โครงสร้างภาษี 68,348 views โดย ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ อาจารย์ประจำวิชากฎหมายภาษีอากรContents
ภาษี ไม่ว่าจะเป็นประเภทใด จะมี 6 องค์ประกอบพื้นฐาน ซึ่งสามารถปรับใช้ได้กับภาษีอากรทุกประเภท เพราะแม้รายละเอียดจะแตกต่าง แต่ในเชิงโครงสร้างแล้วล้วนประกอบด้วย 6 ส่วนต่อไปนี้ทั้งสิ้น
1. ผู้เสียภาษี
กฎหมายต้องกําหนดว่า ผู้เสียภาษี เป็นใคร เพื่อให้คนนั้นรู้ว่าเขามีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย ซึ่ง ภาษีแต่ละประเภทก็จะกําหนดตัวผู้เสียภาษีแตกต่างกันไป เช่น
- ผู้มีเงินได้มีหน้าที่เสีย ภาษีเงินได้
- ผู้ประกอบการมีหน้าที่เสีย ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น
ดังนั้น คนคนเดียวอาจจะเสียภาษีมากกว่า 1 ประเภทก็ได้ ถ้ากฎหมายกําหนดเช่นนั้น
2. ฐานภาษี
เมื่อเราทราบแล้วว่าผู้เสียภาษี เป็นใคร ฐานภาษีจะเป็นตัวกําหนดว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เขาต้องเสียภาษีตามแต่ที่กฎหมายกําหนด เช่น
- ภาษีเงินได้ กําหนดให้ฐานภาษี คือ รายได้
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม กําหนดให้ฐานภาษี คือ สินค้าหรือบริการซึ่งฐานภาษีจะเป็นตัวตั้งในการคํานวณภาษีต่อไป
3. อัตราภาษี
ส่วนนี้สําคัญมาก เพราะเราจะเสียภาษีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ อัตราภาษี ที่จะใช้คํานวณกับฐานภาษีประเภทนั้น อัตราภาษีก็มีได้หลายแบบ เช่น
- อัตราก้าวหน้า บางครั้งเรียกว่าอัตราภาษีแบบขั้นบันได โดยอัตราภาษีจะสูงขึ้นเมื่อฐานภาษีเพิ่มขึ้นตามลําดับแบบขั้นบันได กล่าวคือ ถ้าฐานภาษีสูงขึ้นระดับหนึ่ง ผู้เสียภาษีก็จะรับภาระภาษีในสัดส่วนที่สูงขึ้นกว่าเดิมไปเรื่อยๆ อัตราก้าวหน้านี้จะยิ่งทําให้คนที่มีฐานภาษีสูงๆ ต้องรับภาระหนักขึ้นเรื่อยๆ
- อัตราถดถอย จะตรงกันข้ามกับอัตราก้าวหน้า คือ ฐานภาษียิ่งสูง อัตราภาษียิ่งต่ำ นั่นหมายความว่าคนที่มีฐานภาษีสูงๆ จะรับภาระน้อยลงเรื่อยๆ
- อัตราคงที่ คือ มีเพียงอัตราเดียวสำหรับฐานภาษีโดยไม่แปรผันขึ้นลงตามฐานภาษี
- เหมาจ่าย คือ เก็บภาษีแบบเหมาเป็นเงินจำนวนที่แน่นอนโดยไม่สนว่าจะฐานภาษีอย่างไร
4. วิธีการเสียภาษี
เสียภาษีเท่าไหร่ว่าสําคัญแล้ว แต่การเสียภาษีต้องทําอย่างไรก็สําคัญไม่แพ้กัน เพราะหากไม่ทําให้ถูกต้องอาจพบปัญหาได้ วิธีการเสียภาษีนั้น กฎหมายจะกําหนดเอาไว้อีกเช่นกันว่า ผู้เสียภาษีต้องดําเนินการอย่างไรจึงจะเรียกได้ว่าเสียภาษีถูกต้องแล้ว
เช่น กฎหมายอาจจะกําหนดให้เราต้องประเมินภาษีด้วยตัวเอง เตรียมแบบฟอร์มให้ถูกต้องเอง คําานวณตัวเลขเอง ยื่นแบบฟอร์มเอง ชําาระเงินเอง แต่ถ้าคํานวณผิด จ่ายภาษีไม่ครบก็มีบทลงโทษหรือกฎหมายจะใช้วิธีหักภาษี ณ ที่จ่าย แล้วจบเลยก็ได้ หรือใช้ [วิธีประเมินภาษี] โดยเจ้าพนักงานก็ได้ แล้วแต่กรณี
5. การระงับข้อพิพาท
ความเห็นที่แตกต่างเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องภาษี ดังนั้น หากเจ้าพนักงานเห็นว่าคุณคํานวณภาษีผิดพลาด จ่ายไม่ครบ เจ้าพนักงานก็ย่อมมีอํานาจโต้แย้งไม่เห็นด้วย
ในทางกลับกัน หากเจ้าพนักงานประเมินภาษี มาให้คุณแล้ว แต่คุณไม่เห็นด้วย คุณก็ย่อมมีสิทธิ์โต้แย้งไม่เห็นด้วยได้เช่นเดียวกัน การระงับข้อพิพาทจึงเป็นทางออกของความขัดแย้งเหล่านี้ว่าจะทําอย่างไรเพื่อให้ปัญหายุติ ซึ่งกฎหมายก็ได้กําหนดลําดับขั้นของการพิจารณาสําหรับภาษีแต่ละประเภท ซึ่งก็มีตั้งแต่ยอมรับและจ่ายภาษีไปตามนั้น จนไปถึงขนาดเป็นคดีความขึ้นโรงขึ้นศาลกันเลยก็มี
