วันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นวันสำคัญสำหรับการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย เพราะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ Show ในวันนั้นคณะราษฎรได้นำกำลังทหารและพลเรือนเข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน ในขณะนั้นรัชกาลที่ 7 ได้เสด็จแปรพระราชฐานประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คณะผู้ยึดอำนาจที่มี พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้า ได้ตั้งคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารที่มีนายทหารระดับนายพันเอก 3 คนคือ พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาทรงสุรเดช และพระยาฤทธิอัคเนย์ เมื่อสามารถระดมกำลังทหารมาชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าได้เป็นจำนวนมากจากหลายกองพันในกรุงเทพฯ จึงประกาศแถลงการณ์ของคณะราษฎรถึงเหตุและความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตลอดจนกุมตัวพระบรมวงศานุวงศ์และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของรัฐบาลมาไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมแล้ว คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารก็ได้มีหนังสือ และส่ง นาวาตรี หลวงศุภชลาศัย ไปยังพระราชวังไกลกังวล กราบบังคมทูลอัญเชิญรัชกาลที่ 7 เสด็จกลับพระนคร ดังมีความสำคัญว่า “คณะราษฎรไม่ประสงค์จะแย่งราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันยิ่งใหญ่ก็เพื่อที่จะมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จึงขอเชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกลับคืนสู่พระนคร ทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปโดยอยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน” วันรุ่งขึ้น 25 มิถุนายน 2475 รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร มีความตอนหนึ่งว่า “…คณะทหารมีความปรารถนาจะเชิญให้ข้าพเจ้ากลับพระนครเป็นกษัตริย์อยู่ใต้พระธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ข้าพเจ้าเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร์ ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อกัน ทั้งเพื่อจัดการโดยละม่อม ไม่ให้ขึ้นชื่อว่าได้จลาจลเสียหายแก่บ้านเมือง และความจริงข้าพเจ้าได้คิดอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนแปลงทำนองนี้ คือมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองตามพระธรรมนูญ จึงยอมรับที่จะช่วยเป็นตัวเชิดเพื่อให้คุมโครงการตั้งรัฐบาลให้เป็นรูปวิธีเปลี่ยนแปลงตั้งพระธรรมนูญโดยสะดวก” ในคืนวันที่ 25 มิถุนายน 2475 รัชกาลที่ 7 เสด็จกลับพระนครโดยรถไฟพระที่นั่งที่ทางคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารส่งไปรับ และในวันที่ 26 มิถุนายน 2475 ให้บุคคลสำคัญของคณะราษฎรเข้าเฝ้าฯ และพระองค์ได้ทรงลงพระปรมาธิปไธยพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่คณะผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน ต่อมาในวันที่ 27 มิถุนายน 2475 รัชกาลที่ 7 ได้พระราชทานพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ซึ่งเดิมทีคณะผู้ก่อการตั้งใจจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับถาวร 24 มิถุนายน 2475 คือวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย เรารู้และจำมาแบบนั้น แต่หากถามรายละเอียด มูลเหตุ การเมืองที่เปลี่ยนแปลง สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป 24 มิถุนายน 2475 มีความสำคัญอย่างไร คณะราษฎรคือใคร และมรดกจากวันนั้นมันใช่ประชาธิปไตยในวันนี้หรือเปล่า เคยมีการทดลองนำคำถามข้างต้นไปตั้งเป็นปุจฉาหาคำตอบ ประโยคที่ได้กลับมามีหลากหลาย บ้างรู้และเข้าใจในบางจิ๊กซอว์ คนรุ่นใหญ่จำนวนไม่น้อยส่ายหัว และ “ไม่รู้เหมือนกัน” คือบางคำตอบจากคนรุ่นหลัง ข้อปรามาสตกอยู่ที่การศึกษา เราเรียนเราสอนกันแบบไหน ถึงทำให้เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ตกแม่น้ำเจ้าพระยาพัดพาลอยออกทะเล ถ้าเป็นอย่างนี้ การศึกษาสมัยใหม่สอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กันอย่างไร ด้วยความสงสัย เราจึงต้องลงทุนขุดค้นหนังสือเรียนมัธยมหาข้อเท็จจริงว่า ‘24 มิถุนา 2475’ ถูกบรรจุอยู่ในวรรคตอนไหน แล้วก็พบว่า ‘24 มิถุนา 2475’ มีอยู่จริงในหนังสือเรียน อนึ่ง ประวัติศาสตร์ไม่ใช่วิชาสำเร็จรูปที่มีตำราหรือชุดความคิดใดผูกขาดความถูกต้องไว้ทั้งหมด การศึกษาที่มาที่ไปของทุกอย่างควรใช้ข้อมูลรอบด้าน หนังสือเรียนอาจไม่ได้มีลักษณะผูกขาด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือเนื้อหาสำเร็จรูปของไทยที่อยู่ใกล้มือเด็กมากที่สุด หนังสือเรียนมัธยมวิชาสังคมบอกเล่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นั้นเอาไว้หลายมุมมอง ขึ้นอยู่กับหลักสูตร สำนักพิมพ์ คณะผู้เขียน นี่จึงเป็นการรวบรวมส่วนหนึ่งของวันอภิวัฒน์สยาม ‘ประเทศไทย’ เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 จากตำรามัธยมวิชาสังคมศึกษาโดยสังเขป เพื่อให้เห็นภาพกว้างของการศึกษาไทยที่สะท้อนอยู่ในสังคมว่า ข้ออ้าง “ไม่รู้ ไม่เคยเรียนมา ในตำราไม่มีสอน” มันใช้ได้จริงหรือ สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองประวัติศาสตร์ ม.3 ผู้เขียน รศ.ดร.ไพฑูรย์ มีกุศล และคณะหนังสือเรียนชั้นมัธยม 3 สรุปสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองไว้ว่า เกิดจากเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องจากรัชสมัยรัชกาลที่ 6 และสืบเนื่องจากแนวคิดการส่งนักเรียนไปศึกษาต่อในต่างประเทศในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อนักเรียนเหล่านี้กลับมา ‘ก็ได้นำเอาความรู้และแนวความคิดเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกเข้ามาด้วย ประกอบกับการศึกษาสมัยใหม่ได้แพร่หลายมากขึ้น ทำให้แนวความคิดดังกล่าวแพร่หลายในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ข้าราชการที่ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตกจึงมีแนวคิดให้ไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย’ หนังสือไม่ได้เขียนแต่นักเรียนอาจจะอยากรู้: หนังสืออ่านประกอบ
กำเนิดของชนชั้นกลางซึ่งนำไปสู่สำนึกในสิทธิของราษฎร สนธิสัญญาเบาว์ริงในสมัยรัชกาลที่ 4 เปิดการค้าเสรีในประเทศไทย ส่งผลให้ชนชั้นกลางขยายตัวและเริ่มมีบทบาทในสังคมไทย / อ่านเพิ่มเติมได้ใน ประวัติศาสตร์การเมืองไทย 2475 – 2500 โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
ปรีดี พนมยงค์ เขียนไว้ว่า พลเมืองสยามส่วนมากซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองสมัยนั้นเรียกตนเองว่า ‘ราษฎร’ เช่นนายอำเภอเกณฑ์พลเมืองทำงานโยธา ก็เรียกกันว่าเกณฑ์ราษฎร หรือราษฎรรำพึงกันถึงความทุกข์ยากก็พูดว่า ‘ราษฎรเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า’ คือแสดงถึงลักษณะของพลเมืองส่วนที่ถูกปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์…ดังนั้น เราจึงถือว่าเราเป็น ‘คณะราษฎร’ เพราะเราทำตรงกับความต้องการของราษฎร ‘people’ / อ่านเพิ่มเติมได้ใน รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (2475-2517) โดย ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์
เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน 2475ประวัติศาสตร์ ม.3 ผู้เขียน รศ.ดร.ไพฑูรย์ มีกุศล และคณะการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเริ่มในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ขณะที่รัชกาลที่ 7 แปรพระราชฐานไปประทับที่วังไกลกังวล พันเอกพระยาพหลฯ ได้อ่านประกาศคณะปฏิวัติที่ลานพระบรมรูปทรงม้า จากนั้นส่งกำลังควบคุมสถานที่สำคัญทางราชการในกรุงเทพฯ และ ‘ได้เชิญเจ้านายและบุคคลสำคัญมาไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อเป็นตัวประกัน’ ด้านฝ่ายรัฐบาล สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงคุมกำลังทหารและพลเรือน ตัดสินพระทัยไม่ตอบโต้ให้เกิดการเสียเลือดเนื้อ และ ‘ทรงยินยอมลงพระนามในประกาศให้ทหาร ข้าราชการ และราษฎรทั้งหลายอยู่ในความสงบ’ ‘แต่เนื่องจากพระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยกับการใช้ถ้อยคำบางคำในร่างรัฐธรรมนูญนั้น จึงทรงให้คณะราษฎรนำไปแก้ไขใหม่’ ประวัติศาสตร์ไทย ม.4-6 ผู้เขียน รศ.ดร.ไพฑูร มีกุศล และคณะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประชุมพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เท่าที่มีอยู่ในหัวหินขณะนั้น ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระราชหฤทัยยินยอมตามข้อเสนอของคณะราษฎร ในพระราชสาส์นที่ทรงตอบคณะราษฎรมีข้อความตอนหนึ่งบอกเหตุผลว่า “…ข้าพเจ้าเห็นแก่ความเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร์ ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อ…” ต่อมาในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 มีการตราพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งในมาตรา 1 ระบุว่า อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎรทั้งหลาย และในมาตรา 2 กำหนดผู้ใช้อำนาจแทนราษฎร คือ กษัตริย์ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการราษฎร และศาล หนังสือไม่ได้เขียนแต่นักเรียนอาจจะอยากรู้:
ความสำเร็จของคณะราษฎรอยู่ที่การปฏิบัติการที่เฉียบพลันถึงแม้ว่าจะมีผู้เข้าร่วมไม่เยอะมาก โดยคณะราษฎรได้ทำการเข้าควบคุมสถานที่สำคัญในการสื่อสารก่อนเพื่อทำให้องค์กรของรัฐเป็นอัมพาต นอกจากนั้นยังสามารถจับกุมเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไว้เป็นตัวประกันได้ / อ่านเพิ่มเติมได้ใน ประวัติศาสตร์การเมืองไทย 2475 – 2500 โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
อภิวัฒน์สยาม เปลี่ยนแปลงอะไรสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ม.2 ผู้เขียน รศ.ธวัช ทันโตภาส และคณะหนังสือเขียนเรื่องนี้เอาไว้ว่า เหตุการณ์ 2475 ‘เป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ทำให้โครงสร้างด้านการปกครองและสังคมของไทยเปลี่ยนไป เช่น
หน้าที่พลเมือง ม.4-6 ผู้เขียน รศ.ธวัช ทันโตภาส และคณะหากพลิกตำราอีกเล่ม คือ หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม ม.4-6 ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงและอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย จะพบวรรคตอนที่กล่าวถึงการเปลี่ยนแลงทางวัฒนธรรมในช่วงก่อน-หลัง พ.ศ. 2475 ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ในหนังสือเล่มดังกล่าวระบุว่า ก่อนเหตุการณ์ 2475 ความเป็นวัฒนธรรมไทยยึดโยงอยู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันศาสนา สถาบันครอบครัว และสถาบันชุมชนท้องถิ่น เป็นรูปแบบสังคมที่เรียบง่ายไม่สลับซับซ้อน ทั้งยังยกตัวอย่างอีกว่า ‘ในหุบเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนเหนือไม่มีสื่อมวลชนใดๆ ไปถึง ชาวบ้านไม่สามารถรับข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุได้ ส่วนชุมชนที่มีบ้าน วัด โรงเรียน ที่ประกอบอาชีพ ทุกคนรู้จักกันหมด เป็นชุมชนที่มีความสุข เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย’ ข้อความในเครื่องหมายคำพูดนั้น ด้านหนึ่งก็ชวนให้ฉงนว่า การไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสารใดๆ ก่อให้เกิดความสุขของผู้คนในความหมายใด ขณะที่หลังเหตุการณ์ 2475 แม้ความเป็นไทยและวัฒนธรรมไทยจะยังยึดโยงอยู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันศาสนา สถาบันครอบครัว และสถาบันชุมชนท้องถิ่น เหมือนดังเดิมอยู่ แต่หลังปี 2500 ก็มีสถาบันอื่นที่เพิ่มเติมเข้ามามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบการศึกษา ระบบการเมืองและเศรษฐกิจ และสถาบันทางสังคม ซึ่งปัจจัยที่เพิ่มเข้ามานี้ทำให้ ‘สังคมไทยเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมเมืองมากขึ้น เป็นช่วงที่มีการเสริมสร้าง ฟื้นฟูวัฒนธรรมไทย และมีการรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามากและรวดเร็ว ทำให้วิถีชีวิต ค่านิยม เครื่องมือเครื่องใช้ แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งกลายเป็นวัฒนธรรมตามแบบสังคมตะวันตกมากขึ้น’ ข้อความข้างต้นถูกอธิบายในวรรคตอนต่อมาว่าทำให้ ‘สังคมไทยมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น’ ตามไปด้วย หนังสือไม่ได้เขียนแต่นักเรียนอาจจะอยากรู้:
