพทย์ เคมี คอมพิวเตอร์e-Book วศิ วกรรมไฟฟาู และสง่ิ แวดลอม เปน็ ตน ใหเนื้อหาฉบบั เต็มEbrary ครอบคลุมสาขาวิชา คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศe-Book เศรษฐศาสตร์ธรุ กจิ วทิ ยาศาสตร์ มนษุ ยศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ วิทยาศาสตร์สงิ่ แวดลอม การเมืองการปกครอง และกฎหมาย เปน็ ตน เป็นเอกสารฉบับเตม็ ผูใ ชส ามารถคนหาฐานขอมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไดโดยเขาไปท่ีเว็บไซต์ของสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสว นดุสิต http://arit.dusit.ac.th ซึ่งฐานขอมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะสามารถคนหาไดจาก 2 เมนู คือ ฐานขอมูลออนไลน์ และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ดงั น้ี 1) เลือกเมนู “ฐานขอมูลออนไลน์” เชนเดียวกับการคนหาวารสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะปรากฏรายช่ือและรายละเอียดของฐานขอมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ตางๆ (ภาพที่ 6.4)หากผูใชจะทําการคน ควรอานคูมือใชงานกอนเชนกัน เพื่อจะไดสืบคนอยางถูกวิธีและไดขอมูลที่ตรงกบั ความตองการ 119 ภาพท่ี 6.4 เว็บไซตส์ าํ นกั วิทยบรกิ ารและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนดสุ ติ ทใ่ี หบ รกิ ารฐานขอมลู หนังสืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ (e-Book) 2) เลือกเมนู “หนังสืออิเล็กทรอนิกส์” จากหนาเว็บไซต์ของสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ หากตองการคนหาผลงานวิจัย หนังสือ ตํารา ผลงานทางวิชาการ ภาคนิพนธ์และวิทยานพิ นธข์ องบัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนดุสิต (ภาพท่ี 6.5) ภาพที่ 6.5 เว็บไซต์ฐานขอมลู หนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ทเ่ี ป็นผลงานวจิ ัย หนังสือ ตํารา ผลงานทาง วิชาการ ภาคนพิ นธแ์ ละวิทยานพิ นธ์ของบณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดุสิต 120 สําหรบั เวบ็ ไซต์ที่ใหบ ริการ e-Book อน่ื ๆ ทนี่ า สนใจ ไดแก - Google books (books.google.co.th) - หนงั สอื บทความเกย่ี วกบั คอมพิวเตอร์ การใชงานโปรแกรมคอมพวิ เตอร์(http://www.siamebook.com) - ศนู ย์รวมตาํ ราเรยี น ม.รามคําแหง (http://e-book.ram.edu/e-book/indexstart.htm) - หนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์สํานักหอสมุดแหง ชาติ(http://www.nlt.go.th/data/ebooks/ebooks.html) 3. ฐานขอ้ มูลวทิ ยานิพนธ์อิเลก็ ทรอนิกส์หรอื งานวิจัยอิเล็กทรอนิกส์ ฐานขอมูลวิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Thesis) หรืองานวิจัยอิเล็กทรอนิกส์(e-Research) เป็นฐานขอมลู ดษุ ฎนี ิพนธ์ วิทยานพิ นธ์ ภาคนพิ นธ์ งานวจิ ัย และบทความวารสารโดยสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ใหบริการคนหาวิทยานิพนธอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์หรอื งานวิจยั อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ทั้งของไทยและตางประเทศ ดังน้ีตารางท่ี 6.3 ฐานขอมูลวิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Thesis) ท่ีมีใหบริการในสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (สํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศมหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดสุ ติ , 2554)ช่อื ฐานข้อมูล รายละเอยี ดTDC (ThaiLIS) เปน็ ฐานขอ มลู ภาคนิพนธ์ วิทยานพิ นธ์ งานวิจัย บทความวารสาร และ หนงั สือหายาก (ฉบบั ภาษาไทย) ในรปู แบบของเอกสารเต็มฉบับ เป็น เครอื ขายความรวมมือระหวา งหอ งสมดุ มหาวิทยาลยั ของ รฐั /เอกชน/สถาบัน ใชง านไดเฉพาะเครือขายเทาน้นัProQuest เปน็ ฐานขอ มลู วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ของDissertations มหาวิทยาลยั ทว่ั โลกทุกสาขาวิชา ใหขอ มลู บรรณานุกรม และ&Theses สาระสังเขปProQuest เป็นฐานขอมูลวทิ ยานิพนธร์ ะดับปริญญาโทและปริญญาเอกDissertation Full จากสถาบนั ตา งๆ ทม่ี ีช่ือเสยี ง ใหขอ มูลบรรณานุกรมและเอกสารฉบบัText เต็ม ของวิทยานิพนธ์ไมนอยกวา 3,850 ชือ่ เรือ่ ง ผใู ชส ามารถสบื คน ฐานขอ มูลวิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์ไดโดยเขาไปท่ีเว็บไซต์ของสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต http://arit.dusit.ac.th เลือกเมนู “ฐานขอมูลออนไลน์” จะปรากฏรายช่ือและรายละเอียดของฐานขอมูลวิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์ตางๆ ใหสืบคนไดตามความตองการ (ภาพท่ี 6.6) โดยกอนที่ผูใชจะทําการสืบคน ควรอานคูมือใชงาน ซ่ึงจะบอกรายละเอียดเก่ียวกับข้ันตอนในการสืบคนวิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์ในแตละฐานขอมูล เพอื่ จะไดค นอยางถกู วิธแี ละไดข อมูลท่ตี รงกบั ความตองการ 121 ภาพที่ 6.6 เว็บไซต์สาํ นักวทิ ยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ ท่ีใหบ รกิ ารฐานขอมูลวิทยานิพนธอ์ เิ ล็กทรอนิกส์ (e-Thesis) 4. ฐานข้อมลู กฤตภาค ฐานขอมูลกฤตภาค (clipping) เป็นบรกิ ารขอมลู ขา วสารท่ผี รู บั บริการสามารถคนหาขาวที่ตัดจากหนังสือพิมพ์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมหัวขอขาวตางๆ เชน พระราช -กรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่ิงแวดลอมเศรษฐกิจ และการเมือง เป็นตน และเลือกสรรนําเสนอทางออนไลน์ ซึ่งสามารถติดตามอานไดจากเวบ็ ไซต์ โดยสาํ นกั วิทยบรกิ ารและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ใหบริการกฤตภาคในลักษณะของบทความจากหนังสือพิมพ์ ซึ่งสามารถสืบคนไดโดยเขาไปที่เว็บไซต์ของสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต http://arit.dusit.ac.th เลือกเมนู“กฤตภาคออนไลน์” จะปรากฏรายชื่อของฐานขอมูลกฤตภาคจาก 3 ฐานขอมูล ใหสืบคนไดตามความตอ งการ (ภาพที่ 6.7) 122 ภาพที่ 6.7 เวบ็ ไซตส์ าํ นักวิทยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดสุ ิต ท่ใี หบ รกิ ารฐานขอมูลกฤตภาค (clipping) 5. ฐานขอ้ มลู รายการทรพั ยากรสารสนเทศของสถาบันบริการสารสนเทศ ระบบการสืบคน ทรัพยากรสารสนเทศของสถาบนั บรกิ ารสารสนเทศผา นทางอินเทอร์เน็ตคอื ระบบโอแพ็ก (Online Public Access Catalog: OPAC) ดวยโปรแกรมหองสมุดอัตโนมัติซึ่งเป็นโปรแกรมสําเร็จรูป ไดแก VTLS, TINLIB, INNOPAC, DYNIX, และ HORIZON เป็นตน หรือบางสถาบันอาจพัฒนาข้ึนเอง รายการที่สืบคนไดจะอยูในรูปของขอมูลทางบรรณานุกรมท่ีมีอยูในสถาบันบริการสารสนเทศ เชน เลขเรียกหนังสือ (call number) เลขมาตรฐานสากลประจําหนังสือ (ISBN)ชื่อผแู ตง (author) ชื่อหนังสอื (title) และสาํ นักพมิ พ์ (publication) เป็นตน สํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ใหบริการสืบคนทรัพยากรสารสนเทศของสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ ผานทางอินเทอร์เน็ตดว ยโปรแกรมหองสมดุ อัตโนมัติ VTLS ซึ่งสามารถคนหาไดโดยเขาไปท่ีเว็บไซต์ของสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต http://arit.dusit.ac.th เลือกเมนู สืบคน“หนงั สือและวารสาร” จะปรากฏหนา จอใหใ สคําคน ดงั ภาพท่ี 6.8 123 ภาพที่ 6.8 เวบ็ ไซตส์ าํ นกั วิทยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดสุ ติ ทใี่ หบรกิ ารสืบคนรายการทรัพยากรสารสนเทศเทคนคิ การสืบคน้ เพือ่ ประหยัดเวลาในการสืบคน ขอมลู ทําใหไดขอมูลในปริมาณที่ไมมากเกินไป และไดผลการคน ทตี่ รงตามประสงค์ของผคู น สามารถใชเ ทคนิคเหลา น้ี ไดแ ก (มารยาท โยทองยศ, 2554) 1. เลือก search engine หรือโปรแกรมท่ีชวยในการคนหาขอมูลบนอินเทอร์เน็ตท่ีเหมาะสม เชน http://www.google.co.th 2. เลือกใชค ําสาํ คัญ (keyword) หรอื หวั เรือ่ ง (subject) ทีต่ รงกบั เรื่องท่ีตอ งการ 3. กําหนดขอบเขตของคําคน โดยใชตัวเชื่อมบูลีน (boolean operators) เชน AND ORNOT เปน็ ตน หรอื การคน วลี (phrase searching) การตัดคาํ หรือการใชคําเหมอื น ดงั ตารางที่ 6.4 124ตารางที่ 6.4 คําเชอื่ มและเครอื่ งหมายท่ีใชใ นการสืบคนสารสนเทศ คาเชอ่ื ม/ คาอธบิ าย ตวั อยา่ งเครอื่ งหมายAND เปน็ การเชือ่ มคําคน ต้ังแตสองคาํ ขึ้นไป โดยทผี่ ลการสบื คน ตอง คอมพิวเตอร์ ปรากฏคําทั้งสองในระเบียนผลการสืบคน AND อินเทอรเ์ น็ตOR เปน็ การเชอื่ มคําคน ตั้งแตส องคําขึ้นไป โดยทผี่ ลการสืบคนจะ คอมพิวเตอร์ OR ปรากฏคาํ ใดคาํ หนึง่ หรือคําท้ังสองในระเบียนผลการสืบคน อนิ เทอร์เนต็NOT เปน็ การเชื่อมคําคน ตั้งแตส องคําข้นึ ไป โดยท่ผี ลการสืบคน จะ คอมพวิ เตอร์ ปรากฏคาํ แรกเพียงคําเดยี วเทานัน้ และไมตอ งการใหปรากฏคาํ NOT อนิ เทอร์เน็ต หลังในระเบียนผลการสืบคน (อาจใชเครื่องหมาย – แทน NOT ได)? เป็นการใชสัญลักษณ์ “?” แทนตัวอักษรใดๆ ในการสืบคน Int??net ขอมูล โดยทผ่ี ลการสบื คนจะปรากฏคําที่ใชใ นการสบื คน ใน ระเบยี นผลการสืบคนเชน int??net ผลการสบื คน คอื internet, intranet …* เปน็ การคน กลมุ คาํ หรือคําท่ีไมแนใจดวยสญั ลักษณ์ “ * ” “Inter*” ซง่ึ จะแทนตวั อกั ษรใดๆ ทต่ี ามหลงั คาํ คน ในการสืบคนขอมูล โดยท่ีผลการสืบคน จะปรากฏคาํ ทีใ่ ชในการสืบคนในระเบยี นผล การสบื คน โดยเขยี นใหอยูในเครอ่ื งหมายคําพูด เชน “int*” ผลการสบื คนคอื inter, internet, international, …….# เปน็ การใชสัญลักษณ์ “#” เพอ่ื กาํ หนดใหส บื คนขอมลู เฉพาะ Program# คําที่กําหนดไวเ ทา นัน้ โดยทีผ่ ลการสืบคน จะปรากฏเฉพาะคาํ ท่ี ใชใ นการสบื คน ในระเบียนผลการสืบคน คน หาคาํ พองความหมาย (synonyms) ดว ยเคร่ืองหมาย “” food โดยผลลัพธข์ องการสบื คนจะปรากฏคาํ ที่มีความหมายคลาย หรอื ใกลเ คียงกับคาํ คน“ ” คนหาใหตรงกบั คําน้ันดวยเคร่ืองหมายคาํ พูด ใชสาํ หรบั คนหา “ปรศิ นา มชั ฌมิ า” สิ่งทที่ ราบแนนอน เชน ชือ่ บุคคล ช่ือหนงั สอื ช่อื เพลง และช่อื สถานท่ี เป็นตน 125การสบื ค้นสารสนเทศมัลติมีเดยี มัลติมีเดีย (multimedia) คือ การนําองค์ประกอบของสื่อชนิดตางๆ มาผสมผสานเขาดวยกัน ซ่ึงประกอบดวยตัวอักษร (text) รูปภาพ (image) ภาพเคลื่อนไหว (animation) เสียง(sound) และวีดิทัศน์ (video) โดยผานกระบวนการทางระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อสื่อความหมายกับผูใชอยางมีปฏิสัมพันธ์ (interactive) ตามวัตถุประสงค์การใชงาน เชน เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอนเพื่อนําเสนองาน และเพ่ือความบันเทิง เป็นตน (ทวีศักดิ์ กาญจนสุวรรณ, 2552) ซ่ึงในอินเทอร์เน็ตมีสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี จํานวนมากใหบ รกิ ารแกผใู ช โดยสามารถสบื คนไดดังน้ี 1. การสืบคน้ รูปภาพในอนิ เทอรเ์ น็ต รูปภาพจะถูกจัดเก็บในรูปแบบของบิตตัวเลขซ่ึงไมใชขอความ ทําใหไมสามารถนํารูปแบบดงั กลาวมาเปรยี บเทียบเพ่อื ใชสบื คนไดโ ดยตรง ดังนั้นจงึ ใชวิธีการใสเงื่อนไขการคนที่เกี่ยวของกับรูปภาพท่ีตองการแทน เชน ช่ือไฟล์ และชนิดของไฟล์ ดังนั้นในการคนรูปภาพจะอาศัยการวิเคราะหข์ อความแวดลอมของรูปภาพ อาจจะเป็นขอความบรรยายเหนือภาพหรือใตภาพ ซ่ึงอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับรูปภาพน้ันๆ ดังน้ันการกําหนดคําที่ใชในการคนรูปภาพจึงเป็นปัจจัยสําคัญเพ่ือใหไดรูปภาพที่ตรงกับความตองการมากท่ีสุด นอกจากน้ันยังมีการพัฒนาการคนรูปภาพดวยรูปภาพ โดยการอาศัยหลักการประมวลผลภาพ (image processing) และการรูจําภาพ (patternrecognition) เป็นสําคญั 1.1 การสืบคนรูปภาพจากคําคน โดยเว็บไซต์ที่นิยมใชในการสืบคนขอมูลมากที่สุด คือgoogle ซ่ึงสามารถใชในการคนหารูปภาพไดเชนกัน ที่เรียกวา google image search โดยเขาไปท่ีเวบ็ ไซต์ของ google แลว คลกิ ท่เี มนู “รูปภาพ (image)” หรือเขาไปที่ http://images.google.co.thไดโดยตรง (ภาพที่ 6.9)จากนั้นจึงพิมพ์คําคนในชองคนหาเพื่อคนหารูปภาพท่ีเกี่ยวของจากเว็บไซต์ตางๆ ผลการคน หาจะปรากฏหนาทีม่ ีภาพขนาดยอ ท่ีอาจเก่ยี วขอ งกบั สิ่งที่ผูใชกําลังคนหา โดยภาพจะไดรบั การจดั เรยี งเป็นหนาๆ และสามารถใชแถบเลื่อนเพื่อเล่ือนดูภาพในหนาเว็บไซต์ โดยปกติแลวจะแสดงภาพหน่ึงรอยภาพแรกกอน เม่ือตองการดูภาพเพิ่มเติม ใหเล่ือนลงมาท่ีดานลางสุดของหนาและคลิก แสดงผลการคนหาเพ่ิมเติม ภาพจะไดรับการจัดเรียงตามความเกี่ยวของกับผลการคนหาและขนาดของภาพ (ภาพที่ 6.10) ภาพท่ี 6.9 หนา เวบ็ ไซต์สืบคนรปู ภาพจากคําคนดว ย http://images.google.co.th 126 ภาพที่ 6.10 ผลการสบื คนรูปภาพจากคาํ วา “ดอกไม” ดวย http://images.google.co.th 1.2 การสบื คน รปู ภาพจากรปู ภาพ ในการสืบคนรูปภาพนอกจากจะคนจากคําคนแลวยังสามารถคนจากรูปภาพไดดวย เชน ใน google image search สามารถคนหาเนื้อหาทุกประเภทที่เก่ียวของกับแตละรูปภาพ เพียงระบุรูปภาพ ซึ่งจะพบรูปภาพท่ีคลายกันหรือเก่ียวของกัน ตลอดจนหนาเว็บและผลการคนหาอ่ืนๆ ท่ีเก่ียวของ ตัวอยางเชน คนหาโดยใชรูป “รถ” แลวจะพบกับผลการคนหาท่ีอาจมีรูปภาพที่คลายกัน หนาเว็บไซต์ที่เก่ียวกับรถ ตลอดจนเว็บไซต์ที่มีรูปภาพเดียวกัน โดยgoogle จะใชเทคนิคการวิเคราะห์ภาพของคอมพิวเตอร์เพื่อจับคูรูปภาพท่ีคนกับรูปภาพอื่นๆ ในดรรชนีของ google images และคอลเล็กชัน (collection) รูปภาพเพิ่มเติม จากการจับคูเหลานั้นgoogle จะพยายามสรางขอความคําอธิบายที่ \"คาดเดาใกลเคียงที่สุด\" สําหรับรูปภาพท่ีคน พรอมทั้งคนหารูปภาพอ่ืนๆ ที่มีเนื้อหาเดียวกันกับรูปภาพที่ใชคนหา หนาผลการคนหาสามารถแสดงผลการคนหาสาํ หรบั ขอ ความคาํ อธบิ ายไดเ ชนเดียวกับรปู ภาพที่เกย่ี วของ การคนหาดวยรูปภาพ ผูใชสามารถเขาไปท่ี images.google.com หรือหนาผลการคน หาใดก็ไดของ images แลว คลิกท่ีไอคอนกลอ งถา ยรูป ในชองคนหา (ภาพที่ 6.11) ปูอน URL ของรูปภาพสําหรับรูปภาพที่โฮสต์ (host) อยูบนเว็บ หรืออัปโหลด (upload) รูปภาพจากคอมพิวเตอร์ของผคู น ดงั นี้ 127 1.2.1 วิธีปูอน URL ของรูปภาพ 1) ในหนาเว็บใดๆ ใหคลิกขวาท่ีรูปภาพแลวเลือกตัวเลือกท่ีจะคัดลอกรูปภาพน้ัน ใน browser (เบราว์เซอร์) สวนใหญ ช่ือของตัวเลือกนี้จะข้ึนตนดวย \"คัดลอกรูปภาพ\" ยกเวนInternet Explorer ซึง่ จะตองเลอื ก \"คณุ สมบัต\"ิ จากนน้ั คดั ลอก URL ทป่ี รากฏขน้ึ 2) ไปที่ images.google.com หรอื หนาผลการคนหาใดก็ไดของ Images แลวคลิกไอคอนกลอ งถา ยรปู ในชอ งคนหา 3) วาง URL ท่คี ดั ลอกมาลงในชองคนหา 4) คลิก “คน หา” 1.2.2 วธิ ี upload รปู ภาพ 1) ไปท่ี images.google.com หรอื หนาผลการคนหาใดก็ไดของ Images แลวคลกิ ไอคอนกลอ งถายรปู ในชองคนหา 2) คลกิ เมนูปอัปโหลดภาพ 3) คลกิ ปุม Browse… เพอื่ เลือกไฟล์ 4) เลือกรูปภาพจากคอมพวิ เตอรข์ องผคู น การคนจากรูปภาพสามารถทํางานรวมกับเบราว์เซอร์ Chrome, Firefox 3.0 ข้ึนไป,Internet Explorer 8 ขึน้ ไป และ Safari 5.0 ขึน้ ไป ภาพที่ 6.11 หนา เว็บไซตส์ ืบคนรูปภาพจากรปู ภาพของ images.google.co.th เม่ือคลิกทีไ่ อคอน กลอ งถายรูป ผลการค้นหา เมอ่ื คน จากภาพ ผลการคนหาจะดแู ตกตางจากหนาผลการคนหารูปภาพหรือเวบ็ตามปกติ ความแตกตา งทเี่ ดนชัด คือ ผลการคนหาอาจมีผลการคนหาท่ไี มใ ชรปู ภาพ เชน หนาเว็บท่ีเก่ียวขอ งกบั รปู ภาพทคี่ นหา สว นประกอบของหนาผลการคน หาจะเปลี่ยนไปตามการคนหาและขอมูลท่เี กีย่ วของกบั การคน หานน้ั มากทสี่ ดุ (ภาพท่ี 6.12) นอกจากจะคน รปู ภาพจากเวบ็ ไซต์ของ googleแลว ยงั สามารถคนรปู ภาพจากเวบ็ ไซต์อื่นๆ ไดอีก ดังตารางท่ี 6.5 128ภาพท่ี 6.12 ผลการสบื คนรูปภาพจากรูป “รถ” ดวย images.google.co.thตารางท่ี 6.5 เว็บไซต์ศูนย์รวมการสบื คน รูปภาพ URL ชือ่ เวบ็ ไซต์ http://images.search.yahoo.com http://www.picsearch.comhttp://www.thrall.org/lightswitch/images.html http://www.bing.com http://www.icerocket.com http://www.tineye.com 2. การสืบค้นเสยี งในอนิ เทอร์เน็ต การสืบคนเสียงในอินเทอร์เน็ตสามารถคนไดดวยคําคนและเสียง อาจจะเป็นเสียงคนเสียงดนตรีหรือเสียงเพลง (speech/music retrieval) ซ่ึงตองอาศัยหลักการรูจําเสียง (speechrecognition) ซง่ึ สามารถสืบคน ไดดงั นี้ 2.1 การสืบคน เสยี งจากคาํ คน หลงั จากยคุ ของไฟล์เสียงเร่ิมเขามาเป็นเน้ือหา (content)หลักอยางหนึ่งในอินเทอร์เน็ต ยาฮู (Yahoo) จึงเปิดบริการคนหาไฟล์เสียงจากhttp://music.yahoo.com โดยรวมเอาท้ังการคนหาเพลง ขาว พอดแคสติง (podcasting) 129ตลอดจนไฟล์เสียงทั่วๆ ไป ดังภาพที่ 6.13 ซ่ึงผูใชสามารถคนไฟล์เสียงโดยการใสคําคนเขาไปในชองคน หา เหมอื นกบั การคนขอ มูลท่วั ไปในอนิ เทอร์เนต็ ภาพท่ี 6.13 หนาเว็บไซตส์ บื คน เสียงจากคําคน ดว ย http://music.yahoo.com 2.2 การสืบคนเสียงจากเสียง Google ไดพัฒนาระบบคนขอมูลดวยเสียง (voicesearch) ซ่ึงชวยใหผูใชสามารถคนขอมูลไดอยางสะดวกและรวดเร็วขึ้น ซ่ึงเป็นการชวยเพิ่มทางเลือกในการคนขอมูลใหกับผูใชงาน แตทางเลือก (option) ในการคนดวยเสียงจะสามารถใชงานไดบนเวบ็ เบราวเ์ ซอร์ (web browser) ทเี่ ปน็ Google Chrome เทาน้นั โดยผูใชสามารถใชบริการน้ีไดดวยการคลกิ ปุมรูปไมโครโฟนทีอ่ ยถู ดั จากชองคน หา ดังภาพท่ี 6.14 (ระบบคนหาขอมูลดว ยเสยี ง, 2554) ภาพที่ 6.14 หนา เวบ็ ไซต์การสบื คน เสียงดวยเสยี งจาก Google 130ตารางท่ี 6.6 เวบ็ ไซตศ์ นู ย์รวมการสบื คนเสยี ง URL ช่อื เว็บไซต์ http://www.google.com http://music.yahoo.com http://www.findsounds.com http://www.midomi.com http://soundjax.com 3. การสืบค้นวิดโี อในอินเทอรเ์ น็ต เว็บไซต์ท่ีนิยมใชในการสืบคนวิดีโอมากท่ีสุดในปัจจุบัน คือ YouTube.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ชุมชนศูนย์รวมไฟล์วิดีโอที่ใหญท่ีสุดอีกแหงหน่ึงในโลก สามารถคนหาไฟล์วิดีโอมากมายในอินเทอร์เน็ต โดย YouTube ไดทําดรรชนีของไฟล์วิดีโอจากเว็บไซต์ทั่วโลก และมีการจัดกลุมใหเป็นระเบียบ โดยผูใชสามารถเขาไปสืบคนวิดีโอไดจาก http://www.youtube.com (ภาพที่ 6.15) แลวใสคําคนเขาไปในชองคนหา จากน้ันจึงทําการคนหา จะปรากฏผลการคน หากตองการชมวิดีโอท่ีคน หาทันทีสามารถคลกิ เลอื กทีว่ ิดโี อน้ันๆ แตห ากตอ งการดาวน์โหลดวดิ ีโอท่คี นหาไดมาเก็บไวท่ีเคร่ืองคอมพิวเตอร์ของผูใช ใหเขาไปที่เว็บไซต์ http://keepvid.com จากนั้นใหคัดลอก URL ของวิดีโอท่ีตองการดาวน์โหลดจากใน YouToube มาใสในชองวางท่ีเขียนวา “Enter video URL or Searchhere…” แลว คลกิ ที่ปุม “download” ก็จะสามารถดาวน์โหลดไฟล์ไดตามตองการ หรือลงโปรแกรมสําหรับดาวน์โหลดเพ่ิมเติม เชน YouTube Downloader, Leawo Free Youtube Download,Hash Youtube Downloader และ YouChoob ซ่ึงเปน็ freeware 131 ภาพที่ 6.15 หนาเว็บไซต์ YouTube.comแนวโน้มการสืบค้นในอนาคต การคนหาดวยวิธีแบบด้ังเดิม หรือการคนหาโดยใชคําสําคัญ (keyword) อาจทําใหผลลัพธ์ที่ผูใชงานไดรับมีขอมูลทั้งที่ตรงและไมตรงกับความตองการปะปนกัน ผูใชงานจึงตองเสียเวลาในการอานและคัดแยกขอมูลที่ไมตองการออกไป เนื่องจากเทคนิคการสืบคนแบบดั้งเดิม ต้ังอยูบนพ้ืนฐานของการคนหาคํา (ที่ผูใชตองการสืบคน) ท่ีคลายคลึงหรือเหมือนกันกับคําหลัก (keyword-basedmatching) ท่ีปรากฏอยูบนเอกสาร โดยคําสําคัญที่เจาของเว็บไซต์หรือผูแตงใชในเอกสารน้ัน อาจเป็นคําสําคัญที่มีลักษณะเป็นคําพองรูป ซ่ึงเป็นคําที่มีตัวสะกดเหมือนกันทุกประการ แตความหมายอาจแตกตา งกันอยางสนิ้ เชงิ ได ดังนัน้ เพอ่ื เพิม่ ประสทิ ธิภาพในการสืบคน ในยุคของ web 3.0 ท่ีขอมูลมีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น ในลักษณะของเครือขายเชิงความหมาย (semantic network) เพื่อนําไปสูการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ที่มีความชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น เชน โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ (intelligent agent) และการสืบคนขอมูลท่ีอิงตามความหมาย (semantic search) เป็นตน โดยมีหนวยงาน W3C (WorldWide Web Consortium) เป็นผูกําหนดและใหนิยามเวิลด์ไวด์เว็บ ซ่ึงตอมาไดพัฒนาตอยอดขยายแนวคิดเป็นเว็บเชิงความหมาย (semantic web) โดยสรางเครือขายของขอมูลขึ้นมาเพื่อใหสามารถคนหาไดสะดวกและรวดเร็วเชนเดียวกับเวิลด์ไวด์เว็บ แตตางกัน คือ แทนที่จะทําเคร่ืองหมายกํากับเอกสารไวท่ี “แท็ก (tag)” เชนเดิม แตเว็บเชิงความหมายจะกําหนดตําแหนงของขอมูลดวยความหมายของขอมูล ทําใหเกิดความแตกตางดานการคนหาอยางชัดเจน คือ เดิมผลลัพธ์ของการคนหาจะเป็นรายการของเว็บไซต์ท่ีคนหาไดจํานวนมาก แตการคนหาขอมูลท่ีอิงตามความหมายผลลัพธ์ที่ไดจะเป็นชุดของขอมูลท่ีมีความหมายเฉพาะ ตรงกับที่ตองการเทาน้ัน ซึ่งทําใหลดเวลาในการคนหาอยา งมาก นอกจากนั้นเว็บเชิงความหมายยังเป็นสวนขยายของเว็บปัจจุบันเพ่ือทําใหการใชขอมูลบนเว็บสามารถนํามาใชซํ้า และเอ้ือตอการคนหาขอมูลอยางอัตโนมัติ จัดเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ 132ชวยในการจัดเก็บ และนําเสนอเน้ือหาแบบมีโครงสรางที่ชวยในการวิเคราะห์ จําแนกหรือจัดแบงขอมูลที่มีความสัมพันธ์กับขอมูลอื่นในแตละระดับ โดยมีเปูาหมายเพ่ือเตรียมการใหคอมพิวเตอร์สามารถอาน และทําความเขาใจความหมายของคําและความคิดรวบยอดท่ีผูพัฒนากําหนดไว โดยยินยอมใหต วั แทน (software agents) ซ่ึงเป็นโปรแกรมทชี่ ว ยในการคัดเลือกขอมูลขาวสารตามความตองการของผูใช สามารถเขาถึงขอมูล วิเคราะห์ และประมวลผลขอมูลได ซ่ึงเว็บเชิงความหมายจะมีหนาทใี่ นการกําหนดโครงสรางและเนอ้ื หาของเว็บ กําหนดสภาพแวดลอมท่ีทําใหตัวแทนสามารถท่ีจะทํางานแทนผูใชได ทําใหคอมพิวเตอร์สามารถเขาใจและประมวลผลขอมูลระหวางกันไดโดยอัตโนมัติ(วิบูลย์ พฤกษ์ยินดี, 2553) ทําใหผูใชสามารถคนหาคําตอบของการคนหาไดเหมือนกับการถามคนจริงๆ แทนท่ีจะไดคําตอบมาเป็นกลุมคําท่ีเกี่ยวของ โดยเทคโนโลยีใหมน้ีถูกออกแบบเพ่ือใหรองรับการตอบคาํ ถามทร่ี วดเร็วข้นึ ดังนั้นเว็บเชิงความหมายจึงเป็นแนวความคิดเพื่อชวยใหผูใชสามารถคนหาขอมูลบนอินเทอรเ์ น็ตไดอ ยา งมปี ระสทิ ธิภาพมากย่ิงข้ึน และยังสามารถสรางความสัมพันธ์ใหกับขอมูลท่ีมาจากแหลงขอมูลท่ีตางกันไดอีกดวย การที่จะทําใหแนวความคิดของเว็บเชิงความหมายเกิดขึ้นไดจริงนั้นโปรแกรม Spider หรือ Crawling ที่จะทองไปตามเว็บไซต์ตางๆ จําเป็นตองมีโครงสรางของขอมูลและหลักเกณฑ์ที่ดีเพื่อเก็บขอมูลบนเว็บไซต์ สามารถเขาใจความหมายของขอมูลและเช่ือมโยงความสัมพันธ์ของขอมูลได โดยมีภาษา XML (Extensible Markup Language) และภาษา RDF(Resource Description Framework) เป็นเทคโนโลยีท่ีสําคัญในการพัฒนาแนวความคิดเว็บเชิงความหมาย โดยภาษา XML จะใชในการอธิบายโครงสรางของขอมูล และภาษา RDF ใชในการอธิบายรายละเอียดและความหมายของทรัพยากรตางๆ บนอินเทอร์เน็ต (ธนกร หวังพิพัฒน์วงศ์,อานนท์ ไกรเสวกวสิ ัย และ สราวุธิ ราษฎร์นยิ ม, 2553)สรปุ ฐานขอมูลและการสืบคนมีความสําคัญกับทุกคน โดยเฉพาะอยางยิ่งนักศึกษาท่ีตองศึกษาหาความรูเพิ่มเติมอยูเสมอ หรือตองหาขอมูลประกอบการทํารายงาน ทําวิจัย และทําวิทยานิพนธ์เม่ือศึกษาตอในระดับที่สูงข้ึน จึงมีความจําเป็นที่จะตองรูวา ขอมูลท่ีตองการมีอยูในรูปแบบใดบาง ทั้งท่ีเป็นซีดีรอม และในอนิ เทอร์เน็ต โดยสถาบันการศึกษาจะมีบริการฐานขอมูลเพ่ือการศึกษาคนควาเชิงวิชาการ ไดแก ฐานขอมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Journal) ฐานขอมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(e-Book) ฐานขอมูลกฤตภาค (Clipping) และฐานขอมูลรายการทรัพยากรสารสนเทศของสถาบันบริการสารสนเทศ (Online Catalog) เปน็ ตน เพอ่ื ใหบ ริการแกอาจารย์และนกั ศึกษา ท้ังท่ีเป็นเน้ือหาสรุปหรือบทคัดยอหรือสาระสังเขป (abstract) และเอกสารฉบับเต็ม (full text) ขึ้นกับฐานขอมูลนัน้ ๆ ซง่ึ จะทําใหสามารถคน หาสารสนเทศไดตามความตองการ นอกจากน้ันในอินเทอร์เน็ตยังมีขอมูลและสารสนเทศมัลติมีเดีย ท่ีเป็นภาพ เสียง และวิดีโอ ใหสืบคนเพ่ือนํามาใชประโยชน์ไดอยางสะดวกรวดเร็วอีกดวย สําหรับแนวโนมการสืบคนในอนาคต แนวคิดของเว็บเชิงความหมาย (semanticweb) จะชวยใหผูใชสามารถคนหาขอมูลบนอินเทอร์เน็ตไดอยางมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถคนหาคําตอบของการคนหาไดเหมือนกับการถามคนจริงๆ ไดผลลัพธ์ท่ีตรงกับความตองการของผูใชและเกดิ ความสะดวกรวดเรว็ ในการสืบคน มากขนึ้ 133 คาถามทบทวน 1. ระบบทะเบยี นออนไลน์ของมหาวิทยาลัยราชภฏั สวนดสุ ติ มีบรกิ ารอะไรบางสําหรับนกั ศกึ ษา 2. นกั ศึกษาสบื คน ขอมูลจากแหลงใด เพอื่ ประโยชนอ์ ะไร 3. บุคลากรท่ีเกยี่ วของกับระบบการจดั การฐานขอมูลมีใครบา ง และแตล ะตาํ แหนง มหี นาท่ีอะไร 4. นักศกึ ษามีกระบวนการสบื คนขอ มูลจากอินเทอร์เน็ตอยา งไร จงอธบิ ายเป็นขนั้ ตอนใหชัดเจน 5. จงบอกประโยชน์ของระบบทะเบียนออนไลน์ของมหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนดสุ ติ ที่นักศกึ ษาไดเขาไปใชบริการ 6. ยกตวั อยา งฐานขอมูลอิเลก็ ทรอนกิ สท์ ่ีมหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนดสุ ิตมีใหบริการเพ่ือประโยชน์ตอ การเรียนการสอนในสาขาวชิ าทน่ี กั ศกึ ษาเรยี น 7. ยกตัวอยางเวบ็ ไซตท์ ี่ใหบ ริการขอ มลู ท่เี ก่ยี วของกับสาขาวิชาที่นักศึกษาเรียนมาอยางนอย 10 เวบ็ ไซต์ พรอ มระบดุ วยวา แตล ะเว็บไซต์ใหบริการขอมลู ประเภทใด 8. ยกตวั อยา งเวบ็ ไซตท์ ี่ใหบริการสืบคนสารสนเทศมัลติมีเดยี ที่เป็นภาพ เสียง และวดิ โี ออยา งละ 2 เวบ็ ไซต์ ทนี่ อกเหนือจากท่ยี กตวั อยางในหนงั สือ 9. นักศึกษาไดร บั ประโยชนอ์ ะไรจากฐานขอ มลู ทม่ี หาวิทยาลยั ราชภฏั สวนดสุ ติ มีใหบริการ 10. ในอนาคตนกั ศึกษาอยากใหร ะบบการสบื คน ขอมูลมลี กั ษณะอยางไร บทที่ 7 เทคโนโลยกี ารจดั การสารสนเทศและองค์ความรู้ ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์บุญญลกั ษม์ ตานานจิตร ปัจจุบนั เทคโนโลยสี ารสนเทศเขามามีบทบาทตอการจัดการความรูของหนวยงานตางๆ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน สงผลใหมีการใหความสําคัญตอทรัพยากรบุคคลโดยการพัฒนาองค์ความรูของบุคลากรในองค์กรตางๆ เพ่ือใหเป็นองค์กรมีประสิทธิภาพกาวทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมแหงการเรียนรู นอกจากนี้การนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาชวยจัดการความรูทําใหการจัดการความรูในองค์กรงายและสะดวกข้ึน รวมทั้งกอใหเกิดความสะดวกรวดเร็วในการปฏิบัติงานและทํากิจกรรมทุกดา นเก่ียวกับการจดั การความรขู องบุคคลในองค์กรความรเู้ บอ้ื งต้นเกย่ี วกับทมี่ าขององคค์ วามรู้ ในการศึกษาเร่ืองเทคโนโลยีสารสนเทศและการจัดการความรูควรทําความเขาใจเกี่ยวกับความรูเบื้องตนเก่ียวกับที่มาขององค์ความรู และการจัดการสารสนเทศและองค์ความรู เพื่อใหเกิดความรคู วามเขา ใจย่ิงข้ึน 1. ความหมายและท่มี าของความรู้ คําวา ขอมูล สารสนเทศ ความรู และปัญญา เป็นคําท่ีมีความหมายคลายคลึงกัน ซึ่งผูเ ชี่ยวชาญไดใหรายละเอียดไวดังนี้ บดินทร์ วจิ ารณ์ (2550, หนา 113-115) กลา ววา ความรมู ีตน กาํ เนดิ มาจาก ข้อมูล ซึ่งมีความหมายคือ ส่ิงที่เกิดจากการสังเกต และเป็นขอเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยยังไมผานกระบวนการวิเคราะห์ และกลั่นกรอง ขณะท่ี สารสนเทศ คือกลุมขอมูลที่มีการจัดการที่สามารถบงบอกถึงสาระแนวโนม และทิศทางทีม่ ีความหมายสามารถทําการวิเคราะห์ได แตสารสนเทศจะเป็นองค์ความรู้ไดก็ตอเมื่อสามารถตีความ และทําความเขาใจกับขอความได ซึ่งขึ้นอยูกับความสามารถของผูรับวาจะสามารถถอดรหัสขาวสารดังกลาวไดหรือไม มีความรูในดานนี้หรือไม หากตีความหรือถอดรหัสไดจะเกิดเป็นความเขาใจ และเป็น ความรู้ ในที่สุด ซ่ึงเมื่อเขาใจหลักการ วัตถุประสงค์ของความรูอยางถองแทแลวสามารถพัฒนาการใหเห็นถึงท่ีมาของปัญญาไดในที่สุด ซ่ึงสามารถสรุปรายละเอียดไดดังน้ี 1.1 ขอมูล (data) เป็นขอเท็จจริงที่ถูกบันทึกลงไป และยังไมมีการนํามาแปลความหมาย โดยอาจมีจุดประสงค์เพื่อการตรวจสอบ หรือสอบกลับวางานมีปัญหาหรือมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบาง ถือวาการบันทึกขอมูลเป็นเรื่องพ้ืนฐานที่ตองจัดทํา เชน การบันทึกขอมูลนักศึกษาใหมจํานวนนักศกึ ษาแตล ะชนั้ ปี การบนั ทึกเวลาปฏบิ ตั ิงานแตละวัน เปน็ ตน 1.2 สารสนเทศ (information) เป็นขอมูลที่ผานการกลั่นกรอง วิเคราะห์ หรือสังเคราะห์ ใหขอมูลเกิดการตกผลึก มีการแปลงรูปของบันทึกและขอมูลใหงายตอการทําความเขาใจ 136มากขน้ึ เชน การรวบรวมเวลาการปฏิบัติงานในแตละวนั เพ่อื ดสู ถิตกิ ารมา สาย ลา ขาดการปฏิบัติงานผลการเรยี นแตละภาคเรยี นแสดงเกรดเฉลย่ี โดยภาพรวมของนกั ศึกษาท้ังหมด เปน็ ตน 1.3 ความรู (knowledge) หมายถึง สิ่งที่ส่ังสมมาจากปฏิบัติ ประสบการณ์ปรากฏการณ์ซึ่งไดยิน ไดฟัง การคิดจากการดําเนินชีวิตประจําวันหรือเรียกวาเป็นความรูท่ีไดโดยธรรมชาติ นอกจากน้ีความรูยังไดจากการศึกษาเลาเรียน การคนควา วิจัย จากการศึกษาองค์วิชาในแตล ะสาขาวิชา 1.4 ปัญญา (wisdom) เป็นความรูท่ีมีอยูนํามาคิดหรือตอยอดใหเกิดคุณคา หรือคุณประโยชน์มากขึ้น เชน การลดปริมาณของพนักงานท่ีมาสายทําใหเกิดความพึงพอใจแกผูมาใชบริการมากข้ึน ลดคํารองเรียน หรือการหาวิธีเพิ่มความรูใหแกนักศึกษาทําใหนักศึกษาสําเร็จการศกึ ษาในปริมาณท่ีมากขนึ้ ถือวา เปน็ การประกนั คณุ ภาพของการศึกษา เปน็ ตน สามารถแสดงปริ ามิดลําดบั ขน้ั ของความรูไดด งั นี้ wisdom Use & Utilizeknowledgeinformation Wisdom data KM Knowledge Information ICT Data ภาพท่ี 7.1 ปิรามดิ แสดงลําดับขน้ั ของความรูและการนําความรมู าใชประโยชน์โดยใชไอซีที จากภาพที่ 7.1 การนําขอมูลมาวิเคราะห์ทําใหเกิดสารสนเทศ และเม่ือมีการนําสารสนเทศไปประยุกต์ใชใหเกิดประโยชน์จึงกลายเป็นความรู และเม่ือมีการใชความรูในการสังเคราะห์ พัฒนา วิจัย และนํามาประยุกต์ใช หรือทําใหเป็นประโยชน์และทําใหเกิดปัญญาในท่ีสุดซ่ึงตอ งมาจากกระบวนการเรยี นรูท ้ังจากการศึกษาและประสบการณอ์ ยางครบถวน และถกู ตอง มคิ าเอล โปแลนยี และอิกุชิโร โนนาคะ (Michael Polanyi และ Ikujiro Nonaka) ไดแบงความรูเป็น 2 ประเภท คือ ความรูโดยนัย (tacit knowledge) และความรูชัดแจง (explicitknowledge) ซึ่งไดรับความนิยมและนํามาใชอยางแพรหลาย ไดใหคําจํากัดความของความรูท้ัง 2ประเภท (บุญดี บุญญากจิ และคณะ, 2549, หนา 16) ดังนี้ 1) ความรูโดยนัย หรือความรูที่มองเห็นไมชัดเจน (tacit knowledge) เป็นความรูอยางไมเป็นทางการ ซ่ึงเป็นทักษะหรือความรูเฉพาะตัวของแตละบุคคลที่มาจากประสบการณ์ ความเช่ือ 137หรือความคิดสรางสรรค์ในการปฏิบัติงาน เชน การถายทอดความรู ความคิด ผานการสังเกต การสนทนา การฝึกอบรม เป็นตน 2) ความรทู ชี่ ดั แจง หรือความรูท่ีเป็นทางการ (explicit knowledge) เป็นความรูท่ีมีการบันทึกไวเป็นลายลักษณ์อักษร และใชรวมกันในรูปแบบตางๆ เชน สิ่งพิมพ์ เอกสารขององค์กรไปรษณยี ์อิเลก็ ทรอนิกส์ เว็บไซต์ อินทราเน็ต เป็นตน ความรูประเภทน้ีเป็นความรูที่แสดงออกมาโดยใชระบบสัญลักษณ์ จึงสามารถสื่อสารและเผยแพรไดโดยงาย และอํานวยความสะดวกในการเขาถึงความรู สัดสว นความรทู ั้ง 2 ประเภทขา งตนสวนใหญเป็นความรูประเภทความรูท่ีชัดแจง ซึ่งเป็นอัตราสว นกบั ความรโู ดยนยั เทา กบั 80 ตอ 20 2. ความหมายของการจดั การสารสนเทศ การจัดการสารสนเทศเกิดจากการแปลงขอมูลเป็นสารสนเทศอยางเป็นไปตามลํา ดับและตอเนื่อง เพื่อใหไดสารสนเทศตามความตองการและมีคุณภาพ มี 3 ข้ันตอน (สุชาดา นิภานันท์,2551, หนา 67-73) ดงั นี้ 2.1 การนําเขาขอมูล (input) เป็นขั้นตอนแรกของการประมวลผลขอมูลเป็นสารสนเทศจากการดําเนินงานทางธุรกิจขององค์กร การแลกเปลี่ยนซื้อขาย และการวาจางพนักงานประกอบดวย 4 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 2.1.1 การเกบ็ รวบรวมขอมลู เพ่ือนําเขาสูการประมวลผล โดยการสรางและการรวบรวมขอ มลู จากแหลงขอมูล และมีการบันทึกเป็นหลักฐานไวในส่ือประเภทตางๆ ซึ่งขอมูลที่นําเขาอาจไดมาจากการเกบ็ รวบรวมมาจากสภาพแวดลอมขององค์กร 2.1.2 การจัดระเบียบขอมูลเพ่ือใหไดขอมูลที่ใชไดตรงตามวัตถุประสงค์ และสะดวกในการใชขอ มลู มีกระบวนการดงั น้ี 1) การประเมนิ คณุ คาของขอมูล และคดั ขอ มลู ที่ใชป ระโยชนไ์ มไดออก 2) การตรวจสอบความถูกตองของขอมูล เพื่อใหม่ันใจวาขอมูลที่จะนําเขาสกู ระบวนการประมวลผลเปน็ ขอ มลู ท่เี ช่ือถือได สมบูรณ์ และอยใู นรปู แบบท่ีพรอมจะนาํ เขา 3) การตรวจแกขอมูล มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความผิดพลาดจากการเก็บรวบรวมขอ มลู มกั อยใู นขัน้ ตอนการนาํ เขา เขามูล หากพบสง่ิ ผิดพลาดจะไดท ําการแกไขกอน 4) การนําเขาขอมูล เป็นข้ันตอนท่ีขอมูลแบบตัวเลข ขอความ ภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอ อาจคัดลอกรายการขอมูลจากเอกสารตนฉบับเขาเคร่ืองประมวลผล หรือนําเขาขอมูลโดยพิมพ์เขาสูระบบคอมพิวเตอร์โดยตรง และบันทึกไวในสื่อจัดเก็บจนกวาจะถึงเวลาเรียกขอมลู มาประมวลผล 2.2 การประมวลผลขอมูล (data processing) เป็นการจัดดําเนินการทางสถิติ หรือการเปลี่ยนขอมูลท่นี ําเขาสกู ระบวนการใหออกมาเป็นผลลัพธ์ท่ีตองการ หรือเป็นการสรางสารสนเทศใหมจากสารสนเทศเกา ท่ีนาํ เขา สูก ระบวนการประมวลผล ซ่ึงทาํ ไดหลายวธิ ีดงั น้ี 2.2.1 การเรียงลาํ ดบั (arranging) 2.2.2 การจัดหมวดหมูขอมลู (classify 2.2.3 การคํานวณ (calculation) 138 2.2.4 การสรุป (summarizing) 2.2.5 การวเิ คราะหข์ อ มลู (data analysis) 2.3 การจัดเก็บสารสนเทศ (storing) สารสนเทศที่ไดจากการประมวลผลจะถูกจัดเก็บไวใ นแหลง จดั เกบ็ เพ่ือการคน คนื มาใชตอไป แบงไดเป็น 3 ประเภท ดงั น้ี 2.3.1 การจัดเก็บสารสนเทศไวท ่แี หลงเดียวกัน โดยการจดั รวบรวมขอมูลของเร่ืองตางๆ จัดระเบยี บไวต ามลําดับชนั้ ของขอ มลู ไวทแ่ี หลง เดยี วกันซ่ึงเรยี กวา ฐานขอ มูล 2.3.2 การจัดเก็บสารสนเทศท่ีเป็นผลผลิตจากกระบวนการประมวลผลไวในสื่อจัดเก็บประเภทตางๆ เพ่ือการเรียกใชอีกภายหลัง ไดแก การบันทึกขอมูลลงแถบบันทึกคอมพิวเตอร์การบันทกึ ขอ มูลลงบนจานบนั ทกึ และการปรับขอ มลู ใหเป็นปัจจุบนั 2.3.3 การสืบคนเพ่ือใชงาน (retrieval) เป็นกระบวนการในการคนหาตําแหนงท่ีจัดเกบ็ สารสนเทศทีต่ อ งการใชงานมาใชงาน หรือหากตองการเป็นหลักฐานอาจส่ังใหพิมพ์สารสนเทศออกมาเป็นเอกสารก็ได 2.4 การสงออกหรือการแสดงผล (output) เป็นกระบวนการของการประมวลผลไปสูบุคคลที่ตองการนําสารสนเทศไปใชในรูปแบบท่ีเหมาะสม เชน ในรูปแบบแผนภาพ แผนภูมิรายงาน และการบันทึกตวั เลขลงบนแผนกระดาษ เป็นตน 2.5 การส่ือสารสารสนเทศ (information communicating) เป็นการสงสารสนเทศไปยังบุคคลอ่ืนหรือสถานท่ีอ่ืนโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารโทรคมนาคมในการกระจายสารสนเทศไปสูผูใชตามท่ผี ใู ชต อ งการ กระบวนการแปลงขอ มลู เป็นสารสนเทศขางตน บงชีไ้ ดว าขอ มลู จะกลายเป็นสารสนเทศทเ่ี ป็นประโยชน์ตอ การใชงานไดท ันที เม่ือสารสนเทศนัน้ สรางจากการขอมูลท่ีผานกระบวนการจัดการเพ่ือใหไ ดสารสนเทศทเี่ ป็นประโยชนต์ อการใชง านขององคก์ ร 3. ความหมายของการจดั การความรู้ นกั วิชาการหลายทานใหความหมายของคําวา “การจัดการความรู” ไวไดดงั น้ี วิจารณ์ พานิช (2555) ใหความหมายของความรู วาสําหรับนักปฏิบัติ การจัดการความรู คือ เครื่องมือ เพื่อการบรรลุเปูาหมายอยางนอย 4 ประการ ไปพรอมๆ กัน ไดแก บรรลุเปูาหมายของงาน บรรลุเปูาหมายของการพัฒนาคน บรรลุเปูาหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรเรยี นรู และบรรลุความเปน็ ชมุ ชน เปน็ หมูคณะ ความเออื้ อาทรระหวา งกันในที่ทํางาน การจัดการความรูเป็นการดาํ เนนิ การอยางนอ ย 6 ประการตอความรู ไดแ ก 1) การกําหนดความรูห ลกั ทจ่ี าํ เป็น หรอื สําคัญตองาน หรือกจิ กรรมของกลุม หรอื องคก์ ร 2) การเสาะหาความรูทต่ี องการ 3) การปรับปรงุ ดัดแปลง หรือสรา งความรูบ างสวนใหเหมาะตอ การใชงานของตน 4) การประยกุ ตใ์ ชค วามรูใ นกจิ การงานของตน 5) การนําประสบการณ์จากการทํางาน และการประยุกต์ใชความรูมาแลกเปลี่ยนเรยี นรู และสกัดขมุ ความรูออกมาบันทึกไว 6) การจดบันทึก “ขุมความรู” และ “แกนความรู” สําหรับไวใชงาน และปรับปรุงเป็นชดุ ความรูที่ครบถว น ลุมลึก และเชอ่ื มโยงมากขึ้น เหมาะตอ การใชงานมากย่งิ ขึ้น 139 การดําเนินการ 6 ประการน้ี บูรณาการความรูท่ีเกี่ยวของ ซึ่งเป็นทั้งความรูที่ชัดแจง(explicit knowledge) อยูในรปู ของตัวหนงั สอื หรอื รหัสอยางอ่ืนที่เขาใจไดทั่วไป ในขณะท่ีความรูฝังลึกท่อี ยูในคน (tacit knowledge) อยูในใจ ไดแก ความเชื่อ คานิยมท่ีอยูใน และไดจากทักษะในการปฏบิ ัติ เดฟ สโนว์เดน (Dave Snowden, 2003) กลาววา องค์กรตองมีการจัดการความรูเพ่ือปรับปรุงประสิทธิผลของการตัดสินใจในองค์กร และเพ่ือสรางนวัตกรรม ทั้งนี้มีการจัดการความรอู ยู 3 ประเภท ดงั นี้ 1) การจัดการความรูจากเอกสาร (content management) การจัดการความรูประเภท Explicit โดยเนน การจดั ระเบยี บเอกสาร หรือโครงสรางตางๆ 2) การจัดการความรโู ดยใชเ ทคนิคการเลาเร่ือง (narrative management) เป็นการจัดการความรูโดยใชเทคนิคการเลาเรื่องที่รูมา การใชเทคนิคน้ีตองเช่ือมตอระหวางวิธีการส่ือท่ีนาสนใจ และเนื้อหาสาระทีต่ อ งการสอื่ 3) การจัดการความรูโดยใชกิจกรรม (context management) เป็นการใชกิจกรรมกระตนุ ใหเกดิ การเรยี นรู โดยเครอื ขายทางสังคม นํ้าทิพย์ วิภาวิน (2550, หนา 23) ใหความหมายของ การจัดการความรู วาการจดั การความรู หมายถึง การรวบรวมองคค์ วามรทู ีม่ ีอยใู นองค์กร ซ่งึ กระจดั กระจายอยูในตัวบุคคลหรือเอกสารมาพัฒนาใหเป็นระบบ เพื่อใหทุกคนในองค์กรสามารถเขาถึงความรู และพัฒนาตนเองใหเป็นผูรู รวมท้ังปฏบิ ัตงิ านไดอยา งมีประสิทธิภาพอนั จะสง ผลใหองค์กรมคี วามสามารถในเชงิ แขงขันสงู สดุ จากขอมูลขางตนสามารถสรุปไดวา การจัดการความรู หมายถึง กระบวนการบริหารจัดการอยางเป็นระบบท่ีเนนการพัฒนาการปฏิบัติงานควบคูไปกับการเรียนรูรวมกันของคนภายในองค์กร เพ่ือยกระดับความรู กอใหเกิดองค์ความรูใหมอยางมีคุณคา ทําใหทุกคนในองค์กรสามารถเขาถึงความรู และพัฒนาตนเองใหเป็นผูรู รวมทั้งปฏิบัติงานไดอยางมีประสิทธิภาพอันจะสงผลใหองค์กรมีความสามารถในเชิงแขงขัน ปัจจุบันมีการนําการจัดการความรูเชิงความหมาย (semantic knowledgeManagement) ซง่ึ เป็นรูปแบบการจัดการความรูในอีกรูปแบบหน่ึง ที่มุงเนนการจัดเก็บองค์ความรูที่สามารถนําไปใชงานในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไดในรูปแบบของฐานความรูสําหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือออนโทโลยี (ontology) โดยการใชกระบวนการทางวิศวกรรมความรู (knowledgeengineering) การจัดการความรูเชิงความหมายจําเป็นตองอาศัยแหลงความรูท่ีมีในรูปแบบเอกสารอางอิง (Reference documents) และแหลงความรูจากผูเช่ียวชาญเฉพาะสาขา (domainexperts) เป็นการผสมผสานท้ังการจัดการความท่ีชัดแจง (explicit knowledge) และการจัดการความรูที่อยูในตัวบุคคล (tacit knowledge) เขาดวยกัน การแบงประเภทของความรูเป็นประเภทตางๆ ทําใหเราสามารถจัดระบบของการตีความความรูที่เปลี่ยนแปลงไดตลอดเวลา สงผลใหเกิดความรูใหมๆ อยูเสมอ (เนคเทค, 2555) 140ความสมั พันธร์ ะหวา่ งระบบสารสนเทศ การดําเนินกิจกรรมทางธุรกิจขององค์กรมักพบวาสารสนเทศที่เกิดจากหนวยงานหนึ่งอาจเป็นประโยชน์สําหรับหนวยงานอื่นได หรือพบวาการใชสารสนเทศรวมกันระหวางหนวยงานจะใหสารสนเทศทเี่ ป็นประโยชน์มากข้ึน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหวางระบบสารสนเทศที่อยูคนละหนวยงานจงึ เก่ียวกบั การใชขอมลู รว มกันระหวา งระบบเหลานั้น (วิเชียร เปรมชัยสวัสดิ์, 2551, หนา 21) ทั้งยังชว ยประหยัดการใชทรัพยากรทีม่ อี ยูรว มกนั ระบบสารสนเทศในองค์กรสว นใหญในปัจจุบันมีการจําแนกระบบตามการใหการสนับสนุนของระบบสารสนเทศได 5 ประเภท ดังนี้ 1. ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing Systems: TPS) 1.1 ระบบประมวลผลรายการมีลักษณะดงั นี้ (อรรถกร เกงผล, 2548, หนา 76) 1.1.1 ขอมูลมักจะมจี าํ นวนมาก เน่อื งจากตองรับขอ มลู ทเี่ กิดข้นึ ทุกวนั 1.1.2 ตอ งมกี ารประมวลผลขอมลู เพอ่ื สรุปยอดตางๆ เป็นประจาํ 1.1.3 ตอ งมคี วามสามารถในการเปน็ หนว ยจัดเก็บขอมูลที่ดี 1.1.4 ตองมีความงายในการใชงาน เนื่องจากผูใชอาจไมคุนเคยกับการทํางานท่ียุงยากซบั ซอน และในขณะใชงานอาจจะมีลกู คารอการปฏิบัติงานอยู 1.1.5 ระบบ TPS ถูกออกแบบใหมีความเทย่ี งตรงสงู (high reliability) 1.2 หนาที่ของระบบประมวลผลรายการมี 3 ประการ คือ การทําบัญชี (bookkeeping) การออกเอกสาร (document issuance) และการทํารายการควบคุม (control reporting)เพ่อื ใชต รวจสอบ และควบคมุ การปฏบิ ัตงิ านตางๆ ขององคก์ รทไี่ ดกระทําไปแลว เป็นประจําทุกวัน ระบบประมวลผลรายการเริ่มตนจากการปูอนขอมูลเขาสูระบบ แลวนําไปประมวลผลรายการ จากน้นั จึงทาํ การปรับปรงุ แกไขฐานขอมลู สรางรายงานเอกสาร และประมวลจากการบริการแบบสอบถาม เพื่อนําผลท่ีไดมาปรับปรุงแกไขใหถูกตองอีกคร้ัง สามารถสรุปกระบวนการทํางานไดดังภาพตอไปน้ี 1411. 2. 3. (data entry) (transaction processing) (file / database updating) 5. 4. (inquiring processing) (document and report generation) ภาพท่ี 7.2 วงจรระบบประมวลผลรายการ 2. ระบบสารสนเทศสานักงาน (Office Information System: OIS) หรือระบบสานกั งานอตั โนมัติ (Office Automation System: OAS) ระบบสารสนเทศสาํ นักงานสามารถแบงหนา ทีไ่ ดเ ป็น 4 ประเภท ดงั นี้ 2.1 ระบบจดั การทางดานเอกสาร (document management system) เป็นระบบที่ทําหนาท่ีจัดการเอกสาร ไมวาจะเป็นการสราง การบันทึก และการสงเอกสารไปยังฝุายตางๆ ภายในองคก์ ร 2.2 ระบบการสงขาวสาร (message-handing system) เป็นระบบที่ทําหนาท่ีสงขาวสารขององค์กรจากสถานท่ีหนึ่งไปยังอีกที่หน่ึง ทําใหไดรับความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดคา ใชจา ยในการจัดสง การสงขา วสารในปจั จุบันสามารถทําไดหลายวิธี 2.3 ระบบการประชุมทางไกล (teleconferencing system) เป็นระบบท่ีใชประชุมโดยผเู ขารว มประชมุ สามารถพูดคุยประชุมกันไดตามปกติแมอยูหางไกลกัน 2.4 ระบบสนับสนุนในสํานักงาน (office support system) เป็นระบบท่ีชวยใหพนักงานสามารถนําเทคโนโลยีท่ีมีอยูในสํานักงาน เพื่อใหงานดําเนินไปไดอยางสะดวก รวดเร็ว และมีประสทิ ธิภาพ 3. ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การ (Management Information System: MIS ระบบสารสนเทศเพ่อื การจัดการมหี นา ท่จี ดั ทาํ รายงานท่ีมีรูปแบบแตกตางกัน สามารถจาํ แนกได 4 ประเภท (ศรีไพร ศกั ดร์ิ งุ พงศากุล, 2551, หนา 161) ดงั น้ี 3.1 รายงานท่ีจัดทําตามระยะเวลาท่ีกําหนด (periodic reports) อาจเป็นรายงานที่ทําเป็นประจําทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือทุกปี เชน รายงานยอดขายของโฮมเบเกอร่ีมหาวิทยาลัยราชภฏั สวนดุสิต รายงานการชําระเงนิ คา ลงทะเบยี นของนักศกึ ษา เปน็ ตน 142 3.2 รายงานสรุป (summarized reports) เป็นรายงานท่ีจัดทําเพ่ือสรุปผลการดาํ เนินงานโดยภาพรวม แสดงผลในรูปแบบตารางสรปุ จํานวน และกราฟเปรยี บเทียบ 3.3 รายงานท่ีจัดทําตามเง่ือนไขเฉพาะ (executive reports) เป็นรายงานท่ีไมอยูในเกณฑ์การจัดทํารายงานตามปกติ มีวัตถุประสงค์เพื่อใหผูบริหารใชสารสนเทศสําหรับการตัดสินใจอยา งเปน็ ปจั จบุ ัน 3.4 รายงานทจ่ี ดั ทาํ ตามตองการ (demand reports) เป็นรายงานที่มีลักษณะตรงกันขามกับรายงานที่จัดทําตามระยะเวลาท่ีกําหนด จะจัดทําเม่ือผูบริหารมีความตองการรายงานน้ันๆเทา น้ัน จากขอ มูลขา งตนสามารถสรปุ ไดดงั ภาพตอ ไปนี้ TPS MIS ภาพท่ี 7.3 ระบบสารสนเทศเพ่อื การจัดการ 4. ระบบสนับสนุนการตัดสนิ ใจ (Decision Support System: DSS) ลกั ษณะทีส่ ําคัญของ DSS คือ เปน็ ระบบท่ที ําใหสามารถสืบคนไดรวดเร็วประกอบการตัดสินใจ ใชในการแกปัญหาและกําหนดกลยุทธ์ จึงควรออกแบบใหมีลักษณะโตตอบ (interactive)กับผูใชไดดี ผูใชสามารถสืบคนขอมูลจากฐานขอมูล โดยผูบริหารมีบทบาทสําคัญยิ่งตอการกําหนดรปู แบบการพัฒนา DSS (ณาตยา ฉาบนาค, 2548, หนา 185) ดงั น้ี 4.1 ประมวลผลและเสนอขอมูลประกอบการตัดสินใจแกผูบริหาร เพ่ือใชทําความเขา ใจและเป็นแนวทางในการตัดสินใจ 4.2 ประเมินทางเลือกที่เหมาะสม ภายใตขอจํากัดของแตละสถานการณ์ ชวยใหผูบริหารวเิ คราะห์และเปรยี บเทยี บทางเลอื กไดสอดคลอ งกับปญั หาหรือสถานการณม์ ากที่สุด 4.3 เปน็ ระบบที่สนบั สนนุ การตดั สนิ ใจทั้งแบบกง่ึ โครงสรางและไมมโี ครงสรา ง 4.4 เป็นระบบท่ีงายตอการเรียนรูและใชงาน เนื่องจากผูใชบางคนอาจไมถนัดในการใชงานบางระบบ ดังนั้นระบบที่ใชงานไดดีและมีประสิทธิภาพควรเป็นระบบที่มีความสะดวกตอผใู ชงานระบบ 4.5 เป็นระบบที่สามารถโตตอบและสื่อสารกับผูใชไดรวดเร็ว เพื่อสนองตอบความตอ งการของผูใช โดยเฉพาะการทาํ งานท่ีตองการความรวดเรว็ และมปี ระสิทธิภาพ สามารถแกปัญหาไดท นั ทว งที 4.6 มีขอมูลและแบบจําลองสําหรับสนับสนุนการตัดสินใจท่ีเหมาะสม สอดคลองกับปญั หาแตล ะลกั ษณะ 143 4.7 ยืดหยุนตอการสนองตอบความตองการท่ีเปล่ียนแปลงของผูใชไดตลอดเวลา จึงสามารถปรบั ปรุงแกไขขอมูลเพ่อื ในการตัดสินใจได 4.8 สนับสนุนการทํางานของผูบริหารไดหลายระดับ สนับสนุนการทํางานและประกอบการตัดสินใจที่เก่ียวเนื่องกันตามขอมูลที่เพยี งพอตอ การสนบั สนุนการตัดสนิ ใจ 4.9 DSS ชวยผูบริหารทดสอบทางเลือกในการตัดสินใจ โดยต้ังคําถาม “ถา......แลว...... (What……..if…....)” อยางมีประสิทธิภาพ นอกจากนยี้ งั ชวยใหผ บู รหิ ารมที างเลอื กที่ตอบสนองตอปัญหา ทั้งน้ีสามารถจําลองความสัมพันธ์ระหวางผูใชกับระบบสารสนเทศส นับสนุนการตัดสนิ ใจไดดงั ภาพตอไปน้ีภาพที่ 7.4 แบบจําลองความสัมพันธร์ ะหวา งผูใชกับระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสนิ ใจ ทม่ี า (ณัฏฐพันธ์ เขจรนนั ทน์ และไพบลู ย์ เกยี รติโกมล, 2551, หนา 135) เพื่ อไมให เกิด ความเขาใจสั บ ส นจึ งส ามารถเ ป รีย บ เ ทีย บ ความแต กต างของร ะบ บประมวลผลรายการ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ดังตารางตอ ไปน้ีตารางท่ี 7.1 เปรียบเทียบระบบประมวลรายการ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การและระบบ สนับสนนุ การตดั สนิ ใจ ระบบประมวลผล หัวข้อ รายการ (TPS) และ ระบบสารสนเทศเพ่อื การ ระบบสนับสนุนการ1. วตั ถปุ ระสงค์ ระบบสารสนเทศ จดั การ (MIS) ตัดสนิ ใจ (DSS)หลัก สานกั งาน (OIS)2. จุดเดนของระบบ เพอ่ื ใชในงานดาน เพือ่ ควบคมุ ตรวจสอบการ เพ่ือสนบั สนนุ การ ปฏบิ ตั ิการ ปฏิบัติการและสรุป ตัดสนิ ใจของผูบ รหิ าร สภาพการณ์ เนน ขอ มูลและ เนน การควบคุม การ เนน ดา นการตดั สนิ ใจ ประสิทธภิ าพสําหรบั การ จัดการผลสรปุ การ และการวางแผน ปฏิบตั ิงาน ปฏบิ ัติการ 144 หัวข้อ ระบบประมวลผล ระบบสารสนเทศเพื่อการ ระบบสนบั สนุนการ รายการ (TPS) และ จดั การ (MIS) ตดั สินใจ (DSS)3. ผใู ชร ะบบ ระบบสารสนเทศ สานักงาน (OIS) ผูจดั การและผูควบคุมการ ผบู ริหารทกุ ระดบั โดย4. ชนิดของ ปฏบิ ตั งิ าน ผบู รหิ าร เนนทีผ่ บู ริหารปญั หา ผูปฏบิ ตั ิงาน ระดบั กลาง ระดบั กลางและ5. แหลงขอมลู ผคู วบคมุ การปฏิบัติงาน ผูเชยี่ วชาญ ก่งึ โครงสรางและไมมี6. ความคลองตวั มโี ครงสราง มีโครงสรา ง โครงสรา งของระบบ ขอ มลู จากหลายแหลง ขอมลู จากการปฏบิ ัติงาน ขอ มลู แตล ะขอบเขตการ ทงั้ ภายใน (ไดแก แตละขอบเขตธุรกิจใน บรหิ ารในองค์กร ระบบ TPS, MIS) และ องค์กร ขอ มลู จากระบบ TPS ภายนอกองค์กร สามารถปรบั เปลี่ยนได มกี ฎเกณฑก์ ารทาํ งานท่ี มีกฎเกณฑก์ ารทาํ งานที่ ตามสถานการณ์ ชัดเจน ชดั เจน สามารถปรับเปลย่ี นไดบาง ท่ีมา (ศรีไพร ศักดร์ิ งุ พงศากลุ , 2551) 5. ระบบสารสนเทศเพ่ือผู้บริหาร (Executive Information System: EIS หรือExecutive Support System: ESS) ระบบสารสนเทศเพ่ือผูบริหารมีลักษณะสําคัญ 5 ประการ (ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ และไพบูลย์ เกียรตโิ กมล, 2551, หนา 157) ดังน้ี 5.1 สนับสนุนการวางแผนกลยุทธ์ (strategic planning support) ผูบริหารระดับสูงสวนใหญมักจะใหความสําคัญตอการวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อใหสามารถประยุกต์ใชเทคโนโลยีสารสนเทศมาชวยเพิม่ ประสิทธิภาพในการกาํ หนดแผนทางกลยุทธท์ ีส่ มบรู ณ์ 5.2 เชื่อมโยงกับส่ิงแวดลอมภายนอกองค์กร (external environment focus) สามารถสืบคนสารสนเทศที่ตองการและจําเป็นตอการตัดสินใจจากฐานขอมูล ขององค์กรไดอยางรวดเร็วโดยเฉพาะขอมูลและขา วสารที่เกดิ ขึ้นกบั สง่ิ แวดลอมภายนอกองค์กร 5.3 ความสามารถในการคํานวณภาพกวาง (broad-based computing capabilities)การตัดสินใจของผูบริหารสวนใหญเกี่ยวของกับปัญหาที่มีโครงสรางไมแนนอนและขาดความชัดเจนเจาะลึกถึงภาพโดยรวมของระบบแบบกวางๆ ไมลงลึกในรายละเอียด ดังนั้นการคํานวณท่ีผูบริหารตอ งการจงึ เป็นลักษณะงา ยๆ ชดั เจน เปน็ รูปธรรม และไมซับซอ นมาก 5.4 งายตอการเรียนรูและใชงาน (exceptional ease of learning and use) การท่ีผูบริหารมีกิจกรรมหลากหลายท้ังภายในและภายนอกองค์กร จึงมีเวลาในการตัดสินใจในแตละงานนอยดงั น้ันการพฒั นา EIS ควรเลอื กรูปแบบกราฟ ใชภาษาที่งา ยตอการเขาใจ มกี ารตอบโตท่ีรวดเร็ว 145 5.5 พัฒนาเฉพาะสําหรับผูบริหาร (customization) การตัดสินใจของผูบริหารสวนใหญมีความสัมพันธ์ตอพนักงานอ่ืน และตอการดําเนินธุรกิจขององค์กร ซึ่งเป็นส่ิงท่ีนักวิเคราะห์และออกแบบระบบตองคํานึงถึงในการพัฒนา EIS เพ่ือพัฒนาใหมีศักยภาพและประสิทธิภาพสูงเหมาะสมกับการใชงานและเป็นแบบเฉพาะสําหรับผูบริหารที่จะเขาถึงขอมูลตามท่ีตองการ เชนขอมูลใดท่ีผูบริหารตองการมาก หรือมีการเรียกใชบอยควรออกแบบใหมีข้ันตอนการเขาถึงไดงายสะดวกและรวดเร็ว โดยการกดปุมบนแปูนพิมพ์เพียงไมก่ีปุม หรือการเคล่ือนที่และใชงานเมาส์บนจอภาพ หรอื การสงั่ งานดวยเสยี งพดู เปน็ ตน จากลักษณะของระบบสารสนเทศเพื่อผูบริหารขางตนสามารถสรุปเป็นภาพไดดังนี้ EIS - TPS/MIS/DSS - - - - Standard & Poor’s - - - ภาพท่ี 7.5 ระบบสารสนเทศเพ่ือผบู ริหาร ท่ีมา (Laudon & Laudon, 2000, p.47) จากขอมูลขา งตนสามารถเปรียบเทยี บขอ ดีและขอจํากัดระหวางระบบสารสนเทศเพื่อผูบริหารและระบบสนับสนุนการตัดสนิ ใจ สรุปไดด ังตารางตอไปน้ีตารางที่ 7.2 ขอดีและขอจํากัดของระบบสารสนเทศเพื่อผูบริหาร (ชนวัฒน์ โกญจนาวรรณ, 2550,หนา 105-106) มิติ ระบบสารสนเทศเพอ่ื ผู้บริหาร (EIS) ระบบสนบั สนนุ การตัดสินใจ (DSS)กลุมผใู ช ผบู รหิ ารระดบั สูง ผูบ รหิ ารระดับกลาง นักวเิ คราะห์ และออกแบบระบบการสนบั สนุนการ สนบั สนนุ การตัดสินใจแบบไมมี สนับสนุนการตดั สินใจทกุ รูปแบบตัดสนิ ใจ โครงสราง โดยตรงชนิดของสารสนเทศท่ี สารสนเทศทวั่ ไป เชน ขาว ขอมูลภายใน สารสนเทศเฉพาะทีเ่ กี่ยวของกบัใช และภายนอกองค์กร ขอมลู ลูกคา ปัญหาที่เกิดขึน้ ตารางเวลารายงาน เป็นตนการทํางานเบ้ืองตน ติดตาม ควบคุมการทํางาน วางแผนและ วางแผน จดั การองค์กร บคุ ลากรและ กาํ หนดทิศทางโอกาสในภาพรวมของ ควบคุมการปฏบิ ัติงานของบุคลากร องค์กร แตละหนวยงานในองค์กร 146มติ ิ ระบบสารสนเทศเพือ่ ผู้บริหาร (EIS) ระบบสนับสนนุ การตดั สินใจ (DSS)กราฟิก มีรปู แบบเปน็ กราฟิกทกุ ระบบงาน มรี ูปแบบของกราฟิกในบางสวนการใชง าน ใชงานงาย ใชง านงา ยเม่ือไมมกี ารทํางานรว มกับ ระบบอื่นๆระบบจัดการ มรี ะบบกรอง ตรวจสอบ ติดตาม และ จากปัญหาท่ีคนพบดว ย EIS นาํ มาสารสนเทศ เปรยี บเทยี บขอมูล คน หาแนวทางแกไ ขดว ย DSSแบบจําลอง จัดเป็นเพียงสวนประกอบทจ่ี ะมกี าร เปน็ สว นประกอบหลักของ DSS ที่ ตดิ ตงั้ เมื่อผูใชตอ งการ ตองมีการพฒั นาระบบ พัฒนาโดยบริษทั ผูผลิตหรือผูเชีย่ วชาญ พฒั นาโดยผใู ชท วั่ ไปหรอื สว นงานที่ เกี่ยวกบั ระบบสารสนเทศ รับผิดชอบเกี่ยวกบั ระบบสารสนเทศอุปกรณ์ประกอบ Mainframe, Workstation, LAN Mainframe, Workstation, PC, LANผลิตภัณฑซ์ อฟต์แวร์ ตองเขาถึงขอ มูลในฐานขอมลู ไดงา ย มี ตองสามารถจําลองแบบสถานการณ์ การเขาถึงแบบออนไลน์ มรี ะบบจัดการ ปญั หาตางๆ ไดเป็นอยางดี มีฟงั กช์ นั ฐานขอ มูลท่ีมีประสทิ ธภิ าพสงู ท่สี ามารถสรางแบบจําลองเองไดความสัมพันธ์ของระบบสารสนเทศระบบตางๆ ในองค์กร พบวา TPS จะเป็นแหลงขอมูลพื้นฐานใหกับระบบสารสนเทศอ่ืนๆ ไดแก ระบบ OIS ในขณะท่ี EIS จะเป็นระบบท่ีรับขอมูลจากระบบสารสนเทศในระดับท่ีต่ํากวา จากการแลกเปล่ียนขอมูลภายในระดับยอยๆ กันเอง สวน MISเป็นระบบท่สี รุปการประมวลผลธรุ กรรมขององค์กรตอ จาก TPS เพื่อสงตอ ขอ มลู ไปยังระบบ DSS โดยระบบ DSS จากหลายหนวยงานสนับสนุนก็สงสารสนเทศที่ผานการประมวลผลในภาพรวมแกระบบEIS เพือ่ ใหผูบริหารใชป ระกอบการตดั สนิ ใจ เปน็ ตนสถาปตั ยกรรมระบบการจัดการความรู้ สถาปัตยกรรมระบบการจัดการความรูมีความสําคัญในการชวยใหเขาใจประเภทของเทคโนโลยีในแตละระดับ ตั้งแตระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับสูง เพ่ือใหนํามาประยุกต์ใหเหมาะกับการจัดการความรูของแตละองค์กร พัฒนาองค์กรใหเป็นองค์กรแหงการเรียนรู ซึ่งมีองค์ประกอบการจดั การความรู (นํ้าทพิ ย์ วิภาวนิ และนงเยาว์ เปรมกมลเนตร, 2551, หนา 74) แบง เปน็ 3 ระดับ โดยระดับแรก คือ บริการโครงสรางพื้นฐาน ระดับท่ีสอง คือ บริการความรู และระดับท่ีสาม คือ บริการประสานผใู ชก บั แหลงความรู หรือแหลง สารสนเทศ สถาปัตยกรรมระบบการจัดการความรูประกอบดว ย 3 สว น ดังน้ี 1. บรกิ ารโครงสรา้ งพืน้ ฐาน (infrastructure services) การบริการโครงสรางพื้นฐาน หมายถึง เทคโนโลยีพ้ืนฐานที่จําเป็นในการประยุกต์กับการจดั การความรู มี 2 ประเภท คือ เทคโนโลยีสําหรับการจัดเก็บ และเทคโนโลยีสําหรับการสื่อสารซง่ึ มีรายละเอยี ดดงั น้ี 1.1 เทคโนโลยีที่สนับสนุนการจัดเก็บความรู (storage of technology) หรือท่ีเรียกวา คลังความรู (knowledge repository) เกี่ยวของกับการจัดเก็บตัวเนื้อหาความรู (content) 147และโครงสราง (structure) โดยท่ัวไปคลังความรูมักจะเก็บขอมูลและเอกสาร ปัจจุบันคลังความรูไดรับการออกแบบใหมีความสามารถในการจับสารสนเทศที่เป็นกราฟิก คลังความรูจึงเป็นการใชเทคโนโลยีเพอื่ การสราง และใชค วามรูซ าํ้ ประเภทของเทคโนโลยีในการจดั เกบ็ ความรูมดี ังน้ี 1.1.1 คลังขอมูล (data warehouse) เป็นเทคโนโลยีท่ีใชในการรวบรวมขอมูลจํานวนมากจากหลายแหลงภายในองค์กร และชวยในการวิเคราะห์ขอมูล ตัวอยางในการประยุกต์ใชงานเก็บรวบรวมสารสนเทศเก่ียวกับลูกคาและรายละเอียดที่เกิดจากการทํางานประจําวัน เพ่ือใชประโยชนใ์ นการพฒั นาความสัมพันธก์ ับลกู คา ใหด ีขึน้ 1.1.2 แมขายความรู (knowledge server) เป็นเทคโนโลยีท่ีใชในการสรางเน้อื หา การอางถงึ และเชอ่ื มโยงเอกสารแตละชิ้น มีการจัดระบบความรูในองค์กรโดยการจัดกลุม ทําดรรชนีเขา ถงึ และสรางเมตาดาตา (metadata) โดยผูใ ชสามารถเรียกใชผานเวบ็ บราวเซอร์ 1.2 เทคโนโลยีท่ีสนบั สนุนการส่ือสาร (technology for communication) มี 3 ประเภท ดงั น้ี 1.2.1 เทคโนโลยีในการส่ือสารระหวางพนักงาน เชน การรับสงแฟูมขอมูล และอีเมล ตัวอยางเชน การใชโปรแกรมเอาทล์ กุ ค์ (Outlook) ในองคก์ รตางๆ เพ่ือการสอ่ื สารผานอีเมล 1.2.2 เทคโนโลยีท่ีสนับสนุนความรวมมือระหวางพนักงาน เป็นการใชเทคโนโลยีในการชว ยใหพ นักงานสามารถพูดคุย โตต อบ หรอื แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันท้ังในขณะเวลาเดียวกันและตางเวลากัน เชน โปรแกรมเน็ตมีทต้ิง (NetMeeting) สนับสนุนการประชุม การสนทนาออนไลน์(chat) และการแบง ปนั ถายทอดความรรู ะหวา งพนักงานในองค์กร 1.2.3 เทคโนโลยีการจัดการการทํางานของบุคลากร (Workforce Management)เป็นระบบที่สนับสนุนใหพนักงานสามารถจัดการ และควบคุมกระบวนการทํางานผานทางระบบออนไลน์ เชน ระบบที่ใชในการรับ และยืนยันรายการสินคาจากรายการสินคาของตัวแทนจําหนายผา นทางออนไลนไ์ ด 2. บรกิ ารความรู้ (knowledge services) การบริการความรู หมายถึง การประยุกต์ใชเทคโนโลยีเพ่ือสนับสนุนการใหบริการความรู เปูาหมายหลักของการจดั การความรูงมี 3 ดาน ดงั นี้ 2.1 การสรางความรู (knowledge creation) ถูกสรางผานวิธีการ 3 รูปแบบ ไดแก1) การใชป ระโยชน์จากความรเู ดมิ 2) การสํารวจความรู การประมวลและการเขารหัสความรู เป็นการกล่ันกรองความรูที่มีอยูเดิมเพื่อนําไปสูการสรางความรูใหมที่ดีและมีประสิทธิภาพมากข้ึน และ3) การประมวลและเขารหัสความรูเป็นกระบวนการในการเชื่อมโยงความรูท่ีอยูในตัวคน (tacitknowledge) ใหอยูในรูปแบบที่ใชงานงายขึ้น เชน สูตร คูมือ หรือเอกสาร โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ืออํานวยความสะดวกในการเขาถงึ ของคนอ่นื ๆ เปน็ ตน 2.2 การแบงปันความรู (knowledge sharing) เพ่ือแบงปันความรู ซึ่งถือเป็นเปูาหมายท่ีสําคัญของการจัดการความรู โดยใชเคร่ืองมือท่ีเรียกวา การวิเคราะห์เครือขายสังคม เชนระบบท่ีมีความสามารถในการสรางแผนที่ความรูที่โยงไปยังผูเชี่ยวชาญในบริษัท เพื่ออํานวยความสะดวก และเปน็ ชอ งทางใหค นในองคก์ รเขามาแลกเปลี่ยนเรยี นรกู บั ผเู ชยี่ วชาญเหลา น้ี 2.3 การใชความรูซํ้า (knowledge reuse) มีความหมายในเชิงกวาง คือ การสืบคืนสารสนเทศ (information retrieval) กระบวนการของการใชความรูซํ้ามี 4 ขั้นตอน คือ 1) การจับ 148ความรู 2) การจัดทําความรูสําเร็จรูป 3) การแพรกระจายความรู และ 4) การใชความรู (Markus,2001) ไดแก เทคโนโลยีทใ่ี ชในการจดั การเน้อื หา และการทาํ แผนท่ีความคิด เพื่อสรางและดําเนินการกับเนื้อหาทม่ี คี วามหลากหลายและมีรปู แบบแตกตางกัน ท้ังขอความ ภาพนง่ิ และภาพเคลื่อนไหว สรุปไดวาวัตถุประสงค์ของการบริการความรูเป็นการเพิ่มความสามารถในการสืบคนเชน เพ่ิมความสามารถในการตอบสนองความตองการของผูใช และการสรางขอมูลหรือเมตาดาตาเพื่อสรางความรูใหม แบงปันความรู และใชความรูซํ้า โดยระบบการสืบคนสวนใหญใชเทคนิคการรวบรวมความตองการของผูใชจากคําถามท่ีผูใชสืบคนผานระบบ จึงมีการพัฒนาระบบเมตาดาตาซึ่งเปน็ สารสนเทศทมี่ ปี ระโยชนใ์ นการอธิบายตวั เอกสารที่สามารถใชในการสรางชุดขอมูลที่สอดคลองกับความตองการของผูใชบรกิ ารสารสนเทศ 3. บรกิ ารประสานผใู้ ช้กบั แหล่งความร้หู รือแหล่งสารสนเทศ (presentation services) การพัฒนาบริการประสานผใู ชกับแหลง ความรู หรือแหลงสารสนเทศมี 2 ประเภท คือบรกิ ารทแี่ สดงความเปน็ สว นบคุ คลของผใู ชแ ตละคน และระบบท่ีชวยการมองเห็น 3.1 บริการที่แสดงความเป็นสวนบุคคลของผูใชแตละคน (personalization) เป็นระบบที่แสดงความเป็นสวนบุคคลของผูใชแตละคน เพ่ือสรางระบบที่เหมาะกับความตองการท่ีเฉพาะเจาะจงของผูใชแตละคน เกี่ยวกับการรวบรวมสารสนเทศของผูใช และจัดสงเน้ือหา และบรกิ ารที่เหมาะสมใหผใู ชตามความตอ งการเฉพาะบุคคล ไดแ ก ประวตั ิของผูใชท่ีแสดงความสนใจและความตอ งการ เนือ้ หาสาระ และการนําไปใชงาน 3.2 ระบบท่ีชวยการมองเห็น (visualization) เป็นระบบที่ชวยใหผูใชเขาใจสารสนเทศและความรทู เ่ี หมาะสม โดยสรางการสืบคนผานระบบหัวเร่ือง และเคร่ืองมืออื่นท่ีใชงานงาย เชน การเซิร์ชเอ็นจิน (search engine) บนอินเทอร์เน็ต ไดแก เว็บไซต์ยาฮู (Yahoo) และ เว็บไซต์กูเกิล(Google) และนอกจากนีย้ งั มีระบบการเช่อื มโยงสารสนเทศท่ีเป็นกราฟิก (graphical interfaces) เป็นระบบทชี่ ว ยใหผ ใู ชเขาใจสารสนเทศ จากขอมูลขางตนการบริการประสานผูใชกับแหลงความรูหรือแหลงสารสนเทศจึงเป็นระบบที่แสดงความเป็นสวนบุคคลของผูใชแตละคน และเป็นระบบท่ีชวยการมองเห็น ซึ่งทําใหผใู ชบรกิ ารสารสนเทศเขา ใจสารสนเทศและความรูทีต่ องการไดดยี ง่ิ ขึน้ 149รูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศกับกระบวนการจัดการความรู้ รูปแบบของเทคโนโลยีสารสนเทศที่นํามาใชในการจัดการความรูต้ังแตการสรางหรือการแสวงหาความรู การรวบรวม และการจัดการความรู เพอ่ื งายตอการเขาถึง เผยแพร และติดตอส่ือสารตลอดจนการคนหาและเขาถึงความรูเพ่ือนํามาใชประโยชน์ในการปฏิบัติงาน ซ่ึงรูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่นํามาใชในกระบวนการจัดการความรูแบงเป็น 6 ประเภท (ชัชวาลย์ วงษ์ประเสริฐ,2548, หนา 180-198) ดังน้ี 1. เทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การรวบรวมและการจัดการความรู้ทป่ี รากฏ การนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชเพ่ือรวบรวมและจัดการความรูสามารถทําไดหลากหลายรปู แบบ ดงั น้ี 1.1 ระบบจัดการฐานขอมูลสัมพันธ์ (Relational Database ManagementSystem: RDBMS) เป็นโปรแกรมท่ีชวยในการควบคุมและจัดการจัดเก็บขอมูลลงบนหนวยความจําสํารอง สามารถสรา ง บํารุงรักษา และเขา ถงึ ฐานขอมลู สมั พนั ธไ์ ด 1.2 ระบบจัดการเอกสาร (Document Management Systems: DMS) เป็นการผลิตเอกสารโดยใชโปรแกรมประมวลผลคาํ จดั เกบ็ ขอ มูลในรปู แบบเอกสารอิเลก็ ทรอนิกส์ เพื่อสะดวกในการสืบคนและเขาถึง สามารถพิมพ์และแจกจายเอกสารน้ันๆ ปัจจุบันมีการบันทึกอยูในหลายรูปแบบ เชน สือ่ มลั ตมิ ดี ยี ตวั หนังสือ รปู ภาพ เสียง และภาพเคล่อื นไหวหรอื วดิ โี อ เปน็ ตน 2. เทคโนโลยสี ารสนเทศทใี่ ชใ้ นการสรา้ งความรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศไดชวยในการสรางความรูโดยใชระบบเก่ียวกับงานดานความรูเชน โปรแกรมแคด (Computer Aided Design: CAD) ซึ่งเป็นโปรแกรมกราฟิกขั้นสูงที่ชวยในการสราง และแกแบบ มีลักษณะเป็นสามมิติ หรือการใชระบบความจริงเสมือน (virtual realitysystems) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่พัฒนาจากโปรแกรมแคด มีลักษณะโตตอบได (interactive) ในการสรางภาพจําลองใกลเคียงกับความจริง มีประโยชน์ในดานการศึกษา วิทยาศาสตร์ และธุรกิจ หรือคอมพิวเตอร์ท่ีใชวิเคราะห์การลงทุน (investment workstations) ซึ่งเป็นพีซีท่ีมีความสามารถสูงใชวเิ คราะห์สถานะทางการเงนิ 3. เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การเข้าถึงความรูท้ ่ีปรากฏ การนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชเพ่อื การเขา ถึงความรทู ่ปี รากฏมี 8 รูปแบบ ดังนี้ 3.1 กรุ฿ปแวร์ (groupware) เป็นซอฟต์แวร์ท่ีออกแบบสําหรับกลุมคน ในการแบงปันขอมูล ขาวสาร ทํากิจกรรมบนเคร่ืองคอมพิวเตอร์เครือขายรวมกันได เชน Lotus Note, NovellGroup Wise, Microsoft Exchange เป็นตน ประกอบดวยฐานขอมูลท่ีสามารถทํางานเอกสารรวมกัน ใชกําหนดการ ปฏิทิน และ/หรือ อีเมล อภิปรายความคิดทางออนไลน์ และนัดหมายการประชุม 3.2 อินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นเครือขายของเครือขายคอมพิวเตอร์ท่ีมีแมขายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเชื่อมกัน ทําใหระบบอินเทอร์เน็ตเป็นเครือขายส่ือสารท่ีใหญท่ีสุด และเป็นชองทางการส่ือสารท่ีครอบคลุมอยูท่ัวโลก เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกัน สามารถเขาถึงความรูที่ตอ งการผา นเว็บไซต์ ทังเว็บไซต์ฟรีและเว็บไซต์ท่ีคิดคาธรรมเนียม ทําใหการเขาถึงความรูสามารถทําไดทกุ ที่ ทกุ เวลา และเขา ถงึ ความรูไ ดท ่วั โลกภายในเวลาอันสัน้ 150 3.3 โปรแกรมคนหา (search engines) เป็นโปรแกรมชวยในการคนหาขอมูล และความรูท่ีตองการจากอินเทอร์เน็ตอยางรวดเร็ว โดยเฉพาะการคนหาจากฐานขอมูลความรูตางๆ ที่สนับสนุนการเติมเต็มความรูในกระบวนการผลิต และการจัดการความรูขององค์กรเสมือนจริง ตัวอยางของโปรแกรมคนหา เชน Google, About, Alta vista, Excite, Hotbot, Infoseek, Lycos เปน็ ตน 3.4 อินทราเน็ต (Intranet) เป็นอินเทอร์เน็ตที่ใชในองค์กร และมีการควบคุมการใชและมขี อจํากัดในการเขาถึงจากภายนอกองค์กร ความรูเป็นกรรมสิทธ์ิขององค์กรเสมือนจริง ซึ่งตองมีการระบบรกั ษาความปลอดภัยของขอมลู ไดแ ก ไฟร์วอล์ (firewalls) ภาพท่ี 7.6 อินทราเน็ตของมหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนดสุ ติ ทีม่ า (มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนดสุ ติ , 2555) 3.5 ไซต์ทา (portals) หมายถึง เว็บท่ีรวบรวมลิงก์เว็บไซต์ และบทความตางๆ โดยการจัดหมวดหมูใหดูงาย และมีหนาที่นําพาผูชม ไปยังเว็บหรือล้ิงอื่นๆ ที่เกี่ยวของ ท้ังนี้เพ่ือความสะดวก รวดเร็ว และมีขอมูลที่หลากหลายมากมายใหไดคนหาตามความตองการ เชน web board,web link, search engine เป็นตน ขอดีคือ ผูใชไมตองเขาหลายเว็บไซต์เพ่ือใชบริการตางๆ แตเขาถงึ ขอ มลู ไดจากเวบ็ ไซต์เดียว เชน thaigov.net, pantip.com, sanook.com เป็นตน ซึ่งแนวโนมของของเวบ็ ไซตใ์ หมๆ มักมลี กั ษณะเปน็ ไซต์ทา มากข้นึ 151 ภาพที่ 7.7 ตัวอยางไซตท์ า ของเวบ็ ไซต์ไทยกอ฿ ฟด็อทเนต็ ทม่ี า (ไทยก฿อฟด็อทเน็ต, 2555) 3.6 เครื่องมือการไหลของงาน (workflow tools) หมายถึง การใชระบบสารสนเทศมาชวยในการทําใหระบบการอนุมัติเอกสารตางๆ มีประสิทธิภาพมากข้ึน เป็นกระบวนการทํางานในองค์กรเสมือนจริง สามารถทํางานรวมกันได และเป็นเครื่องมือท่ีมีกลไก การเตือน การกําหนดเวลาเก่ียวกับปญั หาเพอื่ ปูองกัน และแนวทางแกไ ขในการปฏบิ ตั งิ านขององค์กรเสมือนจริง 3.7 เครื่องมือการทํางานเสมือน (virtual working tools) เป็นการใชความรูความชํานาญของบุคคลในสถานท่ีท่ีแตกตางกันสามารถทํางานรวมกันบนเครือขายในลักษณะที่เหมือนกับองคก์ ร โดยสามารถใชง านจากสถานที่อืน่ ไดโ ดยทนั ที ซึ่งไมตองใหผ เู ชย่ี วชาญเดนิ ทางไป ณ จุดน้ัน แตใชเทคโนโลยีเป็นเคร่ืองมอื แทน 3.8 การเรียนรูผานระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning tools) เป็นการใชเทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนรู และฝึกอบรมบุคลากรดวยส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ไมวาจะเป็นเครือขายอินเทอร์เน็ตหรอื เครือขายอนิ ทราเน็ตในองค์กร โดยใหผ ูเ รียนสามารถเรยี นไดทุกสถานท่ี และทกุ เวลา 4. เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ การนําเทคโนโลยสี ารสนเทศมาประยกุ ตใ์ ชความรสู ามารถกระทําไดด งั น้ี 4.1 เคร่ืองมือที่เชื่อมระหวางผูใชกับสารสนเทศ (management the contents)เป็นการใชอินทราเน็ต หรือกรุ฿ปแวร์เขาถึงเครือขายและการใชเอกสารรวมกันไดงายและคนหาขอมูลไดรวดเร็ว มี 3 ลักษณะ ไดแก การรวบรวมสารสนเทศในเน้ือหาท่ีตองการ การจัดสารสนเทศในเน้อื หาท่ตี องการ การสบื คน และการใชส ารสนเทศ 152 4.2 ระบบสนับสนุนการปฏิบัติการ (Performance Support System: PSS) เป็นซอฟต์แวร์ที่ชวยใหงานสําเร็จรวดเร็ว เชน การทํางานท่ีเก่ียวกับภาษี รายไดหรือรายการที่ตองมีการจดบันทึกไว ไดแก ระบบเงิน รายรับรายจายขององค์กร เป็นตน ชวยในการทํางานท่ีซ้ําๆ ไดดี อาจมีการใชม ลั ตมิ ีเดียและเทคนิคเดียวกบั ระบบผเู ชี่ยวชาญ 4.3 คลังขอมูล (data warehouse) เป็นกระบวนการรวบรวมขอมูลจากหลายแหลงของฐานขอมลู แปลงขอมลู เพือ่ ใหอยูในรูปแบบท่ีเหมาะสมในการจัดเก็บ และงายตอการนําไปใช และถูกเก็บในฐานขอมูลของคลงั ขอ มูล 4.4 การทําเหมืองขอมูล (data mining) เป็นการคนหาความรูจากฐานขอมูลขนาดใหญ รวมเทคนิคจากเครื่องมือตางๆ เขาไวดวยกันเชนการวิเคราะห์ขอมูลทางสถิติ การจัดการฐานขอมูล การเรียนรูของเคร่ืองจักร และการแสดงขอมูลในลักษณะกราฟิก เชน การวิเคราะห์โรคธรุ กจิ ประกนั ภยั ธุรกจิ หางสรรพสินคา และธุรกจิ อืน่ ๆ เป็นตน 5. เทคโนโลยีสารสนเทศสนบั สนนุ การจดั การความรู้โดยนยั การนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชสนับสนนุ การจดั การความรูโ ดยนัย สามารถทาํ ไดดังน้ี 5.1 จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) เป็นการนําโปรแกรมคอมพิวเตอร์ท่ีใชงานสงจดหมายเขามาใช สามารถแทรกขอมูลเอกสารประเภท ไฟล์เสียง รูปภาพ หรือวีดิทัศน์ สามารถทําทาํ งานไดรวดเร็ว และสงจดหมายอิเลก็ ทรอนกิ ส์ไปไดท่ัวโลก 5.2 การประชุมผานวิดีโอ (video conferencing) เป็นการใชวิดีโอในการตดิ ตอส่ือสาร และเป็นการติดตอกันระหวางคนต้ังแตสองคนข้ึนไป โดยน่ังอยูหนาคอมพิวเตอร์ และมีกลอ งถา ยวิดโี อเล็กๆ และโปรแกรมทเ่ี หมาะสม ซึ่งตอ งใชค อมพิวเตอรท์ ีม่ ีความเร็วเพียงพอ 5.3 กระดานอภิปราย (discussion boards) มีวัตถุประสงค์ใหเกิดการสื่อสารอยางไมเป็นทางการ ทําใหเกิดการรองขอคําแนะนํา และการแลกเปล่ียนเรียนรูรวมกัน ในหัวขอสนทนาที่สนใจ ใชสนบั สนนุ ตดิ ตอภายในชมุ ชนนักปฏบิ ัติ 5.4 เครื่องมือสนับสนุนโครงการ (project support tools) เป็นเครื่องมือท่ีทําใหสามารถทํางานเป็นกลุม และทีมงานโครงการแบงปันเอกสาร และแลกเปล่ียนขาวสารรวมกัน คลายกับทีมงานโครงการทางไกล เพื่อระดมสมอง และสรางทางเลือกในการใชสารสนเทศ หรือขอคิดเห็นตัวอยางเครื่องมือสนับสนุนโครงการ เชน NetLimiter เป็นซอฟต์แวร์พื้นฐานในการทําการควบคุมปริมาณการใชงานอินเทอร์เน็ตและเป็นเคร่ืองมือตรวจสอบปริมาณการใชงานอินเทอร์เน็ตซ่ึงถูกออกแบบมาสําหรับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ สามารถทําการควบคุมปริมาณการใชงานอินเทอร์เน็ตและตรวจสอบปริมาณการใชงานอินเทอร์เน็ตได และ BaCon