6. การบังคับคดี
ในกรณีที่ผู้เสียภาษีไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหมายเองก็จะกําหนดขั้นตอนว่าในกรณีที่ผู้เสียภาษีไม่จ่ายจะทําอะไรได้บ้าง ซึ่งอาจจะรุนแรงถึงขั้นยึดทรัพย์ขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินมาจ่ายภาษีเลยก็ได้
ภาษีอาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากไปสักหน่อย น่าปวดหัวไปสักนิด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เราทุกคนย่อมหนีเรื่องน่าปวดหัวนี้ไม่พ้น และหากคุณเป็นหนึ่งคนที่รู้สึกว่า การคำนวณภาษีหรือวางแผนภาษีเป็นเรื่องน่าวุ่นวาย เราอยากให้คุณวางใจได้ เพราะ iTAX จะช่วยให้ปัญหาน่าปวดหัวเหล่านี้หมดไป เพราะคุณสามารถ คำนวณภาษี วางแผนภาษี พร้อมค้นหาตัวช่วยลดหย่อนภาษี iTAX shop ได้แค่คลิกเดียว
ประเด็นสำคัญทางภาษี
ผู้ประกอบการ e-Commerce ที่ขายสินค้าหรือบริการผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ มีสิทธิและหน้าที่ในการเสียภาษีเช่นเดียวกับผู้ประกอบการอื่น ๆ ผู้ประกอบการที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย มีรายได้จากการขายสินค้า หรือ ให้บริการแก่ผู้ซื้อที่อยู่ ณ ที่ใด ๆ ก็ตาม มีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ประกอบการค้าขายที่มีหน้าร้านทั่วไป ต้องนำรายได้นั้นมารวมคำนวณยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ และมีหน้าที่จดทะเบียนเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามเงื่อนไขของกฎหมาย
ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดา ได้แก่ บุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล ต้องนำเงินได้จาก
e-Commerce ไปรวมคำนวณกับเงินได้จากแหล่งอื่นถ้ามี เช่น เงินเดือน ดอกเบี้ย โดยยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภ.ง.ด.94 ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงเดือนกันยายนของปี และยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90 ภายในเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคมของ
ปีถัดไป
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เงินได้พึงประเมินหักค่าใช้จ่าย(เลือก)หักค่าลดหย่อนตามกฎหมายจากการขายสินค้า1. เป็นการเหมา1. ส่วนตัวจาการให้บริการ2. ตามความจำเป็นและสมควร2. คู่สมรส
(หักค่าใช้จ่ายจริง)3. บุตร
4. เบี้ยประกันชีวิต
5. เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
6. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย
7. เงินสมทบจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม
8. ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
9. ค่าลดหย่อนบิดา มารดา
10. ค่าเลี้ยงดูคู่สมรส บิดา มารดา บุตรพิการหรือทุพพลภาพ
11. เงินสนับสนุนเพื่อการศึกษา12. เงินบริจาค13. อื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
คำนวณภาษีวิธีที่ 1 อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
1-150,000 บาท
150,001-300,000 บาท300,001-500,000 บาท
10%
500,001-750,000 บาท750,001-1,00,000 บาท
1,000,001-2,000,000 บาท
2,000,001-5,000,000 บาท5,000,001 ขึ้นไป