เป้าหมายของคณะราษฎรคือระบอบกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่มีประสงค์ทำการชิงราชสมบัติ / อ่านเพิ่มเติมได้ใน ประกาศของคณะราษฎรฉบับที่ 1
คณะราษฎรเห็นว่าการมีรัฐสภานั้นจะได้ช่วยกันปรึกษาหารือ และ ‘หลายๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว’ / อ่านเพิ่มเติมได้ใน ประกาศของคณะราษฎรฉบับที่ 1 วิวาทะ คณะราษฎรทำการชิงสุกก่อนห่าม?ประวัติศาสตร์ไทย ม.4-6 ผู้เขียน รศ.ดร.ไพฑูร มีกุศล และคณะรัชกาลที่ 7 ทรงสนับสนุนการปกครองที่มาจากประชาชน แต่พระองค์มีพระราชวินิจฉัยว่าการปกครองระบอบนี้จะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยฝึกหัดประชาชนให้รู้จักใช้สิทธิในการออกเสียงควบคุมกิจการท้องถิ่นเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเข้ามาควบคุมกิจการของรัฐในรูปแบบรัฐสภา จึงมีการส่งเสริมการปกครองในรูปแบบเทศบาล ในปี 2470 ได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาปรับปรุงแก้ไขการสุขาภิบาลที่ตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ให้เป็นรูปเทศบาลมากขึ้น ‘รัชกาลที่ 7 ทรงมีแผนที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่าในรัชกาลนี้มีการร่างรัฐธรรมนูญถึง 2 ฉบับ แต่ยังมีผู้ไม่เห็นด้วยกับการที่จะทรงประกาศใช้ ด้วยเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา ควรให้ประชาชนได้มีประสบการณ์ในการปกครองตนเองมากกว่าที่เป็นอยู่เสียก่อน แผนพัฒนาการปกครองของรัชกาลที่ 7 สิ้นสุดลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475’ ประวัติศาสตร์ ม.3 ผู้เขียน รศ.ดร.ไพฑูรย์ มีกุศล และคณะต่อเนื่องจากเหตุการณ์อภิวัฒน์วันที่ 24 มิถุนายน และมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวพุทธศักราช 2475 จากนั้นได้มีการคัดเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว มีกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ‘เมื่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรซึ่งมีชื่อว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ในวันที่ 10 ธันวาคม 2475 หนังสือไม่ได้เขียนแต่นักเรียนอาจจะอยากรู้:
ชิงสุกก่อนห่าม’ เป็นคำอธิบายการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่แพร่หลายในช่วงต้นทศวรรษที่ 2510 โดยมุ่งให้ภาพเชิงลบต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ว่าเป็นเรื่องของ ‘พวกที่ใจร้อน ทนรอไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนฝรั่งเศส’/ อ่านเพิ่มเติมได้ใน ขุดมายาคติ 2475 มรดก 2475 และคณะราษฎรหน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม ม.2 ผู้เขียน รศ.ธวัช ทันโตภาส และคณะการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จากเดิมที่อำนาจอธิปไตยอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์ มาเป็นอำนาจของประชาชน ดังนั้นต้องจัดโครงสร้างทางการเมืองใหม่ โดยจัดให้มีสถาบันการเมืองมาทำหน้าที่รองรับการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน ซึ่งก่อให้เกิดสถาบันใหม่ๆ ขึ้นมา ได้แก่
นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่นๆ อีก เช่น มีระบบการศึกษา ระบอบประชาธิปไตย ประชาชนจะดำเนินการอย่างบรรลุผล ประชาชนต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยเสียก่อน ซึ่งคณะราษฎรได้มองเห็นถึงปัญหานี้ ในที่สุดจึงจัดตั้งสภาการศึกษาแห่งชาติขึ้นมาพัฒนาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) กล่าวโดยสรุปเล็กๆ น้อยๆ มรดกที่ยังอยู่ให้พบเห็น เช่น พรรคการเมืองและนักการเมือง การปกครองด้วยระบบรัฐสภา การส่งเสริมการศึกษาแก่ประชาชนให้เข้าใจในประชาธิปไตย อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ก็น่าเสียดายที่บางส่วนสูญหาย เช่น หมุดคณะราษฎร ลานพระบรมรูปทรงม้า บริเวณหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม และความสำคัญของวันที่ 24 มิถุนายน วันประวัติศาสตร์ของชาติที่ลดน้อยถอยลงทุกที |