สำหรับหนังภาค 1 และ 2 นั้น ยังมีการเผยแง่มุมด้วยว่า คุณลุงแกเปิดเว็บบล็อกรับเรื่องราวร้องทุกข์ ขอความช่วยเหลือเหตุจากการโดนกลุ่มผู้มีอิธิพล ข่มขู่ คุมคามชีวิต ซึ่งแกพร้อมจัดหนัก ส่งเหล่าคนชั่วไปทัวร์นรก…แบบไม่ต้องคิดอะไรมากมาย…
เรื่องย่อ the equalizer 3 (มัจจุราชไร้เงา ภาค 3) เป็นเรื่องราวต่อจากภาค 2 คุณลุง “โรเบิร์ด แมคคอยด์” รับงานมาตามหาของที่ประเทศอิตาลี แล้วเผอิญพบว่ามาเฟียท้องถิ่นพัวพันกับการค้ายาเสพติดออกฤทธิ์รุนแรง ที่ผู้ก่อการร้ายนำมาขายให้ แกจึงส่งพวกมันไปทัวร์นรกเช่นเคย จังหวะกำลังเผ่นหนีแต่กลับพลาด โดนเด็กยิงหลังอาการสาหัส โชคยังดีที่มีคนไปพบเขานอนสลบในรถที่จอดริมถนน ทั้งยังพาลุงแกไปหาศัลยแพทย์ชื่อดังประจำเมือง ให้ช่วยผ่าตัดเอากระสุนออก และเมื่อพักรักษาตัวจนหายดีแล้ว ลุงแกก็พบว่าเมืองเล็กๆที่เขาอยู่นี้ เป็นเมืองที่สวยงาม สงบสุข ผู้คนรักใคร่สามัคคีกัน ลุงแกจึงตัดสินใจที่จะพักอาศัยอยู่ในเมืองนี้ยาว ๆ
แม้จะเจอสถานที่ดีงาม ผู้คนจิตใจดีแล้วก็ตาม แต่เหมือนเรื่องจะไม่ง่ายอย่างที่คิด แก๊งมาเฟียท้องถิ่นซึ่งเป็นหนึ่งใน 5 ตระกูลดัง กลับอาละวาดหนัก ไล่ทำร้ายชาวเมืองไม่เว้ยแต่ละวัน พวกมันรีดไถเงิน ฆ่าเพื่อขับไล่ ชนิดไม่เกรงกลัวตำรวจหรือกฎหมาย ท้ายที่สุด คุณลุง “โรเบิร์ด” หรือ คุณ “โรเบอร์โต้” (ที่ชาวเมืองเรียกขาน) ที่เดิมทีจะอดทนไม่โฉ่งฉ่าง คอยเฝ้ามองวีรกรรมของเหล่าร้ายเรื่อยมา ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาออกตัวเปิดฉากทักทายพวกมันอย่างไร้ปราณี เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป สามารถติดตามกันได้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
จุดแข็งของ แม้จะมีข่าวว่าได้ทุนทำหนังน้อยมาก ๆ เพียง 70 ล้านเหรียญ ทั้งที่เป็นภาค 3 อย่าลืมว่านักแสดงรุ่นเก๋า “เดนเซล วอชิงตัน” ตอนนี้ก็อายุ 68 ปีแล้ว คงจะให้ไปปีนตึกซิ่งจยย.ไล่ยิง ออกแนวบู๊หนัก ๆ ไม่ไหวเป็นแน่ หนังจึงไปเน้นลักษณะการลอบฆ่า Instant Kill โดนยิง โดยเสียบ ทีเดียวสู่ขิต สิ่งที่น่าสนใจก็คือถ้าบทแอ๊คชั่นเดือด ๆ มันหายไป แล้วจะเอาอะไรมาแทน สิ่งที่ “อังตวน ฟูกัว” ผู้กำกับหน้าเดิมจากภาค 1-2 ใส่มาให้แทนคือ บทบาทของนักฆ่าวัยเก๋า ที่เชือดเฉือนเหล่าร้ายด้วยคารม จังหวะการพูด การทำสีหน้าอารมณ์ เพิ่มความน่ากลัวให้ชวนขนลุกสุด ๆ