เป็นซอฟต์แวร์แบบบริหารจัดการแบนด์วิธ (Bandwidth Controller) ท่ีสามารถควบคุมปริมาณการใชแบนด์วิธแบบอัตโนมัติเพื่อใหสามารถใชรองรับบริการตางๆ ในองค์กรไดอยางมีประสิทธิภาพ โดยมีเปูาหมายคือ กลุมผูใชในสถานศึกษา เปน็ ตน 153 6. เทคโนโลยสี ารสนเทศที่ใช้ในการประมวลความรู้ การประมวลความรูสามารถใชปัญญาประดิษฐ์ เป็นสาขาของวิชาคอมพิวเตอร์ท่ีเลียนแบบการเรยี นรแู ละการตัดสินใจตางๆ ของมนษุ ย์ ซอฟตแ์ วรท์ ีใ่ ชในการประมวลความรมู ดี ังนี้ 6.1 การแบงปันความรู ประกอบดวยซอฟต์แวร์ที่ชวยในการแบงปันสารสนเทศ การประชมุ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ การจดั ตารางเวลา และการสงอีเมล เป็นเครือขายท่ีกลุมคนที่ทํางานในสถานที่ตางกันสามารถทํางานรวมกันได มีการระบุวันท่ี เวลา และผูเขียน การตอบโตกันสามารถทําไดงายโดยจะดูไดวาใครเสนอความคิดเห็นมากอนหนาท่ีวาอยางไร เชน โลตัสโนต (Lotus Note) หรือโปรแกรม Internet Explorer หรือ Netscape ซึง่ มีฟังกช์ นั ของกร฿ปุ แวร์รวมดว ย เชน อเี มล (e-Mail)การประชมุ ทางไกล การใชเคร่อื งโทรสาร โทรศัพท์ หรือการใชหองสนทนา (chat room) รวมท้ังการนําระบบฐานขอมูล ที่มีเคร่ืองมือในการคนหา และดึงขอมูล เชน โปรแกรมเพื่อการคนหา (searchengine) เป็นตน 6.2 การเผยแพรความรู การใชร ะบบคอมพวิ เตอรใ์ นสาํ นักงานเพื่อเผยแพรความรู ท้ังภายในและภายนอกองค์กร โดยอาจใชแอพพลิเคช่ันดานการประมวลคํา (word processing) การใชเว็บ หรอื การใชฐ านขอมลู เปน็ ตน จากขอมูลขางตนกุญแจสําคัญในกระบวนการสรางความรู ก็คือวิธีการคิดวิเคราะห์สงั เคราะห์สิง่ ท่ีมีลักษณะตรงขาม การสรางความรูจึงเร่ิมจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและพัฒนาไปสูการปรบั เปลยี่ นสูภายนอก การผสมผสาน และการปรบั เปลีย่ นสูภายในประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศทน่ี ามาใช้ในการจดั การความรู้ การจดั การความรูขององค์กรโดยนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาชวยในการจัดการความรู ทําใหเกดิ ประโยชน์ตอระบบ และมคี วามปลอดภัยของขอ มลู สําคญั ขององค์กร ซ่งึ มปี ัจจัยสําคัญดังน้ี 1. การจัดการเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื จดั การความรู้ การนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชป ระโยชน์ในการจัดการความรู ทําใหเกิดการจัดการระบบสารสนเทศเพ่ือใชในการจัดการองค์กรอยางเหมาะสม ถูกตอง ซึ่งตองมีการควบคุมเทคโนโลยีสารสนเทศใหท ํางานอยา งเป็นระบบดงั ภาพที่ 7.8 154 ภาพที่ 7.8 ความสมั พนั ธ์ระหวางเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ และองค์กร จากภาพขางตนสามารถอธิบายไดวา การควบคุมเทคโนโลยีสารสนเทศที่นํามาใชกอใหเ กิดระบบการทํางานและควบคมุ การนําเขาสารสนเทศ เพ่ือประกันวาขอมูลนําเขาไดถูกนําเขาสูระบบอยางถูกตอง มีการจัดเก็บ และสืบคืนขอมูลที่ถูกตอง เชน ผูที่จะเขาถึงขอมูลท่ีเก็บไวในฐานขอ มูล ตองเป็นบุคคลท่มี ีสทิ ธิ์ใชข อ มูลน้ันเทานนั้ เปน็ ตน เพ่ือใหแนใจวาผลผลิตสารสนเทศที่มีผูขอใชไดถูกแสดงผลใหแกผูขอใชสารสนเทศอยางครบถวน ตลอดจนการคํานวณเป็นไปอยางถูกตองสวนการควบคุมองค์ประกอบฮาร์ดแวร์ เพ่ือปูองกันความลมเหลวในการทํางานของฮาร์ดแวร์ เชนการมีระบบตรวจสอบความผดิ พลาดของฮาร์ดแวร์ เปน็ ตน การแบงเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีนํามาใชในการจัดการความรูได 6 ประเด็น (บุญญลักษม์ตํานานจติ ร, 2553, หนา 156-157) ดังนี้ 1.1งานเอกสารเวิร์ดโพรเซสเซอร์ สิ่งพิมพ์เอกสาร เป็นงานที่มีการสรางขึ้นทุกวันและนับวันย่ิงสรางข้ึนมาก และใชงานกันตลอดเวลา งานน้ีมีบทบาทสําคัญเพราะเกี่ยวโยงกับการทํางานรายวัน 1.2 งานอีบ฿ุก อีไลบรารี ปัจจุบันมีการจัดการเอกสารส่ิงพิมพ์ในรูปหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ต้ังแตการเก็บเอกสารแบบ Acrobat แบบอีบุค และ XML รวมท้ังการจัดเก็บเอกสารแบบรูปภาพ หรอื การสแกนเอกสารหนังสือ 1.3 ระบบฐานขอมูล ขอมูลขาสาร ทั้งที่เป็นขอมูลดําเนินการ เชน ฐานขอมูลเกี่ยวกบั บคุ ลากร สถานท่ี การเงนิ การบรกิ าร และงานขอมูลเกี่ยวกับพนักงานในองคก์ ร 155 1.4 เว็บ การเก็บขอมูลจํานวนมากอีกวิธีหน่ึงคือ การเก็บไวในเว็บเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเก็บขอมลู ไดง าย รวดเรว็ สามารถเก็บขอมูลไดหลากหลายรูปแบบ ท้ังมัลติมีเดีย และขอมูลท่ีไมมีรูปแบบหากพิจารณาตามทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีเว็บแลว เทคโนโลยีเว็บในยุคแรกมักเนนท่ีการจัดการความรูทชี่ ัดแจง โดยการจัดเก็บและสืบคนขอมูลจากเอกสาร HTML และ ฐานขอมูลจากเว็ปไซต์เป็นหลัก ในขณะที่เว็บยุคที่ 2 มงุ เนน การจดั การความรูที่อยูในตัวบุคคลมากขึ้น รูปแบบของการเขียนเว็บบล็อก และวิกิ รวมท้ังเว็บไซต์เครือขายสังคมออนไลน์ ดังเชน เว็บ Hi5, Facebook และ Twitterเปน็ ตน ในเว็บยุคถัดไปจะมุงเนนท่ีการจัดการความรูเชิงความหมายมากยิ่งขึ้น เพื่อนําไปสูการพัฒนาโปรแกรมตัวแทนท่ีมีความชาญฉลาด (Intelligent Agents) เพ่ือมาชวยในการปฏิบัติงานและสืบคนขอ มูลของผูใชไดดยี ่ิงข้ึน 1.5อเี มล เอฟทีพี (FTP) เป็นขอมูลชนิดไฟล์ทรัพยากรโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นแหลงเก็บขอมูลท้ังท่ีเป็นขอมูลอีเมลสวนตัว อีเมลของหนวยงาน ขององค์กร จึงมีการสราง FTP Serverเพอื่ เก็บขอมลู จํานวนมากและจัดการขอมูลที่เป็นแฟูมไวใ ชงานรว มกนั 1.6 เว็บบล็อก (webblog) เป็นเว็บไซต์ชนิดหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต แนวคิดของเว็บบล็อก คือ การใหสมาชิกขององค์กรไดเขียนความรูใสเขาไปในบันทึก (blog) ของตนเอง โดยเลาประสบการณ์ตางๆ ความรูเหลาน้ีจะถูกเผยแพรไปยังสมาชิกคนอ่ืนๆ ในองค์กรดิจิทัลผานหนาหลักของเวบ็ หรอื จากการสืบคนของสมาชกิ อ่ืน การใชเ ว็บบลอ็ กในการจัดการความรูดังภาพที่ 7.9 ภาพท่ี 7.9 เวบ็ บลอ็ กทน่ี ํามาใชใ นองค์กร 156 จากภาพเว็บบล็อกถือเป็นเคร่ืองมือในการจัดการความรูในองค์กรที่นําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชเพื่อสื่อสารขอมูล สารสนเทศ บันทึกเร่ืองราวที่สนใจ โดยการเลาเร่ืองอันเกิดจากการศึกษาหาความรู จากประสบการณ์ที่ไดรับ ทําใหบุคลากรในองค์กรสามารถเรียนรูรวมกันไดในเวลาที่รวดเร็วไดทุกท่ี ทุกเวลา ตามความสนใจของแตละบุคคล ในยุคอิเล็กทรอนิกส์สงผลใหองค์กรดิจิทัลมีความสําคัญมากย่ิงข้ึนตอการจัดการความรูที่เกิดขึ้น เพื่อรวบรวมความรูไปใชประโยชน์ไดงายและสรางคุณคาใหกับองค์กรไดอยางคุมคา จึงมีการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในการจัดการความรูขององคก์ ร 2. ประโยชนข์ องการจดั การความรู้ การจัดการความรูสงผลใหเกิดองค์ความรูใหม นวัตกรรม โดยมีการนําเทคโนโลยี มาเป็นเคร่ืองมือในการติดตอสื่อสาร แลกเปล่ียน และเผยแพรความรูสงผลใหเกิดประโยชน์อยางมหาศาลตอ สงั คมปจั จบุ นั ดงั น้ี 2.1 ปูองกันความรูสูญหาย การจัดการความรูทําใหองค์กรสามารถรักษาความเช่ียวชาญ ความชํานาญ และความรูท่ีอาจสูญหายไปพรอมกับการเปล่ียนแปลงของบุคลากร เชน การเกษยี ณอายุงาน หรือการลาออกจากงาน เป็นตน 2.2 เพมิ่ ประสิทธิภาพในการตดั สินใจจากประเภท คุณภาพ และความสะดวกในการเขาถึงความรู เนื่องจากผูท ม่ี ีหนาทต่ี ัดสนิ ใจตองสามารถตัดสินใจไดอยางรวดเร็ว และมคี ุณภาพ 2.3 ความสามารถในการปรับตัว และมีความยืดหยุน เป็นการทําใหผูปฏิบัติงานมีความเขา ใจในงาน และวัตถุประสงค์ของงาน โดยไมตองมีการควบคุม หรือมีการแทรกแซงมากนัก ผูปฏิบัติงานสามารถทํางานในหนาทตี่ างๆ ไดอ ยา งประสิทธภิ าพ และพฒั นาจิตสํานึกในการทํางาน 2.4 ความไดเปรียบในการแขงขัน การจัดการความรูชวยใหองค์กรมีความเขาใจลูกคาแนวโนม ทางการตลาด และการแขงขนั ทาํ ใหสามารถลดชองวาง และเพ่มิ โอกาสในการแขงขันได 2.5 พัฒนาทรัพย์สินทางปัญญา เป็นการพัฒนาความสามารถขององค์กรในการใชประโยชนจ์ ากทรพั ย์สนิ ทางปัญญาทีม่ อี ยู ไดแ ก สทิ ธบิ ัตร เคร่อื งหมายการคา และลิขสิทธิ์ เป็นตน 2.6 ยกระดับผลิตภัณฑ์ เป็นการนําการจัดการความรูมาใชเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และบริการ ซ่ึงจะเปน็ การเพมิ่ คุณคาใหแกผ ลติ ภณั ฑ์นนั้ ๆ อีกดวย 2.7 การบริหารลูกคา เป็นการศึกษาความสนใจ และความตองการของลูกคาจะเปน็ การสรางความพึงพอใจ และเพมิ่ ยอดขาย และสรางรายไดใหแกอ งคก์ ร 2.8 การลงทุนทางทรัพยากรบุคคล เป็นการเพิ่มความสามารถในการแขงขันโดยผานการเรียนรูรวมกัน การจัดการดานเอกสาร การจัดการกับความรูที่ไมเป็นทางการเป็นการเพ่ิมความสามารถใหแกองค์กรในการจาง และฝกึ ฝนบคุ ลากร การจัดการความรูตองอาศัยคนที่มีความรู สามารถแปลความหมายและใชเทคโนโลยีสารสนเทศไดอยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล องค์กรจึงตองพยายามรักษา พัฒนาคนที่มีความรูซึ่งเป็นสวนหนึ่งของการจัดการความรู เนื่องจากการทําใหทุกคนในองค์กรมีแหลงความรูที่สามารถเขาถึงไดงาย และแบงปันความรูกันไดอยางเหมาะสม สงผลใหเกิดประโยชน์ตอการปฏิบัติงานเพิ่มความสามารถในการแขง ขันขององคก์ ร 157สรปุ ความรูสามารถตัดสินและกลั่นกรองสรรพส่ิงใหสามารถตอบสนองตอสถานการณ์และสารสนเทศใหมๆ ความรูจึงเป็นส่ิงท่ีสามารถนําไปเชื่อมโยงไดกับระบบของสิ่งมีชีวิต ความเจริญ และการเปล่ียนแปลง นิยมแบงไดเป็น 2 ลักษณะ ไดแก ความรูโดยนัยหรือแบบซอนเรน หรือบางทีเรียกกวาความรูฝังลึก ซึ่งเป็นความรูที่เกิดจากประสบการณ์การเรียนรูหรือพรสวรรค์ตางๆ และยากท่ีจะบอกได ซึ่งสื่อสารหรือถายทอดในรูปของตัวเลข สูตร หรือลายลักษณ์อักษรไดยาก ความรูชนิดนี้สามารถพัฒนาและแบงปันกันได สวนความรูแบบท่ีสอง คือ ความรูที่สามารถแสดงออกมาใหเห็นไดบางทีเรียกวาความรูชัดแจง เป็นความรูที่เป็นเหตุเป็นผล สามารถรวบรวมและถายทอดออกมาในรูปแบบตา งๆ ได เชน หนังสือ คูม อื เอกสาร และรายงานตางๆ เป็นตน ทําใหคนสามารถเขาถึงไดงายข้ึน ปัจจุบันองค์กรตางๆ ท้ังภาครัฐและเอกชนจึงใหความสําคัญตอการนําความรูฝังลึกของแตละบคุ คลในองค์กรออกมาใชในการปฏิบัติงานรวมกัน สรางเป็นทีมงานท่ีเขมแข็ง เพื่อเป็นองค์กรท่ีย่ังยืนโดยมีการสรางความรู การจัดหา การกล่ันกรองความรู การจัดเก็บ การแลกเปล่ียน การประยุกต์ใชความรู รวมถึงการเผยแพรความรูออกสูสาธารณชนซ่ึงนําเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศมาบริหารจดั การ 158 คาถามทบทวน 1. จงอธิบายความหมายของความรู 2. ความรูมกี ปี่ ระเภท อะไรบา ง จงอธิบายความหมายของความรูแตล ะประเภท 3. จงอธิบายความหมายของการจัดการความรู 4. จงอธิบายความหมายของขอ มลู สารสนเทศ ความรู และปญั ญา 5. กระบวนการจดั การความรูมีอะไรบาง จงอธิบาย 6. การปรับเปลีย่ นและสรางความรูจ ะเกิดขนึ้ ได 4 รปู แบบ อะไรบาง พรอมอธิบาย 7. รูปแบบของเทคโนโลยีสารสนเทศกบั กระบวนการจัดการความรมู ีกี่รูปแบบ อะไรบา ง 8. จงยกตวั อยางเทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ การเขาถึงความรูที่ปรากฏมา 3 ตวั อยาง 9. จงยกตวั อยา งเทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การประยุกต์ใชค วามรูมา 3 ตวั อยาง 10. จงบอกความสําคัญและประโยชน์ของการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในการจัดการความรู มาอยางนอย 4 ขอ บทที่ 8 กฎหมาย จรยิ ธรรม และความปลอดภยั ในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ฐิติยา เนตรวงษ์ เน่ืองจากความกาวหนาทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศไดพัฒนาอยางรวดเร็ว ระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการส่ือสารไดกลายมาเป็นสวนสําคัญในการประก อบกิจการขององค์กรธุรกิจตางๆ รวมทั้งยังเป็นสวนหนึ่งของความเป็นอยูในการดํารงชีวิตประจําวันของมนุษย์ในยุคสังคมสารสนเทศ แตบางคร้ังไดมีผูที่ขาดสามัญสํานึกพื้นฐานที่ดี ไดใชเทคโนโลยีสารสนเทศไปในทางทีผ่ ดิ ใชคอมพิวเตอร์สรางความเดือดรอน กอความเสียหายใหกับผูอ่ืน นับต้ังแตสรางความรําคาญไปจนถึงการเกิดความเสียหายเป็นมูลคามหาศาล เนื่องจากการใชคอมพิวเตอร์เพื่อทําความผิดน้ันเป็นการใชเทคโนโลยีท่ีซับซอน ยากตอการตรวจพบรองรอยในการกอความผิด ดังน้ันจึงจําเป็นตองมีกฎหมายเพื่อคมุ ครองผไู ดร บั ความเสยี หายท่ีเกิดจากผูที่ใชคอมพิวเตอร์เพ่ือกระทําความผิด และสรางความเสีย นอกจากน้จี ริยธรรมการใชง านเทคโนโลยีสารสนเทศก็นับวา เป็นสิ่งสําคัญตอผูใชงาน เพราะหากขาดจิตสํานึกการใชที่ดีแลวก็อาจสงผลใหการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในสังคม กอเกิดปัญหาข้ึนมาได ในสวนความปลอดภัยในการใชงานเทคโนโลยีเหลาน้ี แมแตการใชงานบนเครือขายอินเทอร์เน็ตก็นับวามีความสําคัญไมย่ิงหยอนไปกวากัน ซ่ึงผูใชตองตระหนักรูถึงประโยชน์และโทษที่แฝงมาในรูปแบบท่ีหลากหลายทางออนไลน์ จึงจําเป็นตองทราบแนวทางการใชงานเทคโนโลยีสารสนเทศอยางปลอดภยั เพ่อื ลดความเส่ยี งและความเสียหายท่ีอาจเกดิ ขึน้ อยา งไมคาดคิดกฎหมายท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ ในอดตี เมื่อมเี หตุการณค์ วามเสียหายท่ีเกิดจากการใชคอมพิวเตอร์กระทําความผิด หรือสรางความเสียหายแกระบบคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแตละครั้ง มักจะไมสามารถเอาผิดผูท่ีกระทําความผิดได ผูกอ ความผิดสามารถอยู ณ สถานท่ีใดในโลกก็ได ทําใหยากท่ีจะนําตัวผูกระทําความผิดมาลงโทษ และความเสียหายท่ีเกิดจากการใชคอมพิวเตอร์กระทําผิดก็สรางความเสียหายและสงผลกระทบตอผูคนจาํ นวนมากและรวดเรว็ แตยงั ไมม กี ฎหมายมารองรบั และสามารถนาํ มาใชลงโทษได ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวของกับการใชงานเทคโนโลยีสารสนเทศ อาทิพระราชบญั ญตั ิวาดวยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พระราชกฤษฎีกากําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 ตลอดจนกฎหมายลิขสิทธ์ิ เป็นตน ปัจจุบันไดมีพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่ไดเร่ิมพัฒนาตั้งแตปี พ.ศ.2541 แลวพระราชบญั ญัติไดผานความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแหงชาติวันท่ี 9 พฤษภาคม 2550จากนั้นไดมีการเสนอรางพระราชบัญญัติเพื่อลงพระปรมาภิไธย และไดประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาวันท่ี 18 มิถุนายน 2550 สงผลใหพระราชบัญญัติมีผลบังคับใชภายในสามสิบวัน ซ่ึงก็คือวนั ที่ 18 กรกฎาคม 2550 และกลายเปน็ “พระราชบญั ญัติวาดวยการกระทําผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 160พ.ศ. 2550” ทีใ่ ชในปจั จบุ นั ในท่ีน้ีจะขอนําเสนอเฉพาะพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และกฎหมายลิขสิทธิ์ท่ีจะเป็นประโยชน์ในการใชงานดานสารสนเทศดังมีรายละเอียดดังน้ี 1. พระราชบญั ญตั ิว่าด้วยการกระทาผิดเก่ยี วกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 พระราชบัญญัติวาดวยการกระทําผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ประกอบดวยมาตราตา งๆ รวมทงั้ สน้ิ 30 มาตรา โดยสามารถแบง ไดเ ป็น 3 สว น มีสาระสาํ คญั ดงั น้ี (ซีเอส ล็อกซอินโฟ, 2551 หนา 7-14) พระราชบญั ญัตวิ า่ ดว้ ยการกระทาผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550สว่ นทัว่ ไป หมวด 1 หมวด 2 บทบัญญตั ิความผิดเกยี่ วกบั คอมพิวเตอร์ พนักงานเจ้าหนา้ ท่ี- ช่ือกฎหมาย - การเขา ถึงระบบ/เขา ถึงขอ มลู และการ - อํานาจของพนักงานเจาหนาท่ี- วนั บงั คับใชก ฎหมาย ดกั ขอ มลู คอมพิวเตอรโ์ ดยมชิ อบ - การตรวจสอบการใชอํานาจ- คํานิยาม - การลวงรมู าตรการปอู งกันการเขา ถึงและ พนักงานเจา หนาที่- ผูรกั ษาการ นาํ ไปเปิดเผยโดยมชิ อบ - การใชอ ํานาจหนา ทพ่ี นักงาน - การรบกวนขอ มูล/ระบบคอมพวิ เตอรโ์ ดย เจา หนาที่ มชิ อบ - อํานาจหนาทขี่ องผใู หบรกิ าร - การสแปมเมล ขอ มลู คอมพวิ เตอร์ - การจาํ หนา ยหรือเผยแพรชดุ คําสัง่ เพ่อื ใช - การปฏบิ ัตหิ นา ท่ีของพนกั งาน กระทาํ ผดิ - การปลอมแปลงขอ มูลคอมพิวเตอร/์ เจาหนา ที่ เผยแพรเ นอื้ หาที่ไมเหมาะสม - การเผยแพรภาพจากการตัดตอ /ดัดแปลง ใหผ อู ืน่ ถูกดูหมนิ่ หรอื อบั อาย - การกระทําผดิ ทางคอมพวิ เตอร์นอก ราชอาณาจักรภาพท่ี 8.1 โครงสรางพระราชบัญญตั วิ า ดวยการกระทําผดิ เกีย่ วกบั คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550 1.1 สว นทว่ั ไป บทบัญญตั ิในสวนท่ัวไปประกอบดวย มาตรา 1 ช่ือกฎหมาย มาตรา 2วันบงั คบั ใชกฎหมาย มาตรา 3 คํานยิ าม และมาตรา 4 ผูรักษาการ 1.2 หมวด 1 บทบัญญัติความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์มีท้ังส้ิน 13 มาตรา ตั้งแตมาตรา5 ถึงมาตรา 17 สาระสําคัญของหมวดน้ีวาดวยฐานความผิด อันเป็นผลจากการกระทําที่กระทบตอความมั่นคง ปลอดภัย ของระบบสารสนเทศโดยเป็นการกระทําความผิดที่กระทบตอการรักษาความลับ (Confidentiality) ความครบถวนและความถูกตอง (Integrity) และความพรอมใชงาน 161(Availability) ของระบบคอมพิวเตอร์ ซึง่ เป็นความผิดที่ไมสามารถยอมความได ยกเวนมาตรา 16 ซ่ึงเปน็ ความผดิ เก่ียวกับการตดั ตอ หรือดดั แปลงภาพ ซงึ่ ยังคงกําหนดใหเป็นความผิดที่สามารถยอมความได เพราะความเสียหายมักเกิดขึ้นเพียงบุคคลใดบุคคลหน่ึงเทาน้ัน คูคดีสามารถหาขอยุติและสรุปตกลงความเสยี หายกนั เองได ซ่งึ ตา งจากมาตราอน่ื ๆ ในหมวดน้ี ที่ผลของการกระทําผิดอาจไมใชเพียงแคกระทบบุคคลใดบคุ คลหน่ึง แตอาจกระทบตอสังคม กอเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจในวงกวาง ซ่ึงสาระสาํ คัญมีดงั ตอ ไปนี้ 1.2.1 การเขาถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ รายละเอียดอยูในมาตรา 5 ซึ่งการเขา ถึงระบบคอมพิวเตอร์ เชน การใชโปรแกรมสปายแวร์ (Spyware) ขโมยขอมูลรหัสผานสวนบุคคลของผอู น่ื เพ่ือใชบ กุ รุกเขาไปในระบบคอมพิวเตอรข์ องผนู น้ั ผา นชอ งโหวของระบบดังกลาวโดยไมไดรับอนุญาต 1.2.2 การลวงรูมาตรการปูองกันการเขาถึง และนําไปเปิดเผยโดยมิชอบ จะเกี่ยวของกับมาตรา 6 โดยการลวงรูมาตรการความปลอดภัยการเขาถึงระบบคอมพิวเตอร์ เชน การแอบบันทึกการกดรหัสผานของผูอ่ืน แลวนําไปโพสต์ไวในเว็บบอร์ดตางๆ เพื่อใหบุคคลที่สามใชรหัสผา นเขาไปในระบบคอมพวิ เตอรข์ องผทู เี่ ป็นเหย่ือ 1.2.3 การเขาถึงขอมูลคอมพวิ เตอร์โดยมชิ อบมาตรา7 การเขาถึงขอมูลคอมพิวเตอร์เชน การกระทาํ ใดๆ เพ่ือเขา ถึงแฟูมขอมลู (File) ทีเ่ ปน็ ความลับโดยไมไ ดร บั อนุญาต 1.2.4 การดักขอมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบรายละเอียดอยูในมาตรา 8 ซึ่งการดักขอมูลคอมพวิ เตอร์ คือ การดักขอมูลของผูอื่นในระหวางการสง เชน การใชสนิฟเฟอร์ (Sniffer) แอบดกั แพก็ เกต็ (Packet) ซง่ึ เปน็ ชุดขอ มูลทีเ่ ลก็ ทส่ี ดุ ทอี่ ยรู ะหวา งการสง ไปใหผูร บั 1.2.5 ในมาตรา 9 และมาตรา 10 เน้ือหาเกี่ยวกับการรบกวนขอมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ ซึ่งการรบกวนขอมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ เชน การใชโปรแกรมไวรัสเพ่ือสงอีเมลจํานวนมากไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผูอื่น เพ่ือทําใหคอมพิวเตอร์ไมสามารถทาํ งานไดต ามปกติ 1.2.6 การสแปมเมล จะเกี่ยวขอ งกบั มาตรา 11 มาตราน้ีเปน็ มาตราที่เพ่ิมเติมข้ึนมาเพ่ือใหครอบคลุมถึงการสงสแปมซ่ึงเป็นลักษณะการกระทําความผิดที่ใกลเคียงกับมาตรา 10 และยังเป็นวิธีกระทําความผิดโดยการใชโปรแกรมหรือชุดคําส่ังไปใหเหยื่อจํานวนมาก โดยปกปิดแหลงที่มาเชน ไอพีแอดเดรส ซ่ึงมักกอใหเกิดความเสียหายเชิงเศรษฐกิจ หรือสงผลกระทบตอการใชคอมพวิ เตอร์ และอาจถงึ ข้นั ทําใหร ะบบคอมพิวเตอร์ไมส ามารถทาํ งานไดอีกตอไป 1.2.7 มาตรา 12 การกระทาํ ความผิดทีก่ อใหเกิดความเสียหายหรือสงผลกระทบตอความมั่นคงของประเทศ การรบกวนระบบและขอมูลคอมพิวเตอร์ท่ีกอใหเกิดความเสียหายตอประชาชนหรือกระทบตอความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความม่ันคงในทางเศรษฐกิจ และการบรกิ ารสาธารณะ ซึ่งในปัจจบุ นั การกระทาํ ความผิดทางคอมพิวเตอร์ที่สวนใหญวิตกกังวลกัน คือการเจาะเขาไปในระบบคอมพิวเตอร์และแอบเพ่ิมเติม หรือทําลายขอมูลคอมพิวเตอร์หรือแกไข เปลี่ยนแปลงขอมูลคอมพิวเตอร์ ซ่ึงอาจสงผลกระทบตอระบบสาธารณูปโภค หรือระบบการเงินของประเทศ ซึ่งเป็นทีม่ าของการทาํ สงครามขอ มลู ขาวสาร (Information Warfare) 162 1.2.8 การจําหนายหรือเผยแพรชุดคําสั่งเพื่อใชกระทําความผิดรายละเอียดอยูในมาตรา 13 1.2.9 มาตรา 14 และมาตรา 15 จะกลาวถึงการปลอมแปลงขอมูลคอมพิวเตอร์หรือเผยแพรเน้ือหาที่ไมเหมาะสม และการรับผิดของผูใหบริการ สองมาตราน้ีเป็นลักษณะที่เกิดจากการนําเขาขอมูลคอมพิวเตอร์ท่ีเป็นเท็จ หรือมีเนื้อหาไมเหมาะสมในรูปแบบตางๆ โดยในมาตรา 14นั้นไดกําหนดใหครอบคลุมถึงการปลอมแปลงขอมูลคอมพิวเตอร์หรือสรางขอมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ หรือกอใหเกิดความเสียหาย หรือกอใหเกิดความตื่นตระหนกกับประชาชน หรือเป็นขอมูลที่กระทบตอสถาบนั พระมหากษัตริย์ หรอื การกอ การรา ย รวมทัง้ ขอ มูลลามกอนาจาร และการฟอร์เวิร์ด(Forward) 1.2.10 การเผยแพรภาพจากการตัดตอหรือดัดแปลงใหผูอ่ืนถูกดูหมิ่น หรืออับอายจะเกี่ยวของกับมาตรา 16 ซ่ึงมาตราน้ีเป็นการกําหนดฐานความผิดในเรื่องของการตัดตอภาพของบคุ คลอืน่ ท่ีอาจทําใหผูเสียหายเสียช่ือเสียง ถูกดูหม่ิน เกลียดชัง หรือไดรับความอับอาย โดยความผิดในมาตราน้ีเป็นความผิดท่ีมีความใกลเคียงกับความผิดฐานหมิ่นประมาท ซ่ึงไดมีการกําหนดไวในประมวลกฎหมายอาญา เพียงแตการแพรกระจายความเสียหายในลักษณะดังกลาวทางคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตนั้นเป็นไปอยางรวดเร็วและขยายวงกวางมากกวา จึงตองมีวิธีแกไขปัญหาและระงับความเสยี หายดว ยวธิ ที ่รี วดเร็วดวยเชนกัน 1.2.11 มาตรา 17 กลาวถึงการกระทําความผิดนอกราชอาณาจักรซึ่งตองรับโทษในราชอาณาจักร โดยมาตรา 17 เป็นมาตราทวี่ า ดว ยการนําตวั ผูกระทําความผิดมาลงโทษ เน่ืองจากมีความกังวลวา หากมีการกระทําความผิดนอกประเทศแตความเสียหายเกิดข้ึนในประเทศ แลวจะนําตวั ผูกระทาํ ความผิดมาลงโทษไดอยา งไร จงึ ไดก ําหนดไวใ หชัดเจนในพระราชบญั ญัตฯิ 1.3 หมวด 2 สําหรับในหมวดน้ี ไดมีการกําหนดเกี่ยวกับอํานาจของพนักงานเจาหนาที่และยงั มีการกาํ หนดเก่ียวกบั การตรวจสอบการใชอํานาจของพนักงานเจาหนาที่ไวอีกดวย รวมทั้งยังมีการกําหนดหนาที่ของผูใหบริการท่ีตองเก็บรักษาขอมูลคอมพิวเตอร์ และตองใหความรวมมือกับพนักงานเจาหนาที่ในการสงมอบขอมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์แกพนักงานเจาหนาที่ บทบัญญัติในหมวดนี้มีทั้งหมด 13 มาตรา ต้ังแตมาตรา 18 ถึง มาตรา 30 ประกอบดวย อํานาจของพนักงานเจาหนาท่ี การตรวจสอบการใชอํานาจของพนักงานเจาหนาท่ี การใชอํานาจในการบล็อก (Block)เว็บไซต์ทมี่ ีเน้ือหากระทบตอ ความมน่ั คงหรือขัดตอความสงบเรียบรอย การหามเผยแพรหรือจําหนายชุดคําสั่งไมพึงประสงค์ หามไมใหพนักงานเจาหนาท่ีเผยแพรขอมูลท่ีไดตามมาตรา 18 ท่ีเกี่ยวของกับอํานาจของพนักงานเจาหนาท่ี พนักงานเจาหนาท่ีประมาทจนเป็นเหตุใหผูอื่นรูขอมูล ความรับผิดของผูลวงรูขอมูลของผูใชบริการที่พนักงานเจาหนาที่ท่ีไดและนําไปเปิดเผย หามมิใหพยานรับฟังหลักฐานท่ีไดมาโดยมิชอบ หนาท่ีของผูใหบริการในการเก็บขอมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์และความรับผิดชอบ หากไมปฏิบัติตามหนาท่ี การแตงตั้งพนักงานเจาหนาท่ี การรับคํารองทุกข์กลาวโทษ จับควบคุม คน และการกําหนดระเบียบ แนวทางและวิธีปฏิบัติ และสุดทายการปฏิบัติหนาท่ีของพนักงานเจา หนา ที่ สรุปแลวพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีท้ังส้ิน30 มาตรา แบงโครงสรางออกเป็น 3 สวน ไดแก สวนท่ัวไป สวนที่ 2 วาดวยฐานความผิดและ 163บทลงโทษผูกระทําความผดิ และสว นท่ี 3 ทีเ่ ป็นการกําหนดอํานาจหนาที่ของพนักงานเจาหนาท่ี และหนาที่ของผูใหบริการ ในสวนตอไปจะกลาวถึงรูปแบบการกระทําผิดในพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําผิดเกย่ี วกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึง่ มมี าตราตา งๆ เพอ่ื รองรับรูปแบบการกระทาํ ผดิ ดว ย 2. พระราชบัญญัติวา่ ดว้ ยธรุ กรรมอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ กฎหมายสวนใหญรับรองธุรกรรมที่มีลายมือช่ือบนเอกสารที่เป็นกระดาษ ทําใหเป็นปัญหาตอการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศตางๆ รวมทั้งไทยจึงตองสรางกฎหมายใหมเพ่ือใหการรองรับธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์เหลานี้ ทั้งนี้กฎหมายของประเทศสวนใหญถูกสรางบนแมแบบท่ีกําหนดโดยคณะทํางานสหประชาชาติ (UNCITRAL) สําหรับประเทศไทยมีพระราชบัญญัติวาดวยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และมีผลบังคับใชตั้งแตเดือนเมษายน พ.ศ. 2545 โดยคณะกรรมการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นผูดูแลการบังคับใชกฎหมายฉบับบนี้ เนื้อหาสําคัญเก่ียวกบั การคา ของกฎหมายฉบบั นี้มดี งั ตอ ไปนี้ 2.1 กฎหมายนี้รับรองการทําธุรกรรมดวยเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด เชน โทรสารโทรเลข ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมาตรา 7 ระบุไววา หามมิใหปฏิเสธความมีผลผูกพันและการบงั คับใชท างกฎหมายของขอ ความใด เพียงเพราะเหตุทข่ี อความนนั้ อยใู นรปู ของขอมูลอเิ ล็กทรอนิกส์ 2.2 ศาลจะตองยอมรับฟังเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ แตท้ังนี้มิไดหมายความวาศาลจะตองเชื่อวาขอความอิเล็กทรอนิกส์นั้นเป็นขอความท่ีถูกตอง โดยมาตรา 9 ระบุวา ในกรณีท่ีบุคคลพึงลงลายมือช่ือในหนังสือใหถือวาขอมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีการลงลายมือชื่อแลว ถาใชวิธีการท่ีสามารถระบุตัวเจาของลายมือชื่อ และสามารถแสดงไดวาเจาของลายมือชื่อรับรองขอความในขอมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นวาเป็นของตน ซ่ึงจะเห็นวาเจตจํานงของกฎหมายนี้ช้ีวาศาลจะเชื่อหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์นั้นวาเป็นของจริงเม่ือสามารถยืนยันตามหลักการท่ีนาเชื่อถือ (Authentication) และเป็นที่ยอมรับ (Non-Repudiation) ไดเทานั้น ฉะน้ันเอกสารท่ีมีระบบลายมือชื่อดิจิทัลจะเป็นวิธีหน่ึงในการสรางหลักฐานทศ่ี าลจะเชื่อวา เป็นจริง 2.3 ปัจจุบันธุรกิจจําเป็นตองเก็บเอกสารทางการคาท่ีเป็นกระดาษจํานวนมาก ทําใหเกิดคาใชจา ยและความไมปลอดภัยขึ้น กฎหมายฉบับนี้เปิดทางใหธุรกิจสามารถเก็บเอกสารเหลาน้ีในรปู ไฟลอ์ ิเลก็ ทรอนิกส์ไดต ามมาตรา 10 ท่ีกลา ววา ในกรณที ก่ี ฎหมายกําหนดใหนําเสนอหรือเก็บรักษาขอความใดในสภาพท่ีเป็นมาแตเดิมอยางเอกสารตนฉบับ ถาไดนําเสนอหรือเก็บรักษาในรูปขอมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามหลักเกณฑ์ดังตอไปนี้ ใหถือวาไดมีการนําเสนอหรือเก็บรักษาเป็นเอกสารตนฉบับตามกฎหมายแลว ซึ่งขอมูลอิเล็กทรอนิกส์ไดใชวิธีการที่เช่ือถือไดในการรักษาความถูกตองของขอความต้ังแตการสรางขอความจนเสร็จสมบูรณ์ และสามารถแสดงขอความนั้นในภายหลังไดความถูกตองของขอความตามมาตราที่ 7 ใหพิจารณาถึงความครบถวนและไมมีการเปล่ียนแปลงใดของขอความ เวนแตการรับรองหรือบันทึกเพ่ิมเติม จะเห็นวาประเด็นสําคัญของการเก็บรักษาขอมูลอิเล็กทรอนิกส์คือ การรักษาความถูกตองของขอมูล ซึ่งแฮชฟังก์ช่ัน (Hash Function) ที่เกิดขึ้นในกระบวนการลายมือช่ือดจิ ทิ ลั สามารถนํามาใชเ พือ่ การน้ไี ดเ ชนกัน 2.4 ปกติการทําสัญญาบนเอกสารที่เป็นกระดาษจะมีการระบุวันเวลาที่ทําธุรกรรมน้ันดวย ในกรณีธรุ กรรมอิเล็กทรอนิกส์นั้นไดใหขอวินิจฉัยเวลาของธุรกรรมตามมาตรา 23 ท่ีระบุวา การรับขอมูลอิเล็กทรอนิกส์ใหถือวามีผลนับแตเวลาท่ีขอมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นไดเขามาสูระบบขอมูลของ 164ผูรับขอมูล หากผูรับขอมูลไดกําหนดระบบขอมูลท่ีประสงค์จะใชในการรับขอมูลอิเล็กทรอนิกส์ไวโดยเฉพาะ ใหถือวาการรับขอมูลอิเล็กทรอนิกส์มีผลนับแตเวลาท่ีขอมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นไดเขาสูระบบขอ มูลทผี่ ูร ับขอมลู ไดก ําหนดไวน นั้ แตถาขอมูลอิเล็กทรอนิกส์ดังกลาวไดสงไปยังระบบขอมูลอื่นของผรู ับขอมูลซง่ึ มใิ ชร ะบบขอมลู ท่ีผรู บั กําหนดไว ใหถ อื วาการรับขอมูลอเิ ล็กทรอนิกส์มีผลนับแตเวลาท่ีไดเรียกขอมูลอิเล็กทรอนิกส์จากระบบขอมูลน้ัน จะเห็นวาเวลาของธุรกรรมเกิดขึ้นได 2 ชวง ชวงท่ีหนึ่งเวลาธุรกรรมเริ่มตนเมื่อขอมูลถูกสงเขาสูระบบของผูรับ กรณีน้ีมักใชกับการสงคําสั่งซ้ือโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์เขาสูระบบของผูขายโดยตรง ชวงที่สองเวลาธุรกรรมเร่ิมตนเมื่อผูรับเปิดอานขอความ กรณีน้ีหมายถึง การที่ผูซื้อสงเอกสารทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ถึงผูขาย โดยผูขายใชบรกิ ารไปรษณีย์อเิ ลก็ ทรอนกิ สข์ องผใู หบ ริการอินเทอรเ์ นต็ (ISP) 2.5 มาตรา 25 ระบุถึงบทบาทของภาครัฐในการใหบริการประชาชนดวยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ใหอํานาจหนวยงานรัฐบาลสามารถสรางระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์(e-Government) ในการใหบ รกิ ารประชาชนได โดยตอ งออกประกาศ หรอื กฎกระทรวงเพ่มิ เตมิ 2.6 ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์หรือลายมือชื่อดิจิทัลของผูประกอบถือเป็นส่ิงสําคัญและมีคาเทียบเทาการลงลายมือชื่อบนเอกสารกระดาษ ดังน้ันผูประกอบการตองเก็บรักษาใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์นี้ไวเป็นความลับ และมาตรา 27 ไดกําหนดหนาที่ของเจาของใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ดังนี้ คือใชความระมดั ระวงั ตามสมควรเพื่อมิใหมีการใชขอมูลสําหรับใชสรางลายมือช่ืออิเล็กทรอนิกส์โดยไมไดรับอนุญาต และแจงใหบุคคลที่คาดหมายได โดยมีเหตุอันควรเช่ือวา จะกระทําการใดโดยขึ้นอยูกับลายมือช่ืออิเล็กทรอนิกส์หรือใหบริการเกี่ยวกับลายมือช่ืออิเล็กทรอนิกส์ทราบโดยมิชักชาเมื่อกรณีเจาของลายมือช่ือรูหรือควรไดรูวาขอมูลสําหรับใชสรางลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์น้ันสูญหายถูกทําลาย ถูกแกไข ถูกเปิดเผย โดยมิชอบหรือถูกลวงรูโดยไมสอดคลองกับวัตถุประสงค์ หรือกรณีเจาของลายมือช่ือรูจากสภาพการณ์ที่ปรากฏวากรณีมีความเส่ียงมากพอที่ขอมูลสําหรับใชสรางลายมือช่ืออิเล็กทรอนิกส์ สูญหาย ถูกทําลาย ถูกแกไข ถูกเปิดเผยโดยมิชอบ หรือถูกลวงรูโดยไมสอดคลองกบั วตั ถุประสงค์ 3. กฎหมายลขิ สิทธิ์ และการใช้งานโดยธรรม (Fair Use) กฎหมายลขิ สิทธภิ์ ายใตพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2537 ที่เก่ียวของกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการใชงานโดยธรรม (Fair Use) ก็คือมาตรา 15 ท่ีมีสาระสําคัญในการคุมครองลิขสิทธิ์ของเจาของลิขสิทธิ์ เชน สิทธิในการทําซํ้าหรือดัดแปลงงาน การเผยแพรงานตอสาธารณชน และใหเชาตนฉบับหรือสําเนางานบางประเภท เป็นตน ดังน้ันลิขสิทธ์ิจึงเป็นสิทธิแตผูเดียว ของเจาของลิขสิทธิ์อันเกิดจากงานสรางสรรค์ท่ีไดรับความคุมครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ นอกจากน้ีก็มีมาตรา 32 ถึงมาตรา 36 และมาตรา 43 ในหมวด 1 สวนท่ี 6 วาดวยขอยกเวนการละเมิดลิขสิทธ์ิ ใหสามารถนําขอมูลของผูอื่นมาใชไดโดยไมตองขออนุญาต หรือเป็นการใชงานโดยธรรม ตองข้ึนอยูกับปัจจัย 4ประการดังนี้ 1) พิจารณาวาการกระทาํ ดังกลา วมวี ตั ถปุ ระสงคก์ ารใชงานอยางไร ลักษณะการนําไปใชมิใชเป็นเชิงพาณิชย์ แตควรเป็นไปในลักษณะไมหวังผลกําไร อาจใชเพ่ือการศึกษา หรือประโยชน์สว นตัว การใชเ พื่อการติชมหรอื วจิ ารณ์ เปน็ ตน 165 2) ลักษณะของขอมูลท่ีจะนําไปใชซึ่งขอมูลดังกลาวเป็นขอเท็จจริง เป็นความจริง อันเป็นสาธารณประโยชน์ ซ่ึงทุกคนสามารถนาํ ไปใชประโยชนไ์ ด 3) จาํ นวนและเนอ้ื หาทีจ่ ะคัดลอกไปใชเ มอ่ื เปน็ สดั สวนกับขอ มลู ทมี่ ีลิขสทิ ธ์ิทง้ั หมด 4) ผลกระทบของการนําขอมูลไปใชที่มีตอความเป็นไปไดทางการตลาดหรือคุณคาของงานทม่ี ีลิขสิทธนิ์ ้นั ดงั น้นั ผใู ชง านควรนาํ ขอมูลมาใชง านอยางระมดั ระวงั เพราะปัจจุบันโลกของอินเทอร์เน็ตเปิดกวางสําหรับทุกคนใหมีโอกาสในการเผยแพรขอมูลตางๆ ไดงาย และเสียคาใชจายนอยนอกจากน้ี การนําขอมูลจากอินเทอร์เน็ตไปใชก็สามารถกระทําไดโดยงาย ไมวาจะเป็นรูปภาพ เสียงคลิปวิดีโอ บทความหรือบทประพันธ์ (Text) และซอฟต์แวร์ เป็นตน กฎขอบังคับในการนําขอมูลตา งๆ เผยแพรทางเว็บไซต์กเ็ หมือนกับสื่อท่ัวๆ ไป ตามกฎของการใชเนื้อหา การขออนุญาตในการนําขอมูลไปเผยแพร ควรจะตองมีการตรวจสอบลิขสิทธ์ิที่เปิดไวใหในการเผยแพรทางเว็บไซต์ และเนอ่ื งจากลิขสิทธิ์เป็นเร่ืองที่ยุงยากซับซอน จึงจําเป็นอยางยิ่งท่ีจะตองกําหนดวาผูที่ไดรับสิทธ์ิหลักน้ันจะมีอํานาจในการตัดสินใจแทนผูเขียน ศิลปิน ผูพัฒนา และสวนประกอบอื่นๆ ท่ีเกี่ยวของท้ังหมดหรือไม สําหรับขอยกเวนการละเมิดลิขสิทธ์ิท่ีเก่ียวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพ่ือใชงานโดยธรรมในมาตรา 35 ไดบัญญัติใหการกระทําแกโปรแกรมคอมพิวเตอร์อันมีลิขสิทธิ์ มิใหถือวาเป็นการละเมิดลิขสิทธ์ิ หากไมมีวตั ถุประสงค์เพือ่ หากําไร ในกรณดี ังตอ ไปนี้ 1) วจิ ัยหรอื ศึกษาโปรแกรมคอมพวิ เตอร์นนั้ 2) ใชเ พื่อประโยชน์ของเจาของสาํ เนาโปรแกรมคอมพวิ เตอรน์ ัน้ 3) ติชม วิจารณ์ หรือแนะนําผลงานโดยมีการรับรูถึงความเป็นเจาของลิขสิทธิ์ในโปรแกรมคอมพวิ เตอร์นน้ั 4) เสนอรายงานขาวทางส่ือสารมวลชนโดยมีการรับรูถึงความเป็นเจาของลิขสิทธ์ิในโปรแกรมคอมพิวเตอรน์ ั้น 5) ทําสําเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในจํานวนที่สมควรโดยบุคคลผูซึ่งไดซื้อหรือไดรับโปรแกรมนน้ั มาจากบุคคลอ่ืนโดยถูกตอง เพอ่ื เกบ็ ไวใชประโยชน์ในการบํารุงรักษาหรือปูองกันการสูญหาย 6) ทําซํ้า ดัดแปลง นําออกแสดง หรือทําใหปรากฏเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาของศาลหรือเจาพนกั งานซง่ึ มอี ํานาจตามกฎหมาย หรอื ในการรายงานผลการพจิ ารณาดงั กลาว 7) นําโปรแกรมคอมพิวเตอร์น้ันมาใชเ ปน็ สวนหน่งึ ในการถามและตอบในการสอบ 8) ดัดแปลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในกรณที ีจ่ ําเปน็ แกการใช 9) จัดทําสําเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพ่ือเก็บรักษาไวสําหรับการอางอิง หรือคนควาเพอ่ื ประโยชน์ของสาธารณชน ในสวนของการใชงานโดยธรรมในพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ท่ีมีเน้ือหาสาระสําคัญในการทําซํ้า โดยมิถือวาเป็นการละเมิดลิขสิทธ์ิ หากมีวัตถุประสงค์เพื่อมิไดแสวงหากําไรในกรณีท่ีการทําซ้ําเพ่ือใชในหองสมุดหรือใหบริการแกหองสมุดอ่ืน และการทําซ้ํางานบางตอนตามสมควรใหแกบ คุ คลอื่น เพ่อื ประโยชน์ในการวิจัยหรือการศกึ ษา 166 สรุปแลวจะเห็นวากฎหมายที่เก่ียวของกับเทคโนโลยีสารสนเทศไดกําหนดขึ้นเพื่อควบคุมผูกระทําผิดที่ใชคอมพิวเตอร์และระบบเครือขายสรางความเสียหาย และสงผลกระทบตอผูคนเศรษฐกิจ และสังคม พระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ไดบญั ญัตขิ ึน้ 30 มาตรา เพือ่ กาํ หนดอาํ นาจหนาท่ีของพนกั งานเจา หนา ที่ และรองรับรูปแบบการกระทําผิดซ่ึงมีหลากหลายรูปแบบ ไมวาจะเปน็ การเขา ถงึ ระบบและขอมูลคอมพวิ เตอร์โดยมิชอบ การรบกวนระบบและขอมูลคอมพิวเตอร์ ท่ีสรางความเสียหายแกขอมูลและระบบเครือขายใหไมสามารถทํางานหรือใหบรกิ ารแกผใู ชได การใชจ ดหมายบกุ รุกหรอื สแปมสรางความรําคาญใหกับผูอ่ืน การโพสต์ขอมูลเท็จ ตลอดจนการตัดตอภาพท่ีสรางความเสียหายแกผูถูกกระทํา เหลาน้ีที่ผูใชงานคอมพิวเตอร์และระบบเครอื ขายตองรเู ทา ทนั เพราะขอมูลและสารสนเทศสามารถเขาถึง และนําไปใชประโยชน์ไดงายผานเครือขายอินเทอร์เน็ต นอกจากน้ียังตองคํานึงถึงกฎหมายลิขสิทธิ์ หากมีการนําขอมูลตางๆ ท่ีเผยแพรทางเว็บไซต์มาใช หรือหากวาเราอยูในบทบาทของผูใหบริการเผยแพรขอมูล ก็ตองคํานึงถึงการใชงานโดยธรรมวา งานในลักษณะใดจึงจะถือวา ไมเ ปน็ การละเมิดลิขสิทธ์ิ กฎหมายท่ีไดกลาวถึงในหัวขอน้ีเป็นเพียงเคร่ืองมือเพื่อใชควบคุมใหผูใช หรือผูใหบริการสารสนเทศผานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ อยูใ นกฎเกณฑ์ กติกา ของสังคมออนไลน์ท่ีวางไวใหเป็นขอปฏิบัติ แตหากเรามีจิตสํานึกที่ดีในการใชงาน มีจริยธรรมในยุคสังคมสารสนเทศ ก็จะทําใหโลกออนไลน์เป็นแหลงเรียนรูอันทรงคุณคาและมปี ระสิทธิภาพอยางไมมีขดี จํากัดจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ จากการที่รูปแบบการกระทําผิดเก่ียวกับการใชงานระบบคอมพิวเตอร์มีหลากหลายรูปแบบไมวาจะเป็น สปายแวร์ สนิฟเฟอร์ ฟิชช่ิง ไวรัสคอมพิวเตอร์ DoS การสแปมอีเมล ฯลฯ ซึ่งกอใหเกิดปัญหาทง้ั ทางดา นเศรษฐกิจ สังคม และความม่ันคงของชาติ เนื่องจากการขาดจิตสํานึกและจริยธรรมท่ดี นี นั่ เอง จริยธรรม (Ethics) เป็นแบบแผนความประพฤติหรือความมีสามัญสํานึกรวมถึงหลักเกณฑ์ที่คนในสังคมตกลงรวมกันเพ่ือใชเป็นแนวทางในการปฏิบัติรวมกันตอสังคมในทางท่ีดี ซึ่งอาจจะไมมีกฎเกณฑต์ ายตวั ขน้ึ อยกู บั กลมุ สังคมหรือการยอมรับในสังคมน้ันๆ เป็นหลัก ซึ่งจริยธรรมจะเก่ียวของกบั การคดิ และตัดสนิ ใจ (จรยิ ธรรมในสังคมสารสนเทศ, 2551) จริยธรรมในการใชเทคโนโลยีสารสนเทศตองอยูบนพ้ืนฐาน 4 ประเด็นดวยกัน ที่รูจักกันในลักษณะตัวยอวา PAPA (จริยธรรมในสังคมสารสนเทศ, 2551) คอื 1. ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy) ความเป็นสวนตัว คือสิทธิท่ีจะอยูตามลําพัง และเป็นสิทธิที่เจาของสามารถท่ีจะควบคุมขอมูลของตนเองในการเปิดเผยใหกับผูอ่ืน สิทธิน้ีใชไดครอบคลุมทั้งปัจเจกบุคคล กลุมบุคคล และองคก์ รตางๆ ที่จะคงไวซ่งึ สารสนเทศท่มี อี ยใู นการใช เพื่อการเผยแพร นําไปใชประโยชน์ หรือเปิดเผยขอ มลู สว นบคุ คล หากมีการกระทําการใดๆ ในขอมูลสว นบุคคล เจาของสทิ ธคิ์ วรจะไดรับรู ดังนั้นไมวาเราจะอยูในบทบาทของผูใชระบบสารสนเทศ หรือผูใหบริการสารนเทศ ก็พึงตระหนักถึงจริยธรรมในความเป็นสวนตัว หากเราเป็นผูใชงานระบบ ก็ไมควรละเมิดสิทธิ์ของผูใหบริการ เจาะระบบเพ่ือแฮกเอาขอมูลในระบบมาใชในทางท่ีมิชอบ และถาหากเราอยูในฐานะของผูใหบริการ เชน เป็นเว็บ 167มาสเตอร์ของเว็บไซต์ใดๆ แลว ก็ไมควรละเมิดสิทธ์ิความเป็นสวนตัว อาทิ ใชโปรแกรมติดตามและสํารวจพฤติกรรมของผูใชงานเว็บไซต์ของเรา การนําอีเมลของสมาชิกในเว็บไซต์ไปจําหนายใหกับบริษัทรับทําโฆษณาออนไลน์ หรือแอบเอาขอมูลสวนตัวของสมาชิกไปใชเพ่ือประโยชน์อื่นโดยมิชอบเป็นตน 2. ความถกู ต้องแมน่ ยา (Information Accuracy) ความถูกตองแมนยําในการเผยแพรขาวสารขอมูลตางๆ บนอินเทอร์เน็ต นับวาตองใหความสําคัญเป็นอยางมาก เพราะขอมูลดังกลาวจะเผยแพรอยางรวดเร็ว และเขาถึงไดงาย ดังนั้นจริยธรรมสําหรับผูทําหนาท่ีเผยแพรหรือนําเสนอขอมูลตางๆ จึงควรตระหนักถึงความถูกตองแมนยํามีการวิเคราะห์และกล่ันกรองขอมูลกอนทําการนําเสนอ และพรอมที่จะนําไปใชประโยชน์ไดโดยไมสงผลกระทบใดๆ กับผูท่ีนําไปใช นอกจากน้ีผูทําการเผยแพรตองมีความรอบคอบในการนําเสนอขอ มูล มกี ารปรบั ปรงุ ขอมลู ตา งๆ ใหเ ปน็ ปจั จุบนั เสมอ และพรอมที่จะรับผิดชอบตอการนําเสนอหากมีความผดิ พลาดเกดิ ขน้ึ 3. ความเปน็ เจา้ ของ (Information Property) ความเปน็ เจา ของเป็นกรรมสทิ ธ์ิในการถือครองทรัพย์สิน ซ่ึงอาจเป็นทรัพย์สินท่ัวไปท่ีจับตองได เชน คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ และที่จับตองไมได เชน ทรัพย์สินทางปัญญาบทเพลง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และจากความกาวหนาทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงสามารถสรางสรรค์งานในรูปแบบดิจิทัลตลอดจนมีการนําเสนอขอมูลทางออนไลน์ไดโดยงาย กอใหเกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ การทําซ้ํา ลอกเลียนแบบ โดยเฉพาะอยางยิ่ง การสําเนาซีดีเพลง VCD DVDภาพยนตร์ตางๆ ทําใหเกิดผลเสียแกเจาของผลงาน หรือผูผลิตและผูจําหนายสินคา ซึ่งเป็นการขาดจรยิ ธรรมโดยไมค าํ นงึ ถงึ ความเป็นเจา ของผลงานนน้ั ๆ 4. การเข้าถงึ ข้อมูล (Data Accessibility) การเขาถึงขอมูลของผูอ่ืนโดยไมไดรับความยินยอมน้ัน ถือเป็นการผิดจริยธรรมเชนเดียวกับการละเมิดขอมูลสวนตัว เพราะบางครั้งในการเขาถึงขอมูล การเขาใชบริการระบบหรือเวบ็ ไซตใ์ นหนว ยงาน หรือองคก์ ร จะมกี ารกาํ หนดสิทธิ์วา ใครมสี ิทธใิ นการเขาใชข อมูล เพ่ือปูองกันผูไมประสงค์ดี หรือผูบุกรุกท่ีพรอมโจมตีระบบเครือขายขององค์กร ตลอดจนการลักลอบเขามาใชขอมูลโดยไมไดรับอนุญาต เพื่อนําไปใชประโยชน์อ่ืนท่ีอาจกอความเสียหายใหแกองค์กร ดังน้ันผูใชสารสนเทศจึงควรคํานึงถึงจริยธรรมในการเขาถึงขอมูล ไมลักลอบไปใชขอมูลของผูอ่ืนโดยไมไดรับอนุญาต ไมพยายามเจาะระบบเครือขายของผูอ่ืนอันจะกอใหเกิดความเสียหาย รวมถึงการปกปูองไมใ หส ิทธิการเขาถงึ ขอ มูลของตนไปใหแ กผ อู ืน่ เพราะอาจสรางความเสียหายใหแกองคก์ รได สรุปแลวจริยธรรมในการใชเทคโนโลยีสารสนเทศยุคสังคมสารสนเทศ เป็นแบบแผนความประพฤติใหเ ราสามารถอยบู นโลกออนไลน์ไดอยางเหมาะสมโดยตองอยูบนพื้นฐานความเป็นสวนตัวท่ีตองเคารพในขอมูลสวนบุคคล ความถูกตองแมนยําที่ตองระมัดระวังในเร่ืองการเผยแพรขอมูลใหสามารถนําไปใชใหเกิดประโยชน์สูงสุด ความเป็นเจาของที่ตองตระหนักถึงลิขสิทธิ์ และการเขาถึงขอ มลู ซง่ึ ตองมีจรยิ ธรรมไมลกั ลอบเจาะระบบหรือบุกรุกเขาไปใชงานระบบโดยไมไดรับอนุญาต ดังน้ันผูที่อยูในสังคมสารสนเทศนอกจากจะตองอยูในกฎระเบียบที่สังคมไดกําหนดเป็นแนวปฏิบัติ มีจริยธรรมพื้นฐานในการใชงานออนไลน์แลว ก็จําเป็นตองรูเทาทัน มีแนวทางปูองกันอาชญากรรม 168ตางๆ ท่ีแฝงมาทางออนไลน์ดวย ดังนั้นในหัวขอตอไปจะไดกลาวถึงการรักษาความปลอดภัยในการใชงานเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงแนวโนม ดา นความปลอดภยั ในอนาคตดวยรูปแบบการกระทาผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550 ปัจจุบันรูปแบบในการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไดมีหลากหลายรูปแบบ โดยในพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ก็ไดมีมาตราตางๆ เพื่อรองรับตอ รปู แบบของการกระทําดงั กลา วตั้งแตมาตรา 5 ถงึ มาตรา 16 ดังมรี ายละเอยี ดดังนี้ 1. การเข้าถงึ ระบบและข้อมูลคอมพิวเตอร์ สําหรับมาตราที่เกี่ยวของกับการเขาถึงระบบและขอมูลคอมพิวเตอร์คือ มาตรา 5 ถึงมาตรา 8 โดยการเขาถึงโดยมิชอบ หมายถึง การบุกรุก และการลวงรูมาตรการปูองกันระบบคอมพิวเตอร์ ซ่ึงอาจเกิดจากการใชโปรแกรมสปายแวร์ (Spyware) เพื่อเจาะเขามาในเครื่องคอมพิวเตอร์เปูาหมาย การใชโปรแกรมสนิฟเฟอร์ (Sniffer) เพื่อดักขอมูลท่ีอยูในระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กร รวมถึงฟิชชิ่ง (Phishing) ซ่ึงเป็นการโจมตีในรูปแบบการปลอมแปลงอีเมล (Spoofing)และสรางเว็บไซต์ปลอมเพื่อหลอกลวงใหผูรับอีเมลเปิดเผยขอมูลสวนบุคคล หรือขอมูลทางการเงินของบคุ คลนนั้ โดยรูปแบบการกระทําผดิ มรี ายละเอยี ดดงั นี้ 1.1 สปายแวร์ เป็นโปรแกรมท่ีอาศัยชองทางการเชื่อมตอกับอินเทอร์เน็ตขณะที่เราทองเว็บไซต์บางเว็บหรือทําการดาวน์โหลดขอมูล แอบเขามาติดต้ังโปรแกรมในเคร่ืองคอมพิวเตอร์โดยผูใชอาจไมไดเ จตนา และอาจทําการติดตามหรือสะกดรอยขอมูลของผูใช ซึ่งอาจสงผลในลักษณะตางๆ ตอเคร่ืองคอมพิวเตอร์เชน ปรากฎปฺอบอัพโฆษณาเล็กๆ ขณะใชเคร่ืองคอมพิวเตอร์โดยไมไดเรียกข้ึนมา เคร่ืองคอมพิวเตอร์ทํางานชาลงหรืออาจเขาสูเว็บไซต์ตางๆ ไดชาหรือเม่ือเปิดเว็บบราวเซอร์ก็จะลิงค์ไปยังเว็บไซต์หลักของตัวสปายแวร์ท่ีถูกต้ังคาไว หากเกิดอาการรุนแรงสปายแวร์บางเวอร์ช่ัน อาจทําการติดตามคนหา รหัสผานท่ีพิมพ์ลงไปเพื่อทําการล็อกอินเขาแอคเคาน์เตอร์ตางๆ 1.2 สนฟิ เฟอร์ คือโปรแกรมท่คี อยดักฟังการสนทนาบนเครือขาย รวมถึงการดักจับแพ็กเก็ตในเครือขา ย โปรแกรมสนิฟเฟอร์จะถอดรหัสขอมูลในแพ็กเก็ตและเก็บบันทึกไวใหผูติดตั้งนําไปใชงาน ซง่ึ แฮกเกอร์นิยมนํามาใชเ พือ่ เจาะเขาไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางสําหรับดักจับขอมูล เชนช่อื บัญชี หรือชื่อผใู ช และรหสั ผา น เพื่อนําไปใชเจาะระบบอน่ื ตอไป 1.3 ฟชิ ชิง่ เปน็ การหลอกลวงเหยื่อเพื่อลวงเอาขอมูลสวนตัว โดยการสงอีเมลหลอกลวง(Spoofing) เพื่อขอขอมูลสวนตัว หรืออาจสรางเว็บไซต์ปลอม เพื่อหลอกลวงใหเหย่ือ หรือผูรับอีเมลเปดิ เผยขอมูลสว นบคุ คล หรอื ขอ มูลดา นการเงิน เพอ่ื นําไปใชประโยชน์ในทางทผี่ ดิ ตอ ไป 2. การรบกวนระบบและข้อมูลคอมพวิ เตอร์ การกระทําผดิ เกยี่ วกบั การรบกวนระบบและขอมลู คอมพวิ เตอร์ จะเกี่ยวของกับมาตรา 9และมาตรา 10 ลักษณะความผิดจะทําการรบกวนหรือทําลายระบบ และขอมูลคอมพิวเตอร์ โดยใชเครื่องมือท่ีผูกระทําผิดกระทําการเรียกวา มะลิซเชิส โคด (Malicious Code) ซ่ึงจะอยูในรูปแบบตางๆ เชน ไวรัส เวิร์ม หรือหนอนอินเทอร์เน็ต และโทรจัน อันสงผลในการรบกวน และสรางความ 169เสียหายใหกับระบบคอมพิวเตอร์ อาทิ การต้ังเวลาใหโปรแกรมทําลายขอมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ การทําใหคอมพิวเตอร์ทํางานผิดปกติหรือหยุดการทํางาน เป็นตน นอกจากน้ียังมีการโจมตีอีกรูปแบบหน่ึงคือ ดิไนออล อ฿อฟ เซอร์วิส (Denial of Service) ที่เป็นการโจมตีเพื่อใหไมสามารถบรกิ ารระบบเครือขายไดอีกตอ ไป สําหรับรายละเอียดการโจมตีระบบและขอมูลคอมพิวเตอร์มีดังน้ี 2.1 ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมชนิดหน่ึงท่ีพัฒนาขึ้นเพื่อกอใหเกิดความเสียหายตอขอมูล หรือระบบคอมพิวเตอร์ ซ่ึงในปัจจุบันไวรัสคอมพิวเตอร์ไดพัฒนารูปแบบ เทคนิคการแพรก ระจาย ความสามารถ รวมท้ังความรุนแรง ในการกอความเสียหายแกระบบแตกตางไปจากเดมิ มาก ซงึ่ รูปแบบของไวรัสคอมพิวเตอร์ไดพฒั นาใหมีรูปแบบดังนี้ 2.1.1 หนอนอินเทอร์เน็ต (Internet Worm) หมายถึง โปรแกรมท่ีออกแบบมาใหสามารถแพรกระจายไปยังเคร่ืองคอมพิวเตอร์เครื่องอ่ืนไดดวยตัวเอง โดยอาศัยระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ เชน อีเมล หรือการแชร์ไฟล์ ทําใหการแพรกระจายเป็นไปอยางรวดเร็วและเป็นวงกวาง 2.1.2 โทรจัน (Trojan) หมายถึง โปรแกรมท่ีออกแบบมาใหแฝงเขาไปสูระบบคอมพิวเตอร์ของผูใชอื่น ในหลากหลายรูปแบบ เชน โปรแกรม หรือการ์ดอวยพร เป็นตน เพื่อดกั จบั ตดิ ตาม หรอื ควบคมุ การทํางานของเครอื่ งคอมพวิ เตอร์ท่ีถูกคุกคาม 2.1.3 โคด (Exploit) หมายถึง โปรแกรมที่ออกแบบมาใหสามารถเจาะระบบโดยอาศัยชองโหวของระบบปฏิบัติการ หรือแอพพลิเคชั่นท่ีทํางานอยูบนระบบ เพื่อใหไวรัสหรือผูบุกรกุ สามารถครอบครอง ควบคมุ หรือกระทําการอยา งหนงึ่ อยา งใดบนระบบได 2.1.4 ขาวไวรัสหลอกลวง (Hoax) มักจะอยูในรูปแบบของการสงขอความตอ ๆ กนั ไป เหมือนกับการสงจดหมายลูกโซ โดยขอความประเภทน้ีจะใชหลักจิตวิทยา ทําใหขาวสารนัน้ นา เชื่อถอื ถาผทู ่ีไดรบั ขอ ความปฏบิ ัติตามอาจจะทําใหเ กิดความเสียหายตอ ระบบคอมพิวเตอร์ เชนการใหลบไฟล์ขอมูลที่จําเป็นของระบบปฏิบัติการโดยหลอกวาเป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ ทําใหระบบปฏบิ ตั ิการทาํ งานผิดปกติ เปน็ ตน 2.2 ดิไนออล อ฿อฟ เซอร์วิส (Denial of Service: DoS) หรือ ดิสตริบิวต์ ดิไนออลอ฿อฟ เซอร์วิส (Distributed Denial of Service: DDoS) เป็นการโจมตีจากผูบุกรุกที่ตองการทําใหเกิดภาวะท่ีระบบคอมพิวเตอร์ไมสามารถใหบริการได หรือผูใชงานไมสามารถเขาใชบริการรวมถึงทรัพยากรในระบบได นอกจากน้ีการโจมตีรูปแบบน้ียังสามารถทําใหเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครือขายไมส ามารถใชงานได รปู แบบโจมตขี อง DoS หรอื DDoS มีหลากหลายรปู แบบดังน้ี 2.2.1 การแพรกระจายของไวรัสปริมาณมากในเครือขาย กอใหเกิดการติดขัดของการจราจรในระบบเครอื ขาย ทําใหการสื่อสารในเครอื ขายตามปกตชิ า ลง หรือใชไ มได 2.2.2 การสง แพ็กเก็ตจาํ นวนมากเขาไปในเครือขายหรือ ฟลัดด้ิง (flooding)เพื่อใหเกิดการติดขัดของการจราจรในเครือขายมีสูงขึ้น สงผลใหการติดตอส่ือสารภายในเครือขายชาลง 2.2.3 การโจมตีขอบกพรองของซอฟต์แวร์ระบบ เพื่อจุดประสงค์ในการเขาถึงสิทธิ์การใชสงู ขน้ึ จนไมส ามารถเขา ไปใชบรกิ ารได 170 2.2.4 การขัดขวางการเช่ือมตอใดๆ ในเครือขายทําใหคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครอื ขา ยไมสามารถส่ือสารกนั ได 2.2.5 การโจมตีท่ีทําใหซอฟต์แวร์ในระบบปิดตัวเองลงโดยอัตโนมัติ หรือไมสามารถทํางานตอ ไดจ นไมสามารถใหบริการใดๆ ไดอกี 2.2.6 การกระทําใดๆ ก็ตามเพ่ือขัดขวางผูใชระบบในการเขาใชบริการในระบบได เชน การปิดบริการเว็บเซริ ฟ์ เวอร์ลง 2.2.7 การทําลายระบบขอมูล หรือบริการในระบบ เชน การลบช่ือ และขอมลู ผูใชออกจากระบบ ทาํ ใหไ มส ามารถเขา สูร ะบบได 3 การสแปมเมล (จดหมายบกุ รกุ ) ความผิดฐานการสแปมอีเมล จะเกี่ยวของกับมาตรา 11 ในพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ลักษณะการกระทํา เป็นการสงจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรอื อีเมลไปใหบุคคลอนื่ โดยการซอนหรอื ปลอมช่ือ อีเมล และหากการสงอีเมลไปใหผูรับคนใดคนหน่ึงมากเกินปกติ ก็ถือวาเป็นการสงอีเมลสแปมเชนกัน บางคร้ังการสงอีเมลในลักษณะท่ีผูรับไมตอ งการกอ็ าจเรียกวา อีเมลขยะ (Junk Email) 4 การใชโ้ ปรแกรมเจาะระบบ (Hacking Tool) การกระทําผิดฐานเจาะระบบโดยใชโปรแกรม จะเก่ียวของกับมาตรา 13 ซ่ึงการเจาะระบบนิยมเรียกวา การแฮกระบบ (Hack) เป็นการเขาสูระบบคอมพิวเตอร์ที่ไดมีการรักษาความปลอดภัยไว ใหสามารถเขาใชไดสําหรับผูท่ีอนุญาตเทานั้น สวนผูที่เขาสูระบบโดยไมไดรับอนุญาตจะเรียกวา แฮกเกอร์ ซ่ึงวิธีการที่แฮกเกอร์ใชในการเจาะระบบมีหลายวิธี เชน การอาศัยชองโหวของระบบปฏิบัติการ (โอเอส) เมื่อเจาะเขามาในระบบได ก็อาจมีการนําโปรแกรมบางสวนมาใชงานเพ่ือเจาะระบบเขาสสู ว นทส่ี าํ คญั อื่นๆ ตอไป บางคร้ังแฮกเกอร์วางโปรแกรมโทรจันเอาไว หรือส่ิงท่ีแฮกเกอร์นํามาแอบซอนไวในระบบ เพื่อเป็นตัวคอยเปิดชองทางใหเขามาใหมในภายหลัง หรือเป็นตัวเก็บรวบรวมขอมลู บางอยา งเอาไว เพอ่ื จะไดน าํ มาใชป ระโยชนใ์ นภายหลงั 5 การโพสตข์ อ้ มลู เท็จ สาํ หรับการโพสต์ขอมูลเท็จ หรือการใสราย กลาวหาผูอื่น การหลอกลวงผูอื่นใหหลงเช่ือหรือการโฆษณาชวนเชื่อใดๆ ที่จะสงผลกระทบตอระบบเศรษฐกิจ สังคม หรือกอใหเกิดความเสื่อมเสียตอสถาบันพระมหากษัตริย์ เหลาน้ี เป็นการกระทําตามมาตรา 14 และ มาตรา 15 ของพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 นอกจากนี้การฟอร์เวิร์ดอีเมลหรอื การสง ตอ อเี มลก็ถอื เป็นความผดิ ดว ย เพราะมสี ว นในการเป็นผเู ผยแพรข อมูลดงั กลาวดวย 6 การตัดตอ่ ภาพ ความผิดฐานการตัดตอภายใหผูอ่ืนไดรับความเสียหาย เป็นความผิดในมาตรา 16 ในพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซ่ึงการกระทําผิดรวมถึงการแตงเติม หรือดัดแปลงรูปภาพดวยวิธีใดๆ จนเป็นเหตุใหผูถูกกระทําไดรับความเสื่อมเสียช่ือเสียง ถูกเกลยี ดชงั หรือไดรบั ความอับอาย แตถาหากผูกระทําความผิดเป็นผูตัดตอภาพ และเผยแพรเองดวย ก็อาจไดร ับโทษทัง้ มาตรา 14 มาตรา 15 และมาตรา 16 พรอ มกันดวย 171 กลาวไดวารูปแบบในการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไดมีหลากหลายรูปแบบ อาทิการเขา ถงึ ระบบและขอมูลคอมพิวเตอร์ การรบกวนระบบและขอมูลคอมพิวเตอร์ การใชจดหมายบุกรุก การใชโ ปรแกรมเจาะระบบ การโพสตข์ อมลู เท็จ และการตัดตอภาพ ดังน้ันผูใชจึงตองมีความรูเทาทนั เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือความปลอดภัยในการใชง านเทคโนโลยีสารสนเทศดังจะไดกลาวในหัวขอตอ ไปการรักษาความปลอดภยั ในการใชง้ านเทคโนโลยีสารสนเทศ การใชงานดานเทคโนโลยีสารสนเทศมีความเส่ียงตอการถูกบุกรุก โจมตี จากรูปแบบการกระทําผิดตามพระราชบัญญัติวาดวยการกระทําความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ดังท่ีไดกลาวมาแลวในตอนตน ดังนั้นในหัวขอน้ีจึงจะขอเสนอแนวทางปูองกันเพื่อการใชงานระบบคอมพิวเตอร์ไดอยา งปลอดภยั ดังมีรายละเอยี ดดงั น้ี 1. แนวทางป้องกันภัยจากสปายแวร์ ดังไดท ราบมาแลววาสปายแวรเ์ ป็นโปรแกรมที่ไมพึงประสงค์ท่ีแอบเขามาในระบบการใชงานของเราและอาจตดิ ตามการทาํ งานขอมลู ของเราได ดงั นัน้ การปอู งกนั สปายแวรส์ ามารถทาํ ไดดงั น้ี 1.1 ไมคลิกลิงก์บนหนาตางเล็กของปฺอบอัพโฆษณา ใหรีบปิดหนาตางโดยคลิกที่ปุม“X” 1.2 ระมดั ระวงั อยางมากในการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ท่ีจัดใหดาวน์โหลดฟรี โดยเฉพาะเวบ็ ไซต์ท่ไี มน าเช่อื ถือ เพราะสปายแวรจ์ ะแฝงตวั อยูใ นโปรแกรมดาวน์โหลดมา 1.3 ไมควรติดตามอเี มลลิงก์ทใ่ี หข อ มูลวา มีการเสนอซอฟต์แวร์ปูองกันสปายแวร์ เพราะอาจใหผ ลตรงกนั ขาม 2. แนวทางป้องกนั ภยั จากสนิฟเฟอร์ สําหรับการปูองกันสนิฟเฟอร์วิธีที่ดีที่สุดที่สามารถปูองกันการดักฟัง หรือการดักจับแพ็กเก็ตทางออนไลน์ ก็คือ การเขารหัสขอ มลู โดยทําไดด งั นี้ 2.1 SSL (Secure Socket Layer) ใชในการเขารหัสขอมูลผานเว็บ สวนใหญจะใชในธุรกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 2.2 SSH (Secure Shell) ใชในการเขารหัสเพ่ือเขาไปใชงานบนระบบยูนิกซ์ เพ่ือปอู งกนั การดักจับ 2.3 VPN (Virtual Private Network) เปน็ การเขารหัสขอ มลู ท่ีสงผา นทางอนิ เทอร์เนต็ 2.4 PGP (Pretty Good Privacy) เป็นวิธีการเขารหัสของอีเมล แตที่นิยมอีกวิธีหน่ึงคือ S/MIME 3. แนวทางปอ้ งกันภยั จากฟิชชิ่ง ลักษณะของฟิชช่ิงสวนใหญเป็นการสงอีเมลหลอกลวง เพื่อขอขอมูลสวนตัว ดังน้ันแนวทางปอู งกนั สามารถทาํ ไดง ายๆ ดังน้ี 3.1 หากอีเมลสงมาในลักษณะของขอมูล อาทิ จากธนาคาร บริษัทประกันชีวิต ฯลฯควรตดิ ตอ กับธนาคารหรอื บรษิ ทั และสอบถามดว ยตนเอง เพื่อปูองกันไมใ หถูกหลอกเอาขอ มูลไป 172 3.2 ไมคลิกลิงก์ที่แฝงมากับอีเมลไปยังเว็บไซต์ที่ไมนาเช่ือถือ เพราะอาจเป็นเว็บไซต์ปลอมที่มีหนาตาคลายธนาคารหรือบริษัททางดานการเงิน ใหกรอกขอมูลสวนตัว และขอมูลบัตรเครดิต 4. แนวทางป้องกนั ภัยจากไวรสั คอมพวิ เตอร์ ปัจจุบันไวรัสคอมพิวเตอร์ไดพัฒนารูปแบบ เทคนิคการแพรกระจาย ความสามารถรวมถึงความรุนแรงในการกอความเสียหายแกระบบแตกตางไปจากเดิมมาก ดังนั้นแนวทางปูองกันไวรัสคอมพวิ เตอร์ จงึ สามารถกระทําไดดงั นี้ 4.1 ติดตั้งซอฟต์แวร์ปูองกันไวรัสบนระบบคอมพิวเตอร์ และทําการอัพเดทฐานขอมูลไวรสั ของโปรแกรมอยูเ สมอ 4.2 ตรวจสอบและอุดชอ งโหวของระบบปฏิบตั ิการอยา งสม่ําเสมอ 4.3 ปรับแตงการทํางานของระบบปฏิบัติการ และซอฟต์แวร์บนระบบใหมีความปลอดภัยสูงเชน ไมควรอนุญาตใหโปรแกรมไมโครซอฟต์ออฟฟิสเรียกใชมาโคร เปิดใชงานระบบไฟร์วอลที่ติดต้ังมาพรอมกับระบบปฏิบัติการ Windows XP หรือระบบปฏิบัติการอื่นๆ ปิดการแชร์ไฟล์ผานเครอื ขา ยหากไมมีความจาํ เป็น 4.4 ใชความระมัดระวังในการเปิดอานอีเมล และการเปิดไฟล์จากสื่อบันทึกขอมูลตางๆเชน หลีกเล่ียงการเปิดอานอีเมลและไฟล์ท่ีแนบมาจนกวาจะรูแหลงที่มา ตรวจหาไวรัสบนสื่อบันทึกขอมูลทุกครั้งกอนเปิดเรียกใชไฟล์บนส่ือนั้นๆ และไมควรเปิดไฟล์ที่มีนามสกุลแปลกๆ อาทิ .pifรวมถึงไฟลท์ ม่ี นี ามสกุลซอนกนั เชน .jpg.exe, .txt.exe และ .gif.scr เป็นตน 5. แนวทางป้องกันภัยการโจมตแี บบ DoS (Denial of Service) สาํ หรบั รูปแบบการโจมตีในลักษณะนี้จะสงผลใหระบบคอมพิวเตอร์ไมสามารถใหบริการแกผูเขาใชบริการได ซึ่งสงผลกระทบถึงความสูญเสียทั้งในแงของเวลาและทรัพย์สินสําหรับองค์กรดังนั้นมาตรการในการลดผลกระทบหรือความเสี่ยงตอการถูกโจมตี มีดังน้ี (ซีเอส ล็อกซอินโฟ, 2551หนา 28-29) 5.1 ใชกฎการฟิลเตอร์แพ็กเก็ตบนเราเตอร์สําหรับกรองขอมูล เพ่ือลดผลกระทบตอปัญหาการเกิด DoS รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดจากบุคคลภายในองค์กรเป็นตนกําเนิดการโจมตีแบบ DoS ไปยังเครอื ขายเปูาหมายอื่นดวย 5.2 ติดต้ังซอฟต์แวร์เพิ่มเติมในการแกไขปัญหาของการโจมตีโดยใช TCP SYNFlooding ซึง่ จะชวยใหร ะบบยงั สามารถทาํ งานไดใ นสภาวะท่ถี กู โจมตีไดยาวนานขน้ึ 5.3 ปิดบริการบนระบบท่ีไมมีการใชงานหรือบริการที่เปิดโดยดีฟอลต์ เชน บนเว็บเซริ ฟ์ เวอรไ์ มควรเปดิ พอร์ตใหบรกิ ารโอนยา ยไฟลผ์ านโปรโตคอล FTP 5.4 นําระบบการกําหนดโควตามาใช โดยการกําหนดโควตาเน้ือที่ดิสก์สําหรับผูใชระบบหรือสําหรับบริการในระบบ และควรพิจารณาการแบงพาร์ทิชั่นออกเป็นสวนเพื่อลดความเสี่ยงหรือผลกระทบท่ีเน้ือที่บนพาร์ทิช่ันใดๆ เต็ม จะไดไมสงผลกระทบตอขอมูลหรือการทํางานของระบบพาร์ทิชั่นอื่นไปดวย รวมทั้งการกําหนดโควตาของการสรางโพรเซสในระบบ หรือโควตาในเร่ืองอ่ืนที่มีผลตอการใชงานทรัพยากรในระบบลวนเป็นส่ิงท่ีควรนํามาใช และควรศึกษาคูมือระบบเพื่อหลีกเลี่ยงปญั หาทอี่ าจจะเกดิ จากความเลนิ เลอ ของผดู ูแลระบบหรอื การแกไขปัญหาเมื่อเกดิ เหตุฉุกเฉินขึ้น 173 5.5 สังเกตและเฝูามองพฤติกรรมและประสิทธิภาพการทํางานของระบบ นําตัวเลขตามปกติของระบบมากําหนดเป็นบรรทัดฐานในการเฝูาระวังในครั้งถัดไป เชน ปริมาณการใชงานฮารด์ ดิสก์ ประสิทธิภาพการใชงานหนวยประมวลผลกลางหรือซีพียู ปริมาณการจราจรในเครือขายท่ีเกิดขน้ึ ในชวงเวลาหนง่ึ เปน็ ตน 5.6 ตรวจตราระบบการจัดการทรพั ยากรระบบตามกายภาพอยางสม่ําเสมอ แนใจวาไมมีผูท ไ่ี มไดรับอนุญาตสามารถเขาถึงได มีการกําหนดตัวบุคคลที่ทําหนาท่ีในสวนตางๆ ของระบบอยางชัดเจน รวมถึงการกําหนดสิทธิในการเขาถึงระบบอยางรัดกุมดวย เชน เทอร์มินอลท่ีไมไดเปิดใหใชงานมีการเปิดข้ึนหรือไม จุดเขาถึงการเช่ือมตอเขาเครือขาย อุปกรณ์ สวิตซ์ อุปกรณ์เราเตอร์ หองเซิร์ฟเวอร์ ระบบควบคมุ การเขา ใชหองเครือขา ย สายสําหรับการเช่ือมตอมีสภาพชํารุด หรือสภาพอันบงช้ีถึงสาเหตุทไี่ มป กติหรอื ไม ระบบการถายเทอากาศ ระบบไฟฟูาสํารองทํางานเป็นปกติหรือไม เป็นตน 5.7 ใชโปรแกรมทริปไวร์ (Tripwire) หรือโปรแกรมใกลเคียงในการตรวจสอบการเปลีย่ นแปลงท่ีเกดิ ข้นึ กบั ไฟล์คอนฟิกหรือไฟลท์ ส่ี าํ คญั ตอการทาํ งานในระบบ 5.8 ติดต้ังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ฮ็อตสแปร์ (hot spares) ที่สามารถนํามาใชแทนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ไดทันทีเม่ือเหตุฉุกเฉินข้ึน เพ่ือลดชวงเวลาดาวน์ไทม์ของระบบ หรือลดชวงเวลาท่ีเกิดDenial of Service ของระบบลง ซึ่งการทไ่ี มส ามารถเขาใชงานระบบได ถือวาเขาสูภาวะของ Denialof Service เชน เดยี วกัน แมวาจะเกิดจากสาเหตุของผบู กุ รุกหรือสาเหตุอ่ืนกต็ าม 5.9 ติดตั้งระบบสํารองเครือขาย หรือระบบหองกันความสูญเสียการทํางานของระบบเครือขา ย หรือระบบสํารองเพ่อื ใหร ะบบเครอื ขา ยสามารถใชไดตลอดเวลา 5.10 การสํารองขอมูลบนระบบอยางสมําเสมอ โดยเฉพาะคอนฟิกที่สําคัญตอการทาํ งานของระบบ พิจารณาออกนโยบายสาํ หรบั การสาํ รองขอ มลู ทส่ี ามารถบังคบั ใชไ ดจริง 5.11 วางแผนและปรบั ปรงุ นโยบายการใชงานรหัสผานที่เหมาะสม โดยเฉพาะผูท่ีมีสิทธ์ิสูงสุดในการเขาถึงระบบทั้ง root บนระบบ UNIX หรือ Administrator บนระบบ MicrosoftWindows NT 6. แนวทางปอ้ งกันสแปมเมลหรือจดหมายบุกรุก การสงอีเมลในลักษณะน้ีจะมีสองประเภทคือ อีเมลสแปม และอีเมลบอมบ์ (EmailBomb) มรี ายละเอยี ดดังน้ี 6.1 การปูองกันอีเมลสแปม ในการปูองกันจริงๆ น้ันอาจทําไมได 100 % แตก็สามารถจะลดปญั หาจากอีเมลสแปมไดด งั น้ี 6.1.1 แจงผูใ หบ รกิ ารอินเทอร์เน็ตบลอ็ กอีเมลทีม่ าจากช่ืออีเมลหรือโดเมนน้นั ๆ 6.1.2 ตั้งคาโปรแกรมอีเมลที่ใชบริการอยูโดยสามารถกําหนดไดวาใหลบหรือยายอีเมลท่ีคาดวาจะเป็นสแปมไปไวใ นโฟลเดอรข์ ยะ (Junk) หรือกําหนดคาที่จะใชเป็น keyword วาหากมคี าํ นีใ้ นอเี มลใหย า ยไปโฟลเดอร์ขยะ หรอื กาํ หนดใหบ ลอ็ กอเี มลจากชือ่ อเี มลทรี่ ะบุไวได 6.1.3 ไมสมัคร (Subscribe) จดหมายขาว (Newsletter) บนเว็บไซต์ หรือโพสต์อเี มลลงในเว็บบอรด์ ตางๆ มากเกนิ ไป เพราะจะเป็นการเปดิ เผยอีเมลของเราสูโลกภายนอก ซึ่งอาจได 174อีเมลของเราไดดวยวิธีการหนึ่ง เชน การใชซอฟต์แวร์ดูดอีเมลจากเว็บไซต์ หรือเว็บไซต์ผูใหบริการดงั กลาวอาจนําขอ มูลอเี มลไปขายเพ่ือหากาํ ไร 6.2 การปอู งกันอเี มลบอมบ์ ลกั ษณะของอเี มลบอมบ์จะเปน็ การสงอีเมลหลายๆ ฉบับไปหาคนเพียงคนเดียวหรือไมก่ีคนเพ่ือหวังผลใหไปรบกวนระบบอีเมลใหลมหรือทํางานผิดปกติ ในการปูองกันอเี มลบอมบ์สามารถทาํ ไดดังน้ี 6.2.1 กําหนดขนาดของอีเมลบอกซ์ของแตละแอคเคาท์วาสามารถเก็บอีเมลไดสูงสดุ เทา ใด 6.2.2) กาํ หนดจาํ นวนอีเมลที่มากที่สดุ ทีส่ ามารถสงไดในแตละครง้ั 6.2.3 กําหนดขนาดของอีเมลท่ีใหญท สี่ ุดท่ีสามารถรบั ได 6.2.4 ไมอ นญุ าตใหส ง อเี มลจากแอคเคานท์ ี่ไมม ีตวั ตนจรงิ ในระบบ 6.2.5 ตรวจสอบวามีอีเมลแอคเคาท์นี้จริงในระบบกอนสง ถาเช็คไมผาน แสดงวาอาจมกี ารปลอมชอ่ื มา 6.2.6 กาํ หนด keyword ใหไมรับอีเมลเขามาจาก subject ทีม่ ีคําที่กาํ หนดไว 6.2.7 หม่ันอัพเดทรายชื่อโดเมนที่ติด black list จากการสงอีเมลสแปมหรืออเี มลบอมบ์ 7. การป้องกนั ภยั จากการเจาะระบบ มีแนวทางปูองกันโดยใชไฟร์วอลล์ ซ่ึงไฟร์วอลล์อาจจะอยูในรูปของฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ก็ได โดยเปรียบเสมือนยามเฝูาประตูท่ีจะเขาสูระบบ ตรวจคนทุกคนท่ีเขาสูระบบ มีการตรวจบัตรอนุญาต จดบันทึกขอมูลการเขาออก ติดตามพฤติกรรมการใชงานในระบบ รวมท้ังสามารถกาํ หนดสิทธทิ์ จี่ ะอนญุ าตใหใชระบบในระดบั ตางๆ ไดแนวโน้มดา้ นความปลอดภยั ในอนาคต เทคโนโลยีดานการรักษาความปลอดภัยบนระบบเทคโนโลยีสารสนเ ทศไดพัฒนาไปอยางรวดเร็วเพ่ือรองรับรูปแบบการกออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งเปรียบเสมือนการแขงขันกับกลุมแฮกเกอร์ที่ไดพัฒนาเทคนิคการกออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์รูปแบบใหมๆ เชนกัน จึงมีความพยายามของผูเช่ียวชาญดานการรักษาความปลอดภัยท่ีไดคาดการณ์แนวโนมดา นความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล เพ่ือท่ีจะสามารถปูองกันหรือหาทางแกไขไมใหสิ่งที่เป็นอันตรายเหลานี้เกิดข้ึนได ดังมีรายละเอียดตอไปนี้ (ศูนย์ประสานงานการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ประเทศไทย, 2551) 1. เกิดขอบังคับในหลายหนวยงานในการเขารหัสเคร่ืองคอมพิวเตอร์แลปท็อปคอมพิวเตอร์แลปท็อปเป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถพกพาไดสะดวก ผูใชสามารถเปล่ียนสถานที่ทํางานไดโดยงาย จึงเป็นท่ีนิยมของหนวยงานหรือองค์กรตางๆ ท่ีหันมาใชเคร่ืองคอมพิวเตอร์แลปท็อปแทนเครื่องคอมพิวเตอร์แบบต้ังโต฿ะ แตการสูญเสียขอมูลท่ีอยูในเคร่ืองคอมพิวเตอร์แลปท็อปก็มีความเสี่ยงสูงเชนกัน เชน หากนําแลปท็อปไปซอมยังบริษัทตัวแทนจําหนาย การท่ีผูใชไมไดเขารหัสขอมูลของแลปท็อปไว อาจทําใหชางซอมคอมพิวเตอร์สามารถเขาถึงขอมูลไดโดยตรง หรือหากมีการขโมยแลปทอ็ ปเกิดขึ้น ขอมูลของบริษัทก็จะสูญหาย หรือผูขโมยนําขอมูลท่ีอยูในแลปท็อปไปขายก็ได 175ดังน้ันหลายหนวยงานจึงตองใชมาตรการรวมถึงขอบังคับตางๆ เพ่ือใหพนักงานมีความระมัดระวังในการใชง านแลปท็อปมากขน้ึ มาตรการเหลา นไ้ี ดร วมถงึ การเขา รหัสขอมูลท่ีอยูบนแลปท็อป ซ่ึงเป็นการชวยปกปอู งขอมูลในกรณีที่แลปท็อปถูกคนรายขโมยไป ฉะนั้นมาตรการเพ่ือการรักษาความปลอดภัยของขอมูลในอนาคตจะตองกําหนดใหเจาหนาท่ีผูถือครองแลปท็อปตองทําการเขารหัสขอมูลที่อยูบนเคร่ือง รวมท้ังการใชงานการตรวจสอบตัวตนแบบ two-factor ในการล็อกอินเขาเคร่ืองแลปท็อปตลอดจนมีมาตรการใหบริษัทผูผลิตแลปท็อปพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุนการเขารหัสขอมูล โดยไมจําเป็นตองใชซอฟตแ์ วรภ์ ายนอกมาเสริม 2. ปัญหาความปลอดภัยของขอมูลใน PDA สมารทโฟน และ iPhone ปัจจุบันการพัฒนาPDA สมารทโฟน และ iPhone เป็นไปยังรวดเร็วและมีความสามารถแทบจะทัดเทียมเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งในดานการเก็บขอมูล การเชื่อมตอกับเครือขายอินเทอร์เน็ต ดังน้ันผูใชจึงนิยมเก็บขอมลู สว นตวั ทสี่ าํ คญั ไวใน PDA สมารทโฟน และ iPhone ดังนั้นหากอุปกรณ์ดังกลาวสูญหายขอมูลที่อยูในอุปกรณ์ก็อาจถูกนําไปใชประโยชน์ไปในทางที่ผิดไดโดยงาย จึงจําเป็นอยางยิ่งท่ีตองมีการเขารหสั ขอมลู ที่อยใู น PDA สมารทโฟน และ iPhone เชน เดียวกับแลปท็อป 3. การออกกฎหมายท่ีเกี่ยวของกับการปกปูองขอมูลสวนบุคคล ประเทศไทยไดออกกฎหมายที่เกี่ยวของกับการกระทําผิดหรือการกออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์และทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศหลายฉบับ ทําใหผูเช่ียวชาญดานการรักษาความปลอดภัยไดคาดการณ์กันวาภายในอนาคตแนวโนมการออกกฎหมายจะเนนไปทางดานการปกปูองขอมูลสวนบุคคลเป็นหลัก ไมวาจะเป็นการเขาถึงขอมูลสวนบุคคลโดยไมไดรับอนุญาต การบังคับใหบริษัทหรือหนวยงานที่ทํางานเก่ียวกับขอมูลสวนบุคคลตองมีมาตรฐานการปูองกันขอมูลที่ดีเพียงพอ โดยคาดวาจะมีบทลงโทษที่รุนแรงมากข้ึนสําหรับการขโมยขอมูลสวนบุคคล นอกจากน้ีกฎหมายอาจมีการกลาวถึงบริษัทหรือหนว ยงานท่ีทํางานเก่ยี วกับขอ มูลสว นบุคคล ไมวาจะเปน็ ธนาคาร โรงพยาบาล หรือบริษัทประกันภัยจะตองมีมาตรการปูองกันการเขาถึงขอมูลสวนบุคคลท่ีดีพอและไดมาตรฐาน กฎหมายดังกลาวจะเปรียบเหมือนขอมูลบังคับใหหนวยงานและบริษัททั้งหลายใหความสนใจในการปูองกันขอมูลสวนบุคคลใหม ากขน้ึ 4. หนวยงานภาครฐั ท่สี ําคญั เป็นเปูาหมายการโจมตีของแฮกเกอร์ สําหรับแนวโนมการโจมตีของแฮกเกอร์ในอนาคตคือหนวยงานรัฐตางๆ อันเน่ืองจากความปลอดภัยของระบบคอมพวิเตอร์ในหนวยงานของรัฐมีนอยกวาเมื่อเทียบกับหนวยงานเอกชนทําใหโอกาสท่ีจะบุกรุกสําเร็จมีมากกวานอกจากน้ีระบบโครงสรางพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคตาง ๆ ก็กลายเป็นเปูาหมายหลักในการโจมตดี ว ยเชน กัน 5. หนอนอินเทอร์เน็ต (Worms) บนโทรศัพท์มือถือ ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือจํานวนมากไดถูกติดตั้งระบบปฏิบัติการเสมือนเป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ เชน ระบบปฏิบัติการ Mac OS Xระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows Mobile หรอื ระบบปฏิบตั ิการบนโทรศัพทม์ อื ถอื อื่นๆ เป็นตนซ่ึงลกั ษณะการทาํ งานก็จะคลา ยกับระบบเครือขายทว่ั ๆ ไปทีห่ นอนอนิ เทอรเ์ น็ตสามารถแพรกระจายสูเครื่องคอมพิเตอร์ผานทางเว็บบราวเซอร์ โดยท่ีหนอนอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือก็ไดพัฒนาโปรแกรมบุกรุก (Exploit) ใชสําหรับโจมตีชองโหวของทิฟฟ ไลบาร์ร่ี (TIFF Library) ซึ่งเป็นชุดคําส่ังท่ีใชสําหรับพัฒนาโปรแกรมรูปภาพแบบหนึ่ง ซึ่งชองโหวดังกลาวสามารถใชโจมตีโทรศัพท์มือถือได 176หลายรุน ผา นทางโปรแกรมเวบ็ บราวเซอร์ หากผูใชทําการเรียกดูเว็บท่ีมีการฝังไฟล์รูปภาพแบบ TIFFของแฮกเกอรไ์ ว แฮกเกอร์จะสามารถเขา ควบคุมโทรศัพทม์ ือถือของผูใชไดโ ดยงาย 6. เปูาหมายการโจมตี VoIP (Voice over IP) มีมากขึ้น เนื่องจาก VoIP เป็นเทคโนโลยีทางเลือกท่ีองค์กรนํามาใชงานโทรศัพท์ระหวางประเทศท่ีมีคาใชจายนอย ลักษณะของ VoIP จะใชเทคโนโลยีการสง ขอ มูลเสยี งบน IP โปรโตคอล รูปแบบการโจมตีจะมีสองลักษณะคือ การทําใหระบบVoIP ไมสามารถทํางานได เชน การสงขอมูลจํานวนมากไปยังระบบเครือขาย ทําให VoIP ในระบบเครือขายท่ีถูกโจมตีไมสามารถสงขอมูลได หรือแฮกเกอร์อาจสงขอมูลไปรบกวนขอมูลเสียงบนระบบVoIP ทําใหผูใชงานไมสามารถฟังเสียงท่ีถูกสงมาได เป็นตน และอีกรูปแบบหน่ึงคือ การขโมยขอมูลเสยี งทถี่ ูกสง โดย VoIP หรอื การเปล่ยี นแปลงขอ มลู เสียงทถี่ ูกสง โดย VoIP กอนท่ีจะไปถึงผูใช เป็นตน 7. ภัยจากชองโหวแบบซีโร-เดย์ (Zero-Day) ลักษณะของชองโหวแบบ Zero-Day คือชองโหวข องระบบปฏบิ ัติการหรือซอฟตแ์ วร์ตางๆ ที่ถูกแฮกเกอร์นําไปใชในการโจมตีระบบ แตยังไมมีโปรแกรมซอ มแซมชอ งโหวจากทางเจาของผลิตภณั ฑ์ บางครั้งบริษทั บางแหงผูเป็นเจาของผลิตภัณฑ์ก็ทําธุรกิจเก่ียวกับการรับซ้ือชองโหวแบบ Zero-Day จากผูที่คนพบชองโหว เมื่อมีผูท่ีคนพบชองโหวแลวก็จะติดตอไปยังเจาของผลิตภัณฑ์ท่ีมีชองโหวชวยกันแกไขปัญหาตอไป ซึ่งรูปแบบธุรกิจดังกลาวถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสําหรับผูที่ตองการขายขอมูลของชองโหวตางๆ แทนที่การขายชองโหวกับกลุมอาชญากรรมเหมือนท่ีแลวมา แตอยางไรก็ตามรูปแบบธุรกิจดังกลาวชวยลดความรุนแรงที่เกิดจากชองโหวแบบ Zero-Day ไดเพียงสวนหนึ่งเทานั้น ยังมีโอกาสที่ แฮกเกอร์เลือกท่ีจะไมขายขอ มูลเก่ียวกับชอ งโหว Zero-Day แลว ใชประโยชนจ์ ากชองโหวดังกลาวดวยวิธีการของแฮกเกอร์เองดงั น้ันผดู แู ลระบบยังคงตอ งมีความพรอมในการรบั มือการโจมตดี ว ยชองโหวแบบ Zero-Day ตอไป 8. Network Access Control (NAC) มีบทบาทสําคัญมากข้ึนในองค์กร NAC นับวาเป็นเทคโนโลยที ี่เขา มาใชมากขึน้ ในองคก์ รเพอ่ื ชวยแบงเบาภาระขององค์กรในการจดั การปัญหาท่ีบุคลากรในองค์กรนําเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่ไมไดรับอนุญาต เชน แลปท็อป คอมพิวเตอร์สวนบุคคล เขามาเชื่อมตอกับระบบเครือขายภายในขององค์กร การกระทําดังกลาวอาจทําใหระบบเครือขายภายในองค์กรถูกบุกรุกผานทางเคร่ืองคอมพิวเตอร์สวนบุคคลของบุคลากรได หากเครื่องดังกลาวไมมีระบบความปลอดภัยท่ีเพียงพอ ซ่ึง NAC ก็คือ คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ทุกอยางตองถูกควบคุมใหตรงตามนโยบายขององค์กรกอนที่จะนําไปเช่ือมตอเขากับระบบเครือขายขององค์กร หากไมตรงตามนโยบายแลว เคร่ืองคอมพิวเตอร์หรืออปุ กรณน์ น้ั จะไมสามารถใชงานระบบเครือขายได เทคโนโลยีตางๆ ไดถูกรวบรวมไวใน NAC เพ่ือใชในการควบคุมอุปกรณ์ใหตรงตามนโยบายเชน ระบบ Anti-Virus ระบบปูองกันการบุกรุก (IPS) และไฟร์วอลล์ เป็นตน นอกจากนี้ NAC ยังมีประโยชน์ในการสืบหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดมัลแวร์หรือถูกบุกรุกไดดวย ตัวอยางผลิตภัณฑ์ NAC เชน Network AdmissionControl, Network Access Protection และ Infranet เป็นตน ซึ่งการจะเลือกผลิตภัณฑ์ตัวใดนั้นตองพจิ ารณาการใชง านที่สามารถนาํ มาติดตงั้ และประยุกต์ใชง านภายในองค์กรไดอ ยางมปี ระสิทธภิ าพ จะเห็นวาการรักษาความปลอดภัยในการใชงานเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นความจําเป็นท่ีผูใชเทคโนโลยสี ารสนเทศตองทราบ และรูแนวทางท่ีจะปูองกันภัยจากการกออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแบบการบุกรุก โจมตี หลากหลายวิธี นับตั้งแตการเขาถึงระบบและขอมูลทางคอมพิวเตอร์ การรบกวนระบบคอมพิวเตอร์ การเขาเจาะระบบของแฮกเกอร์ เป็นตน และในอนาคตก็สามารถ 177คาดการณ์รูปแบบการโจมตี และเตรียมรับมือกับรูปแบบการกระทําผิด อาทิ การออกกฎหมายควบคุมเพื่อปกปูองขอมูลสวนบุคคลใหเป็นรูปธรรมอยางชัดเจน การออกขอบังคับเพ่ือการเขาถึงระบบไดยากขึ้นเพือ่ ปอู งกันผูไมม สี ิทธิ์เขาสูระบบ รวมถึงหนวยงานของรัฐท่ีตองเฝูาระวังการเขาโจมตีหรือบุกรุกจากแฮกเกอร์ ซ่ึงจะมีการนําระบบ NAC (Network Access Control) เขามาใชในองค์กรมากขึน้สรุป ประเทศไทยมกี ฎหมายท่เี กยี่ วของกบั เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือคุมครองผูไดรับความเสียหายที่เกิดจากผูท่ีใชคอมพิวเตอร์สําหรับการกระทําผิด โดยกฎหมาย ระเบียบ ขอบังคับตางๆ กําหนดขึ้นเพอื่ รองรบั รปู แบบการกระทาํ ผิดหลากหลายรปู แบบ นบั ต้ังแตการเขาถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยสปายแวร์ สนฟิ เฟอร์ ฟชิ ช่ิง การรบกวนระบบคอมพวิ เตอร์โดยไวรสั DoS การ สแปมอเี มล การใชโปรแกรมเจาะระบบโดยแฮกเกอร์ เป็นตน ฉะน้ันผูใชเทคโนโลยีสารสนเทศจึงควรมีจริยธรรมในการใชเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือจะไดอยูในสังคมออนไลน์รวมกันอยางสันติสุข สามารถใชประโยชน์จากเทคโนโลยสี ารสนเทศใหเ กิดประโยชน์สูงสุด โดยตองพิจารณาถึง ความเป็นสวนตัวเคารพในสิทธิสวนบุคคลของผอู ื่น มีความรบั ผิดชอบตอ การเผยแพรขาวสารขอมูลที่ถูกตองแมนยํา การไมละเมิดลิขสิทธิ์ในความเป็นเจาของของผูอื่น รวมถึงการเขาถึงขอมูลโดยสิทธิอันชอบธรรมไมละเมิดสิทธ์ิของผูอ่ืนนอกจากน้ีผูใชเทคโนโลยีสารสนเทศก็ควรรูแนวทางปูองกันภัยจากการกออาชญากรรมคอมพิวเตอร์อาทิ การระมัดระวังในการเขาเว็บไซต์ตางๆ เพื่อการดาวน์โหลดขอมูล เพราะอาจติดไวรัสหรือสปายแวร์ได การติดตั้งซอฟต์แวร์เพ่ือปูองกันไวรัส การใชฟิลเตอร์แพ็กเก็ตสําหรับกรองขอมูลเพ่ือปูองกันการโจมตีแบบ DoS การติดต้ังไฟร์วอลล์เพื่อปูองกันการบุกรุกจากแฮกเกอร์ เป็นตน ในอนาคตแนวโนมดานความปลอดภัย องค์กรของรัฐควรใหความสําคัญตอการปูองกันการบุกรุกหรือถูกโจมตีระบบเครือขายขององค์กรใหมาก เพราะเป็นเปูาหมายของแฮกเกอร์ เน่ืองจากระบบปูองกันยังไมรัดกุมพอจึงงายตอการเจาะระบบ รวมถึงการระมัดระวังในการใหสิทธิ์การเขาใชระบบบุคลากรในองค์กร การนาํ ฮาร์ดแวร์มาใชภ ายในองคก์ ร จงึ ควรควบคุมอยา งเขมงวด 178 คาถามทบทวน 1. ใหนักศึกษานําเสนอประสบการณ์ที่เกิดขน้ึ กับนักศึกษาหรือบุคคลใกลต ัว จากการกระทาํผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พรอมระบุวิธกี ารแกปญั หา 2. ใหนกั ศกึ ษาแสดงความคิดเหน็ การปอู งกนั การกออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจําวัน 3. ใหน กั ศึกษานาํ เสนอขาวที่เกย่ี วของกับการกออาชญากรรมทางคอมพวิ เตอร์ แลว แสดงความคิดเหน็ ระบคุ วามผดิ ตามพระราชบัญญตั วิ า ดวยการกระทําผิดเกี่ยวกบั คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550 4. จงระบุความสําคญั ของการใชเ ทคโนโลยีสารสนเทศบนพน้ื ฐานของคุณธรรม จรยิ ธรรม 5. ใหนกั ศึกษาแสดงความคิดเห็นการใชอ ีเมล และเวบ็ บอร์ดของมหาวิทยาลัยราชภฏั สวนดุสติ อยา งเหมาะสม 6. ใหนกั ศกึ ษาเสนอแนะแนวทางการการปูองกันอาญชากรรมที่อาจเกิดขน้ึ จากการใชงานเทคโนโลยบี นเครือขา ยสงั คมออนไลน์ 7. หากเพอื่ นของนกั ศึกษาไดประสบรูปแบบการโจมตีแบบสนฟิ เฟอร์นักศึกษาจะมีแนวทางปอู งกนั ภยั จากการโจมตรี ูปแบบน้ีอยา งไร 8. ใหอธบิ ายแนวโนม รูปแบบการโจมตีระบบเครือขายในอนาคต 9. นกั ศึกษาจะมวี ิธีการใช VoIP (Voice over IP) อยางไรจงึ จะปลอดภยั จากอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 10. จากความรทู ่ีไดรับใหน กั ศึกษาเขยี นแผนท่ีความคดิ (Mind Mapping) ประมวลความรูที่ไดรับ บทท่ี 9 การประยุกตเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือชีวติ อาจารยอ์ าภาภรณ์ องั สาชน เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทเขามาเป็นองค์ประกอบหน่ึงในการดําเนินชีวิตประจําวันของทุกคน ตั้งแตการเรียนรู การประกอบอาชีพ การดูแลรักษาสุขภาพ การพักผอนหยอนใจ จึงทําใหทุกคนจําเป็นตองเรียนรูและปรับตัวกับการเปล่ียนแปลง และการเติบโตอยางรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศ การศึกษาเพ่ือใหตนเองสามารถประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศสําหรับพัฒนาตนเองและสังคมจึงมีความสําคัญเป็นอยางมาก ในบทเรียนนี้จะนําเสนอเกี่ยวกับการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศกบั งานดา นตา งๆ ท่ีสามารถพบเหน็ ไดทั่วไป ทั้งดานการศึกษา ดานสังคม ดานสาธารณสุขงานศาสนาและศิลปวัฒนธรรม การประกอบธุรกิจ การบริหารจัดการภาครัฐ รวมจนถึงการสรางนวัตกรรมดวยการประยกุ ต์เทคโนโลยีสารสนเทศกบั การศกึ ษา การนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์กับการศึกษานั้นมีการนํามาใชกับระบบการศึกษาของไทยมาเป็นระยะเวลาหลายปีแลว เทคโนโลยีทางการศึกษาไดมีการพัฒนาขึ้นอยางตอเนื่องและมีรูปแบบทสี่ งเสริมใหเ กิดสภาพการเรยี นรแู บบใหมทท่ี ําใหผ เู รยี นไดมชี องทางการเรียนรูเพิ่มมากขึ้น 1. e-Learning การพัฒนาการศึกษาโดยทําเทคโนโลยีสารสนเทศเขาประยุกต์เพ่ือใหเกิดรูปแบบการศึกษาแบบใหมที่สามารถรองรับรูปแบบการศกึ ษาดวยตนเอง การศึกษาตลอดชีวิต การนําคอมพิวเตอร์และเครือขายการส่ือสารโดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตมาเป็นตัวชวยในการเพ่ิมความสะดวกสบายในการเรียนรูการวัดผล และการจดั การศึกษาเพือ่ ทดแทนหรือสนับสนุนการศึกษาแบบเดิม e-Learning ยอมาจากคําวา electronic(s) learning เป็นการเรียนรูทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึงการเรียนรูทางคอมพิวเตอร์หรือการเรียนโดยใชคอมพิวเตอร์ดวย (computer learning) เพื่อชวยในการสอนแทนรูปแบบเดิม โดยสามารถใชเทคโนโลยีอื่นๆ มาสนับสนุนดวย เชน วิดีโอ ซีดีรอมสัญญาณดาวเทียม เครือขายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต รูปแบบของการเรียนรูทางอเิ ล็กทรอนิกส์ สวนมากจะเป็นการเรียนแบบออนไลน์ ซ่ึงทําใหสามารถโตตอบกันไดเสมือนการเรียนในช้ันเรียนปกตไิ ด การปรับปรุงเนื้อหาความรใู หท นั สมัย การนําเสนอดวยส่ือมัลติมีเดียทําใหการเรียนการสอนแบบการเรียนรูท างอเิ ล็กทรอนกิ ส์มีความนาสนใจมากขึ้น คณุ สมบตั อิ ีกอยา งหนึ่งของการเรียนรูทางอิเล็กทรอนิกส์นั่นคือ การเรียนแบบระยะไกล หรือdistance Learning เน่ืองจากการใชเทคโนโลยีการส่ือสารโดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตมาประยุกต์ ทําใหผเู รยี นและผสู อนไมตองเดนิ ทางมาเจอกันหรือเหน็ หนากนั ในหองเรียนปกติ แตสามารถส่ือสารโตตอบกนั ไดห องเรียนเสมอื น เทคโนโลยีเหลาน้ียังชวยสงเสริมรูปแบบการเรียนรูดวยตนเองอีกดวย บางคร้ังเราอาจไดยินคําวา “คอมพิวเตอร์ชวยสอน” หรือ computer-assisted instruction (CAI) ซึ่งมักมี 180รูปแบบการสอนแบบออฟไลน์ หมายถึง ไมเนนการเรียนการสอนผานเครือขาย แตเนนกับการเรียนดว ยเครือ่ งคอมพวิ เตอร์สวนบคุ คลเปน็ หลกั ตวั แบบการเรียนรทู างอิเล็กทรอนิกส์แบบผสมผสาน (A hybrid e-Learning model) (Tsai,2011, p.147) ประกอบดวย โปรแกรมประยกุ ตส์ วนตางๆ ดงั น้ี 1) e-leaning map การเรียนโดยการออกแบบแผนท่ีการเรียนเฉพาะบุคคลซ่ึงใชขอมูลจากการทดสอบเบอื้ งตน 2) on-line e-learning มี 2 ตัวเลือก คือ การถายทอดสด กับ การถายขอมูลลงแบบออนไลน์ 3) e-learning group ทรัพยากรในชุมชนการเรียนรู แลกเปล่ียนกันไดโดยใชเคร่ืองแมขายของกลุมขาว เป็นการส่ือสารระหวางผูสอนกับผูเรียนในการปฏิสัมพันธ์หรือแลกเปล่ียนขาวสารไดท้ังภาพและเสียง 4) e-comprehension กระบวนการเรียนรูผานการสรางสถานการณ์ กรณีศึกษา โดยใชขอ ความหลายมิติ เว็บไซต์ มลั ตมิ ีเดยี คําถาม และอ่ืนๆ 5) e-illustration การใชภาพประกอบ แผนภาพ และมัลติมีเดีย เพื่อเป็นการยกตัวอยางประกอบการอธิบายใหชดั เจน 6) e-workgroup แบงผเู รียนออกเป็นกลุมตางๆ และจัดกิจกรรมท้ังภายในและระหวางกลุมเพ่ือใหไดผ ลการเรียนรรู ว มกนั ภาพท่ี 9.1 Hybrid e-Learning Model ท่มี า (Tsai, 2011, p.150) 181 2. มัลติมีเดียเพื่อการเรยี นรู้ มัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู หมายถึง การใชโปรแกรมคอมพิวเตอร์ถายทอดหรือนําเสนอเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอน ท่ีบูรณาการหรือผสมผสานสื่อหลากหลายรูปแบบ (Multipleforms) เขาไวดวยกัน ไดแก ขอความ กราฟิก ภาพนิ่ง ภาพเคล่ือนไหว เสียง วีดิทัศน์ หรือรูปแบบอื่นๆ ที่นอกเหนือจากขอความเพียงอยางเดียว โดยมีเปูาหมายเพื่อสงเสริมสนับสนุนใหเกิดกระบวนการเรียนรูทมี่ ปี ระสิทธภิ าพตอ ผูเรยี น (ณฐั กร สงคราม, 2553) หลักการออกแบบเน้ือหา ประกอบดวย 3 สว น ไดแก 1) การเตรียมเน้ือหา ประกอบดวย การวางโครงสรางของเนื้อหา การคัดเลือกเน้ือหาที่จะนําเสนอ การเรียงลําดบั หัวขอ เนื้อหา และการใชภาษาใหเ หมาะสม 2) การออกแบบเนื้อหาประเภทตางๆ ประกอบดวย การสรางเน้ือหาดานความรู ความจํา ความเขาใจ การสรางเนื้อหาดานทกั ษะและการปฏิบัติ การสรา งเน้อื หาดา นทัศนคติ 3) การออกแบบขอคาํ ถามสาํ หรับการประเมนิ ประกอบดวย การสรางแบบทดสอบกอนเรียนและหลังเรียน การสรางแบบฝึกหัด การสรา งคาํ ถามท่ใี ชใ นบทเรยี น หลักการออกแบบการเรียนการสอน (Gagne, 19921 อางใน ณัฐกร สงคราม, 2553)นาํ เสนอตามข้นั ตอนกระบวนการเรียนการสอนได 9 ขน้ั ดงั น้ี 1) การกระตุน หรือเราความสนใจใหพรอมในการเรียน 2) การแจง วัตถปุ ระสงค์ของการเรยี น 3) การทบทวนและกระตนุ ใหร ะลกึ ถึงความรูเ ดิม 4) การนําเสนอสิ่งเรา หรือเนอื้ หาและความรใู หม 5) การแนะแนวทางการเรยี นรู 6) การกระตุนการตอบสนองหรอื แสดงความสามารถ 7) การใหขอมลู ปูอนกลบั 8) การทดสอบความรหู รอื การประเมินผลการแสดงออก 9) การสงเสรมิ ความจาํ หรอื ความคงทน และการนําไปใชหรอื การถา ยโอนการเรยี นรู 3. Virtual Classroom หองเรียนเสมือนเป็นหองเรียนท่ีสามารถรองรับชั้นเรียนไดในเวลาและสถานท่ีซึ่งผูเรียนกับผูสอนไมไดอยูรวมกันในสถานที่เดียวกัน โดยมีคุณลักษณะคือ การสนับสนุนการประเมินผลและการเขา มสี วนรวมในการส่อื สารดว ยเครื่องมือตางๆ ทั้งปฏทิ ินออนไลน์ โปรแกรมคน หา และคําแนะนําออนไลน์ สําหรับการประเมินผลประกอบดวย เครื่องมือมาตรฐาน สมุดเกรดออนไลน์ ขอสอบและคําถาม การตดิ ตอกับผูสอนสามารถทําไดผานทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ขอความทันที หองสนทนากระดานอภปิ ราย การถา ยโอนไฟล์ 182 สําหรับรูปแบบการเรียนรู เป็นการสรางความรวมมือกับผูเรียนรวมชั้น และเรียนรูแบบอิสระแบบตัวตอตัว ประโยชน์ที่ไดรับคือ ความยืดหยุนและอํานวยความสะดวกใหกับผูเรียน ดวยตน ทุนทีต่ าํ่ กวา เม่ือเทียบกับความสามารถในการเขา ถึงชน้ั เรียนของผูเรียนท่ีขาดแคลนในทองถ่ินตางๆ(Dean, 2012) ตัวอยางของเทคโนโลยีที่นํามาประกอบกันใหกลายเป็นสภาพการเรียนรูเสมือน (Aitken,2010, p.31) ไดแก 1) videoconferencing 2) web conferencing 3) audio conferencing 4) wikis เชน wikipedia 5) virtual world เชน Second Life 6) social network เชน Twitter, Facebook, YouTube 4. Mobile Technology ในปจั จุบันอปุ กรณ์โทรศัพท์เคลื่อนท่ีถูกออกแบบมาใหสามารถรองรับทั้งการรับ-สงขอมูลดวยเสียงและขอความ โดยกําจัดขอจํากัดดานความสามารถของการสงเน้ือหาที่เป็นวิดีโอไดโดยเฉพาะการเขาถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่สามารถนํามาเช่ือมตอไดท้ังเทคโนโลยีภาพเคลื่อนไหว เสียงภาพลักษณ์ตางๆ สามารถแปลงเขาสูอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ได แนวโนมของสังคมท่ีตองการเขาสูเครือขายอินเทอร์เน็ตไดผานทางโทรศัพท์เคล่ือนท่ีนั้นมีมากข้ึน เชนเดียวกับการเรียนรูทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ไมไดจํากัดอยูเพียงในเครื่องคอมพิวเตอร์อีกตอไป โทรศัพท์เคลื่อนที่ก็กลายมาเป็นสภาพแวดลอมท่ีสําคัญอีกแหงหน่ึงของการเรียนรูทางอิเล็กทรอนิกส์ (Male and Pattinson, 2011,p.337) การเชื่อมตอกับอุปกรณ์ภายนอก โทรศัพท์เคล่ือนท่ีสามารถเชื่อมตอกับอุปกรณ์แสดงผลตางๆ ไมวาจะเป็นอุปกรณ์แสดงภาพ อุปกรณ์เสียง เครื่องพิมพ์ ถายโอนขอมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่ือมตอไมโครโฟนในการสงขอมูลเสียง และรับเสียงจากภายนอกแลวแปลงเขาสูโทรศพั ท์เคลือ่ นท่ไี ด รวมทั้งการเช่อื มตอ สญั ญาณวิทยสุ ําหรับการถายทอดการเรยี นผา นเครือขา ยวิทยุ สําหรับการออกแบบการปฏิสัมพันธ์ การออกแบบการใชงานจะมุงเนนถึงประโยชน์ท่ีไดรับ ไดแก การกระตุนใหผูเรียนมีความสนใจและใสใจในการเรียน เขาไปมีสวนรวมในกระบวนการเรียนรู มุงเนนการเขาเรียนของผูเรียน เพราะระบบการเรียนรูทางอิเล็กทรอนิกส์ ไมมีผูสอนโดยตรงทางระบบตองลดชองวางน้ีลง การสงเสริมการคิดท้ังในกรอบและนอกกรอบ คงรักษาสถานะเพ่ือการเตรยี มพรอ มเขาสกู ารเรยี น ตลอดจนการสรางความเขา ใจซึง่ กนั และกัน ความกาวหนาของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร อินเทอร์เน็ต และรูปแบบการเรียนรูออนไลน์ เป็นสิ่งดึงดูดใจและเป็นเคร่ืองมือที่ทรงพลังสําหรับการสอนและการเรียนรู เครือขายไรส าย ระบบการจัดการบทเรียน มลั ติมีเดยี และเทคโนโลยอี ืน่ ๆ ซงึ่ เพ่ิมมิติของความมั่งค่ังและซับซอนไปสูการสรางประสบการณ์เรียนรู การใชการเรียนรูทางอิเล็กทรอนิกส์ใหมีประสิทธิภาพจะตองมีการปรับเปลีย่ นบทบาทของครูผูสอนและการสรา งความรูดานเทคโนโลยีใหกับผูเรียน รวมทั้งพัฒนาความนาเชือ่ ถอื และความกาวไกลของโครงสรา งทางเทคโนโลยีดว ย ผูเรียนตองเขารวมในหองเรียนออนไลน์ 183โดยในเว็บไซต์จะตองมีแนวการสอน คําอธิบายรายวิชา ขอบังคับเบื้องตน วัตถุประสงค์การเรียนรูงานที่มอบหมาย ใหเหมาะสมกับเวลาท่ีกําหนดให เพื่อใหผูเรียนสามารถสรางความสําเร็จในการเรียนรูตามท่ีต้ังไวได แตอาจเกิดปัญหาขึ้นไดหากผูเรียนยังขาดทักษะดานคอมพิวเตอร์ ดังน้ันในชวงแรกผูสอนควรใหความชวยเหลือ แนะนําผูเรียนใหเกิดความมั่นใจในชวงสัปดาห์แรก นอกจากน้ีการรักษาระเบียบวินัยของการเรียนก็เป็นส่ิงจําเป็นอยางยิ่งในการกาวไปสูความสําเร็จของการศึกษา(Omar, Kalulu, and Belmasrour, 2011, p.22)การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศกับสงั คม 1. การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานสาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศมีความเป็นไปไดในการปรับปรุงคุณภาพ ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการใหบริการสาธารณสุข การแพรกระจายของเทคโนโลยีสารสนเทศในงานสาธารณสุขยังจัดวาอยูในระดับต่ําเม่ือเทียบกับธุรกิจหรืองานดานอ่ืนๆ จึงมีความจําเป็นท่ีจะตองทําการลงทุนเพิ่มข้ึนในการพฒั นางานบริการสาธารณสขุ เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถนํามาประยุกต์กับการใหบริการดานสาธารณสุขเพ่ือรวบรวม จัดเก็บ คนคืน และถายโอนขอมูลในระบบอิเล็กทรอนิกส์ได งานทางดานสาธารณสขุ ทส่ี ามารถประยกุ ตเ์ ทคโนโลยสี ารสนเทศแบง ออกเป็น 3 ประเภทไดแก 1) ระบบบริหารจัดการและการเงิน เพ่ืออํานวยความสะดวกในการจัดการเอกสารใบแจงหนี้ ใบเสร็จรับเงนิ งานบัญชี และงานธุรการตางๆ 2) ระบบคลินิก เพ่ืออํานวยความสะดวกในการนําเขาขอมูลตลอดจนกระบวนการรักษาพยาบาล 3) โครงสรา งพนื้ ฐานดานเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการสนับสนุนท้ังงานบริหารจัดการและงานคลนิ ิก เทคโนโลยีสารสนเทศท่ีนิยมใชใ นระบบบริการสาธารณสุข ไดแก - ระบบบนั ทกึ สุขภาพอิเล็กทรอนกิ ส์ (electronic health record : EHR) - คอมพิวเตอร์สําหรับการปูอนรายการการรักษาและการตรวจตางๆ (computerizedprovider order entry : CPOE) - ระบบสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินกิ (clinical decision support system : CDSS) - ระบบการรกั ษาทางไกล (telemedicine) - ระบบการจัดเก็บ คนคืน และการสื่อสารขอมูลภาพ (picture archiving andcommunications system : PACS) - เทคโนโลยีบาร์โคด (bar coding) - เทคโนโลยีการระบุขอ มูลดวยคลื่นความถ่วี ิทยุ (radio frequency identification : RFID) - เครอ่ื งจายยาอัตโนมัติ (automated dispensing machines : ADMs) - ระบบจัดการงานเอกสารอิเล็กทรอนกิ ส์ (electronic materials management : EMM) - งานเชื่อมโยงระหวางระบบบริหารจัดการและความรวมมือกับสวนงานตางๆ(interoperability) 184 กระทรวงสาธารณสุขไดมีการพัฒนาระบบงานข้ึนเพ่ือสงเสริมใหสถานพยาบาลตางๆ ไดนาํ ไปใชง าน ไดแ ก 1) ระบบงานโรงพยาบาลสงเสริมสุขภาพตําบลและศูนย์สุขภาพชุมชน (โปรแกรมสถานีอนามยั JHCIS) 2) โปรแกรมสําหรับบริหารงานฐานขอมูลระดับตําบลสําหรับสถานีอนามัย (โปรแกรมสถานีอนามยั HCIS) 3) โปรแกรมอํานวยความสะดวกในการใหบริการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลชุมชนและ/หรือโรงพยาบาลทวั่ ไปในสงั กัดกระทรวง (โปรแกรมระบบบริหารงานโรงพยาบาล HIS) 4) ระบบจดั สรรบคุ ลากรทางการแพทยด์ ว ยภมู ศิ าสตรส์ ารสนเทศ (ระบบ GIS) 5) ระบบติดตามโครงการจัดหาคอมพิวเตอร์ ตวั อยา งนวตั กรรมทางการแพทยใ์ นปี 2554 เชน การตรวจคนหาโรคอลั ไซเมอร์ดวยการฉีดสาร AV-45 ยารักษาโรคมะเร็งผิวหนัง (anti-CTLA-4) การใชแคปซูลติดกลองในการตรวจโรคระบบทางเดินอาหาร (capsule endoscopy) การตรวจหา nitric oxide ในผูปุวยโรคหอบหืด การใชวคั ซนี Sipuleucel-T ในการรกั ษาโรคมะเร็ง 2. การประยุกตเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศกบั ศาสนา ศิลปวฒั นธรรม 2.1 กระทรวงวฒั นธรรม จากการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์กับงานดานตางๆ กระทรวงวัฒนธรรมซ่ึงมีหนาท่ีหลักในการดูแลงานดานการศาสนา และศิลปวัฒนธรรมของชาติ ไดมีการวางแผนยุทธศาสตรด์ า นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารข้ึนเพอื่ ใชสําหรับพัฒนางานดานการอนุรักษ์และสงเสริมงานของกระทรวงฯ ใหมีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยกําหนดเป็นแผนแมบทเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร สาํ นกั งานปลดั กระทรวงและสํานกั งานรฐั มนตรี พ.ศ. 2552-2556 ดังน้ี ยุทธศาสตร์ท่ี 1 ผลักดันใหระบบศูนย์ขอมูลกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อเป็นศูนย์ขอมูลกลางองค์ความรูดานศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมของชาติโดยกําหนดเป็นหนวยบูรณาการและเผยแพรองค์ความรู ผานแผนท่ีองค์ความรูทางวัฒนธรรม 3 กลุม (บุคคล สถานท่ี และ ขอมูล) 3 มิติเวลา (ขอมลู ในปจั จบุ ัน ขอ มูลรวมสมัย และขอมูลประวตั ศิ าสตร์หรืออดตี ) ยุทธศาสตร์ที่ 2 สราง สะสม และ จัดใหมีทรัพยากรเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดทําขอมูลในรูปแบบ national digital archives สําหรับสนับสนุนงานหอสมุด พิพิธภัณฑ์ หอจดหมายเหตุ และหอศิลปใหอยูในระดับท่ีสามารถจัดเก็บคนหาและใหบริการขอมูลไดตามมาตรฐานสากล โดยดําเนนิ การพฒั นาระบบ eArchieves, eLibrary, และ eMuseum ยุทธศาสตร์ที่ 3 สรางกลไกในการพัฒนาระบบจัดเก็บทะเบียนขอมูลสําคัญดานศิลปวัฒนธรรมและขอมูลเชิงลึกทางวิชาการดานศิลปวัฒนธรรมอยางเหมาะสม พอเพียง ตอเนื่องและเป็นระบบ โดยทําการบูรณาการศูนย์ขอมูลหลักและระบบฐานขอมูลหลักของ สํานั กงานปลัดกระทรวงและสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด กรมการศาสนา กรมศิลปากร สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหงชาติ สํานักงานศิลปวัฒนธรรมรวมสมัย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรสถาบนั บณั ฑิตพฒั นศลิ ป 185 ยุทธศาสตร์ท่ี 4 บูรณาการกิจกรรมการพัฒนาสื่อและเนื้อหาดานวัฒนธรรม(cultural digital content) ทุกระดับตั้งแตระดับทองถ่ินถึงระดับชาติเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์รักษา สืบทอด ปกปูอง เชิดชูคณุ คาวัฒนธรรมของชาติและความหลากหลายของวัฒนธรรม ตลอดจนใหบ รกิ ารประชาชน ยุทธศาสตร์ท่ี 5 พัฒนาเครือขายประชาคมออนไลน์ (online social network) เพ่ือเฝูาระวังภัยคุกคามทางวัฒนธรรมอยูในสังคมแบบออนไลน์ และดูแลความเหมาะสมของสื่อ และเนื้อหาออนไลน์ ยทุ ธศาสตร์ท่ี 6 ใช ICT เป็นเครอื่ งมือหลักในการพัฒนาสังคมแหงความคิดสรางสรรค์(creative society) เพ่ือนําประเทศสูการพัฒนาเศรษฐกิจแหงความคิดสรางสรรค์ (creativeeconomy) ทาํ การจัดทําเป็นเวบ็ ไซต์ 4 ภาษา ไดแ ก อังกฤษ สเปน ญ่ีปนุ และ จนี ยุทธศาสตร์ท่ี 7 พัฒนากลไกและชองทางการใหบริการโดยใชเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ิมขีดความสามารถในการบริการประชาชนและสนับสนุนการทํา งานของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ทุกมติ ิ และใชเ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารอยา งเต็มท่ใี นทกุ องคาพยพของกระทรวง ตวั อยางบรกิ ารดานศาสนาและศลิ ปวัฒนธรรม 1) ขอมูลกลางทางวัฒนธรรม รวบรวมขอมูลเป็น 4 หมวด ไดแก บุคคล และ/หรือองค์กรทางวัฒนธรรม ส่ิงประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม โบราณสถาน ศิลปวัตถุ วิถีชีวิต และ สถานท่ีทางวัฒนธรรม โดยแบงออกตามภูมิภาคดวย 2) บรกิ ารรบั คาํ รอ งและใหบริการงานดานภาพยนตร์และวดี ีทัศน์ 3) บริการสงเสรมิ คณุ ธรรมจริยธรรมและเผยแพรข อมลู ดา นศาสนา ของกรมศาสนา 4) บริการขอมูลเก่ียวกับกิจกรรมและงานแสดงดานวัฒนธรรม สุนทรีย์ คีตศิลป ของกรมศลิ ปากร กรมสงเสรมิ วฒั นธรรม สํานักงานศิลปวัฒนธรรมรวมสมัย และสถาบันบณั ฑติ พฒั นศลิ ป 5) บรกิ ารสารสนเทศภูมิศาสตรด์ านการทองเที่ยวอยา งบรู ณาการ 6) บรกิ ารขอมูลของหอจดหมายเหตแุ หง ชาติ 7) บริการขอ มลู เกย่ี วกบั ศูนยข์ อ มูลมรดกโลก 8) โปรแกรมพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 และศัพท์บัญญัติทางวิชาการ 19 สาขา 2.2 พระไตรปิฏกภาษาบาลี ฉบบั คอมพิวเตอร์ พระไตรปิฏก ฉบับคอมพิวเตอร์ (BUDSIR : BUDdhist Scriptures InformationRetrieval) ไดรับการพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยมหิดล ต้ังแตปี พ.ศ. 2531 โดยความรวมมือระหวางมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั เพื่อมงุ พัฒนารปู แบบการสบื คน ขอ มูลสําหรับผุที่ตองการศึกษาพระไตรปิฏกและคัมภีร์ตางๆไดอยางสะดวก รวดเร็วและถูกตอง โปรแกรมดังกลาวไดรวบรวม พระไตรปิฏกฉบับบาลี อักษรไทย45 เลม พระไตรปิฏกฉบับบาลีอักษรโรมัน 45 เลม พระไตรปิฏกฉบับแปลเป็นภาษาไทย 45 เลมอรรถกถาและคัมภรี ์อนื่ ๆ ฉบับบาลีอักษรไทย 70 เลม อรรถกถาและคัมภีร์อ่ืนๆ ฉบับบาลีอักษรโรมัน70 เลม และภาษาเทวนาครีและสิงหล 186 3. การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดลอ้ ม ส่ิงแวดลอมถือวาเป็นทรัพยากรอันมีคาที่ตองดูแลรักษาใหคงไว การนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนงานการดูแลรักษา และบริหารจัดการทรัพยากรสิ่งแวดลอมจึงมีบทบาทมากข้ึนโดยเฉพาะกับหนวยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ซ่ึงไดมีการวางแผนยุทธศาสตร์ดานเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารของกระทรวงฯ รวมทั้งการจดั ทําเว็บไซต์ในการเผยแพรข อ มลู ดานทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอม เป็นชองทางในการสื่อสารและแลกเปล่ยี นขอมลู กบั ประชาชน ขอมูลที่ใหบริการแกประชาชน ไดแก (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม,2555) 1) ขอมูลประชาสัมพันธ์ของกระทรวงฯ นําเสนอ ขา วสารและกจิ กรรมตา งๆ ทเ่ี กิดขึ้น 2) ศูนย์ขอมูลและองค์ความรูทรัพยากรน้ํา ของกรมทรัพยากรน้ํา ซึ่งใหบริการขอมูลเกีย่ วกบั ดาวเทียมอตุ ุนิยมวทิ ยาและเสน ทางพายุ แผนที่อากาศ แผนที่ดานทะเล แผนท่ีแสดงปริมาณฝน รายงานผลของเรดาห์ตรวจอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานผลของเรดาห์ตรวจอากาศของสํานักงานฝนหลวง สภาพนํ้าฝนและน้ําทา ปริมาณนํ้าฝนรายวัน ระดับน้ําและปริมาณน้ําแมน้ําโขงสภาพและปรมิ าณน้าํ ในอางเก็บน้าํ และแผนที่นํา้ บาดาล 3) สารานุกรมสัตว์ เป็นบริการขององค์การสวนสัตว์ ใหความรูเก่ียวกับสัตว์ชนิดตางๆแบง ออกเปน็ หมวด ไดแ ก สัตวเ์ ล้ยี งลกู ดวยนม สตั ว์เลือ้ ยคลาน สัตว์สะเท้ินนํ้าสะเทิ้นบก สัตว์ปีก สัตว์น้ํา สัตว์อ่นื ๆ นอกจากนยี้ ังมขี อ มูลเกีย่ วกับการอนรุ ักษ์สตั ว์ปาุ ขอมูลสวนสัตวใ์ นประเทศไทย 4) บริการสืบคนพันธุ์ไม เป็นระบบสืบคนขอมูลพันธ์ุไม ขององค์การสวนพฤกษศาสตร์โดยมีขอมูลอางอิงจากหนังสือพรรณไมสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจาสิริกิต์ิเลม 1 - 7 และหนงั สอื พรรณไมน้ําบึงบอระเพ็ด แนะนาํ พนั ธ์ุไมทนี่ า สนใจ บริการตอบคาํ ถามทางพฤกษศาสตร์ 5) ฐานขอมูลดานกฎหมายที่เก่ียวของกับกระทรวงฯ ประกอบดวย กฎหมายของกรมทรัพยากรธรณี กรมควบคุมมลพษิ กรมสงเสริมคุณภาพส่ิงแวดลอม กรมทรัพยากรน้ํา กรมทรัพยากรนํ้าบาดาล กรมอุทยานแหงชาติ สัตว์ปุาและพันธุ์พืช กรมปุาไม และ สํานักงานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอม 6) แผนแมบทโครงการจัดทําแผนแมบทเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารของกระทรวงฯ พ.ศ. 2555 -2559 และแผนบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมท้ังขอมูลโครงสรางสารสนเทศของกระทรวงฯ ดว ย 4. การประยุกตเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศกับงานบริการสงั คม การพัฒนาระบบบริการภาครัฐไดมีการใหบริการสังคมผานระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Services) ซ่ึงอยูในความรับผิดชอบของหลายหนวยงาน ไมวาจะเป็นกระทรวงแรงงานกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ และหนวยงานตางๆ การนําเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใหบรกิ ารความรูและประชาสัมพนั ธใ์ หประชาชนไดทราบถึงสิทธิประโยชน์และสวัสดิการท่ีประชาชนไดรับจากภาครัฐ บริการสารสนเทศตางๆ ที่ประชาชนสามารถติดตามไดจากเว็บไซต์ของหนวยงานที่เกีย่ วขอ ง เชน 187 1) ระบบการจัดหางานของบณั ฑิต 2) ระบบแจง เบาะแสผปู ระสบภยั ทางสังคม 3) ระบบจดั หางานสาํ หรบั ผูสมคั รงานและผวู าจาง 4) ระบบบริการแจงเหตสุ าธารณภยั เพือ่ ประชาชน 5) ระบบบริการขอมูลและประวัติการประกันสังคมสําหรับประชาชนและหนวยงานที่เก่ยี วของ 6) ระบบบรกิ ารตรวจสอบสิทธปิ ระกนั สขุ ภาพผานระบบอเิ ล็กทรอนิกส์ 7) ระบบบริการสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อสงเสริมการใหและการอาสาชวยเหลือสังคมอยางบรู ณาการ 8) ระบบแจงเบาะแสเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพยส์ ินของประชาชน 9) ขอ มูลสิทธิประโยชน์ทีป่ ระชาชนพึงไดรับจากภาครัฐ 10) ขอมูลสวสั ดกิ ารสงั คมของไทย 11) ฐานขอมูลกฎหมายที่เกี่ยวขอ งกบั การพฒั นาสังคมและความมัน่ คงของมนุษย์ 12) ระบบแจงขอมลู การปอู งกันและปราบปรามการคามนุษย์การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศกบั ธรุ กจิ 1. e-Commerce พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ electronic commerce คือ การทําธุรกรรมผานส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ในทกุ ชอ งทางท่ีเป็นอิเล็กทรอนิกส์ เชน การซื้อขายสินคาและบริการ การโฆษณาผานส่ืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ ไมว า จะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ รวมถึงอินเทอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือลดคาใชจาย และเพื่อประสิทธิภาพขององค์กรโดยการลดบทบาทขององค์ประกอบทางธุรกิจ เชน ทําเลทตี่ ง้ั อาคารประกอบการ คลงั เกบ็ สินคา หองแสดงสินคา รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนําสินคาพนักงานตอนรับลูกคาเป็นตน จึงลดขอจํากัดของระยะทางและเวลาลงได (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร, 2555) ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ หรือ electronic business หมายถึง การแปลงกระบวนการหลักของธุรกิจใหสามารถดาํ เนินการโดยผา นเทคโนโลยอี ินเทอรเ์ นต็ ซึง่ ครอบคลุมท้ังกิจกรรมทางธุรกิจ การคาขาย การติดตอประสานงาน งานธุรการตางๆ ท่ีเกิดขึ้นภายในสํานักงาน และการทําธุรกรรมอเิ ล็กทรอนิกส์ตางๆ ซ่ึงมคี วามหมายรวมถงึ การพาณชิ ย์อิเล็กทรอนกิ ส์ของธุรกิจดวย ในปัจจุบันการดําเนินพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย เริ่มไดรับการยอมรบั อยา งแพรหลาย และกระจายไปสธู ุรกจิ ตางๆ มากขนึ้ โดยทางภาครฐั ไดออกกฎหมายคุมครองขึ้นเพ่ือดูแลการทําธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้น คือ พระราชบัญญัติวาดวยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ซึ่งใหความคุมครองท้ังการทํานิติกรรม ขอมูลอิเล็กทรอนิกส์ ลายมือชื่ออิเลก็ ทรอนิกส์ การคุมครองผูบริโภค ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มีความจําเป็นตองติดตอส่ือสารกันทางอินเทอร์เน็ต จึงทําใหมีความเสี่ยงท่ีอาจเกิดอันตรายจากภัยคุกคามตางๆ ตอการรับสงขอมูลท่ีเป็นความลับทางการคาหรือขอมูลสวนบุคคลผานระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการรักษาความ 188ปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์จึงมีความสําคัญเป็นอยางย่ิง ปัจจุบันมีวิธีการรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอรอ์ ยูห ลายวิธี ดังนี้ 1) ความปลอดภัยในการซื้อขายหรือการใหบริการ เชน secure sockets layer (SSL),secure electronic transactions (SET), ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์, ลายมือช่ือดิจิทัล, การใชรหสั ผา น 2) ความปลอดภัยในองค์กร โดยการปูองกันระบบของเครื่องแมขาย เชน การใชไฟร์วอลล์ (firewall) การเขารหัส (encryption) เพ่ือปูองกันการเขาสูระบบโดยไมไดรับอนุญาต การใชซอฟตแ์ วรก์ ําจดั ไวรัส 3) ความปลอดภยั ของฝาุ ยลูกคา ควรเลือกใชเ ว็บบราวเซอรท์ ี่มีการรักษาความปลอดภัยที่ดีพอ ไมเปิดเผยขอมูลสวนบุคคลใหผูอ่ืนทราบ การเขาเว็บไซต์ที่มีการเขารหัสขอมูลบัตรเครดิตดวยsecure HTTP และ secure sockets layer (SSL) โดยสังเกตจากเคร่ืองหมาย “https://” หรือสังเกตจากเครอื่ งหมายแมกุญแจ บรเิ วณเมนบู าร์หรือดานลา งขวามอื ของจอคอมพวิ เตอร์ ภาพท่ี 9.2 ตัวอยา งของเว็บไซต์การทาํ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทม่ี า (www.ebay.com) 189 ภาพท่ี 9.3 ตวั อยา งของเวบ็ ไซต์การทําธรุ กรรมการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่มา (www.mebytmb.com) 2. e-Marketing e-Marketing ยอมาจากคําวา electronic marketing หรือ การตลาดอิเล็กทรอนิกส์หมายถงึ การดําเนินกจิ กรรมทางการตลาดโดยใชเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ตางๆ ท่ีทันสมัยและสะดวกตอการใชงาน เขามาเป็นสื่อกลาง ไมวาจะเป็น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือ เคร่ืองพีดีเอ ท่ีถูกเชื่อมโยงเขาดวยกันดวยเครือขายอินเทอร์เน็ต มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การดําเนินกิจกรรมทางการตลาดอยางลงตัวกับลูกคาหรือกลุมเปูาหมาย เพ่ือบรรลุจุดมุงหมายขององค์กรอยางแทจ รงิ (ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ และ สธุ น โรจนอ์ นุสรณ,์ 2551) ข้นั ตอนการดําเนนิ งาน e-Marketing ประกอบดวยข้ันตอนตา งๆ ดังน้ี 1) กําหนดวัตถุประสงค์ เชน เพ่ือสรางยอดขาย เพ่ือสรางภาพลักษณ์ เพื่อใหบริการและเพ่ือสนับสนุนการขาย การสรางตราสินคาใหเป็นที่รูจัก การรักษาฐานลูกคาปัจจุบัน การสรางความจงรกั ภักดใี นตราสนิ คา 2). การกําหนดกลุมเปูาหมาย โดยทําการวิเคราะห์กลุมเปูาหมายดวยวิธี 5W+1H คือWho (ใคร) What (อะไร) Where (ทไี่ หน) When (เม่อื ไร) Why (ทําไม) และ How (อยางไร) 3) วางแผนงบประมาณ เป็นการประเมินจํานวนเงินเพื่อใชในการดําเนินงาน รวมถึงการวางแผนการตลาดใหอยูภายใตงบประมาณท่ีกําหนดไว ตัวอยางวิธีการจัดทํางบประมาณ ไดแก การจัดทํางบประมาณตามสัดสวนการขาย การจัดทํางบประมาณตามสภาพตลาด การจัดทํางบประมาณตามวตั ถปุ ระสงค์ การจัดทํางบประมาณตามเงินทุน 190 4) กําหนดแนวความคดิ และรปู แบบ การหาจดุ ขายและลูกเลน โดยการสรางสรรค์แนวคิดท่ีแปลกใหม เพื่อสรางจุดเดน หรือความแตกตางใหกับเว็บไซต์ของธุรกิจ และสรางความเป็นเอกลักษณ์ของเว็บไซต์ เชน การใชสีสัน การวางรูปแบบโครงรางของหนาเว็บ การกําหนดเน้ือหาในเวบ็ ไซต์ 5) การวางแผนกลยทุ ธ์ สอ่ื และชวงเวลา การทําการตลาดอิเล็กทรอนิกส์มีความจําเป็นที่จะตองกําหนดกลยุทธ์ดานออนไลน์ท่ีเหมาะสม เชน การโฆษณาผานหนาเว็บไซต์ในรูปแบบตางๆการตลาดผานระบบคนหา การตลาดผานอีเมล การตลาดผานเว็บบล็อก การตลาดผานเครือขายสงั คม โดยตองมีเทคนคิ ในการเลอื กลงโฆษณาในเว็บไซตใ์ หไดผล เชน ควรเลือกโฆษณากับเว็บไซต์ท่ีมีผูเขาชมมากๆ เลือกลงโฆษณาท่ีตรงกับกลุมเปูาหมายของเราและของเว็บไซต์ ควรเลือกลงโฆษณาหลายๆ เวบ็ ไซต์ ทาํ แบนเนอร์โฆษณาหลายรปู แบบ 6) ดําเนินการตามแผนงานที่วางไว