การอ่านพิกัด ละติจูด ลองจิจูด

//www.google.co.th/imgres?um=1&hl=th&sa=N&biw=1366&bih=667&tbm=isch&tbnid=XevQUwM-J9qoXM:&imgrefurl=//realism-mapgis.blogspot.com/2009/01/blog-post_03.html&docid=pVhYpD1CLrnvBM&imgurl=//1.bp.blogspot.com/_Bm8SHzmWlYM/SV9dj908_HI/AAAAAAAAAD8/kRD8ARsCyHQ/s400/Image6.jpg&w=400&h=277&ei=F_DmT5ObG8OzrAehxdGFCQ&zoom=1&iact=rc&dur=475&sig=110550328722849636774&page=1&tbnh=141&tbnw=203&start=0&ndsp=18&ved=1t:429,r:11,s:0,i:104&tx=118&ty=75

* วิธีการกำหนดตำแหน่งในแผนที่
1. ระบบอ้างอิงในการกำหนดตำแหน่งและการบอกตำแหน่งของจุดใดๆ ในแผนที่

1. พิกัดภูมิศาสตร์ (Geographic Coordinates) เป็นระบบอ้างอิงบนพื้นผิวพิภพ ตำแหน่งของจุดใดๆ บนพื้นผิวพิภพสามารถกำหนดได้ด้วยค่าละติจูด( Latitude ) และลองจิจูด ( Longitude ) โดยมีหลักการและวิธีการ ดังนี้



ก) ละติจูด

1. เส้นรอยตัดบนพื้นผิวพิภพที่เกิดจากการสมมติใช้พื้นราบตัดพิภพโดยให้พื้นราบนั้นตั้งได้ฉากกับแกนหมุนของพิภพเสมอ เส้นรอยตัดดังกล่าวนั้นคือเส้นละติจูด นิยมเรียกสั้นๆ ว่า “ เส้นขนาน”
2. ละติจูดศูนย์องศา คือ เส้นรอยตัดบนพื้นผิวพิภพ ที่เกิดจากพื้นราบที่ตั้งได้ฉากกับแกนหมุนตัดผ่านจุดศูนย์กลางของพิภพ เส้นรอยตัดเส้นนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เส้นศูนย์สูตร” (Equator) ซึ่งเป็นวงขนานละติจูดวงใหญ่ที่สุด
3. ค่าละติจูดของวงละติจูดใด คือ ค่ามุมที่จุดศูนย์กลางของพิภพนับไปตามพื้นราบที่บรรจุแกนหมุนของพิภพ เริ่มจากพื้นศูนย์สูตรถึงแนวเส้นตรงที่ลากจากจุดศูนย์กลางพิภพไปยังวงละติจูตนั้น
4. ที่จุดขั้วเหนือของพิภพมีค่าละติจูดเท่ากับ 90 องศาเหนือ และที่จุดขั้วใต้ของพิภพมีค่าละติจูดเท่ากับ 90 องศาใต้
5. เนื่องจากพื้นของวงละติจูดศูนย์องศา หรือพื้นศูนย์สูตร เป็นพื้นที่ตัดผ่านจุดศูนย์กลางของพิภพ วงศูนย์สูตรจึงถูกเรียกว่า “วงกลมใหญ่” ส่วนละติจูดอื่นๆ เป็นวงกลมเล็ก วงละติจูตจะมีขนาดเล็กลงๆ เมื่อห่างวงศูนย์สูตรออกไปจนกระทั่งกลายเป็นจุดที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้
6. ระยะห่างระหว่างเส้นละติจูด 1 องศา คิดเป็นระยะทางบนผิวพิภพประมาณ 111 กิโลเมตร (69 ไมล์) และ 1 พิลิปดา มีระยะห่างประมาณ 30.48 เมตร (100 ฟุต)



ข) ลองจิจูด

1. เส้นรอยตัดบนพื้นผิวพิภพที่เกิดจากการสมมติใช้พื้นราบตัดพิภพ โดยให้พื้นราบผ่านแนวแกนหมุนของพิภพ เส้นรอยตัดบนพื้นผิวพิภพดังกล่าวเรียกว่า เส้นลองจิจูดหรือเส้นเมริเดียน ( Meridian)
2. ลองจิจูดศูนย์องศา คือเส้นลองจิจูดที่ผ่านหอส่งดาว ณ เมืองกรีนิส (Greenwich) ในประเทศอังกฤษ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เมริเดียนหลัก ( Prime Meridian)
3. การกำหนดค่าลองจิจูด คือค่าง่ามมุมที่จุดศูนย์กลางพิภพบนพื้นศูนย์สูตรโดยใช้แนวเส้นตรงที่ลากจาก จุดศูนย์กลางพิภพมายังเมริเดียนหลักเป็นแนวเริ่มนับค่าง่ามมุมไปทางตะวันออก 180 องศา เรียกว่า ลองจิจูดตะวันออก และนับค่าง่ามมุมไปทางตะวันตก 180 องศา เรียกว่า ลองจิจูดตะวันตก เส้นลองจิจูดที่ 180 องศาตะวันออกและตะวันตกเป็นเส้นเดียวกัน
4. ลองจิจูดทุกเส้นเป็นส่วนโค้งของวงกลมใหญ่(Great Circle)
5. ระยะห่างระหว่างเส้นลองจิจูด 1 องศา ตามเส้นศูนย์สูตร คิดเป็นระยะทางประมาณ 111 กิโลเมตร (69 ไมล์) และ 1 พิลิปดา มีระยะห่างประมาณ 30.48 เมตร (100 ฟุต) แต่เนื่องจากเส้นลองจิจูตทุกเส้นจะไปบรรจบกันที่จุดขั้วเหนือและขั้วใต้ของพิภพ ดังนั้น ระยะห่างระหว่างเส้นลองจิจูดจึงน้อยลงๆ เมื่อยิ่งห่างจากเส้นศูนย์สูตรออกไป

ค) วิธีการบอกตำแหน่งของจุดใดๆ ในแผนที่เป็นค่าพิกัดภูมิศาสตร์

1. พิกัดภูมิศาสตร์ จะมีแสดงไว้บนแผ่นแผนที่มาตรฐานทั่วๆ ไปและแผนที่บางชนิดมีเฉพาะระบบนี้เท่านั้น ที่ใช้ในการบอกตำแหน่งของจุดใดๆ ในแผนที่
2. เส้นขอบระวาง( neat lines) ของแผนที่ภูมิประเทศแบบมาตรฐานซึ่งผลิตขึ้นใช้ในประเทศไทยปัจจุบัน และที่นิยมใช้กันอยู่เกือบทั่วโลกขณะนี้ เส้นขอบบนและเส้นขอบล่างเป็นเส้นละติจูด เส้นด้านข้างทั้งสองเส้นเป็นเส้นลองจิจูดค่าของเส้นละติจูดและลองติจูดจะมีกำกับไว้ที่มุมทั้ง 4 ของขอบระวางแผนที่ ตามแนวเส้นขอบระวางแผนที่จะแสดงขีดส่วนแบ่งย่อยของค่าละติจูดและลองติจูดไว้ทั้งสี่ด้าน ถ้าต่อแนวเส้นตรงของขีดส่วนแบ่งย่อยดังกล่าวที่อยู่ตรงข้ามทั้ง 4 ด้าน เข้าไปภายในของระวางแผนที่แล้วจะพบเครื่องหมายกากบาทอันเป็นส่วนตัดกันของขีดส่วนแบ่งย่อยละติจูดและลองติจูด ความห่างของขีดส่วนแบ่งย่อยละติจูดและลองติจูดจะเป็นเท่าไรขึ้นอยู่กับขนาดมาตราส่วนของแผนที่

2. พิกัดกริด (Grid Coordinates)

พิกัดกริดเป็นพิกัดตารางสี่เหลี่ยมประกอบด้วยเส้นตรง 2 ชุด คือ เส้นตรงขนานกันในแนวนอนและเส้นตรงขนานกันในแนวตั้ง เส้นตรงทั้ง 2 ชุดนี้จะตัดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก

เส้นตรงขนานดังกล่าวจะพิมพ์ไว้บนแผ่นแผนที่ ที่เรียกว่า เส้นกริด แต่ละเส้นมีตัวเลขแสดงค่าพิกัดกริดนับจากจุดศูนย์กำเนิด( Origin) ของระบบพิกัดกริดนั้น ขนาดระยะห่างระหว่างเส้น

กริดคู่หนึ่งๆ ย่อมคงที่เสมอและจะมีระยะจริงตรงกับภูมิประเทศเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับขนาดมาตราส่วนของแผนที่ที่ผลิตขึ้นใช้ จุดศูนย์กำเนิดของระบบพิกัดกริดจะใช้ศูนย์กำเนิดจริง

(True Origin) หรือศูนย์กำเนิดสมมติ (False Origin) ย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละระบบ

ระบบพิกัดกริดมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะพิกัดกริดที่นิยมใช้ในกิจการทหาร ( Military Grid) ยุคปัจจุบันนี้เท่านั้น

ก. พิกัดกริดยูนิเวอร์ซัลทรานสเวอร์สเมอร์เคเตอร์ (Universal Transverse Mercator Grid) แผนที่มาตราส่วนใหญ่และมาตราส่วนปานกลางที่ใช้ในกิจการทหารส่วนมาก นอกจากจะมีระบบพิกัดภูมิศาสตร์ ( Geographic Coordinates) แล้วยังมีระบบกริดที่ใช้ช่วยในการกำหนดตำแหน่งและใช้อ้างอิงในการบอกตำแหน่งอีกด้วย การบอกตำแหน่งโดยอาศัยระบบกริดมีส่วนดีและสะดวกกว่าใช้ระบบพิกัดภูมิศาสตร์ เพราะตารางกริดมีขนาดเท่ากันและรูปร่างเหมือนกันทุกตาราง และพิกัดกริดให้ค่าเป็นระยะทางซึ่งง่ายแก่การกำหนดดีกว่าค่าง่ามมุม ระบบ UTM กริด มีลักษณะโดยย่อดังนี้

(1) ใช้ร่วมกับโปรเจคชั่นแบบ TRANSVERSE MERCATOR( Gauss Kruger) โดยแบ่งพิภพออกเป็นโซนละ 6 องศา ตามลองจิจูด โซนที่ 1 อยู่ระหว่างลองจิจูด 180 องศาตะวันตก กับลองจิจูด 174 องศาตะวันตก นับต่อเนื่องไปทางตะวันออกรอบพิภพรวม 60 โซน ซึ่งโซนที่ 60 จะอยู่ระหว่างลองจิจูด 174 องศาตะวันออกกับลองจิจูด 180 องศาตะวันออก

(2) สำหรับประเทศไทยใช้รัศมีของพิภพตามค่า Equatorial semi-axis a = 6,377,276.34518 เมตร ของ EVEREST SPHEROID

(3) ระบบพิกัด UTM กริด คลุมบริเวณตั้งแต่ละติจูด 80 องศาใต้ ถึงละติจูด 84 องศาเหนือ

(4) หน่วยที่ใช้ในการวัดเป็นเมตร โดยมีจุดศูนย์กำเนิดอยู่ที่จุดตัดกันระหว่างเส้นศูนย์สูตรกับเส้นเมริเดียนย่านกลาง ( Central Meridian) ของแต่ละโซน

(5) ค่าพิกัดมี 2 ค่า คือ พิกัดทางเหนือ (Northing) ใช้อักษรย่อว่า N และ พิกัดทางตะวันออก (Easting) ใช้อักษรย่อว่า E

(6) ค่าพิกัดของจุดศูนย์กำเนิดของแต่ละโซนเป็นค่าพิกัดสมมติเพื่อหลีกเลี่ยงค่าพิกัดที่เป็นลบ โดยกำหนดให้

* พิกัดของจุดศูนย์กำเนิดของแต่ละโซนทางซีกโลกเหนือ

False northing = 0 เมตร

False easting = 500, 000 เมตร

* พิกัดของจุดศูนย์กำเนิดของแต่ละโซนทางซีกโลกใต้

False northing = 10,000,000 เมตร

False easting = 500, 000 เมตร

(7) แต่ละโซนมีขนาดพื้นที่เท่ากัน แผนที่ที่คลุมบริเวณของแต่ละโซนมีขนาดเท่ากัน สำหรับแผนที่มาตราส่วนใหญ่จะมีส่วนเหลื่อมล้ำกันออกไปสองข้างรอยต่อโซนข้างละ 30 ลิปดา หรือ 25 ไมล์ เพื่อประโยชน์ในงานสำรวจด้านวิศวกรรมและการตรวจการยิงของปืนใหญ่

(8) เส้นกริดในทางตั้งจะขนานกับเมริเดียนย่านกลางของแต่ละโซน ส่วนเส้นกริดทางแนวนอนจะขนานกับเส้นศูนย์สูตร
(9) การกำหนดโซนของกริด (Grid Zone Designation)
* ระหว่างละติจูด 80 องศาใต้กับละติจูด 84 องศาเหนือแบ่งออกเป็น 20 ส่วนๆ ละ 8 องศา เฉพาะส่วนบนสุดเท่านั้นที่มีขนาด 12 องศา แต่ละส่วนใช้อักษรกำกับ เริ่มจากอักษร C ที่เป็นส่วนใต้สุด (ระหว่างละติจูด 80-72 องศาใต้) ขึ้นไปตามลำดับถึงอักษร X ยกเว้นอักษร I กับ O
* ระหว่างลองจิจูด 180 องศาตะวันตกเวียนไปทางตะวันออกถึงลองจิจูด 180 องศาตะวันออก แบ่งออกเป็น 60 ส่วนๆ ละ 6 องศา แต่ละส่วนใช้ตัวเลขกำกับ เริ่มส่วนที่ 1 ระหว่างลองจิจูด 180 องศาตะวันตกกับ 174 องศาตะวันตก นับไปทางตะวันออก จนถึงส่วนที่ 60 ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายอยู่ระหว่างลองจิจูด 174 องศาตะวันออกกับ 180 องศาตะวันออก (ลองจิจูด 180 องศาตะวันตกกับลองจิจูด 180 องศาตะวันออกเป็นเส้นเดียวกัน)

(10) การกำหนดรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแสนเมตร(100,000 meter square identification ) - เริ่มจากลองจิจูด 180 องศาตะวันตกนับไปตามเส้นศูนย์สูตรไปทางตะวันออกทุกๆ ระยะ 100,000 เมตร ให้อักษรกำกับ เริ่มจากอักษร A ถึง Z ยกเว้นอักษร I กับ O จะมีชุดตัวอักษรซ้ำกันทุกๆ 8 องศา หรือ 3 โซน

- ตามแนวเหนือ-ใต้ ซีกโลกภาคเหนือเฉพาะโซนหมายเลขคี่ เริ่มจากเส้นศูนย์สูตรขึ้นไปทุกๆ ระยะ 100,000 เมตร ให้ตัวอักษรกำกับเริ่มจากอักษร A ขึ้นไป ตามลำดับถึงอักษร V ยกเว้น I กับ O ส่วนโซนหมายเลขคู่เริ่มนับจากจุดที่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรลงไป 500,000 เมตร ระยะ 100,000 เมตรแรกใช้อักษร A กำกับและให้อักษรกำกับทุกๆ ระยะ 100,000 เมตรขึ้นมาตามลำดับจนถึงอักษร V ยกเว้นอักษร I กับ O จะมีชุดอักษรซ้ำกันทุกๆ ระยะ 2,000,000 เมตร
(11) การบอกค่าพิกัดกริดของระบบ UTM กริดที่สมบูรณ์จะต้องบอกตามลำดับดังต่อไปนี้

(ก) บอกให้ทราบชื่อโซนของกริด ( Crid Zone Designation ) เช่น 3P

(ข) บอกให้ทราบชื่อรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแสนเมตร เช่น ( 100,000 meter square identification) เช่น MN

(ค) บอกค่าพิกัดกริดของจุดที่พิจารณา ตามขนาดความละเอียดที่ต้องการ เช่น

24, 2142, 218427, 21834279………..
(12) การบอกค่าพิกัด UTM กริดของจุดใดๆ ขณะปฏิบัติการในโซนเดียวกัน เพื่อความรวดเร็วนิยมบอกเป็นค่าพิกัด E และ N เฉพาะหลักหมื่น หลักพัน (ซึ่งในแผนที่ 1: 50,000 ชุด L 708 และ L 7017 จะพิมพ์ไว้เป็นตัวเลขใหญ่กำกับเส้นกริด) และหลักร้อยซึ่งประมาณได้ในแผนที่ เช่น 218427

218 คือค่า E ( 8 คือ หลักร้อยที่ประมาณได้)

427 คือค่า N ( 7 คือ หลักร้อยที่ประมาณได้)

(13) การบอกค่าพิกัดของระบบ UTM กริดของจุดใดๆ ในโซนเดียวกันซึ่งต้องการค่า E และ N ที่สมบูรณ์ จะต้องเขียนให้ครบตามค่าพิกัดที่นับจากศูนย์สมมติ เช่น

พิกัดของจุด ก.
E = 748,600 เมตร
N = 1,546,415 เมตร

พิกัดของจุด ข.
E = 801,502 เมตร
N = 1,643,712 เมตร

(14) ปกติเส้นกริดของระบบ UTM จะมีค่าประจำอยู่ทุกเส้นระยะระหว่างเส้นสามารถอ่านประมาณได้ใกล้เคียงถึง 1/10 ของระยะห่างระหว่างเส้นกริดนั้น ถ้าต้องการอ่านให้ละเอียดถูกต้องกว่านั้นก็จำเป็นต้องใช้ Coordinate Scale ช่วยในการอ่านในรูปที่แสดงไว้จะเห็นตัวอย่างของ Coordinate Scale ที่ใช้อ่านพิกัดกริดของแผนที่มาตราส่วนต่างๆ ซึ่งผู้ใช้แผนที่สามารถสร้างขึ้นใช้เองได้

ข. พิกัดยูนิเวอร์ซัลโพล่าร์ สเตริโอกราฟฟิค( The Universal Polar Stereographic Grid) ระบบ UPS มีลักษณะโดยย่อดังต่อไปนี้
1. ใช้ร่วมกับโปรเจคชั่นแบบ Polar Stereographic
2. ระบบพิกัด UPS คลุมบริเวณตั้งแต่ละติจูด 84 องศาเหนือขึ้นไปถึงขั้วโลกเหนือและบริเวณตั้งแต่ละติจูด 80 องศาใต้ ลงไปถึงขั้วโลกใต้ ซึ่งเป็นบริเวณพื้นผิวพิภพที่ไม่ได้ถูกครอบคลุมด้วยระบบ UTM
3. ลักษณะเส้นกริดของระบบ UPS คล้ายกับลักษณะเส้นกริดของ UTM คือ ประกอบด้วยเส้นตรงขนานสองชุดตัดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก แต่เส้นกริดในแนวยืนระบบ UPS ขนานกับเส้นลองจิจูด 0 และ 180 องศา เส้นกริดในแนวนอนขนานกับเส้นลองจิจูด 90 องศา
4. ศูนย์กำเนิดของเส้นกริดอยู่ ณ ขั้วของพิภพ โดยสมมติให้มีค่า EASTING =2,000,000 เมตร และค่า NORTHING = 2,000,000 เมตร
5. การกำหนดโซนของกริด ( Grid Zone Designation) ใช้เส้นลองจิจูด 0 และ 180 องศา เป็นเส้นแบ่งพื้นที่บริเวณขั้วโลกที่ระบบนี้ครอบคลุมอยู่ออกเป็นสองส่วน เป็นส่วนตะวันตกและส่วนตะวันออก ทางขั้วโลกเหนือใช้อักษร Y และ Z กำกับ ส่วนทางขั้วโลกใต้ใช้อักษร A และ B กำกับ

ค. The World Geographic Reference System (GEOREF) GEOREF เป็นระบบอ้างอิงที่ใช้ในการกำหนดตำแหน่งที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ เป็นผู้ริเริ่มนำมาใช้ ซึ่งสามารถใช้ได้กับแผนที่ใดๆ ที่มีค่าละติจูดและลองจิจูดกำกับอยู่ด้วย ระบบยีออเรฟมีกฎการแบ่งที่สามารถจดจำได้ง่ายๆ ดังนี้

(1) แบ่งผิวพิภพตามค่าลองจิจูดออกเป็น โซน(zone) โซนละ 15 องศา เริ่มโซนแรกระหว่างลองจิจูด 180 องศา กับ 165 องศา ตะวันตก นับเวียนไปทางตะวันออกได้ 24 โซนให้อักษรประจำโซน เริ่มตั้งแต่อักษร A ถึง Z ยกเว้นอักษร I กับ O

(2) แบ่งผิวพิภพตามค่าละติจูดออกเป็นแถบ ( band ) แถบละ 15 องศา เริ่มจากขั้วโลกใต้ไปหาขั้วโลกเหนือได้ 12 แถบ ให้อักษรประจำแถบ เริ่มตั้งแต่อักษร A ถึงอักษร M ยกเว้นอักษร I

(3) การแบ่งตามข้อ (1) และ (2) จะทำให้ผิวพิภพถูกแบ่งออกเป็นรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งกั้นด้วยละติจูดและลองจิจูด ห่างกัน 15 องศา รวมทั้งสิ้น 288 รูป แต่ละรูปมีอักษร 2 ตัว กำกับ การอ่านอักษรประจำรูปสี่เหลี่ยมคงถือหลักการอ่านจากซ้ายไปขวาแล้วขึ้นบน ( Read Right-Up)

(4) แบ่งรูปสี่เหลี่ยม15 องศา X 15องศา ตามที่กล่าวแล้วในข้อ (3) นั้นออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อยขนาด 1 องศา X 1 องศา จำนวน 225 รูป คือ แบ่งตามลองจิจูดออกเป็นโซนละ 1 องศา ได้ 15 โซน ให้อักษรประจำโซนเริ่มจากตะวันตกไปตะวันออก ตั้งแต่อักษร A ถึงอักษร Q ยกเว้นอักษร I กับ O และแบ่งตามละติจูตออกเป็นแถบละ 1 องศา ได้ 15 แถบให้อักษรประจำแถบ เริ่มจากใต้ไปเหนือ ตั้งแต่ อักษร A ถึงอักษร Q ยกเว้นอักษร I กับ O ดังนั้นการบอกตำแหน่งของรูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 องศา X 1 องศา นี้จึงบอกเป็นตัวอักษรสี่ตัว คือ อักษรสองตัวแรกเป็นอักษรประจำรูปสี่เหลี่ยม ขนาด 15 องศา X 15 องศา ที่รูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 องศา X 1 องศา ประจำอยู่และอักษรสองตัวหลังเป็นอักษรประจำรูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 องศา X 1 องศา เอง

(5) ในรูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 องศา X 1 องศา ดังกล่าวแล้วในข้อ (4) นั้น แบ่ง ออกเป็นรูปเหลี่ยมขนาด 1 ลิปดา X 1 ลิปดา จำนวน 3,600 รูปคือ แบ่งตามลองจิจูด จากตะวันตกไปทางตะวันออกโซนละ 1 ลิปดา ได้ 60 โซน ให้ตัวเลขประจำโซนเริ่มด้วย 00, 01 ……….. ถึง 59 และแบ่งตามละติจูดจากใต้ไปเหนือเป็นแถบละ 1 ลิปดา ได้ 60 แถบ ให้ตัวเลขประจำแถบเริ่มด้วยเลข 00,01 ……….. ถึง 59 การอ่านค่าคงถือหลักอ่านจากซ้ายไปขวาแล้วขึ้นบนเช่นเดียวกัน ดังนั้นการกำหนดตำแหน่งของรูปสี่เหลี่ยมขนาด1 ลิปดา X 1 ลิปดา จึงบอกเป็นค่าที่ประกอบด้วยตัวอักษรสี่ตัวและเป็นตัวเลขสี่ตัว

(6) ในรูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 ลิปดา X 1 ลิปดา ดังกล่าวแล้วในข้อ (5) สามารถที่จะแบ่งออกไปได้ด้านละ 10 ส่วน ทั้งตามค่าละติจูดและค่าลองติจูด ส่วนหนึ่งๆ จึงมีค่าเท่ากับ 0.1 ลิปดา สรุปแล้วการกำหนดค่าของจุดใดๆ ในระบบ GEOREF จึงกำหนดเป็นค่าพิกัดที่ประกอบด้วยตัวอักษร 4 ตัว และ ตัวเลข 6 ตัว โดยอาศัยหลักการอ่านจากซ้ายไปขวาแล้วขึ้นบน
3. การกำหนดตำแหน่งในแผนที่ เมื่อใช้แผนที่ในภูมิประเทศ

เมื่อนำแผนที่ไปใช้ในภูมิประเทศ สิ่งที่ผู้ใช้แผนที่ควรจะต้องทราบและสามารถปฎิบัติได้ซึ่งถือเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับผู้ใช้แผนที่ มีอยู่ 3 เรื่อง ดังนี้
1) การวางแผนที่ให้ถูกทิศทาง การวางแผนที่ให้ถูกทิศทางเป็นการปฎิบัติขั้นแรกของการใช้แผนที่ในภูมิประเทศเมื่อแผนที่ถูกวางให้ถูกทิศทางแล้ว ทิศเหนือในแผนที่จะชี้ไปทางทิศเหนือในภูมิประเทศ ทิศทางของรายละเอียดใดๆ ที่มีแสดงไว้ในแผนที่ก็จะอยู่ในทิศทางที่สมจริงกับรายละเอียดที่ตรงกันซึ่งปรากฏอยู่ในภูมิประเทศ

ก) วิธีวางแผนที่ให้ถูกทิศทางที่สามารถกระทำได้เร็วที่สุด คือ วิธีการใช้เข็มทิศ โดยวางเข็มทิศให้ขอบตลับเข็มทิศทาบขนานไปตามแนวทิศเหนือในแผนที่ หมุนแผนที่ซึ่งมีตลับเข็มทิศวางทาบทับอยู่นั้นไปจนกว่าปลายเข็มทิศแม่เหล็กจะชี้ตรงเครื่องหมายแสดงทิศเหนือในตลับเข็มทิศ ขณะหมุนแผนที่จะต้องคอยระวังอย่าให้ขอบตลับเข็มทิศเคลื่อนจากแนวทิศเหนือของแผนที่

ข) ในกรณีที่ไม่มีเข็มทิศใช้ก็สามารถวางแผนที่ให้ถูกทิศได้ โดยอาศัยการวางแผนที่ให้รายละเอียดที่มีอยู่ในแผนที่ ชี้ไปในทิศทางเดียวกันกับรายละเอียดที่ตรงกัน ซึ่งปรากฏอยู่ในภูมิประเทศ เพื่อความมั่นใจในการจัดวางโดยวิธีนี้ควรจะใช้รายละเอียดที่เห็นเด่นชัดอย่างน้อย 2 ที่หมาย

ค)ในกรณีที่ไม่มีรายละเอียดในภูมิประเทศเพียงพอหรือมีแต่ไม่สามารถใช้เป็น ที่หมายในการจัดวางแผนที่ให้ถูกทิศทางได้ก็จำเป็นต้องใช้วิธีหาแนวทิศเหนือ ในภูมิประเทศ ซึ่งจะได้อธิบายไว้ในเรื่องการหาทิศทางโดยอาศัยธรรมชาติช่วยในตอนต่อไป เมื่อกำหนดแนวทิศเหนือในภูมิประเทศได้แล้วก็สามารถวางแผนที่ให้ทิศเหนือใน แผนที่ชี้ไปทางทิศเหนือในภูมิประเทศได้

2) การหมายจุดที่อยู่ของตัวผู้ใช้ลงในแผนที่ ผู้ใช้แผนที่ในภูมิประเทศจะต้องทราบอยู่ตลอดเวลาว่าขณะที่ตนอยู่ในภูมิประเทศนั้นอยู่ตรงจุดใดในแผนที่ วิธีหมายจุดที่อยู่ของตัวผู้ใช้ลงในแผนที่มีวิธีปฏิบัติได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของผู้ใช้ เครื่องมือและอุปกรณ์ ย่านเวลาและสิ่งแวดล้อมฯ ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นวิธีการง่ายๆ ซึ่งผู้ใช้แผนที่โดยทั่วไปสามารถปฏิบัติได้