จุดอ่อน จะบอกว่าเป็นจุดอ่อนก็คงไม่เชิงนัก เพราะผู้ชมที่ไม่เคยดูภาค 1-2 มาก่อนอาจจะเกิดความสงสัยในหลายประเด็น เนื่องจากช่วงแรกเป็นเส้นเรื่องเดียว ก่อนจะแตกเป็น 2 เส้นทาง โดยจะให้ตัวละครใหม่เป็นจุดเชื่อมโยง ภาค 1 และ 2 ก่อนจะไปเฉลยในช่วงท้ายเรื่องว่ามันเกี่ยวกันได้ยังไง ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้ชมภาค 1 และ 2 มาก่อนก็อาจจะงงว่า คุณลุงแกพูดถึงเรื่องอะไร มีปมประเด็นอะไรกันมาก่อนหรือเปล่า โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่สาวแผนกข่าวกรองและข้อมูล CIA ที่รับบทโดย “ดาโคทา แฟนนิง” ที่จู่ ๆ ก็โผล่มากลางเรื่องดื้อ ๆ ความจริงนักแสดงสาวก็เคยเล่นหนังคู่กับ “เดนเซล วอชิงตัน” ในเรื่อง “Man on Fire” หรือ คนจริงเผาแค้น เมื่อปี 2004 ผ่านไปเกือบ 20 ปี กลับเจอกันรอบนี้ดูคนละฟิลมากมาย
5/5 เป็นหนังที่โชว์งานภาพและสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเมือง Amalfi ประเทศอิตาลีได้สวยมาก แม้ลุง “เดนเซล วอชิงตัน” จะแบกทั้งเรื่องแต่ก็ไม่แปลก เพราะแบกมาตั้งแต่ ภาค 1-2 แล้ว ชั้นเชิงการเจรจาและแอ๊คชั่นแบบลอบฆ่า ทำให้รู้สึกถึงความน่ากลัวราวกับเป็นหนังฆาตกรรม ฉากหดหู่ใจก็ทำซะจนอยากเบือนหน้าหนี เรื่องนี้มันส์..คุ้มค่าตั๋วแน่นอน!
ผู้กำกับอย่าง Antoine Fuqua ทึ่เค้าได้ทำมาตรฐาน The Equalizer (ภาค 1) ปี 2014 เอาไว้สูงมากๆๆๆ นี้ก็เกือบจะ 10 ปี เข้าไปแระ เห็นถามกันหลายๆคนยังพูด บอกว่าชอบภาค 1 กันมากกว่าทุกภาค2 (ปี 2018 ) เลย เพราะเป็นบรรยากาศเรื่องของการทำงานในร้านโฮมมาร์ค
Robert McCall ในเรื่องแกเคยเป็นสายลับซีไอเอมาก่อน อดีตหน่วยรบพิเศษ ที่เกษียนอายุมาใช้ชีวิตเหงาๆแบบคนธรรมดาในเมืองบอสตัน ย่านชุมชนเล็กๆแห่งหนึ่ง ทำงานเป็นพนักงานในร้านโฮมมาร์ค ทั้งผู้กำกับ และ นักแสดง อย่าง Antoine Fuqua และ Denzel Washington ต้องมาแบกรับความคาดหวังของแฟน ๆ ภาพยนต์ ภาคก่อนๆของ The Equalizer (ภาค 1) ตั้งแต่ปี 2014 ที่ผู้กำกับอย่าง Antoine Fuqua ที่ทำเอาไว้ แล้วทุกท่านคิดว่าตัวของผู้กำกับ Antoine Fuqua เค้าจะรักษามาตราฐาน และ ทำได้เหนือชั้นมากกว่า (ภาค 1) มั้ยครับ ใช่ ถึงแม้ว่าผมจะชอบงานกำกับภาพยนต์ที่เคยทำไว้อย่างที่เคยทำไว้อย่าง The Replacement Killers (ปี 1998) รวมไปถึงเรื่องTears of the Sun ปี (2003) แล้วจะมีอะไรมารับประกันว่า ตัวภาพยนต์จะออกมาได้ OK. ละ แล้ว เพื่อนคิดเห็นกันยังไงบ้างมาแชร์กันหน่อยครับ ขอบคุณมากๆๆๆๆ ครับ