รายละเอียดตาม พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 44) พ.ศ. 2560 ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป
คำนวณภาษีวิธีที่ 2
กรณีเงินได้ทุกประเภทไม่รวมเงินได้ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร มีจำนวนรวมตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป ให้นำยอดเงินได้
คูณด้วย 0.005
คำนวณภาษีจาก 2 วิธี แล้วให้ชำระจากยอดที่มากกว่า
เว้นแต่คำนวณภาษวีธีที่ 2 แล้วมีภาษีไม่เกิน 5,000 บาท ให้ชำระตามวิธีที่ 1
ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือนิติบุคคลต่างประเทศเข้ามาทำกิจการในประเทศไทยเสียภาษีจากำไรสุทธิ ตามเงื่อนไข ที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร หากกิจการขาดทุนสุทธิไม่ต้องเสียภาษี โดยยื่นแบบแสดงรายการ
1. แบบแสดงรายการภาษีเงินได้ครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (ภ.ง.ด.51) ภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี
2. แบบแสดงรายการภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด.50) ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
1. กิจการ SMEs มีทุนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท รายได้จากการขายหรือให้บริการไม่เกิน 30 ล้านบาท ไม่ได้จดแจ้งการจัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ
กำไรสุทธิอัตราภาษี ร้อยละไม่เกิน 300,000 บาทยกเว้น300,001-3,000,000 บาท
15%3,000,001 บาทขึ้นไป20%
รายละเอียดตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 603) พ.ศ. 2559 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี
1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป
2. กิจการ SMEs มีทุนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท รายได้จากการขายหรือให้บริการไม่เกิน 30 ล้านบาท ได้จดแจ้งการจัดทำบัญชีและ
งบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ
ยกเว้น300,001 บาทขึ้นไป
10%
รายละเอียดตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 595) พ.ศ. 2558 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 1 มกราคม 2560 - 31 ธันวาคม 2560 เสียภาษีจาก
กำไรสุทธิ
3. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กรณีทั่วไป ที่ไม่ใช่กิจการ SMEs
กำไรสุทธิอัตราภาษี ร้อยละจำนวนกำไรสุทธิ20%
รายละเอียดตาม พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 42 เสียภาษีจากกำไรสุทธิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพในประเทศไทย หรือผู้นำเข้าสินค้า โดยผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่มีรายรับเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดทำรายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ และยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าผู้ประกอบการจะมีรายรับหรือไม่ก็ตาม
การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
ฐานภาษีของภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ มูลค่าที่ได้รับจากการขายสินค้าหรือให้บริการ
ภาษีซื้อ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการได้จ่ายให้กับผู้ขายสินค้า หรือผู้ให้บริการที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน