ฝาก ประ จํา ปลอด ภาษี ธนาคาร ไหน ดี

อัพเดท"บัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี 2566" สำรวจแบงก์ไหนให้ผลตอบแทน"อัตราดอกเบี้ย"เงินฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือน 36 เดือน สูงสุดน่าฝาก ?

"ฐานเศรษฐกิจ" สำรวจบัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี 2566 หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายนัดแรกปีนี้ อีก 0.25% เป็น 1.50% เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา 

ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 พบว่า ปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์ ให้ผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำปลอดภาษี ในระดับ 1.90%- 2.65% ต่อปี  ซึ่งสูงกว่าพันธบัตรออมทรัพย์ กระทรวงการคลัง รุ่นล่าสุด “สุขใจให้ออม”ที่เปิดขายเมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2565 ซึ่งจ่ายอัตราดอกเบี้ย 2.30 -3.00% ต่อปี ( หักภาษีดอกเบี้ย ณ ที่จ่าย15% เหลือดอกเบี้ยสุทธิ 1.95% - 2.55% ต่อปี  )    

เงินฝากประจำปลอดภาษี คืออะไร

เงินฝากประจำปลอดภาษี เป็นการออมรูปแบบหนึ่งที่มีจุดเด่นคือ ได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก ( ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% ของรายได้ดอกเบี้ย ) โดยมีเงื่อนไข จะเปิดได้เพียง 1 บัญชีเท่านั้น ( รวมทุกธนาคาร ) และต้องฝากสม่ำเสมอเท่ากันทุกเดือน ( มีให้เลือก 24 เดือน, 36 เดือน ,48 เดือน หรือ 60 เดือน ) สูงสุดฝากที่ 25,000 บาทต่อเดือน แต่เมื่อรวมกันแล้วครบตามระยะการฝากต้องไม่เกิน 600,000 บาท  

7 อันดับเงินฝากประจำปลอดภาษี 2565 ที่ให้ผลตอบแทน "อัตราดอกเบี้ย"สูงสุด  มีดังนี้

ธนาคารกรุงไทย

เงินฝากปลอดภาษี Krungthai Zero Tax Max ดอกเบี้ย 2.40 - 2.65% ต่อปี  (อัตราดอกเบี้ย มีผล ณ 1 ก.พ.66 )  

• ระยะเวลาฝาก 24 เดือน = 2.40% ต่อปี (อัตราลอยตัวอิงเงินฝากประจําระยะเวลา 24 เดือน + 0.75 % ต่อปี)   วงเงินฝากขั้นต่ำ-สูงสุด : 1,000-25,000 บาท
• ระยะเวลาฝาก 36 เดือน = 2.65% ต่อปี  (อัตราดอกเบี้ยลอยตัวอิงเงินฝากประจําระยะเวลา 24 เดือน + 1.00 % ต่อปี) วงเงินฝากขั้นต่ำ-สูงสุด : 1,000-16,500 บาท
• ระยะเวลาฝาก 48 เดือน = 2.65% ต่อปี ( อัตราดอกเบี้ยลอยตัวอิงเงินฝากประจําระยะเวลา 24 เดือน + 1.00 % ต่อปี) วงเงินฝากขั้นต่ำ-สูงสุด : 1,000-12,500 บาท

เงื่อนไข

• ฝากไม่เกิน 3 เดือน : ไม่ได้ดอกเบี้ย
• ฝากเกิน 3 เดือน แต่ไม่ครบระยะเวลาฝาก : ได้รับดอกเบี้ยในอัตราเงินฝากออมทรัพย์ และหักภาษีดอกเบี้ย ณ ที่จ่าย
• ขาดฝากเกิน 2 ครั้ง : ไม่สามารถฝากต่อได้ ธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราเงินฝากออมทรัพย์ และหักภาษีดอกเบี้ย ณ ที่จ่าย

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 

เงินฝากประจำปลอดภาษี อัตราดอกเบี้ย 2.10 - 2.35% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยมีผล ณ 2 ก.พ.66 )

• เงินฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือน : ดอกเบี้ย 2.35%

- อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 24 เดือน บวกเพิ่ม    0.80% 

• เงินฝากประจําปลอดภาษี 36 เดือน : ดอกเบี้ย 2.10%

- อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 36 เดือน บวกเพิ่ม 0.50% 
 

เงื่อนไข

• ฝากจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน ขั้นต่ำ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน (กรณีฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือน) , หรือสูงสุดไม่เกิน 16,000 บาท ( กรณีฝากประจำปลอดภาษี 36 เดือน ) 
• ผ่อนผันขาดฝากไม่เกิน 2 งวด ตลอดระยะเวลาการฝาก
• กรณีฝากไม่เกิน 3 เดือน : ไม่ได้ดอกเบี้ย
• ฝากเกิน 3 เดือน แต่ไม่ครบระยะเวลาฝาก : ได้รับดอกเบี้ยในอัตราเงินฝากออมทรัพย์และหักภาษี ณ ที่จ่าย

ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย

บัญชีเงินฝากปลอดภาษี Tax Free Account อัตราดอกเบี้ย 2.00-2.20% ต่อปี  (อัตราดอกเบี้ยมีผล ณ 12 ม.ค.66 )

ฝากประจำธนาคารไหนดี ที่จะได้ผลตอบแทนกลับมาเยอะกว่าที่ลงทุนไป ในวันนี้เราจะมาแชร์ธนาคารที่คุณเปิดบัญชีฝากประจำแล้วเงินฝากปลอดภาษี จะได้มีเงินออมเผื่อไว้ในอนาคต มีเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ใครที่อยากสร้างวินัยในการออมอย่างสม่ำเสมอ นอกจากการใช้แอปฯ ทำรายรับรายจ่ายแล้ว ต้องมาดูกันหน่อยว่าจะไปฝากประจำธนาคารไหนดี ที่ตรงกับความต้องการของคุณ

หัวข้อต่างๆ ของบทความนี้

อัปเดต ฝากประจำธนาคารไหนดี มีเงินฝากปลอดภาษี ได้ดอกเบี้ยดี

1. ธนาคารไทยเครดิต 

หากเปิดบัญชีฝากประจำที่คุณสามารถเลือกฝากแบบ 24 เดือน หรือ 36 เดือนก็ได้ อัตราดอกเบี้ยที่ได้ก็จะต่างกัน อีกทั้งยังเป็นเงินฝากปลอดภาษีอีกด้วย แต่สามารถเปิดได้เพียงบัญชีเดียวเท่านั้น สามารถฝากเงินได้อย่างสะดวก ฟรีค่าธรรมเนียมตลอดระยะเวลาการฝาก ต้องฝากเงินทุกเดือน แต่หากฝากไม่ถึง 3 เดือนแล้วอยากถอน สามารถถอนได้แต่จะไม่ได้รับดอกเบี้ย 

ชื่อบัญชี :  บัญชีเงินฝากปลอดภาษี

ขั้นต่ำ :  1,000 บาท ถึง 25,000 บาท 

ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ :  24 เดือน 

อัตราดอกเบี้ย :  2.6%

2. ธนาคาร ICBC

สามารถฝากเงินเดือนละ 1 ครั้ง ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากับยอดเงินฝากเมื่อเปิดบัญชี เช่น ถ้าเริ่มต้นฝากเดือนละ 1000 บาท ก็ต้องฝาก 1000 ไปจนครบกำหนด 24 เดือน ยอดเงินฝากรวมตลอดระยะเวลาฝากต้องไม่เกิน 600,000 บาทต่อบัญชี เป็นเงินฝากปลอดภาษีเช่นเดียวกัน จึงสบายใจได้ 

ชื่อบัญชี :  บัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี

ขั้นต่ำ :  1,000 บาท ถึง 25,000 บาท 

ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ :  24 เดือน หรือ 36 เดือน 

อัตราดอกเบี้ย :  2.55%

3. ธกส

บัญชีฝากประจำของธนาคารนี้ต้องฝากทุกเดือน เหมือนทุกธนาคาร ในแต่ละเดือนคุณจะต้องฝากเงินอย่างช้าไม่เกินวันทำการสุดท้ายของเดือน และไม่สามารถฝากล่วงหน้าได้ หากคุณลืมฝากเงินประจำเดือน สามารถขาดการฝากเงินได้ 2 ครั้ง โดยที่วันครบกำหนดก็จะเลื่อนออกไป แต่หากลืมฝากเกิน 2 ครั้งต้องออกจากโครงการ ใครเปิดบัญชีฝากประจำไว้ก็ต้องตั้งนาฬิกาเตือนวันเวลาตัวเองดี ๆ ล่ะ จะได้ไม่ลืม 

ชื่อบัญชี :  บัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือน

ขั้นต่ำ :  1,000 บาท ถึง 25,000 บาท 

ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ :   24 เดือน 

อัตราดอกเบี้ย :  2.5%

4. LH Bank

เงินฝากปลอดภาษีที่ส่งเสริมให้ทุกคนสามารถจัดสรรการออมเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความมั่นคงของชีวิต เพราะถ้าหากปิดบัญชีก่อนกำหนดนอกจากจะไม่ได้รับดอกเบี้ยที่ควรได้แล้ว ยังต้องเสียภาษีอีก เพราะฉะนั้นควรฝากให้ครบกำหนด เป็นระยะเวลา 24 เดือนนั่นเอง 

ชื่อบัญชี :  บัญชีเงินฝากปลอดภาษี LH Bank Smart Kids

ขั้นต่ำ :  1,000 บาท ถึง 25,000 บาท 

ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ :  24 เดือน 

อัตราดอกเบี้ย :  2.5%

5. CIMB Thai

ฝากประจำธนาคารไหนดีที่ต้องเปิดบัญชีขั้นต่ำที่ 10,000 บาท ก็ต้องธนาคารนี้เลย เปิดบัญชีฝากประจำที่นี่ต้องฝากเงินจำนวนเท่ากันทุกเดือน ตั้งแต่ 10,000 – 25,000 บาท อีกทั้งได้รับประกันอุบัติเหตุจากบริษัทประกันภัยที่ธนาคารกำหนด ในวงเงินคุ้มครองเท่ากับวงเงินฝากที่ผู้ฝากมีความประสงค์ในการฝาก จนครบระยะเวลาฝาก แต่ไม่เกิน 600,000 บาท

ชื่อบัญชี :  บัญชีเงินฝากประจำเพิ่มค่าสบายใจ ตรุษจีน 2020

ขั้นต่ำ :  10,000 บาท – 25,000 บาท

ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ :  24 เดือน 

อัตราดอกเบี้ย :  2.5%

6. ธนาคารธนชาติ 

อยากเปิดบัญชีฝากประจำที่สามารถเปิดบัญชีขั้นต่ำ 300 บาท ต้องฝากประจำที่ธนาคารไหนดี คำตอบคือ ธนาคารธนชาติ จะให้บริการเฉพาะรูปแบบสมุดคู่ฝากเท่านั้น โดยที่ผู้ฝากต้องมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ที่มีชื่อเดียวกับบัญชีเงินฝากปลอดภาษี หากฝากไม่ครบกำหนดหรือฝากเงินน้อยกว่า 3 เดือนจะไม่ได้รับดอกเบี้ย 

ชื่อบัญชี :  บัญชีเงินฝากปลอดภาษี (Tax Free Monthly Deposit)

ขั้นต่ำ :  300 บาท – 25,000 บาท

ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ :  24 เดือน 

อัตราดอกเบี้ย :  2.25% 

7. ธนาคารไทยพาณิชย์

คุณสามารถเลือกได้ว่าจะเปิดบัญชีเงินฝากประจำแบบมีสมุดคู่ฝากหรือไม่มีสมุดคู่ฝาก (E Passbook) ซึ่งทั้งสองแบบนี้จะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกัน ข้อสำคัญคือตลอดอายุการฝาก หากคุณไม่นำเงินฝากเข้าบัญชีเกินกว่า 2 เดือน ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ จะไม่ได้รับสิทธิ์การยกเว้นภาษี 

ชื่อบัญชี :  บัญชีเงินฝากโบนัส 24 เดือน 

ขั้นต่ำ :  500 บาท – 900,000 บาท 

ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ :  24 เดือน 

อัตราดอกเบี้ย :  แบบมีสมุดคู่ฝาก 1.75%  แบบไม่มีสมุดคู่ฝาก (E-passbook) 1.85%

8. ธนาคารกรุงศรี

บัญชีฝากประจำปลอดภาษีอันนี้ จะไม่สามารถนำไปใช้ค้ำประกันการกู้ยืมหรือขอสินเชื่อใด ๆ กับธนาคารได้ เปิดไว้เพื่อการเก็บออมเพียงอย่างเดียว มีให้เลือกฝากทั้งแบบ 24 เดือนและ 36 เดือน ต้องฝากติดต่อกันทุกเดือน ขาดฝากได้ไม่เกิน 2 ครั้ง 

ชื่อบัญชี :  บัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี

ขั้นต่ำ :  1,000 บาท ถึง 25,000 บาท 

ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ :  24 เดือน

อัตราดอกเบี้ย :  1.80%

9. ธนาคารกสิกรไทย

ผู้ที่จะเปิดบัญชีฝากประจำอันนี้ได้ต้องไม่เคยมีบัญชีเงินฝากทวีทรัพย์ 24 เดือน หรือเคยมีบัญชีเงินฝากดังกล่าวแต่ได้ปิดบัญชีหรือครบกำหนดไปแล้ว เงินฝากปลอดภาษีเริ่มต้นฝากได้ที่ 500 บาท อยากมีเงินก้อนเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ต้องรีบมาเปิดบัญชีกันแล้ว 

ชื่อบัญชี :  บัญชีเงินฝากทวีทรัพย์

ขั้นต่ำ : 500 บาท – 25,000 บาท   

ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ :  24 เดือน 

อัตราดอกเบี้ย :  วงเงินฝากตั้งแต่ 500 บาท แต่ไม่ถึง 10,000 บาท ดอกเบี้ย 1.85% 

วงเงินฝากตั้งแต่ 10,000 – 25,000 บาท ดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี

10. ธนาคารออมสิน 

ฝากประจำธนาคารไหนดีที่สามารถเปิดบัญชีฝากให้ลูกได้ด้วย คือที่นี่เลย เพราะรับฝากเฉพาะลูกค้าประเภทบุคลลธรรมดาอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และเปิดเป็นบัญชีร่วมของบุตรผู้เยาว์กับบิดาหรือมารดา สามี-ภรรยาได้ ถือว่าสะดวกมาก ๆ เลยใช่ไหมล่ะ การถอนเงินสามารถถอนได้เมื่อครบกำหนด 24 เดือนเท่านั้น 

ชื่อบัญชี :  บัญชีเงินฝากประจำรายเดือน ยกเว้นภาษี

ขั้นต่ำ : 1,000 บาท – 25,000 บาท   

ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ :  24 เดือน 

อัตราดอกเบี้ย :  1.875%

พอจะตัดสินใจกันได้หรือยังว่าจะฝากประจำธนาคารไหนดี แต่พยายามอย่าฝากเงินโดยดูดอกเบี้ยอย่างเดียว ควรดูเงื่อนไข ความมั่นคงของสถาบันการเงินนั้นด้วยว่าตรงกับความต้องการของคุณหรือไม่ และการเปิดบัญชีฝากประจำต้องมีวินัยในการออมเงินเป็นอย่างมาก แต่จะเป็นผลดีต่อคุณในอนาคตนั่นเอง เป็นการจำกัดการซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือของใช้ที่ไม่จำเป็นออกไปได้อีกด้วย