ควรหมั่นตรวจความพรอม ความกาวหนาของการดําเนินการ โดยมีเทคนคิ การเตรยี มตวั กอนทาํ การประชาสัมพนั ธ์หรือดาํ เนินกลยุทธ์ของเว็บไซต์ ไดแกการตรวจความพรอมของตนเองในการรอบรับลูกคาดวย 6C’s ประกอบดวย Content คือเนื้อหาขอมูลของเว็บไซต์ Community คือชุมชนของสมาชิกเว็บไซต์ Commerce คือกิจกรรมการคาขายCustomization คือการปรับแตงใหเหมาะสม Communication คือชองทางการสื่อสารไปสูกลุม เปาู หมาย Convenience คอื ความสะดวกสบายในการใชง าน ภาพที่ 9.4 Google AdWords ใหบ รกิ ารโฆษณาบนเว็บไซต์ของ Google ทม่ี า (www.google.com/AdWords) 191 7) การวัดผลและประเมินผลลัพธ์ โดยดูผลลัพธ์ที่ออกมาเพื่อวัดผลความสําเร็จของแผนงานที่วางไว สามารถประเมินไดจากหลายปัจจัย เชน การเติบโตของยอดขาย สวนแบงทางการตลาด ภาพลกั ษณข์ องสนิ คาหรอื บริการ กําไรที่ต้ังเปูาไว สถิติการเขา เยยี่ มชมเวบ็ ไซต์ 3. M-Commerce M-Commerce หรือ Mobile Commerce หมายถึง กิจกรรมเชิงพาณิชย์ การบริการขาวสาร การโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมท้ังธุรกรรมการเงินที่ดําเนินการผานอุปกรณ์และเครือขายโทรศัพท์เคล่ือนท่ี Mobile Marketing หรือ การตลาดดวยโทรศัพท์เคล่ือนท่ี จัดเป็นกลยุทธ์ดานการตลาดแนวใหมที่นําเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนท่ีมาเป็นส่ือกลางในการส่ือสารกับกลุมเปูาหมายไดอยางใกลชิด เขาถึงกลุมลูกคาเปูาหมายไดโดยตรง ทุกท่ี ทุกเวลา ทั่วโลก ไดโดยตรงและเขาถึงไดมากกวาสื่อประเภทอนื่ ตัวแบบของการทําพาณิชย์ดว ยโทรศพั ทเ์ คลือ่ นท่ี ประกอบดวยองค์ประกอบ ดังนี้ 1) ผูใ หบรกิ ารอนิ เทอรเ์ นต็ ของโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นท่ี (Mobile Internet Service Provider) 2) ผจู ัดเตรียมเนื้อหาภายในโทรศัพท์เคลือ่ นที่ (Mobile Content Provider) 3) เวบ็ ทา ในโทรศพั ทเ์ คลื่อนที่ (Mobile Portal) 4) ตวั แทนตําแหนง ของโทรศัพทเ์ คล่อื นท่ี (Mobile Location Broker) 5) ใหบ ริการธรุ กรรมทางโทรศัพท์เคลอ่ื นที่ (Mobile Transaction Provider) รูปแบบการตลาดดวยโทรศัพท์เคล่ือนท่ี ในปัจจุบันมีการดําเนินงานอยางแพรหลาย มีหลากหลายรปู แบบ (ภาวุธ พงษ์วทิ ยภานุ และ สธุ น โรจน์อนสุ รณ์, 2551) ไดแ ก 1) การตลาดดวยการสงขอความส้ัน (SMS marketing) เป็นรูปแบบหน่ึงในการทําการตลาดดวยการรับ-สงขอความสั้น หรือ short message service ซ่ึงสามารถทําไดอยางรวดเร็วสงขอ ความไดท่วั โลกอยา งงายดาย สามารถทําการคดั เลอื กกลมุ เปูาหมายได ประหยัดตนทุนในการทําการตลาด 2) การตลาดดวยการสง ขอความมัลติมเี ดีย (MMS marketing) บริการสงขอความดวยส่ือมัลติมีเดีย (multimedia message service) ผานโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยไมมีขอจํากัดรูปแบบของขอมูล สามารถรองรับไดท้ังขอความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว ขอความเสียง วีดิโอ ที่ไดรับความนิยมอยา งยิง่ ดวยการเชือ่ มตอ อินเทอรเ์ น็ตในยคุ 3G 3) การตลาดดวย IVR (interactive voice response marketing) เป็นการตลาดผานระบบตอบรับหรือการใหขอมูลอัตโนมัติผานทางโทรศัพท์ เป็นการโตตอบขอมูลดวยเสียงที่ทําการบันทึกไวลวงหนา โดยผูโทรสามารถกดปุมหมายเลขบนโทรศัพท์แทนแปูนพิมพ์เพ่ือเลือกฟังขอมูลท่ีตองการได รองรับการทํางานไดไมจํากัดเวลาและรองรับไดหลายๆ คูสายในเวลาเดียวกัน ตัวอยางไดแ ก บริการลูกคาสัมพันธ์ หรือ call center, ระบบ 1900 (audio text), fax on demand, voicemail, และmorning call 4) การตลาดดวยอินเทอร์เน็ตทางโทรศัพท์ (WAP marketing) โดยใช wirelessapplication protocol หรอื WAP เป็นมาตรฐานในการกาํ หนดวิธกี ารในการเขาถึงขอมูลและบริการอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์เคล่ือนท่ี ขอมูลนําเสนอดวยภาษา WML (wireless markup language) 192เพื่อใหสามารถแสดงผลบนหนาจอท่ีมีพ้ืนที่จํากัด สามารถใชงานรวมกับระบบปฏิบัติการตางๆ ของระบบโทรศัพท์เคลอ่ื นท่ไี ด 5) การตลาดดวย Bluecast (bluecast marketing) เป็นการตลาดท่ีใชงานรวมกับเทคโนโลยี bluetooth ซ่งึ อยใู นพ้นื ที่การใหบ ริการระยะไมเกิน 10 เมตร โดยทําการสงขอความ หรือสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี เชน ขอความโฆษณา การใหส ว นลด การแจงผลขอ มลู 6) การตลาดดวยการปลอยขอความโฆษณาไปตามพื้นฐานตางๆ (proximityadvertising) เป็นการปลอ ยขอ ความเมื่อผใู ชบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เขาไปในบริเวณท่ีใหบริการก็จะทําการสง ขอความประชาสมั พนั ธ์ หรอื โปรโมช่นั ไปยังเครอื่ งของผูรับทันที 7) การตลาดดวยบาร์โคดสองมิติ (2D barcode marketing) บาร์โคดท่ีสามารถบรรจุขอมูลไดมากกวารูปแบบเดิม บางทีเรียกวา QR code (quick response code) สามารถใชงานไดดวยการนํากลองจากโทรศัพท์เคล่ือนที่ทําการถายหรือจับภาพ ระบบจะนําภาพไปตีความรหัสตามมาตรฐาน แลวแปลงขอมูลออกมา เชน การเช่ือมตอเว็บไซต์ของสินคาหรือบริการ การใหขอมูลประชาสมั พนั ธ์ การชาํ ระคา สนิ คา การใหค าํ แนะนํา บอกทิศทาง การรว มสนกุ ชิงรางวลั 8) การตลาดดวย Mobile Blog (mobile blog marketing) ดวยเทคโนโลยี mobileweb 2.0 ทาํ ใหผ ใู ชโ ทรศพั ทเ์ คลือ่ นทีส่ ามารถเขา ถงึ ขอ มลู ไดง า ยข้นึ สามารถทําการแบงปันขอมูลหรือสรา งชุมชนบนเครือขายไดงา ย ไดร บั ความนิยมโดยเฉพาะการใชงานผานเครือขายเทคโนโลยี 3G เชนTwitter, Facebook, และ Youtubeการประยกุ ตเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศกบั ภาครฐั 1. รัฐบาลอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (e-Government) แนวคิดของรัฐบาลอเิ ล็กทรอนกิ ส์ เรม่ิ ตน มาจากประเทศสหรฐั อเมริกา ชวงตนทศวรรษปีค.ศ. 1990 ในสมัยของประธานาธิบดีบิล คลินตัน ขณะที่รองประธานาธิบดี อัล กอร์ ไดพัฒนาโครงการทางดวนสารสนเทศของประเทศ ต้ังแตนั้นมาหลายประเทศก็ไดเร่ิมพัฒนาโปรแกรมสําหรับรัฐบาลอเิ ล็กทรอนกิ ส์ รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ จัดเป็นการนําเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารมาใชเป็นเคร่ืองมือของรัฐในการบริหารจัดการตามนโยบายและการใหบริการสูประชาชน ภาคธุรกิจ โดยภาครัฐ หรือระหวางภาครัฐดวยกันเอง ซ่ึงเป็นหนาท่ีของรัฐท่ีพึงตอบสนองตอเทคโนโลยีใหมและสิ่งแวดลอมใหมท่ีจะเกิดข้ึน โดยจะตองมีการกระจายโครงสรางพื้นฐานของระบบสารสนเทศสูประชาชน ดว ยคุณภาพสูงสดุ เทา ที่จะทําได รวมทั้งการปกปูองและคุมครองสิทธิของประชาชนตอการลวงละเมดิ ท่อี าจจะเกิดข้ึนจากการใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยรัฐบาลไทยไดเล็งเห็นวาประเทศไทยจะตองมีขีดความสามารถในการแขงขันกับระดับภูมิภาคใหได โดยเฉพาะการกาวสูประชาคมอาเซยี น ในระบบเศรษฐกิจใหม (new economy) ทําใหประเทศไทยตองหันมาวางกลยุทธ์เพื่อนําพาประเทศไทยเขาสู e-Thailand กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ไดดําเนินการพัฒนาระบบเครือขายสารสนเทศภาครัฐ (network infrastructure) และผลกั ดันใหเกิดการใหบริการ 193ของภาครัฐผา นระบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ โดยครอบคลมุ บรกิ ารใน 5 ดา น (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, 2555) ไดแก รฐั บาลอเิ ล็กทรอนกิ ส์ (e-Government) หมายถึง วิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหมที่เนนการใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพของผลงานของภาครัฐ และปรบั ปรุงการใหบ ริการแกประชาชน และบริการดานขอ มูลเพื่อเพมิ่ อตั ราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและทาํ ใหป ระชาชนมสี วนรวมกับรัฐมากขึ้น โดยจะนาํ การใชเทคโนโลยมี าใชเพอ่ื เพ่มิ ศกั ยภาพของการเขาถึง และการใหบริการของรัฐ โดยมุงเนนไปท่ีกลุมคน 3 กลุม ไดแก ประชาชน ภาคเอกชน และขาราชการ โครงการภายใตแนวคิดนี้ ประกอบดวย การพัฒนาระบบบริการภาครัฐผานระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) เครือขายสารสนเทศภาครัฐ (government information network :GIN) โครงการพัฒนากรอบแนวทางมาตรฐานการแลกเปล่ียนขอมูลแหงชาติ (Thailand e-government interoperability framework : The-GIF) e-Logistic ของภาครัฐ และ การพัฒนาบุคลากรดานเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (ICT human resource development : ICTHRD) พาณิชยอ์ ิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) คือ การดําเนินการธุรกรรมทางพาณิชย์ผานสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยภาครัฐจัดเตรียมโครงสรางพื้นฐานและบริการของภาครัฐในการอํานวยความสะดวกแกก ารดําเนินพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมท้ังการออกกฎหมายเพ่ือคุมครองการประกอบธุรกิจอเิ ล็กทรอนิกส์ดว ย อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Industry) หมายถึง การสรางความเขมแข็งของภาคอตุ สาหกรรมการผลติ โดยใชเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเคร่ืองมือสําคัญ เพ่ือเปูาหมายในการสรางความสามารถในการแขงขันของภาคอุตสาหกรรม โดยจะนํามาซ่ึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยางยงั่ ยนื ในอนาคตตอไป การศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Education) หมายถึง การสงขอมูลส่ือการศึกษาและการบริการผานสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เชน สายโทรศัพท์ ระบบเครือขายคอมพิวเตอร์ ตัวอยางบริการการศกึ ษาอิเลก็ ทรอนิกส์ เชน course ware, หองสมุดอิเล็กทรอนิกส์ การลงทะเบียนเรียน การชําระคาเลาเรยี น และฐานขอมลู ออนไลน์ทางวชิ าการ ภาคสังคมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Society) หมายถึง สังคมของมนุษย์ท่ีเกิดข้ึนโดยผาน“อิเล็กทรอนิกส์” ซ่ึงมนุษย์ในสังคมไทยไดยอมรับรูปแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ในหลายลักษณะที่จะมีความสมั พันธร์ ะหวางกัน ท้ังที่เป็นระบบการสื่อสารแบบมีสายและระบบไรสาย และทางอินเทอร์เน็ตตลอดจนรูปแบบของส่ือสารมวลชนที่เปลี่ยนจากระบบด้ังเดิมท่ีเป็นการส่ือสารแบบทิศทางเดียวไดกลายเป็นการส่ือสารแบบโตตอบกันไดท้ังสองทิศทาง โดยขจัดอุปสรรคของระยะทางและเวลาที่แตกตางกัน รูปแบบของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (Beynon-Devis, 2007, p.8) มีหลายรูปแบบ ไดแ ก 1) Internal e-government เป็นระบบงานภายในของภาครัฐดวยการใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสรางหวงโซมูลคาขึ้นกับงานภายใน นวัตกรรมที่เกิดขึ้นคือ ระบบงานสนับสนุนงานสว นหลงั 194 2) Government to Citizen (G2C) เป็นการสรางบริการท่ีสนับสนุนใหเกิดหวงโซของลกู คาหรอื ประชาชน เพราะประชาชนเป็นผูมีสวนไดสวนเสียหลักของระบบ เพื่อใหเกิดการใหบริการท่ดี ขี ้ึน 3) Government to Business (G2B) เป็นการสรางความสัมพันธ์ระหวางภาครัฐกับภาคธุรกิจในการสงเสรมิ หวงโซอ ุปทาน รวมไปถึงการทาํ ธุรกิจทางอิเลก็ ทรอนิกส์ดวย 4) Government to Government (G2G) เป็นการทํางานรวมกันของภาครัฐ สรางความรวมมือเพอื่ ใหเกิดหว งโซม ลู คา และสามารถแลกเปลยี่ นขอมลู ระหวา งหนว ยงานได 5) Citizen to Citizen (C2C) เป็นการสงเสริมใหเกิดประชาธิปไตยและสรางภาพอนาคตของการบรหิ ารงานภาครฐั อยางมธี รรมาภิบาล ประโยชน์ของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ จะเนนไปท่ีการปรับปรุงการบริการตอประชาชนและภาคเอกชน และพัฒนาประสทิ ธิภาพและประสทิ ธผิ ลของรฐั บาล ดังน้ี 1) การพัฒนาการเขาถึงขอมูลและบริการท่ีดีกวาเดิมของประชาชน โดยบริการเบ็ดเสรจ็ ณ จุดเดยี ว และมชี องทางการสอ่ื สารทม่ี าข้ึนโดยใชส ่ืออเิ ล็กทรอนิกสม์ าเสริม 2) ปรับปรุงคุณภาพของการบริการ โดยสรางความนาเช่ือถือใหดีกวาเดิม เพ่ือความรวดเรว็ สรางความโปรงใสของการใหบ ริการ 3) การจัดการกระบวนการทด่ี ขี ึน้ โดยเพิ่มกระแสสารสนเทศใหไหลเวียนไดดีขึ้น และมีผูร ับผดิ ชอบที่ชัดเจนในงานตา งๆ 4) มรี ะบบทด่ี ขี ้นึ โดยมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ การบริหารจัดการ การสนับสนุนการตดั สินใจของผูดําเนินการ 5) การกระจายอาํ นาจไปสูป ระชาชน รัฐบาลไดมโี ครงการพฒั นารฐั บาลอิเล็กทรอนิกส์โดยจัดต้ังหนวยงานท่ีมีช่ือวา สํานักงานรฐั บาลอเิ ล็กทรอนิกส์ (องคก์ ารมหาชน) โดยมีการดาํ เนนิ โครงการหลกั ๆ ทีส่ าํ คญั ดังน้ี 1) โครงการพัฒนาเครือขายสารสนเทศภาครัฐ (Government Information Networkหรอื GIN) ที่เชอื่ มตอ กระทรวง ทบวง จนถึงระดับกรม เพอ่ื ใหร องรบั ปริมาณขอมลู ขา วสารของรัฐ 2) ระบบจดหมายอิเล็กทรอนกิ สก์ ลางเพ่ือการสื่อสารในภาครัฐ (MailGoThai) 3) ระบบเวบ็ ไซตก์ ลางบรกิ ารอิเลก็ ทรอนิกสภ์ าครัฐ (e-Government portal) 4) โครงการเช่อื มโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนกิ ส์ (e-CMS)การประยกุ ต์เทคโนโลยสี ารสนเทศกับงานบริการ เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการประยกุ ต์สําหรับงานบรกิ ารน้นั ไดมกี ารพัฒนาอยา งตอเน่ืองและกอใหเกิดรูปแบบการใหบริการใหมๆ ที่สอดคลองและตอบสนองความตองการใหมๆ ของผูใชงานมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดสุ ิต เปน็ หนวยงานที่เล็งเหน็ ความสําคัญของการนาํ เทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในงานบริการโดยเฉพาะการสงเสริมอัตลักษณ์ดานตางๆ ของมหาวิทยาลัย ซึ่งประกอบดวยการศึกษาปฐมวัย อตุ สาหกรรมอาหาร อตุ สาหกรรมบริการ และพยาบาลศาสตร์ บริการตางๆ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ที่ใหบริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผานเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย (www.dusit.ac.th) ไดแ ก 195 1) บริการหองสมุดเสมือน (virtual library) ใหบริการโดยสํานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบดวย บริการสืบคนหนังสือและวารสาร (online public accesscatalog – OPAC) ฐานขอมูลวิชาการออนไลน์ กฤตภาคออนไลน์ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ส่ือมัลติมเี ดยี รวมทง้ั บรกิ ารดแู ลเครือ่ งคอมพิวเตอร์โนตบุ฿ก ระบบเครือขายภายในและระบบเครือขายไรสาย บรกิ ารเว็บเมล บริการหอ งปฏิบตั กิ ารคอมพวิ เตอร์ 2) บริการวิชาการผานระบบ internet protocol television (IPTV) ท่ีเรียกวา SuanDusit internet broadcasting – SDIB ประกอบดวย 4 ชอง ไดแก ch.1 kid channel, studychannel, variety channel, และ radio channel 3) บรกิ ารดานการเรยี นรูทางอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ไดแก โครงการพัฒนาสังคมแหงการเรียนรูอยางตอเนื่องโดยใชเทคโนโลยีสารสนเทศ (Dusit LMS) โครงการเครือขายเผยแพร ถายทอดและพัฒนา การใชส่ือสําหรับการศึกษาระดับปฐมวัยและประถมศึกษา (Electronic Distance LearningRajabhat University – eDLRU) 4) บรกิ ารฐานขอมลู งานวจิ ัย (e-Research) โดยสถาบนั วิจยั และพัฒนา 5) บริการระบบบริหารการศึกษาหรือระบบทะเบียนออนไลน์ ของสํานักสงเสริมวิชาการและงานทะเบยี น 6) บริการขอมูลการสํารวจประชามติ ผลการแสดงความคิดเห็นของประชาชนตามระบอบประชาธปิ ไตยและในดานสงั คมและวฒั นธรรมไทย โดยสวนดุสิตโพล - ระบบการจัดการผูใชจากสวนกลาง (Identity Manager – IDM) ระบบจะจัดการใหรหัสผานเป็นหนึ่งเดียว แต username ยังคงเป็นตามเดิมของระบบนั้นๆ การเปลี่ยนแปลงรหัสผานจะมผี ลตอ ระบบสารสนเทศตางๆ ของมหาวทิ ยาลยั ดงั น้ี - ระบบงานทะเบียนออนไลน์ - การใชอ ินเทอร์เน็ตแบบเครอื ขายไรส าย (wireless LAN) - การใช e-Mail ของมหาวิทยาลัย ทเ่ี ว็บไซต์ - การใชอ ินเทอรเ์ นต็ จากทางบา น (ผาน modem) - การใชงานเครื่องคอมพิวเตอร์ตามหองปฏิบัติการศูนย์การศึกษาตางๆ (ระบบ AD-active directory) - การใชอ ินเทอร์เน็ตผา น VPN (virtual private network) - การใชพ นื้ ท่ีสาํ หรับสรา ง website สวนตัวท่เี ว็บไซต์ - งานสืบคน หนงั สือออนไลน์ (e-Book) ท่ีเวบ็ ไซต์ - ระบบบริหารและจัดการบุคลากรที่เว็บไซต์ 196เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการสร้างนวัตกรรม นวัตกรรม คือ กระบวนการในการสรางความเปลี่ยนแปลงทั้งเล็กและใหญ เปล่ียนแปลงโดยส้ินเชิงหรือบางสวน เปล่ียนแปลงในตัวสินคา กระบวนการ และบริการ ซ่ึงนําไปสูการนําเสนอส่ิงใหมสําหรับองคก์ รในการเพ่มิ มูลคาแกล กู คา และความรขู ององค์กร (O’Sullivan and Dooley, 2009)ตารางท่ี 9.1 ประเภทของนวัตกรรมประเภทของนวัตกรรม การเปล่ียนแปลงองคป์ ระกอบ การเปลี่ยนแปลงระบบIncremental ปรับปรงุ บางสวน ไมม กี ารเปลีย่ นแปลงModular เปลย่ี นใหม ไมม ีการเปลี่ยนแปลงArchitectural ปรบั ปรุงบางสวน มีโครงสรางหรือสถาปัตยกรรมใหมRadical เปลีย่ นใหม มีโครงสรา งหรอื สถาปัตยกรรมใหม ทีม่ า (Handerson and Clark, 1990 อางใน Smith, 2006 p.28)วจิ ยั และพฒั นา กระบวนการเชิงพาณิชย์ นวตั กรรม ภาพท่ี 9.5 ขั้นตอนของกระบวนสรางนวัตกรรม ท่มี า (Smith, 2006 p.107) รปู แบบของนวตั กรรม สามารถแบงไดตามผลทไ่ี ดรับ ไดแก 1) นวัตกรรมสินคา เป็นการพัฒนาสินคาท่ีเป็นสินคาอุปโภค บริโภค รวมไปถึงสินคาอุตสาหกรรม เชน เคร่ืองมือ เครือ่ งจักร 2) นวตั กรรมบรกิ าร เปน็ การสรางวธิ ีใหมใ นการใหบ รกิ าร 3) นวัตกรรมกระบวนการ เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการดําเนินงานซึ่งนําไปสูรูปแบบใหมของกระบวนการทํางาน ตัวอยางของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เชน คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ระบบโทรศพั ท์เคลอื่ นที่ หุน ยนต์ พาณิชย์อิเล็กทรอนกิ ส์ เครอื ขายสังคม คอมพวิ เตอร์นาโน 197ตัวอยางของนวัตกรรมสินคาทีน่ าํ เสนอออกสูต ลาดในปี พ.ศ. 2553 ไดแ กnPower Personal Energy Generator Sony 3D-360 Hologram Recomputer: The Cardboard Computer2010 Brabus Mercedes-Benz Viano Apple Tablet The Honda Bicycle SimulatorLoungePanosonic 50-inch 3D 1080 Plasma TV V12 Dual-Touchscreen Notebook Google WaveThe KS810 Keyboard Scan Corrugated Cardboard Labtop Case Powermat Wireless Battery Charger ภาพที่ 9.6 Most Promising New Products for 2010 ท่ีมา (www.businesspundit.com) 198ตวั อยา งของนวัตกรรมสินคาทน่ี ําเสนอออกสตู ลาดในปี พ.ศ. 2554 ไดแกThe Mint: robotic housecleaner Samsung LED Thin 3D TV Infinity I-Kitchen3D HD Camcorder KOR-Fx: vibration movie or Miniature Cell Phone Towers for the game box officeCell Phone Hotel Keys Shape-Shifting Touchscreen Power PlasticQuantum Dot LED Display Robotic Walking Pants Electric Nanomotor ภาพท่ี 9.7 Most Promising New Products for 2011 ที่มา (www.businesspundit.com) 199สรุป เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถนํามาประยุกต์ไดกับการดําเนินชีวิตประจําวันเพิ่มมากขึ้น จะเห็นไดวามีเทคโนโลยีมากมายที่ไดถูกนํามาใชเพ่ือการพัฒนางานดานตางๆ ไมวาจะเป็นการพัฒนาระบบการศึกษา การขยายโอกาสทางธุรกิจ การบริหารประเทศ การดําเนินงานของภาครัฐ การใหบรกิ ารดานสาธารณสุข งานการสงเสรมิ การทาํ นุบํารุงศาสนา ศลิ ปวฒั นธรรม นอกจากน้ีเทคโนโลยีสารสนเทศไดถูกพัฒนาใหมีความกาวหนาอยางรวดเร็ว จนนําไปสูการสรางนวัตกรรมเพ่ืออํานวยความสะดวกและรองรับความตองการท่ีไมสิ้นสุดของมนุษย์ ดังนั้นความตองการกาวทันเทคโนโลยีจึงจําเป็นตองเรียนรู สามารถติดตามความเปล่ียนแปลงตางๆ ท่ีจะเกิดขึ้น เพื่อใหเราสามารถประยุกต์เทคโนโลยีเหลาน้นั กับการดําเนนิ ชีวติ ไดตอ ไป 200 คาถามทบทวน 1. จงยกตวั อยา งของเทคโนโลยสี ารสนเทศท่ที า นใชใ นการสนับสนุนการศึกษาของทาน 2. เทคโนโลยสี ารสนเทศมีประโยชน์กับการเรียนรขู องทานอยา งไรบาง 3. ทานเคยใชเ ทคโนโลยสี ารสนเทศในการดาํ เนินชวี ติ อยา งไรบา ง จงยกตัวอยา ง 4. เทคโนโลยสี ารสนเทศดานสาธารณสขุ มคี วามสาํ คัญกบั การใหบ ริการประชาชนอยา งไร 5. ทา นคิดวา เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถชว ยอนรุ กั ษส์ งิ่ แวดลอ มไดหรอื ไม อยางไร 6. จงเปรยี บเทยี บความแตกตางระหวา งการทําพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับการทําพาณิชย์ดวยโทรศพั ท์เคลื่อนท่ี 7. หากทา นไดร บั มอบหมายใหทําการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับหลักสูตรที่ตนเองเรียนอยู ทานจะเลอื กใชเทคโนโลยสี ารสนเทศอะไรบา งเป็นเครอื่ งมือในการดําเนนิ งาน 8. ทานคิดวาการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์จะชวยสงเสริมระบอบประชาธิปไตยไดหรือไม อยา งไร 9. ทานเคยใชบ รกิ ารดา นเทคโนโลยสี ารสนเทศของมหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนดสุ ติ อะไรบา ง 10. จงยกตัวอยา งของนวตั กรรมดา นเทคโนโลยสี ารสนเทศทท่ี า นรจู ักหรือเคยนํามาใช บทท่ี 10 แนวโนม้ ของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. พรรณี สวนเพลง ปัจจุบัน คือโลกในศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดลอมของการแขงขันทุกดาน ไมวาจะเป็นดานเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและกฎหมาย เทคโนโลยี และวัฒนธรรม ซึ่งการเปล่ียนแปลงดังกลาวเกิดจากปัจจัยตัวแปรท่ีสําคัญ 3 ประการคือ กระแสโลกาภิวัฒน์ การเปล่ียนแปลงทางดานเทคโนโลยี และเศรษฐกิจระหวางประเทศที่มีการคาขายอยางเสรี ซ่ึงการเปล่ียนแปลงดังกลาวมีผลกระทบตอการดําเนินธุรกิจและการปฏิบัติงานขององค์กรตางๆ เป็นอยางมากซ่งึ กอ ใหเ กิดการแขง ขนั อยางรุนแรง และปัจจัยสําคัญที่องค์กรจะสามารถเอาชนะคูแขงหรือสรางความไดเปรียบทางการแขงขันคือ การใชเ ทคโนโลยีสารสนเทศและนวตั กรรมสมัยใหม ดังนั้นนักศึกษาจึงจําเป็นท่จี ะตอ งเรยี นรแู ละพัฒนาทักษะทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงการใชนวัตกรรมใหมเพื่อใหสามารถปรับตัวใหเทาทันการเปลี่ยนแปลงทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศในโลกอนาคต ซ่ึงในบทน้อี ธบิ ายถึงแนวโนมเทคโนโลยสี ารสนเทศในอนาคต นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศกับความรับผิดชอบตอสังคมและสิ่งแวดลอมในอนาคต การปฏิรูปการทํางานกับการใชขาวสารบนฐานเทคโนโลยีในอนาคต และการปฏบิ ัติตนใหทนั ตอ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยสี ารสนเทศแนวโนม้ การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในอนาคต ในปจั จบุ ันเปน็ ยคุ ของกระแสโลกาภิวัตนท์ มี่ กี ารเปล่ียนแปลงทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศแบบกาวกระโดด ซ่ึงเทคโนโลยีสารสนเทศประกอบดวยองค์ประกอบท่ีสําคัญ 2 องค์ประกอบ คือเทคโนโลยีเพ่ือการประมวลผล คือ ระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีเพ่ือการเผยแพร คือระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีอ่ืนๆ ซ่ึงแนวโนมการใชเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตสรุปไดดังน้ี 1. ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบดวยเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ซึ่งในอนาคตคาดวา จะมแี นวโนมการใชงาน ดังน้ี 1.1 ฮาร์ดแวร์ 1.1.1 แท็บเล็ต (tablet) ไดรับความนิยมมาต้ังปี พ.ศ. 2554 และจะไดรับความนิยมอยางตอเน่ืองและสูงข้ึนในอนาคต โดยเฉพาะอยางย่ิงไอแพด (iPad ของ Apple) และ คินเดิ้ล(Kindle ของ Amazon) ซ่ึงสวนมากใชสําหรับการเขาไปอานหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) โดยการเชื่อมตอการพัฒนาของออนไลน์มาร์เกตเพลส (online market place) ของ Amazon หรือiStore ของ Apple ทําใหผูใชงานสามารถเขาถึงเน้ือหา (content) ตางๆ และสามารถซ้ือไดสะดวกข้ึน นอกจากน้ียังมีคาดการณ์วาในอนาคตจะมีการใชเคร่ืองคอมพิวเตอร์แบบแท็บเล็ตมากกวาเคร่ือง 202เน็ตบก฿ุ (netbook) ดวยศกั ยภาพของเครื่องคอมพิวเตอรแ์ ท็บเล็ตท่ีสามารถประมวลผลที่สูงกวาและมีอุปกรณเ์ สริม เชน คีย์บอร์ดท่ีมีที่เสียบแท็บเล็ตสําหรับผูที่ไมชอบเวิลชัวร์คีบรอด (visual keyboard)และแบตเตอร่ีพกพาเพื่อยืดเวลาการใชงานอุปกรณ์ และดวยขนาดของแท็บเล็ตที่มีขนาดเบาทําใหสะดวกในการพกพา และมีหนาจอที่แสดงผลแบบสัมผัสซ่ึงสะดวกตอการใชงานอีกดวย ท้ังนี้รัฐบาลมีนโยบายท่จี ะแจกเคร่อื งแท็บเล็ตใหกับนักเรียนช้ันประถมศึกษาทั่วประเทศประมาณ 900,000 เคร่ืองเพื่อใชเป็นเครื่องมือสําหรับการเรียนการสอน ซึ่งจะทําใหเป็นการใชเทคโนโลยีสารสนเทศยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศ จึงทําใหในอนาคตจะมีการใชแท็บเล็ตมากขึ้นและใชกันอยางแพรห ลายในทกุ อตุ สาหกรรม 1.1.2 สมาร์ทโฟน (smartphone) คือ โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์เคล่ือนท่ีท่ีสามารถเช่ือมตออินเทอร์เน็ตได มีระบบปฏิบัติการระดับสูงในตัว มีความยืดหยุนในการใชงานสูงสามารถติดต้ังโปรแกรมไดหลากหลาย ซึ่งปัจจุบันมีสมาร์ทโฟนที่ผลิตออกมากกวา 300 รุนในตลาดซึ่งมีราคาตั้งแต 5,000 บาทข้ึนไป ที่ไดรับความนิยมมากคือ ไอโฟน (iPhone) ซัมซุงกาแล็กซ่ีเท็บ(Sumsung Galaxy Tab) และโนเกีย (Nokia) เปน็ ตน จากการเปดิ ตัวของระบบปฏิบัติการแอนดรอย์(androids) ท่ีเร่ิมแพรหลาย จึงทําใหการเขาถึงผูใชผานแอปพลิเคชัน (application) ตางๆ ทางสมาร์ทโฟนไดงา ยข้ึน ในรูปแบบเรียลไทม์ (real time) โดยเฉพาะอยางยิ่งการใชโมบายแอปพลิเคชัน(mobile application) เพื่อสรางอรรถประโยชน์โดยตรงผานรูปแบบที่นาสนใจ ซ่ึงปัจจุบันแอปพลิเคชันท่ีดึงดูดความสนใจของคนไทยไดมากท่ีสุดเกี่ยวของกับการถายรูปและสามารถเช่ือมโยงกับเครือขายสังคมออนไลน์ (online social network) เชน แอปพลิเคชันอินสตราแกรม(Instagram) ในเฟซบ฿กุ (Facebook) เป็นตน ภาพท่ี 10.1 นําเสนอการใชโทรศัพท์มือถือของคนทั่วโลก พบวาในปัจจุบันนี้มีการเปล่ียนแปลงวิถีการใชโทรศัพท์มือถือเชื่อมโยงการสืบคนขอมูลขาวสารและสื่อตางๆ ซ่ึงมีผลกระทบตอ พฤติกรรมของผใู ชดงั น้ี (Online Market Trend, 2012) 203 1) ปัจจุบนั นี้ผูใชโ ทรศพั ท์มือถือโดยเฉลีย่ วนั ละมากกวา 7.2 ชว่ั โมงซึ่งคิดเป็น27% ของเวลาใน 1 วัน 2) มีการใชโทรศัพท์มือถือในสถานท่ีตางๆ เชน 67% พิมพ์บนบนเตียงนอน47% ใชสาํ หรบั การฆาเวลาในการรอคอยบางสิง่ 39% ขณะดูโทรทัศน์ 25% สื่อสารกับผูอื่น 22% ใชระหวางอยูกับครอบครัว 19% ในหองน้ํา 15% ระหวางการชอปปิง และ 15% ในงานเล้ียงสังสรรค์ตางๆ เป็นตน 3) การใชโทรศัพท์มือถือในลักษณะตางๆ ข้ึนอยูกับเพศดวย เชน ใชสําหรับเลนเว็บไซต์โชเชียลมีเดีย (social media), สรางความบันเทิง (entertainment), เลนเกม (games),คนหาขอมูล (general Information and search) และสงอีเมล เพศหญิงมีการใชมากกวาสําหรับการชอปปิง (shopping) และคน หาขอมูลในทอ งถิน่ (local search) มากกวา เพศชาย 4) การโฆษณาประชาสัมพันธ์ พบวาในปัจจุบันการโฆษณาผานทางโทรศัพทม์ ือถือมีผลตอ การตดั สินใจซื้อของผบู ริโภคมากกวา 48% ทางคอมพิวเตอร์และเว็บไซต์ 47%และทางโทรทัศน์ 46% 5) โทรศพั ทม์ อื ถอื มผี ลกระทบตอพฤติกรรมของผูบริโภคในการซ้ือสินคาและบริการมากข้ึน ซ่ึงพบวา 42% ใชการโฆษณาบนโทรศัพท์มือถือ 23% นําเสนอขอมูลที่ใหทางเลือกท่ีดีกวา 26% ชว ยในการคน หาขอมูล และ 14% ซอ้ื สินคาและบรกิ ารผา นทางโทรศัพทม์ ือถือ 204 ภาพท่ี 10.1 การใชโทรศัพท์มือถือของคนในยุคปัจจบุ นั ทม่ี า (Online Market Trend, 2012) โดยสรปุ แนวโนมของฮารด์ แวรท์ ใี่ ชในอนาคต คือ การใชแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนในการเขาถึงอินเทอร์เน็ต เน่ืองจากพกพาสะดวก มีน้ําหนักเบา มีฟังก์ช่ันท่ีรองรับการใชงานท่ีครบสมบูรณ์และมรี าคาทไี่ มแพงมาก 1.2 ซอฟต์แวร์ แนวโนมของซอฟต์แวร์ในอนาคตจะมีลักษณะเป็น SaaS ที่ใชสําหรับองค์กรธุรกิจ และ โมบายแอปพลเิ คชันสาํ หรบั ผบู รโิ ภค ซึ่งมรี ายละเอียดดงั น้ี 1.2.1 Software as a Service (SaaS) คือ การใชซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันเหมอื นกับการรับบริการ ซ่ึงไมตองมีการลงทุนซื้ออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใดๆ แตสามารถใช 205งานซอฟต์แวร์ไดตามท่ีตองการ ซ่ึง SaaS เป็นอีกทางหน่ึงของการใชซอฟต์แวร์ธุรกิจโดยไมตองทุนเพียงแตเสียคาใชจายเป็นรายเดือนหรือรายปี ซ่ึงทําใหองค์กรประหยัดคาใชในการติดตั้งซอฟต์แวร์ซื้อลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ คาใชจายของเจาหนาที่ดูแลและคาใชอื่นๆอีกมากมาย ลักษณะของซอฟต์แวร์ประเภท SaaS โดยทั่วไปจะทํางานผานเครือขายอินเตอร์เน็ตดวยโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ (webbrowser) SaaS เป็นแนวโนมที่กําลังมาแรง ตัวอยางของการประสบความสําเร็จอยางงดงาม คือsaleforce.com เปน็ ตน 1.2.2 โมบายแอปพลเิ คชนั (mobile application) สาํ หรับผูบริโภคจะมีการเติบโตเพิ่มมากข้ึนเรื่อยๆ เนื่องจากมีอัตราการใชอุปกรณ์เคล่ือนท่ี อยางโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตท่ีเพ่ิมมากขน้ึ ซง่ึ ศูนยว์ ิจยั กสกิ รไทย ไดว ิเคราะหถ์ ึงสภาพการณ์ และแนวโนมตลาดโมบายล์แอปพลิเคชันในประเทศไทยพบวาจะมีการเติบโตแบบกา วกระโดด ดวยปัจจยั ดงั ตอไปน้ี (ศูนยว์ ิจยั กสิกรไทย, 2554) 1) การขยายตัวของตลาดสมาร์ทโฟน เนื่องจากคุณสมบัติอันโดดเดนของสมาร์ทโฟนในการเช่ือมตอระบบอินเทอร์เน็ต และสามารถลงแอปพลิเคชันตางๆไดอยางและสะดวกจงึ ทําใหเ กดิ ความตองการสงู ในการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อสรางบริการใหมๆ ในการตอบสนองความตองการของผูบ ริโภคในยุคปจั จุบนั ไดด ี 2) การขยายตวั ของตลาดแท็บเลต็ ถึงแมว าฟังกช์ ัน่ การทํางานโดยท่ัวไปของแท็บเล็ตจะมีความคลายคลึงกันกับสมาร์ทโฟน แตดวยความเร็วในการประมวลผลขอมูลที่สูงกวาและขนาดของหนาจอแสดงผลท่ีใหญขึ้น ประกอบกับความสามารถในการใชงานแอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาสําหรับสมาร์ทโฟนได ทําใหผูใชเร่ิมใหความสนใจในการใชงานแท็บเล็ตในวงกวางมากยิ่งข้ึนโดยแท็บเล็ตยังถูกนํามาประยุกต์ใชในดานธุรกิจ และการศึกษาอีกดวย จึงทําใหมีการพัฒนาโมบายแอปพลิเคชันเพมิ่ มากข้นึ เพอ่ื ตอบสนองความตองการใชงานของผบู รโิ ภค 3) การเปิดใหบริการ 3G เชิงพาณิชย์ ซึ่งไดวานับเป็นจุดเร่ิมตนของการเปลี่ยนแปลงโฉมหนาธุรกจิ บรกิ ารโทรคมนาคมสูยุคการสื่อสารขอมูลความเร็วสูง และคาดวาจะสงผลใหเกิดการพฒั นาบรกิ ารและแอปพลิเคชันใหมๆ ทตี่ อ งอาศยั การสื่อสารความเร็วสงู ดว ย 4) ราคาจําหนายโทรศัพท์มือถือที่ถูก โมบายแอปพลิเคชันที่จําหนายผานรา นแอปพลิเคชันออนไลนจ์ ะมีทงั้ แบบฟรแี ละแบบทต่ี องชาํ ระเงนิ โดยแอปพลิชันแบบฟรีในตลาดโลกมีสัดสวนประมาณรอยละ 36.2 ในขณะที่แบบที่ตองชําระเงินจะมีสัดสวนประมาณรอยละ 63.8 ซึ่งดวยราคาของโมบายแอปพลเิ คชันทไี่ มแ พงมากนักจึงมีความตองการของผูใชทจ่ี ะใชเพ่มิ ข้นึ 5) ชองทางการจัดจําหนายที่เขาถึงงาย โมบายแอปพลิเคชันจะถูกขายออนไลน์ผานชองทางการจัดจําหนายท่ีเรียกวา “รานแอปพลิเคชันออนไลน์” (online applicationstore) โดยผูใชสามารถเขาถึงไดงายบนสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ประกอบกับการจัดหมวดหมูแอปพลเิ คชนั ที่งา ยแกการคน หา และระบบการชําระเงินท่ีสะดวกรวดเรว็ เป็นตน 206 ภาพที่ 10.2 ตัวอยา งของโมบายแอพพเิ คช่นั ทีม่ า ประชาชาตธิ รุ กิจ (2555, ออนไลน)์ จากปัจจัยตา งๆท่กี ลาวมาขางตน จะมสี วนชว ยผลักดันใหฐานผใู ชงานโมบายแอปพลิเคชนั ในไทยมีการขยายตัวมากย่ิงข้ึน สงผลใหเกิดการพัฒนาโมบายแอปพลิเคชันสําหรับองค์กรรัฐหรอื เอกชน เพื่อเป็นชองทางการทําตลาดหรือสงเสริมบริการของตนในตลาดผูบริโภคมากย่ิงข้ึน และอาจมสี ว นในการปฏวิ ัติรูปแบบการใชช ีวติ ของผูบริโภค รวมไปถึงธุรกิจท่ีเกี่ยวของ เชน การชอปปิงในหางสรรพสินคาเสมือนจริงบนโมบายลแ์ อปพลิเคชัน ซึง่ สามารถกระทาํ ไดท ุกท่ที ุกเวลา เป็นตน ภาพที่ 10.3 การทาํ งานของคลาวด์คอมพวิ ติ้ง ที่มา Wikidot (ม.ป.ป) 207 1.3 คลาวด์คอมพิวติ้ง (cloud computing) เป็นแนวโนมท่ีกําลังไดรับความนิยม ซึ่งเป็นแนวคิดสําหรับแพลตฟอร์ม (platform) ของระบบคอมพิวเตอร์ในยุคหนา เพื่อเป็นทางเลือกใหแกผูใชในการลดภาระดานการลงทุนในเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งการใชงานในระดับองค์กรธุรกิจ(corporate users) และ ผูใชระดับสวนบุคคล (individual users) โดยเป็นหลักการนําทรัพยากรของระบบสารสนเทศ ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์มาแบงปันในรูปแบบการใหบริการ (Software AsA Services: SaaS) ในระดบั การประมวลผลผานเครือขายอินเทอร์เน็ต โดยผูใชไมจําเป็นตองมีเครื่องคอมพวิ เตอร์ประสิทธภิ าพสงู หรอื ตดิ ตงั้ ซอฟต์แวร์ระบบ ตลอดจนซอฟต์แวรแ์ อปพลิเคชันจํานวนมากเพ่ือการทํางานท่ีซับซอน แตสามารถใชบริการประมวลผล และแอปพลิเคชันตาง ๆ จากผูใหบริการระบบประมวลผลคลาวด์และชําระคาบริการตามอัตราการใชงานท่ีเกิดขึ้นจริง ภาพที่ 10.3 แสดงการทํางานของระบบคลาวด์คอมพิวติ้งท่ีมีการจัดเก็บและประมวลผลผานระบบคลาวด์ สามารถรองรับการทาํ งานระบบคอมพวิ เตอร์ไดอยา งมีประสิทธภิ าพ 2. ระบบสอื่ สารโทรคมนาคม ระบบสือ่ สารโทรคมนาคมในอนาคตจะมกี ารบูรณาการเขาดวยกันระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งจะกลายเป็นเทคโนโลยีคอนเวอร์เจนซ์ (convergence) ในอนาคตจะมีการใชระบบการสื่อสารและระบบเครือขายในหลากหลายรูปแบบ และท่ีไดรับความนิยมเป็นอยางมากท่ีสุด คือ เครือขายสังคมออนไลน์ (online social network) และการทําธุรกิจแบบโซเซียลคอมเมิร์ส (social commerce)ซง่ึ มีรายละเอยี ดดังนี้ 2.1 เครือขายสังคมออนไลน์ (online social network) หมายถึง เว็บไซต์ที่ใหบริการผใู ชใหส ามารถสรา งเว็บ โฮมเพจของตน เขยี นเว็บบล็อก โพสต์รูปภาพ วิดีโอ ดนตรี เพลง รวมถึงการแชร์ความคิด และสามารถเช่ือมโยงไปยังเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อคนหาขอมูลท่ีสนใจได ซ่ึงปัจจุบันมีการแสดงขอมูลอันดับความนิยมเขาชมเว็บไซต์ประจําสัปดาห์ส้ินสุดเม่ือ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ในกลุมอุตสาหกรรม “Computer and Internet – Social Networking and Forum” มีรายละเอียดดังนี้ตารางท่ี 10.1 การใชเ วบ็ ไซตเ์ ครือขา ยสงั คมออนไลน์ อนั ดบั เวบ็ ไซต์ สดั ส่วนการเขา้ ใชง้ าน (%) 1. Facebook 62.38 2. Youtube 20.29 3. Twitter 1.57 4. Pinterest.com 1.06 5. Yahoo! Answer 1.00 6. LinkedIn 0.79 7. Tagged 0.66 8. Google+ 0.50 9. MySpace 0.39 10. Yelp 0.36 ทีม่ า วทิ ยา มานะวาณิชเจริญ (2555, หนา 64) 208 ท้ังน้ีการเจริญเติบโตของเครือขายสังคมออนไลน์จะเติบโตควบคูไปกับอุปกรณ์พกพาหรือ โมบาย การใชงานเครือขายสังคมมีใชทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กร ซึ่งการใชงานระดับบุคคลมีการใชงานเพ่ือการตลาดและประชาสัมพันธ์มากข้ึน ในอนาคตจะใชเพ่ือเป็นสื่อในเชิงการตลาดมากขึ้น และใชเพ่ือเป็นชองทางในการเขาถึงผูบริโภคโดยตรงท้ังการใหขอมูล ความรูคําแนะนาํ และการตอบคําถามตางๆ มีแนวโนมชัดเจนวาเครือขายสังคมออนไลน์อยางเฟซบุคจะเป็นชองทางหนารานในการขายสินคา สินคาที่จะเขามาขายกันไดแก เสื้อผา กระเปา เครื่องสําอางเครอื่ งประดับ เป็นตน 2.2 โซเชียลคอมเมิรซ์ (Social Commerce) คือ การใชเครือขายสังคมออนไลน์ในการคาขาย ซึ่งเป็นสวนหนึ่งของระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) เป็นการนําโซเชียลมีเดีย(social media) และสื่อออนไลน์แบบตางๆ มาชวยในการสรางการปฏิสัมพันธ์ระหวางผูขายกับผูซ้ือชว ยในการขายสินคาออนไลนต์ า งๆ ผา นทางเวบ็ ไซต์ ในอนาคตโซเซียลคอมเมริซ์จะกลายเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอีกรูปแบบหน่ึงที่มาแรงในธุรกิจออนไลน์ เพราะกระแสความนิยมของผูบริโภคในยุคปัจจุบันใชเครือขายสังคมออนไลน์ (social network) ดวยเทคโนโลยี WEB 2.0 ท่ีทําใหมีการแลกเปลี่ยนขอมูลขาวสาร การรับรูสินคาและบริการจากเพื่อนๆ โดยการตลาดแบบบอกตอ (virtualmarketing) ซ่ึงผูขายไมจําเป็นตองโฆษณามาก เนื่องจากผูซ้ือไดรับขอมูลเก่ียวกับสินคาและบริการจากเพ่ือนๆ ที่อยูในเครือขายสังคมของเขานั่นเอง ทําใหผูบริโภคจะมีอํานาจการตอรองสูง สามารถเลือกสนิ คา โดยการจับตวั เปน็ กลมุ ทําใหมีกําลังการซือ้ จาํ นวนมาก และสามารถตอรองกับผูผลิตสินคาไดเ ปน็ อยา งดี โดยไมจ าํ เปน็ ตองผานพอ คา คนกลาง ทําใหธุรกิจสามารถสรา งกาํ ไรไดมากข้นึ อีกดวย 3. แนวโนมอ่ืนๆ ดานเทคโนโลยีสารสนเทศ ไดแก แนวโนมดานขอมูล การวิเคราะห์ธุรกิจ(business analytics) กรีนไอที (green IT) มาตรฐานไอทีและการรักษาความปลอดภัย (ITstandard and IT security) และ สมารท์ ซิตี้ (smart city) และ ซง่ึ มีรายละเอยี ดดังน้ี 3.1 แนวโนมดานขอมูล บริษัทฮิตาชิ ดาตา ซิสเต็มส์ ไดคาดการแนวโนมดานขอมูลตงั้ แตป ี พ.ศ. 2555 มดี งั นี้ (กมลภัทร บญุ ค้าํ , 2555 หนา 28) 3.1.1 ความมีประสิทธิภาพของระบบจัดเก็บขอมูล (storage efficiency) จะมีมากข้ึน เชน การใชระบบจัดเก็บขอมูลเสมือนจริง (virtual storage) การจัดสรรพื้นท่ีแบบจํากัดตามการใชง านจรงิ และการเก็บขอมูลถาวร (archiving) เปน็ ตน 3.1.2 จะมีการผสมผสานระบบเขาดวยกัน (consolidation to convergence)โดยการผสานรวมเซริฟเวอร์ (sever) ระบบจัดเก็บขอมูล เครือขาย และแอพพิเคชั่น โดยอาศัยแอปพลิเคชันโปรแกรมมิ่ง (Application Programming Interface: APIs) ซ่ึงจะชวยจํากัดภาระงาน(workload) ใหกับระบบจัดเก็บขอมูล ทําใหเคร่ืองเซิร์ฟเวอร์และหนวยความจํามีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน และเป็นการประหยัดคาใชจ ายใหก บั องคก์ รอีกดว ย 3.1.3 ขอมูลขนาดใหญ (big data) หรือเรียกวา “บิ๊กดาตา” น้ันจะมีการเติบโตมากข้ึนซึ่งองคก์ รจะตอ งหาวธิ ีการจัดการกับบก๊ิ ดาตา ทีจ่ ะเกดิ ขน้ึ 3.1.4 การยายขอมูลแบบเสมือน (virtualization migration) การยายขอมูลของอุปกรณ์แบบตองหยุดระบบจะถูกแทนท่ีดวยความสามารถใหมของระบบเสมือนจริงท่ีถูกยายขอมลู โดยไมจ ําเปน็ ตองรีบตู (reboot) ระบบใหม 209 3.1.5 การปรับใชระบบคลาวด์ (cloud acquisition) การปรับใชระบบคลาวด์ทั้งในแบบบริการตนเอง แบบจายเทาท่ีใชงานและความตองการ จะเขามามีแทนที่วงจรการปรับใชผลติ ภณั ฑป์ จั จุบนั ท่ีมีระยะเวลาระหวาง 3-5 ปี เน่ืองจากมกี ารบรู ณาการระบบสารสนเทศเขา ดว ยกัน 3.2 การวิเคราะห์ขอมูลธุรกิจ (Business Analytics :BA) เม่ือมีขอมูลจํานวนมากองค์กรจําเป็นตองมีการวิเคราะห์ขอมูลกอนนําไปใชในเชิงการตลาดและการตัดสินใจ สําหรับ BA ซึ่งเติบโตจาก BI (Business Intelligence: BI) ดวยเคร่ืองมือท่ีมีความชาญฉลาดสูงขึ้น ชวยใหสามารถกล่ันกรองขอมูลและวิเคราะห์ธุรกิจจากขอมูลที่มีอยูและนําไปสูความกาวหนา หรือสรางความไดเปรียบทางธุรกิจ เนื่องจากการวิเคราะห์ขอมูลธุรกิจ คือ สิ่งสําคัญในการกําหนดแนวทางการปรบั ปรุงแผนธรุ กจิ ตวั อยา งการใช BA ในภาคการผลิต จะทาํ ใหส ามารถวางแผนการผลิตและการขายไดอยางแมนยํา ซ่ึงการวิเคราะห์ขอมูลธุรกิจสามารถเป็นตัวสนับสนุนที่สําคัญที่จะสรางความสําเร็จใหกับผูผลิตจากการคาดการณ์ท่ีดีจะใหผลตอบแทนการลงทุน (Return Of Investment :ROI) ไดมากข้นึ ทั้งน้ีธุรกิจท่ีมีแนวโนมในการลงทุนดาน BA ไดแก อุตสาหกรรมการผลิต สถาบันการเงินและธนาคาร และธรกุ ิจคา ปลกี เปน็ ตน (กรกต สองเรืองรอง, 2555 ก หนา 22-23) 3.3 กรีนไอที (Green IT) ในอนาคตแนวโนมของสินคาทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศจะตอ งเปน็ มิตรกบั สิ่งแวดลอ ม ไมทําลายส่ิงแวดลอม ทเี่ รียกวา “กรีนไอที” (green IT) เพราะคานิยมของผูบริโภคใสใจตอส่ิงแวดลอมมากขึ้น ซ่ึงอุปกรณ์ทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศจําเป็นที่จะตองออกแบบใหประหยัดพลังงาน กินกระแสไฟฟูานอย เกิดความรอนนอย ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนา“กรีนพีซี” (green PC) ซึ่งสามารถตอบโจทย์ในเรื่องของความสะดวกสบายในการใชงาน และเป็นมิตรกับส่ิงแวดลอมอีกดวย ท้ังนี้ในอนาคตเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดลอมจะอยูในเง่ือนไขหลักของการจัดซื้อ ทั้งนี้ปัจจุบันยังไมมีขอบังคับเร่ืองคาร์บอนเครดิต (carbon credit) การประหยัดพลังงาน การปลอยก฿าซออกสูสภาพแวดลอมก็ตาม แตกรีนไอทีจะเป็นเง่ือนไข 1 ใน 6เง่ือนไขแรกท่ีองค์กรจะนํามาใชพิจารณาการจัดซื้ออยางแนนอน เพราะการชวยประหยัดพ้ืนที่และประหยัดพลงั งาน ซึ่งจะโยงไปสูการประหยัดเวลา ตนทุนการปฏิบัติการ และการบํารุงรักษาที่จะชวยลดตนทนุ การจดั จา งและอบรมบุคลากรตอไป (กลมภทั ร บญุ คาํ้ , 2555 หนา 25) 3.4 ความปลอดภัยและมาตรฐานดานเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Security and ITStandard) ความปลอดภัยสารสนเทศเป็นส่ิงท่ีจําเป็นตอองค์กร และในอนาคตจําเป็นตองใหความสําคัญมากข้ึน ซ่ึงระบบรักษาความปลอดภัยตองมีความฉลาดในการทํางานไดซับซอนมากข้ึนเพื่อใหรองรับกับภัยคุกคามท่ีมีการพัฒนาตัวเองใหเกงกวาเดิมอยูเวลา ทั้งความปลอดภัยดานเทคโนโลยสี ารสนเทศ (IT security) จําเปน็ ทจี่ ะตองอยูทุกสวนของระบบสารสนเทศ ตั้งแตโครงสรางพื้นฐาน ระบบเครอื ขา ย รวมถึงขอ มูลการใชงานตางๆ รวมถึงมาตรฐานดานเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITstandard) เป็นเคร่ืองมือที่สรางความนาเชื่อถือ ดังนั้นองค์กรจําใหความสําคัญกับการไดรับรองมาตรฐานสากลตางๆ มากขึ้น โดยเฉพาะมาตรฐาน ISO ที่เก่ียวของกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เชนISO/IEC20000 (International Standard for IT Service Management), ISO/IEC 27001:2005(Information Security Management Systems: ISMS) , ISO/IEC 270003 (ImplementationGuidance) ซ่งึ เป็นแนวทางปฏิบัติสําหรับการพัฒนาระบบ ISMS นอกจากน้ียังมีมาตรฐานสากลอื่นๆอีก เชน ITIL (Information Technology Infrastructure Library) แนวปฏิบัติในการใหบริการ 210เทคโนโลยีสารสนเทศ, CoBIT แนวปฏิบตั ใิ นการพฒั นาระบบการกํากับดูแลดา นเทคโนโลยีสารสนเทศรวมถงึ ธรรมาภบิ าลเทคโนโลยสี ารสนเทศ (IT Governance) ซง่ึ ทกุ มาตรฐานองค์กรจะใหความสําคัญมากขึ้นเพื่อสรางใหเกิดความเชื่อม่ันตอองค์กร และไดรับการรับรองมาตรฐานสากล ตลอดจนเพื่อสรางภาพลักษณ์ขององค์กร และการเตรียมความพรอมองค์กรเพ่ือรับการเปิดเสรีทางธุรกิจในประชาคมอาเซยี น หรือ AEC 2015 (ASEAN Economic Community 2015) อกี ดว ย 3.5 สมาร์ทซิต้ี (Smart City) ในอนาคตประเทศไทยจะมีการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชเพื่อพัฒนาจังหวัดหรือเมืองในรูปแบบของอัจฉริยะ ซึ่งในปัจจุบันไดมีจังหวัดนครนายกเป็นจังหวดั นาํ รอง โดยไดม ีการจดั ทาํ โครงการ สมารท์ โพวนิ ส์ (smart province) คือ การนําเทคโนโลยีมาปรับใชทั่วท้ังจังหวัด ตั้งแตระดับเมือง อําเภอ ตําบล และหมูบาน ซึ่งใชเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครอ่ื งมอื ในการยกระดบั คณุ ภาพชวี ติ ประชาชน (กรกต สอ งเรอื งรอง, 2555 ข หนา 18-21) เปูาหมายของโครงการสมาร์ทโพวินส์ คือ เพิ่มคุณภาพชีวิตและสังคมแหงการเรียนรู ซ่ึงภายใตโครงการไดวางกลยุทธ์ดานเทคโนโลยีสารสนเทศไว 13 กลยุทธ์ ไดแก ดานการส่ือสาร การวางผังเมืองและผังพัฒนาจังหวัดอยางตอเน่ือง การบูรณาการแผนงานและงบประมาณการบรหิ ารกจิ การบา นเมอื งทด่ี ี การจัดการบานเมืองนาอยู การทองเท่ียว การเกษตร การอาหาร การสาธารณสุข การศึกษา การพาณิชย์และการปกครองและความมั่นคง โดยในแผนปฏิบัติแบงออกเป็น4 ระยะ ดงั น้ี ระยะท่ี 1 จะเกิดขึ้นในปีแรก โดยเริ่มจากการลงโครงสรางพื้นฐานดานเครือขายการส่อื สาร และมีการใชอนิ เทอรเ์ นต็ ไวไฟ (wifi) ฟรี ซ่ึงจะเกิดการใชง านในองค์รวม ไดแ ก 1) ภาคการศึกษา จะเกิดเป็น e-Education ซ่ึงจะรองรับการแจกเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเลต็ (tablet) สําหรับนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาตามนโยบายของรัฐบาลเพ่ือใชในการเรียนการสอน 2) ภาคประชาชนจะสามารถเขาถึงสังคมแหงการเรียนรูมากข้ึน เชน เขาใชเวบ็ ไซต์กูเกิ้ล (google) เพื่อสืบคนหาความรตู า งๆ และสงเสรมิ การเรียนรูตลอดชีวิตไดม ากขึ้น 3) ภาคการทองเท่ียว นักทองเที่ยวจะสามารถใชฟรีไฟไว ไดตามสถานท่ีทอ งเที่ยวสาํ คญั หรอื ในรสี อร์ต (resort) ทกุ แหง 4) ภาคราชากร จะใชระบบสารสนเทศในการทํางานมากขึ้น โดยมีเปูาหมายในการลดการใชก ระดาษใหนอยลง และจะมกี ารใชเ ครือขายสงั คมเปน็ เคร่ืองมือส่ือสารระหวางภาครัฐกับประชาชน ตลอดจนธรุ กจิ เอกชน เปดิ โอกาสใหทุกฝาุ ยไดเ สนอแนะ ปัญหาตางๆ ซึ่งจะเป็นชองทางใหภ าครัฐไดรับฟงั ความคิดเห็นของประชาชนผา นเครอื ขา ยสังคมออนไลน์ ระยะที่ 2 จะเรม่ิ ข้ึนในปีที่สอง คือ เกดิ หองปฏิบัติการ (management cockpit)ซึ่งจะเป็นศูนย์บัญชาการกลางของจังหวัด และในอนาคตจะขยายไปสูศูนย์บัญชาการในระดับอําเภอและระดับตําบล โดยจะเกิดขอมูลในองค์รวมทั้งหมด เกิดการวางแผน เกิดเปูาหมายเกิดระบบภูมิสารสนเทศ (GIS) หรอื แผนท่ีอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ซึง่ จะชวยดานการบริหารจังหวดั ในภาพรวม ระยะท่ี 3 ประชาชนจะไดใชบริการภาครัฐในรูปแบบของ One Stop Serviceโดยสามารถใชบัตรประชาชนเขาถึงทุกบริการของภาครัฐนอกจากน้ีการใชบริการบางประเภทประชาชนไมตองเดินทางไปสํานักงานแตสามารถใชบริการบน Cloud Service ผานเครือขาย 211อินเทอร์เน็ต โดยบริการตางๆ ของภาครัฐไปสูประชาชนจะเกิดข้ึนอยางเป็นรูปธรรม โดยประชาชนสามารถใชบริการดวยตนเอง หรือ Self Service ซึ่งจะชว ยลดข้ันตอนการติดตอหนวยงานภาครัฐ ลดเวลาในการติดตอ และลดคา ใชจ า ยในการดาํ เนินงาน ทําใหเกิดความสะดวกสบาย และภาครัฐรวมถึงหนวยงานราชการเกิดความคลองตัวในการทํางาน สะดวก รวดเร็ว และงาย เนื่องจากมีขอมูลที่ตอเหตกุ ารณ์ ขอ มูลถกู ตองสมบรู ณ์ สามารถสนับสนนุ การตดั สนิ ใจดานการบรหิ ารจดั การได ระยะท่ี 4 เป็นการประเมินผลแผนปฏิบัติและโครงการตางๆ ภายใตนโยบายสมาร์ทโพวินส์ โดยทําการสรุปภาพรวมของระบบตา งๆ รวมถึงแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาระบบสารสนเทศใหด ขี ้นึ และนําไปสูการขยายผลใหกับจังหวัดอน่ื ๆ ในภาพรวมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คาดวา ภาครัฐจะสามารถลดคาใชจายในดานการบริหารจัดการ เชน อัตรากําลังคน คาใชจายตางๆ โดยเฉพาะอยางยิ่งการดําเนินงานการพัฒนาและดูแลทกุ สขุ ของประชาชน โดยในระดบั อาํ เภอจะมงุ เนนงานพฒั นาแทนงานทะเบียนตางๆ โดยการแจง เกิด แจงตาย แจง ยายสิ่งปลกู สราง เหลา น้ีจะถกู ดาํ เนนิ การดวยระบบออนไลน์ ซึ่งทําใหประชาชนสะดวกไมตองเดินทาง เสียคาใชจายและเสียเวลา อีกท้ังเป็นการบริการประชาชนท่ีมีประสิทธิภาพประหยัดเวลาในการขอรับบริการจากภาครัฐ ลดขั้นตอน ทําใหสะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นและขอเสนอแนะผานทางเครือขายสังคมออนไลน์ไดอีกดวยซึ่งจะมีการใชเลขบัตรประชาชนเป็นตวั ตนของเครือขา ยสงั คมออนไลน์ นอกจากน้ียังมีศูนย์ปฏิบัติการเพื่อชวยเหลือประชาชนในดานตา งๆ เชน ดานภยั พิบตั แิ ละความเดอื นรอ นของประชาชน และดานรายไดประชาชนจะเป็นโอกาสใหม โดยจะมีการจัดต้ังสหกรณ์ชุมชนระดับตําบลขึ้น เพื่อสงเสริมการประกอบอาชีพใหมๆ ซง่ึ จะเปน็ แหลงสรา งทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตอีกดวย 4. นวัตกรรมดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศในอกี 5 ปี ข้างหน้า บริษัทไอบีเอ็ม (IBM) ไดนําเสนอ IBM Give in Five 5 นวัตกรรมล้ํายุคที่คาดวาจะเปล่ียนแปลงชีวิตของเรา รวมถึงนําเสนอเทคโนโลยีใหมๆ ในอกี 5 ปีขางหนา (พ.ศ. 2556-2560) ดังน้ี(Technology Focus, 2012 หนา 77) 4.1 การสรางพลังงานข้ึนเองเพื่อใชภายในบาน คือ การที่ทุกคนสามารถสรางพลังงานเพ่ือใชภายในบานข้ึนเองได การเคล่ือนไหวตางๆ ไมวาจะเป็นการเดิน ขี่จักรยาน และสิ่งตางๆ ที่อยูรอบตัว เชน ความรอนจากคอมพิวเตอร์จะสามารถสรางพลังงาน ซึ่งสามารถเก็บรวบรวมและนําพลงั งานสะอาดนีม้ าใชงานภายในบาน สถานท่ีทํางาน และเมืองตางๆ ตัวอยางเชน อุปกรณ์ขนาดเล็กหรือแบตเตอรี่ท่ีตอเขากับซี่ลอจักรยานจะสามารถเก็บรวบรวมพลังงานที่เกิดขึ้นในทุกรอบของการหมุนของแปูนจักรยานและเมื่อกลับถึงบานสามารถถอดอุปกรณ์ดังกลาว และเสียบปลั๊กเพ่ือดึงพลังงานน้ันมาใชสําหรับอุปกรณ์ตางๆ ตั้งแตหลอดไฟไปจนถึงเตาไมโครเวฟ และอุปกรณ์ทางดานเทคโนโลยที ้งั หมด เป็นตน 4.2 มนุษย์จะใชเสียงพูด ใบหนาและดวงตาแทนรหัสผาน ในอนาคตเราจะไมตองใชรหัสผา นอีกตอ ไป เพราะขอมูลทางไบโอเมตริก (biometric) เชน ขอมูลเก่ียวกับเคาโครงใบหนา การสแกนมานตา และไฟล์เสียงพูด จะถูกประกอบเขาดวยกันผานทางซอฟต์แวร์ เพ่ือสรางรหัสผานออนไลน์ ซ่ึงในอนาคตเราเพียงแตเพียงไปถอนเงินที่ตูเอทีเอ็มอยางปลอดภัย เพียงแตพูดชื่อหรือมอง 212เขาไปในเซ็นเซอร์ (sensor) ขนาดเล็กที่สามารถรับรูความแตกตางมานตาของแตละคนได ก็จะทําธุรกรรมไดอ ยาง สะดวกและปลอดภยั 4.3 มนษุ ย์สามารถใชสมองสัง่ งานแลปทอป (laptop) และโทรศัพท์เคล่ือนที่ได ในขณะนี้ไดมีนักวิทยาศาสตร์ในสาขาชีวสารสนเทศ หรือไบโออินฟอร์เมติกส์ (Bioinformatics) กําลังทําการคนควาวิธีการเช่ือมโยงสมองของคนเขากับอุปกรณ์ตางๆ เชน คอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนรวมถึงการออกแบบชุดหูฟังที่มีเซ็นเซอร์พิเศษสําหรับอานคล่ืนไฟฟูาสมอง รวมถึงสีหนา ระดับความตื่นเตน การมีสมาธิจดจอและความคิดของบุคคล โดยที่ไมจําเป็นตองขยับรางกาย ภายใน 5 ปีขางหนามีการพยากรณ์วายอดจําหนายอุปกรณ์พกพาจะอยูที่ 5,600 ลานเครื่อง ขณะที่มีประชากรอาศัยอยูในโลกประมาณ 7,000 ลานคน เน่ืองจากโทรศัพท์มือถือไดรับความนิยมแพรหลายมากขึ้นและราคาก็ลดลงเร่ือยๆ ดังน้ันระบบโมบายจะกอใหเกิดโครงสรางพ้ืนฐานที่ทันสมัย พรอมบริการมากมายบนโทรศัพท์มือถือซึ่งสามารถตอบสนองความตองการครอบคลุมถึงเร่ืองการทําธุรกรรมของธนาคาร การแพทย์ และการศกึ ษา ปจั จบุ ันจะเรมิ่ เห็นการประยุกต์ใชงานเทคโนโลยีน้ีในอุตสาหกรรมเกมและความบันเทิง รวมถึงขยายไปถึงการแพทย์เพ่ือทดสอบแบบแผนของสมองมนุษย์ และชวยในการฟน้ื ฟูผปู ุวยทเี่ กดิ ภาวะเสน เลือดสมองแตกและชว ยในการทําความเขาใจเก่ียวกับความผิดปกติของสมอง เชน โรคสมาธิส้ัน ไดอ ีกดวย 4.4 ทกุ คนสามารถเขา ขอมูลตางๆ ไดทุกทีทกุ เวลาดว ยเทคโนโลยีโมบาย ในชวง 5 ปีตอจากน้ี ชองวางระหวางผูท่ีมีขอมูลและผูที่ไมมีขอมูลจะลดนอยลงเป็นอยางมาก เนื่องจากความกาวหนาของเทคโนโลยีโมบาย ซ่ึงในประเทศอินเดีย บริษัทไอบีเอ็มใชเทคโนโลยีเสียงพูดและอุปกรณ์พกพาเพื่อชวยใหชาวชนบทที่ไมรูหนังสือสามารถถายทอดขอมูลผานทางขอความท่ีบันทึกไวในโทรศัพท์ และการเขาถึงขอมูลไดอยางที่ไมเคยปรากฏมากอน ซ่ึงทําใหคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวอินเดียดีข้ึน ทําใหสามารถตรวจสอบรายงานสภาพอากาศ รูวาจะมีแพทย์เดินทางเขามารักษาเม่ือไร และยังสามารถตรวจสอบระดับราคารับซ้ือสินคาและพืชผลทางการเกษตรไดอีกดวย สําหรับชุมชนที่ขยายใหญขึ้นจะสามารถใชเทคโนโลยีโมบายเพ่ือรองรับการเขาถึงขอมูลสําคัญ และปรับปรุงการใหบริการแกประชาชน โดยอาศัยโซลูช่ัน (solution) และรูปแบบธุรกิจใหมๆ เชน โมบายคอมเมรริ ์ซ (mobile commerce) และบริการทางการแพทย์ระยะไกล 4.5 คอมพิวเตอร์จะคัดกรองขอมูลสําคัญใหสอดคลองกับความตองการและพฤติกรรมของผใู ช ในอีก 5 ปขี างหนา จะการใชเทคโนโลยีระบบวิเคราะห์ขอมูลแบบเรียลไทม์ (real time) เพ่ือกล่ันกรองและผนวกขอมูลจากทุกแงมุมของชีวิต ตั้งแตขาวสาร ไปจนถึงกีฬา การเมือง หรือแมแตกระทง่ั เทคโนโลยที ผี่ ูใ ชชนื่ ชอบ และจะตดั โฆษณาที่ผูรบั ขอ มูลไมพ งึ ประสงค์ออกไป พรอมกับนําเสนอและแนะนาํ ขอมูลทเ่ี ป็นประโยชนแ์ กผูบริโภคอยา งแทจรงิ ทั้งหมดเป็นนวัตกรรมทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตอันใกลดังน้ันนักศึกษาจําเป็นท่ีจะตองทราบและศึกษาแนวโนมการเปลี่ยนแปลงทางดานเทคโนโลยีอยูเสมอเพื่อใหส ามารถปรับใชกบั การดําเนนิ ชีวติ ประจาํ วันและการประกอบอาชีพอยางมีประสทิ ธิภาพตอไป 213เทคโนโลยสี ารสนเทศกับความรบั ผิดชอบตอ่ สังคมและสิ่งแวดล้อมในอนาคต การใชเ ทคโนโลยสี ารสนเทศในอนาคตจําเป็นจะตองคํานึงถึงความรับผิดชอบตอสังคม (socialresponsibility) และการเป็นมิตรกบั สง่ิ แวดลอม ซึ่งมีรายละเอยี ดดงั น้ี 1. เทคโนโลยีสารสนเทศกบั ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม ความรบั ผิดชอบตอ สังคม (social responsibility) ซ่ึงมีทั้งระดับบุคลและองค์กร ซึ่งเป็นสิ่งท่สี าํ คัญเป็นอยางมากสําหรับการใชเ ทคโนโลยสี ารสนเทศในอนาคต มรี ายละเอียดดงั นี้ 1.1 ความรับผิดชอบตอสังคมระดับบุคคล ประกอบดวย 3 สิ่งไดแก การเป็นผูรับผิดชอบตอสิ่งที่เกิดขึ้น การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และการตัดสินใจที่วางใจได ( พราหาราช &ฮัมมอน, 2554 หนา 188) ซ่ึงจะเป็นพฤติกรรมท่ีบุคคลแสดงออก ท้ังนี้ความรับผิดชอบตอสังคมดานการใชเ ทคโนโลยีสารสนเทศ ไดแก 1.1.1 การใชเทคโนโลยีสารสนเทศอยางมีจริยธรรม และถูกตองตามกฎหมายท่ีไดกาํ หนด (รายละเอยี ดในบทท่ี 8) 1.1.2 การใชเทคโนโลยีสารสนเทศอยา งสรางสรรค์ และเป็นมติ รทีด่ กี ับคนอ่ืน 1.1.3 การใชเ ทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื กอใหเ กดิ ความรกั สามคั คีในหมูคณะ 1.1.4 การใชเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือสรางกิจกรรมทางสังคมท่ีเป็นประโยชน์ เชนการชวยเหลือผูป ระสบภยั การบริจาค หรอื กจิ กรรมทเี่ กี่ยวกบั ขอ งจิตอาสา 1.1.5 การใชเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีเป็นมิตรกับสิ่งแวดลอม รักษาส่ิงแวดลอม และคํานึงถึงการประหยัดพลังงาน 1.2 ความรับผิดชอบตอสังคมระดับองค์กร (Corporate Social Responsibility: CSR)หมายถึงการดําเนินธุรกิจควบคูไปกับการใสใจดูแลรักษาส่ิงแวดลอมในชุมชนและสังคม ภายใตหลักจริยธรรม การกํากับดูแลท่ีดี (good governance) เพ่ือนําไปสูการดําเนินธุรกิจที่ประสบความสําเร็จอยางย่ังยืน ในการดําเนินธุรกิจอยางมีความรับผิดชอบตอสังคมน้ัน องค์กรจะตองตอบสนองตอประเด็นดานสังคม และส่ิงแวดลอม โดยมุงท่ีการใหประโยชน์กับคน ชุมชน และสังคม นอกจากน้ันยังตองคํานึงถึงบทบาทขององค์กรภาคธุรกิจที่ตองปฏิบัติอยางสอดคลองกับความคาดหวังของสังคมโดยจะตองทําดวยความสมัครใจ และบุคลากรทุกคนในองค์กรจะตองมีบทบาทเกี่ยวของกับกิจกรรมตา งๆ ท่ีตอบแทนในสิ่งทด่ี งี ามสสู ังคมอยางจรงิ จัง 2. เทคโนโลยีสารสนเทศกับส่งิ แวดลอ้ ม นอกเหนือจากความรับผิดชอบตอสังคมแลวการใชเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตจําเป็นตองคํานึงถึงส่ิงแวดลอมอีกดวย ซึ่งในอนาคตจะตองใชเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นมิตรกับส่ิงแวดลอม หรือ “กรีนไอที” หรือ “เทคโนโลยีสีเขียว” ซ่ึงมีเปูาหมายของการพัฒนา ตัวอยางของกรีน และสภาพแวดลอมที่ไดรับผลกระทบจากเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีรายละเอียดดังน้ี (GreenNetwork, 2009) 2.1 เปาู หมายของกรีนไอที 2.1.1 การออกแบบจากแหลงกําเนิดไปยังแหลงกําเนิดการใชงานของส่ิงตางๆ ก็จะเป็นวัฎจกั รของผลิตภณั ฑ์ โดยการสรางผลิตภณั ฑ์ใหส ามารถนํากลบั มาใชงานใหมไ ด (recycle) 214 2.1.2 การลดขอมูล เป็นการลดท้ิงและมลพิษ โดยการเปลี่ยนรูปแบบของการนําไปสรางผลติ ภณั ฑ์และการบริโภค 2.1.3 พัฒนาส่ิงใหมๆ เป็นการพัฒนาเพื่อเทคโนโลยี ไมวาจะเป็นการนําซากสัตว์มาเป็นเช้ือเพลิงหรอื ทางเคมี แตกอ็ าจทาํ ใหสขุ ภาพและสภาพแวดลอมเสียหายได 2.1.4 ความสามารถในการดํารงชีวิต สรางศูนย์กลางทางดานเศรษฐศาสตร์ใหเหมาะสมกับเทคโนโลยีและผลติ ภณั ฑใ์ หเหมาะสมกบั สภาพแวดลอ ม ความเร็วในการพัฒนาและสรางอาชพี ใหมเ พอื่ ปกปูองโลก 2.1.5 พลังงาน ตองรับรูขาวสารทางดานเทคโนโลยีสีเขียวรวมไปถึงการพัฒนาของเช้ือเพลงิ ความหมายใหมข องการกําเนิดพลังงาน และผลของพลังงาน 2.1.6 สภาพสิ่งแวดลอม นําไปสูการคนหาสําหรับผลิตภัณฑ์ใหม เพ่ือคนหาสิ่งท่ีบรรลุและวิธีทท่ี าํ ใหเ กิดการกระทบกบั สภาพแวดลอ มนอยทสี่ ุด 2.2 ตวั อยา งของกรนี ไอที ตัวอยางของกรีนไอทีไดถูกนํามาใชในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในอนาคตจะตองถูกออกแบบมาเพอ่ื ใหคํานึงสงิ่ แวดลอมซง่ึ มรี ายละเอยี ดดังนี้ 2.2.1 กรีนคอมพวิ เตอร์ (green computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีรับผิดชอบตอสิ่งแวดลอมและทรัพยากรอื่นๆ ประกอบไปดวยพลังงานหนวยประมวลผลศูนย์กลางท่ีมีประสิทธิภาพ (ซีพียู) เคร่ืองเซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์เสริมเพื่อลดการทํางานของทรัพยากรและการจัดการเร่ืองการสิ้นเปลืองของอุปกรณ์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ (e-Waste) ซึง่ มแี นวโนม การลดพลังงาน ดังนี้ 1) ใหซ พี ียแู ละอปุ กรณ์เสรมิ ตา งๆ ท่ไี มไ ดใชงาน ลดการใชพ ลงั งานลง 2) ลดพลังงานและการจายไปใหแกอุปกรณ์เสริมท่ีไมไดใชงานนาน เชนเครอ่ื งพมิ พ์เลเซอร์ 3) ใหหันมาใชจอภาพหรือมอนิเตอร์ในแบบ Liquid-Crystal-Display (LCD)แทนการใชม อนิเตอร์ Cathode-Ray-Tube (CRT) 4) ถาเป็นไปไดใชเคร่ืองคอมพิวเตอร์โนตบ฿ุกมากกวาเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ทอป เพราะเคร่ืองคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปจะกินไฟและใชพลังงานมากกวาเคร่ืองคอมพิวเตอร์โนต บ฿ุก 5) ใชฟีเจอร์ Power-Management ใหปิดการทํางานของฮาร์ดดิสก์ และหนา จอมอนิเตอร์หากไมไ ดม กี ารใชงานตดิ ตอกนั นานๆ หลายนาที 6) ใชกระดาษใหนอยท่ีสุด และถาเป็นไปไดก็ใหนํากระดาษกลับมาใชงานหมุนเวียนอีก 7) ลดการใชพ ลังงานกับเครอื่ งคอมพิวเตอร์เวิร์กสเตชัน เซิร์ฟเวอร์ เน็ตเวิร์กและขอ มลู สว นกลาง 2.2.2 กรีนดาตาเซ็นเตอร์ (green data center) กรีนดาตาเซ็นเตอร์ หรือ ศูนย์ขอมูลกลางสีเขียว คือ การใชงานทางดานการจัดเก็บขอมูล การจัดการทางดานขอมูลและการแพรกระจายของขอมูลท่ีจัดเก็บไวในเครื่องจักร 215อปุ กรณ์ไฟฟูาและระบบคอมพวิ เตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใหพ ลงั งานสูงสุดแตมีผลกระทบกับส่ิงแวดลอมนอยสุด ทั้งการออกแบบการคํานวณจะเนนศูนย์ขอมูลกลางสีเขียวรวมถึงเทคโนโลยี ขั้นสูงและดวยกลยทุ ธ์การออกแบบท่ีใชอ ปุ กรณท์ ีแ่ ผกระจายแสงไดนอยๆ อยางการปูพรม การออกแบบที่สนับสนุนสภาพแวดลอม และลดการส้ินเปลอื งโดยการนํากลับมาใชง านอกี เปน็ ตน 3. สภาพแวดล้อมท่ีได้รับผลกระทบจากการใช้งานระบบไอที เคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีใชงานอยูนี้กอใหเกิดปัญหาตอสภาพแวดลอม ซึ่งเมื่อใชงานอยูก็คงไมรบกวนโลกมาก แตพอเคร่ืองคอมพิวเตอร์หมดอายุการใชงานกลายเป็น “ขยะคอมพิวเตอร์” หรือ“ขยะอิเล็กทรอนิกส์” ซึ่งอุปกรณ์บางอยางก็ไมสามารถยอยสลายได กอมลพิษทางดานอากาศส่ิงแวดลอมใหแกโลกอีกดวย เพราะในสวนประกอบของเคร่ืองคอมพิวเตอร์นั้น ก็มีทั้งที่ประกอบไปดวย พลาสติก อะลูมิเนียม สังกะสี และอื่นๆ ปัจจุบันมีผูใชงานไดคิดประดิษฐ์นําเอาไมไผเขามาเป็นสวนประกอบกับอุปกรณ์เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เชน คีย์บอร์ด หนาจอมอนิเตอร์ เมาส์ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์โนตบุ฿ก เพ่ือลดปัญหาการยอยสลายของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงเราจะตองชวยกันใชเทคโนโลยีเพื่อเป็นมิตรกับส่ิงแวดลอม และภาวะโลกรอนที่กําลังทําลายสิ่งแวดลอมท่ีอยูรอบตัวเรากอใหเกิดปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติตามมา ซึ่งในอนาคตเราจะตองคํานึงถึงการใชพลังงานอยางมีประสิทธิภาพ (energy efficiency) ซึ่งการใชคอมพิวเตอร์เพื่อประมวลผลขอมูลจะตองคํานึงถึงการปลอยก฿าซคาร์บอนไดออกไซด์สูช้ันบรรยากาศ หรือรองรอยคาร์บอน (carbon footprint) จะเป็นเร่ืองทมี่ ีความสาํ คัญมากในอนาคต เม่ือความตอ งการดานพลังงานสูงขึ้น และประเทศตางๆ เร่ิมบังคับใชภาษีคาร์บอนโดยฝุายเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรจะตองเขามามีสวนในการรับภาระดานพลังงานนด้ี ว ยการปฏิรูปการทางานกับการใช้ข่าวสารบนฐานเทคโนโลยีในอนาคต การทํางานในอนาคตจะทําใหมีเกิดการเปล่ียนแปลงรูปแบบการทํางานเป็นอยางมาก คืออยูท่ีไหนก็สามารถทํางานได ทํางานไดทุกท่ีทุกเวลา (work anywhere, anytime by anyone) มีการทาํ งานท่ีมีการแขง ขันสูงในเวทโี ลก รวมถงึ เป็นงานที่ตองใช “ความรู” และ “ความคิดสรางสรรค์”เปน็ พ้ืนฐานในการทํางาน อีกทั้งจําเป็นตองใชเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเคร่ืองมือในการติดตอสื่อสารรวมถึงเป็น “อาวุธ” ที่สําคัญในการสรางความไดเปรียบในการแขงขันขององค์กร ในหัวขอน้ีจะอธิบายถึงการปฏิรูปการทํางานกับการใชขาวสารบนฐานเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต และการปรับตัวขององค์กรเพือ่ รองรับการเปลย่ี นแปลง ซ่งึ มรี ายละเอียดดังน้ี 1. การปฏริ ูปการทางานกับการใช้ขา่ วสารบนฐานเทคโนโลยสี ารสนเทศในอนาคต การปฏิรปู การทํางานกับการใชขาวสารบนฐานเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตจะทําใหองค์กรตางๆ เกดิ การเปลย่ี นแปลง ดงั นี้ 1.1 การปฏริ ูปรปู แบบการทํางานขององค์กร เทคโนโลยีสารสนเทศกอใหเกิดการปฏิรูปรูปแบบของการทํางาน เชน การใชเทคโนโลยีสารสนเทศสื่อสารกันในองค์กรดวย อีเมล์ กรุ฿ปแวร์(groupware) หรือแมแตกระท่ังเครือขายสังคมออนไลน์ อยางเฟซบุค ที่ทําใหการสงขอมูลขาวสารของพนักงานไมจําเป็นตองเดินหนังสืออีกตอไป ลดการใชกระดาษที่ตองพิมพ์ขาวสารแจก และสามารถสง ขอ มลู ขา วสารเป็นจาํ นวนมากไปถึงบุคคลที่ตองการไดอยางรวดเร็ว นอกจากนี้รูปแบบการ 216ทํางานแบบ “เวอร์ชวลออฟฟิศ” (virtual office) คือ สามารถทํางานได ไมวาจะอยู ณ ท่ีไหน เวลาใดก็ตาม ดวยอุปกรณ์ส่ือสารประเภทใดก็ไดท่ีสะดวกในการใชติดตอสื่อสาร (anywhere anytimeany device) โดยแนวโนมการทาํ งานจะเปล่ียนแปลงไปจากเดิมท่ีตองมีพื้นท่ีในสํานักงานใหพนักงานเขาไปน่ังประจําท่ีเพ่ือทํางาน (Work place) มาเป็นการทํางานจากท่ีใดก็ไดไมวาจะเป็นพื้นท่ีใดในออฟฟิศ หรือเป็นท่ีอื่นภายนอกออฟฟิศ ซึ่งสอดคลองกับนโยบายของภาครัฐท่ีสนับสนุนใหหนวยงานขาราชการทํางานที่บาน เพ่ือลดการใชพลังงาน ทําใหหลายองค์กรตระหนักถึงแนวคิด และวิธีการทํางานท่ีใหพนักงานทํางานจากที่บานผานระบบเครือขายอินเทอร์เน็ต หรือทีเรียกวา เวอร์ชวลออฟฟศิ ใหไดประสทิ ธิภาพเทียบเทา หรอื มากกวาการเขา มาทํางานในสาํ นักงาน 1.2 มีการจัดการเชิงกลยุทธ์ เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนํามาใชในการสนับสนุนการจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรเพ่ือสรางความไดเปรียบในการแขงขัน ซ่ึงในอนาคตการแขงขันแตละอุตสาหกรรมจะทวีความรุนแรงท้ังภายในประเทศและนอกประเทศ ซ่ึงมีผลกระทบตอการดําเนินธุรกิจเป็นอยางย่ิง องค์กรจะตองปรับตัวและอยูรอด (survival) รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแขงขันท่ีมุงเนนกันที่ความรวดเร็ว ความแมนยํา และทันตอเหตุการณ์ เพื่อสรางความไดเปรียบทางการแขง ขนั นอกจากนคี้ ูแขงขนั มีมากข้ึนไมจํากัดเฉพาะในประเทศเทาน้ัน แตคูแขงจากตางชาติมีศักยภาพสูงทั้งทางดานการเงินและเทคโนโลยีสมัยใหม ไดเขามาทาทายในเกือบทุกอุตสาหกรรมดังน้ันการบริหารจัดการองค์กรจึงจําเป็นตองเปลี่ยนรูปแบบ เพราะรูปแบบการบริหารแบบเดิมท่ีมุงเนนใหความสนใจเฉพาะการบริหารงานภายในองค์กร โดยมองขามไมสนใจตอสภาพแวดลอมภายนอกที่เปลี่ยนไป อาจจะทําใหเกิดอุปสรรคตอการดําเนินงานและลมเหลวในที่สุด ดังน้ันผูบริหารในยุคโลกภิวัฒน์จึงมีความจําเป็นท่ีจะตองทําความเขาใจเกี่ยวกับบริบทของส่ิงแวดลอมที่การเปล่ียนแปลงบูรณาการเขากับการจัดการเชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะอยางยิ่งการจัดการเทคโน โลยีสารสนเทศและระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ (Strategic Information Systems: SIS) ซึ่งเป็นอาวุธท่ีสาํ คัญในการสรา งความไดเ ปรยี บในการแขงขันใหกบั องค์กร 1.3 ใชเ ทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการทํางาน เพ่ือใหการทํางานคลองตัวและมปี ระสิทธภิ าพมากยิง่ ข้ึน เชน การใชร ะบบสารสนเทศตางๆ ในองค์กร ไมวาจะเป็นระบบประมวลผลรายการเปล่ียนแปลงขอมูล (Transaction Processing Systems :TPS) เป็นระบบสารสนเทศพ้ืนฐานขององค์กรทางธุรกิจท่ีใชสนับสนุนการทํางานของผูปฏิบัติการ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ (Management Information Systems: MIS) ท่ีใหบริการใหผูบริหารเพ่ือสนับสนุนการบริหารจัดการของผูบริหาร และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Systems: DSS)สนับสนุนการตัดสินใจของผูบริหาร เป็นตน จะเห็นไดวาเทคโนโลยีสารจะชวยเปล่ียนแปลงและปรับปรุงคุณภาพของการที่จํานะมาประยุกต์ใชหลายๆ ดาน ซ่ึงจะเป็นเครื่องมือชวยใหการทํางานมีประสิทธิภาพและลดคาใชจาย ซ่ึงแนนอนวาเทคโนโลยีสารสนเทศยังคงเป็นเครื่องมือที่สําคัญในการทาํ งานและเพมิ่ ความสําคญั มากข้ึนอยางตอเนอ่ื งในอนาคต 1.4) การใชเทคโนโลยีสารสนเทศสรางคุณคาใหกับองค์กรในอนาคตเทคโนโลยีสารสนเทศจะถูกนํามาใชเพื่อสรางคุณคา (value) ใหกับองค์กร เชน ใชในการสนับสนุนการทํางานเป็นทีมดวยการสือ่ สารผา นระบบเครือขายสังคมออนไลน์ท่ีเปิดโอกาสใหพนักงานสามารถแลกเปลี่ยน 217ความคิดเห็น ขอเสนอแนะ และความรูแกกันและกัน เพ่ือพัฒนาสินคาและบริการที่ตอบสนองความพึงพอใจแกล กู คาใหมากท่ีสุด เปน็ ตน 2. การปรบั ตวั ขององคก์ รเพ่ือรองรบั การเปลยี่ นแปลง ดังท่ีไดกลาวมาแลวในขางตนวาปัจจุบันความกาวหนาของเทคโนโลยีสารสนเทศไดมีบทบาท ท่ีสําคัญตอวิถีชีวิตและสังคมของมนุษย์ เทคโนโลยีสารสนเทศไดสรางการเปล่ียนแปลงและสรางโอกาสใหแกองค์กร เชน เปลี่ยนโครงสรางความสัมพันธ์และการแขงขันในอุตสาหกรรม ปรับโครงสรางการดําเนินงานขององค์กรเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบริการ เป็นตน เน่ืองจากเทคโนโลยีสารสนเทศกอใหเกดิ รปู แบบใหมใน การตดิ ตอ ส่อื สารและมปี ฏิสัมพันธ์ระหวางบุคคล ทําใหมกี ารพฒั นาและกระจายตัวของภมู ปิ ัญญา ซึง่ ตอ งอาศัยบุคคลท่ีมีความรูและความเขาใจในการใชงานเทคโนโลยีใหเกิดประโยชน์ ปัจจุบันองค์กรในประเทศไทยไดมีการตื่นตัวที่จะนําเทคโนโลยีเหลาน้ีมาใชง านมากขึ้น เพือ่ ท่จี ะทาํ ใหเราติดตามความเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีไดทัน และสามารถใชเทคโนโลยีใหเป็นประโยชนใ์ นการแขงขัน (แนวโนมของเทคโนโลยสี ารสนเทศ, 2555) การพัฒนาเทคโนโลยขี ององคก์ ารจะขึน้ อยกู ับผบู ริหารเป็นสําคัญ โดยท่ีผูบริหารองค์กรจะตองเตรียมความพรอมดงั ตอ ไปนี้ 2.1 ทําความเขาใจตอบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีตอธุรกิจปัจจุบัน เพ่ือใหสามารถนาํ ความรตู าง ๆ มาประยกุ ตใ์ ชกบั งานท่ีกําลงั ทําอยู เพ่ือเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการแขงขันขององค์การ เชน การใชเครือขายสังคมออนไลน์มาชวยในการสรางระบบลูกคาสัมพันธ์(Customer Relationship Management: CRM) เพื่อเป็นการรักษาลูกคาและสรางความจงรักภักดีขอลกู คาใหมตี อสนิ คาและบริการขององค์กร เปน็ ตน 2.2 วางแผนพัฒนาระบบสารสนเทศ เพื่อใหการดําเนินการสรางหรือพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กรภายใตงบประมาณและระยะเวลาท่ีกําหนดไว การวางแผนถอื เปน็ สิ่งท่สี ําคญั เพราะระบบสารสนเทศจะประกอบดว ยระบบยอ ยอื่น ๆ อีกมาก ซ่ึงจะตองสัมพันธ์กันและใชเวลาในการพัฒนาใหสมบูรณ์ และจําเป็นจะตองมีการจัดเตรียมโครงสรางพ้ืนฐานทางดานเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Infrastructure) ทจี่ าํ เปน็ เชน เครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์ ระบบเครอื ขา ย ใหมพี รอ มรองรับการใชการ 2.3 พัฒนาระบบสารสนเทศเก่ียวของกับการจัดการขอมูล หรือความรูขององค์กร นักวิเคราะห์ระบบและผูใชจะศึกษาหรือพิจารณาถึงขอมูลและขาวสารตาง ๆ ที่องค์กรตองการและใชในการดําเนินงานอยูเป็นประจํา เพ่ือที่จะทําการรวบรวม และจัดระเบียบเก็บไวในระบบสารสนเทศ และเม่ือมีความตองการขอมูล ก็สามารถเรียกออกมาใชไดทันที โดยการพัฒนาระบบตองใหความสําคัญกับภาพรวมและความสอดคลอง ในการใชงานสารสนเทศขององค์กรเป็นสําคัญ ทั้งนี้บางองค์กรจําเป็นตองพัฒนาระบบองค์ความรู (Knowledge Based Systems: KBS)เพอื่ จดั เก็บองค์ความรขู ององคก์ รสามารถใชเ ปน็ ฐานในการพัฒนาและสรา งนวตั กรรมใหมๆ ได 2.4 พฒั นาศักยภาพของบคุ ลากรดานเทคโนโลยีสารสนเทศ ใหมีความพรอมรองรับการเปลี่ยนแปลงทางดานเทคโนโลยี โดยอาจจะมีการตองมีการจัดการฝึกอบรมการใชระบบสารสนเทศหรือเทคโนโลยีใหมๆใหกับบุคลากรขององค์กร เพื่อใหสามารถใชเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรไดอยา งคมุ คา และเป็นประโยชนต์ อ การปฏบิ ตั ิงาน 218 โดยสรุปการปฏิรูปการทํางานกับขาวสารในอนาคตน้ัน ผูท่ีจะเป็นนักบริหารและนักวิชาชีพดานเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีประสบความสําเร็จจะตองไมเพียงแครูจักเทคโนโลยีสารสนเทศแตจะตองสามารถใชเทคโนโลยีสารสนเทศอยางมีประสิทธิภาพ และรูจักการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยผูบริหารในอนาคตจะตองรูจักการประยุกต์ใชเทคโนโลยีกับงานและองค์กรของตน มีความคิดในการที่จะสรางระบบสารสนเทศที่ตอบสนองความตองการขององค์กร เพื่อชวยในการตดั สนิ ใจในภาวะที่มีการแขงขนั สงู ทาํ ใหการบรหิ ารของตนเองมีประสิทธิภาพและประสบความสําเร็จอยา งสูง ขณะท่นี กั วชิ าชีพจะใชระบบสารสนเทศในการรวบรวมประมวลผล และจัดการขอมูลอยางมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการคนหาและตรวจสอบขอมูลจากแหลงตาง ๆ ผานระบบเครือขายอยางถกู ตองและรวดเร็วการปฏบิ ตั ิตนใหท้ ันต่อการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยสี ารสนเทศ โลกในอนาคตเป็นยุคแหงการเรียนรู ซึ่งขอมูลขาวสารทั่วทุกมุมโลกมีมากมายใหเราไดรับรูอยางรวดเร็ว งาย กระชับ ฉับไว จนตามแทบไมทัน การทํางานก็เชนกันมีความจําเป็นอยางยิ่งท่ีจะตองปรับตัว เรียนรูอยางรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นักศึกษาตองพัฒนาตัวเองใหเป็นบุคคลที่มีความรูและทักษะอยางเพียบพรอม มีความสามารถในการแกปัญหาพรอมเสมอที่จะรับขอมูลอยางชาญฉลาด รูเทาทันสถานการณ์ของโลกใบนี้ ดังนั้นนักศึกษาจําเป็นจะตองมีการเตรียมตัวและเตรียม“ทักษะ” เพื่อใหสามารถทํางานในกระแสโลกาภิวัฒน์ในศตวรรษท่ี 21 ได ซึ่งมีทักษะที่จําเป็นดังตอ ไปน้ี (เบลลันกา, 2554, หนา 34-35) 1. แนวคดิ สาคัญในศตวรรษที่ 21 แนวคิดสําคัญในศตวรรษท่ี 21 ท่ีนักศึกษาจําเป็นจะตองทราบและมีความรูพื้นฐานเหลา นเ้ี ปน็ พ้ืนฐานเพื่อใหส ามารถประกอบอาชพี ไดอยางมี “สมั มาชพี ” เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมและมีความสขุ ในชีวติ คอื 1.1 จิตสาํ นึกตอ โลก คอื ความรับผิดชอบตอสังคม สิ่งแวดลอมและโลกใบนี้ โดยจะตองมีความรูและมีแนวคิดในการดํารงชีวิตท่ีถูกตอง มีจิตสํานึกตอโลก มีคุณธรรมจริยธรรม มีจิตอาสารักษาส่ิงแวดลอม เป็นผูที่มีความรับผิดชอบตอตนเองและสังคม รวมถึงความสามารถที่จะตองเรียนรูและทาํ งานรวมกับคนจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย และสามารถส่อื สารดวยภาษาตา งประเทศได 1.2 ความรพู ้ืนฐานดา นการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเป็นผูประกอบการ คือ ทักษะใหมที่จําเป็น เน่ืองจากมีการเปลี่ยนแปลงอยางมากทางดานเศรษฐกิจ เชน จะตองมีการวางแผนการออมและการลงทนุ หลงั เกษียณ ของตนเอง วิกฤตการณ์ที่เพิ่งขึ้นในภาคธนาคาร ธุรกิจสินเชื่อและการจํานอง รวมถึงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจคร้ังใหญที่มีผลกระทบในหลายๆ ประเทศ เป็นการตอกย้ําความสําคัญของความรูความเขาใจวาพลังทางเศรษฐกิจมีผลตอชีวิตของผูคนมากมายเพียงใด การตัดสินผิดพลาดทางดานการเงินอาจจะสงผลกระทบตอคุณภาพชีวิตได ซึ่งในการทํางานนั้นจะตองเรียนรวู าจะปรับตัวและทาํ ประโยชน์ใหก ับองค์กรไดอยางไร และตองรูจักนําวิธีคิดแบบผูประกอบการมาใชในชีวิตเม่ือตระหนักถึงโอกาส ความเส่ียง และรางวัลแลว จะสามารถเพิ่มผลงาน เพิ่มทางเลือกในอาชีพ และจัดการกับสถานการณ์ที่เปลย่ี นแปลงไดอยางสขุ ุม 219 1.3 ความรูพ้ืนฐานดานพลเมือง คือ ความรูเกี่ยวกับกฎหมาย สิทธิและหนาที่ของการเปน็ พลเมืองทด่ี ี เพอ่ื ทจี่ ะไดป ฏิบัติตามสิทธิและหนาท่ีของตนเอง ไมละเมิดสิทธิของผูอ่ืนและไมขัดตอกฎหมายบานเมอื ง 1.4 ความรูพื้นฐานดานสุขภาพ คือ ความรูเก่ียวกับสุขอนามัยเพ่ือจะไดมีสุขภาพที่แข็งแรง ทําใหดําเนินชีวิตประจําวันไดอยางปกติสุข ซ่ึงควรมีความรูเก่ียวกับ การรับประทานอาหารการออกกาํ ลังกาย การมีอารมณท์ ่ีแจม ใสเบกิ บาน และการพักผอ นนอนหลบั เปน็ ตน 1.5 ความรูพ้ืนฐานดานสิ่งแวดลอม คือ ความรูพ้ืนฐานเก่ียวกับสิ่งแวดลอม ลักษณะภมู ิอากาศ ภูมปิ ระเทศ ภาวะโลกรอน ภยั พบิ ัตทิ างธรรมชาติ และการรักษาสง่ิ แวดลอม 2. ทกั ษะการเรยี นร้แู ละนวัตกรรม ทักษะการเรียนรูและนวัตกรรมเป็นพ้ืนฐานท่ีมีความจําเป็นในการทํางานในอนาคต ซ่ึงประกอบดวย 2.1 ความคิดสรางสรรค์และนวัตกรรม คือ การคิดนอกรอบ มีการใชจินตนาการสรางสรรค์นวัตกรรมข้ึนมา ตัวอยางท่ีเห็นไดอยางชัดเจน คือ สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ผูที่เป็น“ตาํ นาน” ของการใชค วามคิดสรางสรรคใ์ นการพัฒนานวตั กรรมของ Apple 2.2 การคิดเชิงวิพากษ์และการแกไขปัญหา คือ ความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์วิพากษ์ วิจารณ์ และสามารถคิดแกไขปญั หาตา งๆ ท่เี กดิ ขึน้ ได ซง่ึ ในอนาคตนกั ศกึ ษาจําเป็นท่ีจะตองมีทักษะการคิด หรือลักษณะจิต 5 ประการ (การ์ดเนอร์., 2554 หนา 60) ดังน้ี 1) จิตเช่ียวชาญ(discipline mind) 2) จิตสังเคราะห์ (synthesizing mind) 3) จิตสรางสรรค์ (creative mind) 4)จติ เคารพ (respect mind) และ5) จิตรจู ริยธรรม (ethical mind) ซึ่งทั้ง 5 ลักษณะจิตจําเป็นตองรับการฝึกฝนและขัดเกลาอยา งตอเนอ่ื ง 2.3 การสอื่ สารและการรวมมอื ทาํ งาน คือ ทักษะในการส่ือสาร ฟัง พูด อาน เขียน และการทํางานรว มกบั ผอู ่ืนไดอยางมปี ระสทิ ธภิ าพ 3. ทกั ษะดา้ นสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี ทักษะดา นสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยีน้ัน เป็นทักษะและความรูท่ีนักศึกษาจําเป็นท่ีจะตอ งฝึกฝนและเรยี นรู เพื่อใหมสี ามารถปฏบิ ัตติ นเพื่อรองรับตอการเปลี่ยนแปลงทางดานเทคโนโลยีในกระแสโลกาภวิ ฒั น์ ซ่งึ จําเปน็ ตองมี 3.1 ความรูพ้นื ฐานดา นสารสนเทศ คือ สามารถพัฒนา จัดเก็บ สืบคน และแพรกระจายสารสนเทศเพือ่ สนบั สนุนการทํางานและดําเนินชวี ติ ประจาํ วันไดอ ยา งมปี ระสทิ ธิภาพ 3.2 ความรูพื้นฐานดานส่ือ มีความรู ความเขาใจ และทักษะในการใชส่ือ ซ่ึงมีอยูมากมายในโลกปัจจุบัน และจะเพ่ิมมากข้ึนในโลกอนาคต ตองรูเทาทันสื่อ และใชสื่อเป็นเครื่องมือในการปฏบิ ัติงานได 3.3 ความรูพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เป็นทักษะที่สําคัญ ท่ีนักศกึ ษาจะตอ งมคี วามสามารถในการใชร ะบบคอมพวิ เตอร์ ระบบการสื่อสาร อยางถูกตอง และอยางชาญฉลาด 220 4. ทักษะชีวติ และการทางาน เปน็ ทักษะใหมทค่ี วามสําคัญในการดาํ รงชวี ติ อยางมคี วามสขุ ซึ่งประกอบดวย 4.1 ความยืดหยุนและความสามารถในการปรับตัว คือ สามารถยืดหยุนและปรับตัวไดในทุกสถานการณ์ ไมวาจะเป็นการปฏบิ ัตงิ าน หรือ ชีวิตประจาํ วนั 4.2 ความริเร่ิมและการช้ีนําตนเอง เป็นส่ิงท่ีมีความสําคัญเน่ืองจากเป็นทักษะที่ตองพัฒนาใหตัวเราสามารถดําเนินชีวิตไปในทางที่ถูกตอง ไมดําเนินชีวิตผิดธรรมนองคลองธรรม หรือจรยิ ธรรม รวมถึงกฎหมาย 4.3 ทักษะทางสังคมและการเรียนรูขามวัฒนธรรม เน่ืองจากในอนาคตการทํางานมิไดอยูเพียงแตภายในประเทศเทานั้น แตการทํางานในอนาคตจะเปิดกวางมากท้ังในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับโลก ดังน้ันนักศึกษาจําเป็นท่ีจะตองมีการฝึกฝนทักษะทางสังคม และการเรียนรูและทาํ งานขามวัฒนธรรมของตา งประเทศได 4.4 การเพ่ิมผลผลิตและความรูรับผิด คือ การใชเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือเพิ่มผลผลิตใหก บั องค์กร รวมถงึ การรบั ผดิ ชอบตอ ส่ิงที่ไดทาํ ขน้ึ 4.5 ความเป็นผูนําและความรับผิดชอบ ประการสุดทายคือ จะตองฝึกความเป็นผูนําและมคี วามรับชอบตอ หนาท่ีของตนเองท่ีไดร บั มอบหมาย และความรับผิดชอบตอสังคม โดยสรุปทักษะท่ีสําคัญในโลกอนาคตท่ีนักศึกษาจําเป็นตองมีการเตรียมตัวทั้ง 5 ทักษะ คือแนวคิดสําคัญในศตวรรษที่ 21 ทักษะการเรียนรูและนวัตกรรม ทักษะดานสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี และทักษะชีวิตและการทํางาน เพื่อจะไดเป็นพลเมืองท่ีดีและมีความสุขในชีวิตตอไปบนโลกใบน้ี 221สรุป ในโลกศตวรรษที่ 21 ซ่ึงเป็นโลกของโลกาภิวัฒน์ ที่มีการเปล่ียนแปลงความกาวหนาของเทคโนโลยีสารสนเทศอยางกาวกระโดด เทคโนโลยีสารสนเทศไดสรางการเปลี่ยนแปลงและสรางโอกาสใหแกองค์กร เน่ืองจากเทคโนโลยีสารสนเทศกอใหเกิดรูปแบบใหมในการติดตอสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ระหวางบุคคล ทําใหมีการพัฒนาและกระจายตัวของภูมิปัญญา ซึ่งตองอาศัยบุคคลท่ีมีความรูและความเขาใจในการใชงานเทคโนโลยีใหเกิดประโยชน์ ดังน้ันนักศึกษาจึงจําเป็นท่ีจะตองรูและสามารถพัฒนาทกั ษะการใชเ ทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตไดอ ยางมปี ระสิทธิภาพ กระแสโลกาภวิ ตั น์ทําใหม กี ารเปล่ยี นแปลงทางดา นเทคโนโลยีสารสนเทศ ซ่ึงในอนาคตจะมีการเปลย่ี นแปลงทางดา นเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมแบบกาวกระโดด ระบบคอมพิวเตอร์จะมีการใชเท็บเล็ตและสาร์ทโฟนมากขึ้น จะมีการใชซอฟต์แวร์แบบ SaaS และโมบายแอพพิเคช่ันมากขึ้น รวมถึงระบบคลาวด์คอมพิวต้ิง เครือขายสังคมออนไลน์ โซเซียลคอมเมิรซ์ กันอยางแพรหลายรวมถึงยังมีแนวโนมเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ ไดแก แนวโนมดานขอมูลที่ในอนาคตองค์กรจะพบกับบิ๊กดาตาหรือขอมูลมหาศาลท่ีจะตองมีการบริหารจัดการอยางมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ขอมูลธุรกิจ (BA) จะถูกนํามาใชเป็นเครื่องมือทางธุรกิจมากข้ึน รวมถึงแนวโนมกรีนไอทีท่ีจะตองคํานึงถึงการรักษาและเป็นมิตรกับส่ิงแวดลอม ความปลอดภัยและมาตรฐานดานเทคโนโลยีสารสนเทศ และสาร์ทซิตี้ท่ีจะพัฒนาใหเป็นจังหวัดอัจฉริยะ ท่ีใชเทคโนโลยีสารสนเทศยกระดับคุณภาพชีวิตของคนชมุ ชนใหด ขี น้ึ และนวตั กรรมดา นเทคโนโลยีสารสนเทศในอีก 5 ปขี า งหนา การใชเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตจําเป็นจะตองคํานึงถึงความรับผิดชอบตอสังคม ท้ังในระดับบุคคลและระดับองค์กร รวมถึงการใชเทคโนโลยีสารสนเทศที่คํานึงถึงสิ่งแวดลอม และผลกระทบของสภาพของสิง่ แวดลอมทจี่ ะไดรบั ผลกระทบจากการใชระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ การเปล่ียนแปลงทางดานเทคโนโลยีในอนาคตจึงทําใหเกิดการปฏิรูปการทํางานในอนาคตซึ่งจะเกิดรูปแบบใหมในการใชขาวสารบนฐานเทคโนโลยี และองค์กรจําเป็นตองมีการปรับตัวเพื่อรองรบั การเปลย่ี นแปลงท่จี ะเกดิ ขึน้ ประการสุดทาย การปฏิบัติตนใหทันตอการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตซง่ึ เป็นโลกของการเรียนรู ดงั น้ันจึงจําเป็นตองมีการพัฒนาทักษะท้ัง 5 ดาน คือ แนวคิดสําคัญในศตวรรษที่ 21 ทักษะการเรียนรูและนวัตกรรม ทักษะดานสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี และทกั ษะชวี ติ และการทาํ งาน เพื่อใหส ามารถปรบั ตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอนาคต สามารถใชเทคโนโลยสี ารสนเทศอยางชาญฉลาดและรูเทาทัน เพื่อเป็นเคร่ืองมือในการสรางความสําเร็จใหกับตนเอง และเปน็ เครื่องมอื ในการสรา งชยั ชนะในการแขงขนั ขององคก์ ร 222 คาถามทบทวน 1. จงอธิบายการเปล่ยี นแปลงของกระแสโลกาภวิ ตั น์ทเ่ี กิดข้ึนในศตวรรษที่ 21 2. จงอธบิ ายแนวโนม การใชร ะบบคอมพวิ เตอรใ์ นอนาคต 3. จงอธบิ ายแนวโนมระบบสื่อสารโทรคมนาคมในอนาคต 4. จงอธิบายแนวโนมดา นขอ มลู ในอนาคต 5. จงยกตวั พรอมอธิบายนวตั กรรมดา นเทคโนโลยีสารสนเทศในอกี 5 ปีขางหนามา 5ตัวอยาง 6. จงอธิบายความสาํ คญั ของการใชเ ทคโนโลยสี ารสนเทศกับความรับผิดชอบตอสังคมในอนาคต 7. จงอธิบายการทํางานกับการใชขา วสารบนฐานเทคโนโลยสี ารสนเทศในอนาคต 8. จงอธิบายแนวคิดสาํ คญั ในศตวรรษที่ 21 9. ทาํ อยางไรนักศึกษาจึงจะฝึกทักษะการเรยี นรแู ละนวตั กรรมได 10. ใหนักศึกษาอา นประวตั ิของสตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) และสรุปถึงแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมของเขา บรรณานกุ รมกองบรรณาธิการ. (2554). มอื ใหม่หัดใชอ้ ินเทอร์เน็ต ฉบับสมบรู ณ์ สาหรับปี 2012-2013. กรงุ เทพฯ: โปรวชิ ั่น.---. ( 2553). มอื ใหม่หัดใช้อนิ เทอรเ์ นต็ ฉบบั สมบูรณ์ สาหรบั ปี 2510-2511. กรุงเทพฯ: โปรวิชน่ั .---. (2554). Blue Social Network. กรุงเทพฯ: เลิฟ แอนด์ ลิฟ.กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมัน่ คง. (2555). สืบคน 5 มีนาคม 2555 จาก http://www.m-society.go.th.กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม. (2555). สบื คน 1 มีนาคม 2555 จาก http://www.warehouse.mnre.go.th/mnre.กระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร (2555). สืบคน 1 มีนาคม 2555 จาก http://www.mict.go.th/main.php?filename=index.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร. (2551). การใช้งานอนิ เทอร์เน็ตสาหรับผเู้ รมิ่ ตน้ . กรงุ เทพฯ: โครงการอบรมเพ่ือการสงเสรมิ และพัฒนาการใช ICT ณ ศนู ย์การเรียนรู ICT ชุมชน.กวรี ตั น์ เพ็งแจม . (2555). Wireless LAN Technology อิสระแหง่ การเชื่อมโยง อสิ ระไปกับโลกไร้ สาย. สืบคน 15 เมษายน 2555 จาก http://www.buycoms.com/upload/coverstory/121/Wireless.html.กติ ิมา เพชรทรพั ย์. (2555). Network Technology. สบื คน 30 เมษายน 2555 จาก http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/tech04/20/wireless/n05. html.กลมุ งานเทคนคิ และระบบเครือขา ย. (2555). งานบรกิ าร. สืบคน 15 เมษายน 2555 จาก http://network.dusit.ac.th/mainคุณากร คจั ฉวัฒนา. (2554). Next Technologies 2012. eLeader, (22) ธันวาคม, 46-54.โครงการสารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั . สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน เล่มท่ี 16. (2555). สบื คน 25 มกราคม 2555 จาก http://kanchanapisek.or.th/kp6/New/sub/book/book.php?page=main&book =16.จตุชัย แพงจันทร์ และอนโุ ชต วฒุ ิพรพงษ์. (2551). เจาะระบบ Network. (พมิ พค์ รั้งท่ี 2). นนทบรุ ี: ไอดซี ี อินโฟ ดสิ ทริบวิ เตอร์ เซ็นเตอร์.จริยธรรมในสังคมสารสนเทศ. (2551). สืบคน 27 พฤษภาคม 2551 จาก http://sukane.blogth.com.ชนวฒั น์ โกญจนาวรรณ. (2550). การจดั การสารสนเทศสาหรับผู้นาองคก์ รและผบู้ รหิ าร. กรุงเทพฯ: เอ็กซเปอรเ์ น็ท. 224ชัชวาลย์ วงษป์ ระเสริฐ. (2548). การจัดการความรใู้ นองค์กรธุรกจิ . กรุงเทพฯ: เอ็กซเปอร์เน็ท.ซี เอส ล็อกซอินโฟ. (2551). กฎหมายคอมพฉ์ บับนกั ไอที. กรงุ เทพฯ: ซี เอส ลอ็ กซอินโฟ.ชูเกียรติ ต้ังคุณสมบัติ. (2549). การพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้เพ่ือเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน ในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามนโยบายภาครัฐ. ดุษฎนี ิพนธ์ หลกั สูตรรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนดสุ ิต.ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ และไพบูลย์ เกียรติโกมล. (2551). การวิเคราะห์และออกแบบระบบ สารสนเทศ. กรงุ เทพฯ: ซีเอด็ ยเู คช่ัน.ณัฐกร สงคราม. (2553). การออกแบบและพัฒนามัลตมิ เี ดียเพื่อการเรียนรู้. กรงุ เทพฯ: สาํ นักพิมพ์ แหง จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.ณัฐพร มักอดุ มลาภ. (2554). คู่มือเรียนรู้และใช้งานอนิ เทอร์เน็ตเบือ้ งต้น. นนทบุรี: ไอดซี ฯี .ณาตยา ฉาบนาค. (2548). ระบบสารสนเทศเพอื่ การส่ือสาร. กรุงเทพฯ: เอส.พ.ี ซี. บ฿คุ ส์.ดวงพร เก๋ียงคาํ . (2551). คูม่ ือการสร้างเว็บไซท์ด้วยตนเอง. (พมิ พค์ ร้ังท่ี 3). กรงุ เทพฯ: โปรวิชน่ั .ดารณี พิมพ์ชางทอง. (2552). ระบบสารสนเทศในองค์กร. กรงุ เทพฯ: ทรปิ เพล้ิ กร฿ุป.เดลนิ ิวสอ์ อนไลน์. (2553). “สอ่ื ใหม่” บนสนามข่าว. สบื คน 13 กรกฎาคม 2553 จาก http://www.dailynews.co.th.ทวีศักดิ์ กาญจนสุวรรณ. (2552). เทคโนโลยมี ลั ตมิ เี ดีย: Multimedia Technology. กรุงเทพฯ: เคทีพี คอมพ์ แอนด์ คอนซลั ท.์ทิศทางเทรนด์ผบู้ ริโภคปี 2011จะไปทางไหนดี. (2554). สบื คน 5 มีนาคม 2555 จาก www.softbizplus.com/it/932-hot-trends-2011.เทคโนโลยี Wi-Fi. (2553). สบื คน 15 ธันวาคม 2554 จาก http://fluck14.wordpress.com.ไทยก฿อฟดอ็ ทเน็ต. (2555). ตัวอยา่ งไซตท์ า่ ของเวบ็ ไซตไ์ ทยก๊อฟด็อทเน็ต. สบื คน 23 กมุ ภาพนั ธ์ 2555 จาก http://www.thaigov.net.ธนกร หวงั พพิ ฒั นว์ งศ์, อานนท์ ไกรเสวกวิสัย และ สราวธุ ิ ราษฎรน์ ิยม. (2553). ระบบคน้ หา รูปภาพโดยใชห้ ลักการเวบ็ เชงิ ความหมาย. กรงุ เทพฯ: สาํ นักงานคณะกรรมการ การอดุ มศกึ ษา.นาตยา คชนิ ทร. (30 ธนั วาคม 2554). เกาะแนวโนม เทคโนโลยี 2555 ‘แทบ็ เลบ็ อลั ตราบ฿ุกและ คลาวด์’. เดลนิ ิวส์, หนา 10.นา้ํ ทพิ ย์ วิภาวิน และ นงเยาว์ เปรมกมลเนตร. (2551). นวตั กรรมห้องสมดุ และการจัดการความรู้. กรุงเทพฯ: ซเี อที โซลชู ั่น.เนคเทค. (2555). Semantic KM. สบื คน 23 กุมภาพนั ธ์ 2555 จาก http://text.hlt.nectec.or.th/ontology/content/what-is-semantic-km.แนวโน้มของเทคโนโลยสี ารสนเทศ. (2555). สืบคน 5 มนี าคม 2555. จาก http://www.bcoms.net/temp/lesson12.asp.บดินทร์ วจิ ารณ์. (2550). การจัดการความรู้ สู่...ปัญญาปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: เอ็กซเปอร์เน็ท.บญุ ดี บญุ ญากิจ และคณะ. (2549). การจัดการความรทู้ างทฤษฏสี ูก่ ารปฏบิ ตั ิ. กรงุ เทพฯ: สถาบัน เพิม่ ผลผลติ แหงชาติ. 225บุญญลักษม์ ตํานานจิตร. (2553). ระบบการจัดการองค์ความรู้. (พิมพ์คร้ังที่2). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดสุ ิต.ประดิษฐ์ ภิญโญภาสกลุ . (2555). Virtual Office และ Teleworking บนอินเทอร์เน็ต. สืบคน 5 มีนาคม 2555 จาก http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/network/ virtual_off.html.ปริศนา มัชฌิมา. (2552). การสบื คน้ สารสนเทศขน้ั สูง. (พิมพค์ รั้งที่ 3). กรงุ เทพฯ: ศนู ยห์ นังสือ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนดสุ ิต.----. (2554). เอกสารประกอบการสอน การจัดการฐานข้อมูลเบื้องตน้ . (พิมพ์ครัง้ ท่ี 3). กรุงเทพฯ: เอ็ม แอนด์ เอ็ม เลเซอรพ์ ริน้ ต์.ปิยพร เชีย่ วชูศกั ด.์ิ (2554). ทอ่ งโลกออนไลน์ ดู ช็อป แชท ครบวงจร. กรุงเทพฯ: สวัสดี ไอท.ีฝุายผลิตหนังสือตําราวชิ าการคอมพวิ เตอร์. (2551). การสือ่ สารข้อมลู และเครือขา่ ย. กรุงเทพฯ: ซเี อด็ ยูเคชน่ั .----. (2550). ระบบเครอื ขา่ ยเบอ้ื งตน้ . กรงุ เทพฯ: ซเี อ็ดยูเคชนั่ .พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ. (2553). ระบบไอซที แี ละการจัดการยุคใหม่. กรงุ เทพฯ: วติ ต้กี รปุ .พรรณี สวนเพลง. (2552). เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมสาหรับการจัดการความรู้. กรุงเทพฯ: ซเี อ็ดยเู คชัน่ .พนิดา ตันศริ ิ. (2554). เว็บเชงิ ความหมายของเวบ็ 3.0. Executive Journal, 5(2), 48-55.พนิดา พานชิ กลุ . (2553). เทคโนโลยสี ารสนเทศ. กรุงเทพฯ: เคทพี ี คอมพ์ แอนด์ คอนซัลท์.พุฒ กอนทอง. (2550). ระบบสื่อสารข้อมลู และเครือข่ายคอมพวิ เตอร์. สบื คน 25 เมษายน 2555 จาก http://www.cnt.obec.go.th/huaikrot/network.พิศาล พิทยาธุรวิวัฒน์. (2551). ติดต้ังระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ Intranet/Internet ฉบบั ผูเ้ ริม่ ตน้ . กรงุ เทพฯ: ซเี อด็ ยูเคช่ัน.พสิ ษิ ฐ์ ชาญเกยี รติกอง. (2550). การออกแบบโครงข่ายคอมพวิ เตอร์. ปทุมธาน:ี มหาวทิ ยาลยั รงั สิต.ภาวุธ พงษวทิ ยภานุ และ สธุ น โรจนอ์ นสุ รณ์. (2551). e-Marketing เจาะเทคนคิ การตลาด ออนไลน์. กรงุ เทพฯ: ตลาด ดอท คอม.ภิเษก ชัยนิรนั ดร.์ (2555). กลยทุ ธ์การตลาด Social Media. กรงุ เทพฯ: ซีเอ็ดยเู คชั่น.--. (2553). การตลาดแนวใหม่ ผา่ น Social Media. กรงุ เทพฯ: ซีเอด็ ยเู คชั่น.--. (2552). Marketing Click: กลเม็ดเคล็ดลับกับการตลาดออนไลน์. กรุงเทพฯ: ซีเอด็ ยูเคช่ัน.มหาวิทยาลัยมหิดล. (2547). พระไตรปฏิ กฉบับคอมพิวเตอร์บน Internet. สบื คน 25 มกราคม 2555 จาก http://budsir.mahidol.ac.th.มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนดุสติ . (2555). อนิ ทราเนต็ ของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนดุสติ . สบื คน 23 กมุ ภาพันธ์ 2555 จาก http://intranet.dusit.ac.th/index.php.มารยาท โยทองยศ. (2554). การสืบคน้ ข้อมลู สารสนเทศผา่ นเครอื ขา่ ยอินเทอร์เนต็ เพ่ือการวิจัย. สืบคน 20 ธนั วาคม 2554 จาก http://research.bu.ac.th/news/f_list/news388/1.pdf. 226ยุทธนา แซเตียว. (2547). การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ : สร้างองค์กร อัจฉรยิ ะ. กรุงเทพฯ: สถาบันเพ่ิมผลผลิตแหง ชาติ.รอฮมี ปรามาส. (2554). โลกเครอื ข่าย: อนาคตของอินเทอร์เน็ต. กรุงเทพฯ: โฟสต์บุ฿กส.์ระบบคน้ หาขอ้ มูลด้วยเสียง. (2554). สืบคน 20 ธนั วาคม 2554 จาก http://www.aspirecreation. com/blog/google-voice-search.ราชบัณฑิตยสถาน. (2554). เครือข่ายสังคมออนไลน์. สบื คน 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2555 จาก http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=4357.--. (2542). พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542. สบื คน 5 ตลุ าคม 2554 จาก http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp.รินรดา โยธาปาน และอรสมุ น ศานตวิ งศส์ กลุ . (2555). การสือสารขอ้ มูล. สืบคน 15 เมษายน 2555 จาก http://www.student.chula.ac.th/~49438788/__3.html.วรพจน์ วงศ์กิจรงุ เรือง และ อธิป จติ ตฤกษ.์ (2554). ทกั ษะแห่งอนาคตใหม่: การศึกษาเพือ่ ศตวรรษท่ี 21. กรุงเทพฯ: โอเพน เวิลดส์ .วิกพิ ีเดียสารานกุ รมเสรี. (2554). เครอื ข่ายสงั คมออนไลน์. สบื คน 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2555 จาก http://th.wikipedia.org.วิจารณ์ พานิช. (2555). ตัวอย่างเว็บไซต์ทใ่ี ชส้ ถาปัตยกรรมระบบการจดั การความรู้. สืบคน 23 กุมภาพันธ์ 2555 จาก http://www.gotoknow.org/blogs/posts/479712.วิเชียร เปรมชัยสวัสด์ิ. (2551). ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ. กรุงเทพฯ: สมาคมสงเสริม เทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุน).วิบลู ย์ พฤกษย์ นิ ดี. (2553). แนะนําหนังสือ Semantic Web Programming. วารสารรม่ พฤกษ์, 28(1), 169-187.ศิริพร กนกชัยสกลุ . (2553). เครือขา่ ยสงั คมออนไลน์ (Social Networking Website). สืบคน 5 กุมภาพันธ์ 2555 จากhttp://www.bu.ac.th/knowledgecenter/executive_ journal/jan_mar_10/pdf/2 9-32.pdf.ศรีไพร ศกั ดิ์รุงพงศากลุ . (2551). ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีการจดั การความรู้. กรงุ เทพฯ: ซีเอด็ ยเู คชั่น.ศภุ ชยั ตัง้ วงศศ์ านต.์ (2551). ระบบการจัดเกบ็ และการสืบค้นสารสนเทศดว้ ยคอมพิวเตอร์. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์พิทักษ์การพิมพ.์ศนู ย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร. (2555). โปรแกรมระบบงาน. สืบคน 28 กุมภาพนั ธ์ 2555 จาก http://ict.moph.go.th.ศนู ยเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร. (2552). แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่อื สารสานักงานปลัดกระทรวงและสานกั งานรัฐมนตรี พ.ศ. 2552-2556. สืบคน 30 มกราคม 2555 จาก http://www.m-culture.go.th/it/ckfinder/ userfiles/ files/srm4.pdf.ศนู ย์เทคโนโลยอี ิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แหง ชาติ. (2554). เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์. สบื คน 10 ธันวาคม 2554 จาก http://elearning.nectec.or.th. 227ศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยกี ารศึกษา. (2553). แนวโนม้ การจัดการเรียนการสอนยุค 2011. นครราชสมี า: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยสี ุรนาร.ีศูนยป์ ระสานงานการรักษาความปลอดภยั คอมพวิ เตอร์ ประเทศไทย. (2551). แนวโน้มด้านความ ปลอดภัยในอนาคต. สืบคน 27 พฤษภาคม 2551 จาก http://thaicert.nectec.or.th/ paper/basic/SANS.Trend.pdf.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ. (2553). สังคมเครอื ขา่ ย (social Network) ตอนที่ 2. สบื คน 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2555 จาก http://www.vcharkarn.com/varticle/41454.สขุ ุม เฉลยทรพั ย์และคณะ. (2551). เทคโนโลยีสารสนเทศ. (พิมพ์คร้ังที่ 6). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนดสุ ิต.สุชาดา นภิ านันท์. (2551). การจัดการความรขู้ องนักศกึ ษามหาวิทยาลัยราชภฏั สวนดุสิต. สบื คน 23 กุมภาพนั ธ์ 2555 จาก http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=6716.20;wap2.สุธี พงศาสกุล และ ณรงค์ ลํา่ ด.ี (2551). เวบ็ เทคโนโลยี. กรงุ เทพฯ: เคทพี ี คอมพ์ แอนด์คอนซัลท์.สวุ ิช ถริ ะโคตร. (2554). เวบ็ ไซต:์ ทฤษฎแี ละหลกั การ. มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.สาํ นักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์. (2554). โครงการหลักของสานกั งานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องคก์ ารมหาชน). สบื คน 28 กมุ ภาพันธ์ 2555 จาก http://www.ega.or.th/Content.aspx?m_id=61.สาํ นกั เทคโนโลยเี พ่ือการเรยี นการสอน สํานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน. (2554). e-book คืออะไร. สบื คน 23 พฤศจิกายน 2554 จาก http://210.246.188.51.สาํ นกั วทิ ยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนดุสิต. (2554). ฐานข้อมูล ออนไลน์. สบื คน 23 ธนั วาคม 2554 จาก http://arit.dusit.ac.th/database.php.อรรถกร เกงพล. (2548). ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ: Management information systems. กรุงเทพฯ: เจเนซสิ มเี ดียคอม.อตริ ฒุ ม์ โตทวีแสนสุข. (2552). Mobile App สายพันธไุ์ ทย. สืบคน 13 กรกฎาคม 2553 จาก http://www.marketinggoops.com/news/tech-mobile/thai-application.อัมรินทร์ เพ็ชรกุล. (2553). อนิ เทอรเ์ นต็ ฉบบั สมบูรณ์. กรุงเทพฯ: ซิมพลิฟาย.อิทธพิ ล ปรีตปิ ระสงค์. (2552). ประเภทของเครือข่ายสงั คมออนไลน์. สืบคน 5 กมุ ภาพันธ์ 2555 จาก http://www.gotoknow.org/blogs/posts/288469.โอภาส เอ่ียมสริ วิ งศ์. (2554). ระบบสารสนเทศเพื่อการจดั การ. กรุงเทพฯ: ซีเอด็ ยเู คช่นั .Aitken, R. (2010). Building for the future with virtual learning. Strategic HR Review. 9, 29-34.Architecture of cloud computing. (2010). Retrieved March 5, 2012, from http://myreportmsit24ite612.blogspot.com/2010/10/architecture-of-cloud- computing_05.html. 228Armbrust, M. et al. (2009). Above the Clouds: A Berkeley View of Cloud Computing. Retrieved February 10, 2012, from http://x-integrate.de/x-in- cms.nsf/id/DE_Von_Regenmachen_und_Wolkenbruechen_Impace_2009_ Nachlese/$file/abovetheclounds.pdf.Beynon-Davies P. (2007). Models for e-government. Transforming Government: People, Process and Policy. 1,7-28.Business Pundit. (2010). 25 Most Promising New Products for 2010. Retrieved February 26, 2012, from http://www.businesspundit.com/25-most- promising-new-products-for-2010.Cleveland, C. (2011). Cleveland Clinic Unveils Top 10 Medical Innovation for 2011. Retrieved January 30, 2012, from http://my.clevelandclinic.org/ media_relations/cleveland-clinic-unveils-top-10-medical-innovations-for- 2011.aspx.Computer maintenance tips. (2012). Retrieved December 5, 2011, from http://www.infohq.com/Computer/computer_maintenance_tip.htm.Craiq. (2011). Mobile web is more important than apps for business communication. Retrieved March 5, 2012, from http://craigpearce.info/ marketing/mobile-web-is-more-important-than-apps-for-business- communication.Dean, M. (2012). What Is a Virtual Classroom?. Retrieved February 26, 2012, from http://www.ehow.com/about_5476106_virtual-classroom.html.Hatua, S. R. (2006). E-Journal. Retrieved November 20, 2006, from http://www.geocities.com/sudiphatua/ejn.html.iMarketing team. (2011). iMarketing 10.0. Bangkok: Pro-vision.Innetrex. (2012). Wireless installation. Retrieved April 30, 2512, from http://www.innetrex.com/wireless_install.php.Inhabitat. (2012). Retrieved March 5, 2012, from http://inhabitat.com/university- of-leicester-unveils-green-alice-supercomputer.Jarvis. (2009). Augmented reality technology and communication. Retrieved March 5, 2012, from http://www.zonkio.com/augmented-reality- technology-and-communication_1700.html.Laudon, K.C. & Laudon, J.P. (2000). Management information system. (6th ed). Upper Saddle Rever, New Jersey: Prentice Hall.Male, G. & Pattison, C. (2011). Enhancing the quality of e-learning through mobile technology. Campus-Wide Information Systems. 28, 331-344. 229McQuerry S. (2512). Network World. Retrieved April 29, 2512, from http://www.networkworld.com/redesign08/subnets/cisco/053008-ch1-ccna- prep-library.html?page=10.NECTEC's IPv6 Testbed. (2011). IPv6. Retrieved January 20, 2555, from http://www.ipv6.nectec.or.th.Omar, A., Kalulu, D., & Belmasrour, R. (2011). Enhanced instruction: the future of e-learning. International Journal of Education Research. 6, 21-37.Online Market Trend. (2012). Retrieved March 5, 2012, from http://www.onlinem arketing-trends.com/2012/03/27-media-time-consumed-by-mobile.htmlO’Sullivan, D. & Dooley, L. (2009). Applying Innovation. Thousand Oaks: SAGE.Pizza company facebook. (2555). Retrieved March 5, 2012, from http://th-th. facebook.com/thepizzacompany.Puangpronpitag S. (2003). Design and Performance Evaluation of Multicast Congestion Control for the Internet. LEEDS: School of Computing. University of Leeds. Retrieve April,15, 2012 from http://4glory.exteen.com/20070118/communication-modesRadar, N. & Nova, S. (2007). Web Technology. Retrieved January 13, 2011, from www.radarnetworks.com.Sah, R. (2011). 5 Trends in Software Development for 2012. Retrieved February, 3 2012 from http://pcquest.ciol.com/content/Developer/2011/111110102.asp.Sheehan, M. (2009). Peer-to-Peer is NOT “Cloud Computing” But… . Retrieved April 29, 2512, from http://blog.gogrid.com/2009/05/07/peer-to-peer-is- not-cloud-computing-but%e2%80%a6/.Shutterstock. (2012). Retrieved March 5, 2012, from http://www.shutterstock.com/ pic-55093723/stock-vector-green-computer.htmlSmith, D. (2006). Exploring Innovation. Berkshire: McGraw-Hill.Snowden, D., (2003). การบรรยายในการสัมมนาเรื่อง “การจัดการความรู้: สู่วงจร คุณภาพท่ีเพิ่มพูน”. จัดโดยสํานักมาตรฐานอุดมศึกษา ทบวงมหาวิทยาลัย เม่ือวันท่ี 22 พฤษภาคม 2546 ณ โรงแรมสยามซิต้ี กรงุ เทพฯ.Technology-p3. (2555). เทคโนโลยีกับการพฒั นา. สืบคน 5 มนี าคม 2555 จาก http://technology-p3.blogspot.com/2011/10/green-technology.htmlTouchphoneview. (2512). QR Code. Retrieved March 5, 2512, from http://www.touchphoneview.com/news/qr-code.Tsai, A. (2011). A hybrid e-learning model incorporating some of the principal learning theories. Social Behavior and Personality. 39, 145-152. 230Web 3.0. (2010). Retrieved January 15, 2511, from http://www.mkttwit.com.Wikipedia. (2512). HTML 5. Retrieved March 5, 2512, from th.wikipedia.org/wiki/HTML5Williams, B.K., Sawyer, S.C. & Hutchinson, S.E. (1999). Using information technology: A practical introduction to computers & communications. (3rd ed). Boston: Irwin/McGraw-Hill.42u. (2012). Green Data Center. Retrieved March 5, 2012, from http://www.42u.com/datacenter-solutions.htm เทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไรจงอธิบายพร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) หมายถึง การนำวิทยาการที่ก้าวหน้าทางด้านคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสารสนเทศ ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 1) ระบบเอทีเอ็ม เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกสบาย ให้แก่ ขั้นตอนของการจัดการสารสนเทศมีอะไรบ้างการจัดให้มีระบบสารสนเทศที่ดีในสถานศึกษานั้น ต้องเป็นไปตามกระบวนการหรือขั้นตอนที่มีคุณภาพ ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยทั่วไปการจัดระบบสารสนเทศ มีขั้นตอนการดำเนินงานหลัก ๆ จำนวน ๕ ขั้นตอน คือ ๑) การรวบรวมข้อมูล ๒) การตรวจสอบข้อมูล ๓) การประมวลผลข้อมูล๔)การนำเสนอข้อมูลและสารสนเทศ และ ๕) การจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศ ซึ่ง ... เทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไรเทคโนโลยีสารสนเทศ คือ การใช้งานเทคโนโลยี เช่นใช้คอมพิวเตอร์เพื่อจัดการเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ จัดเก็บประมวลผล หรือเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบต่างๆ เช่นข้อความ รูปภาพ เสียง วีดีโอ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เทคโนโลยีสารสนเทศมีทั้งประโยชน์และโทษ จึงต้องศึกษาเพื่อให้ใช้งานได้อย่างเท่าทันและปลอดภัยซึ่งมีดังนี้ ประเภทของเทคโนโลยีสารสนเทศ มีกี่ประเภท อะไรบ้าง1. เทคโนโลยีระดับพื้นบ้าน 2. เทคโนโลยีระดับกลาง 3. เทคโนโลยีระดับสูง สรุป 3 ระดับ ระดับของเทคโนโลยี3 ระดับ |