ก) วิธีหมายจุดที่อยู่ของตัวผู้ใช้ลงในแผนที่อย่างง่ายที่สุด คือ การตรวจสอบดูว่าใน ภูมิประเทศบริเวณใกล้เคียงที่ตนอยู่นั้นมีอะไรเป็นที่สังเกตได้บ้าง เช่น ทางร่วม ทางแยก ลูกเนิน หนอง คลอง บึง ชายป่า อาคาร ฯลฯ แล้วตรวจดูรายละเอียดที่ตรงกันในแผนที่ประมาณตำแหน่งลงไปให้ใกล้เคียงที่สุด

ข) วิธีเล็งสกัดกลับ (Resection) เป็นวิธีหมายจุดที่อยู่ของตัวผู้ใช้ลงในแผนที่วิธีหนึ่งซึ่งอาศัยแนวเล็งผ่านจุดที่กำหนดได้แน่นอน ซึ่งมีอยู่ตรงกันทั้งในแผนที่และใน ภูมิประเทศ 2 ทิศทาง ขีดแนวเล็งทั้งสองนั้นกลับมาตัดกัน จุดตัดกัน ของแนวเล็ง ดังกล่าวคือตำแหน่งของผู้ใช้แผนที่

3) การกำหนดตำแหน่งของที่หมายในภูมิประเทศลงในแผนที่ วิธีที่จะกำหนดตำแหน่งของที่หมายใดๆ ในภูมิประเทศลงไปในแผนที่ กระทำได้หลายวิธี ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะวิธีการง่ายๆ ซึ่งผู้ใช้แผนที่ทั่วไปสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

ก) วิธีที่ง่ายที่สุด คืออาศัยพิจารณารายละเอียดที่ปรากฏอยู่ใกล้ๆ โดยรอบที่หมายนั้นในภูมิประเทศ และรายละเอียดดังกล่าวมีแสดงไว้แล้วในแผนที่เป็นหลักประมาณระยะห่างและทิศ ทางเทียบเคียงแล้วก็กำหนดตำแหน่งของที่หมายลงไปในแผนที่ได้ทันที

ข) วิธีเล็งสกัดตรง( Intersection ) เป็นวิธีการกำหนดตำแหน่งของที่หมายใดๆ ในภูมิประเทศ ที่ไม่มีปรากฏอยู่ก่อนในแผนที่เพิ่มเติมลงในแผนที่ โดยอาศัยการเล็งแนวจากจุดที่กำหนดได้แน่นอนในแผนที่อย่างน้อย 2 จุด ไปยังที่หมายนั้น



* วิธีการพิจารณาลักษณะความสูงต่ำของพื้นผิวภูมิประเทศจากแผนที่

วิธีการแสดงลักษณะความสูงต่ำของพื้นผิวภูมิประเทศหลายวิธี แต่ละวิธีมีหลักการแสดงและวิธีการพิจารณาลักษณะความสูงต่ำและรูปแบบของพื้นผิวภูมิประเทศ ดังนี้

1. เส้นชั้นความสูง ( Contour Lines )

ก) เส้นชั้นความสูง คือ เส้นที่แสดงไว้ในแผนที่ โดยสมมติว่าเป็นเส้นที่ลากผ่านจุดบนพื้นผิวพิภพที่มีระดับความสูงเท่ากัน

ข) เส้นชั้นความสูง แสดงระยะตามแนวยืน เหนือหรือใต้พื้นหลักฐานการระดับตามปกติเส้นชั้นความสูงเส้นที่มีค่าเป็น ศูนย์อยู่ที่ระดับน้ำทะเลปานกลาง ( ใช้ระดับน้ำทะเลปานกลางเป็นพื้นหลักฐานการระดับ ) ดังนั้นเส้นชั้นความสูงแต่ละเส้นที่มีค่าเป็นบวกจึงเป็นเส้นชั้นความสูงที่ แสดงค่าความสูงเหนือระดับน้ำทะเลปานกลางและเส้นชั้นความสูงที่มีค่าเป็นลบ เป็นเส้นชั้นความสูงที่แสดงค่าความสูงใต้ระดับน้ำทะเลปานกลาง ระยะตามแนวยืนระหว่างเส้นชั้นความสูงเรียกว่า ช่วงห่างเส้นชั้นความสูง (Contour Interval) ค่าช่วงห่างระหว่างเส้นชั้นความสูงในแผนที่จะแจ้งไว้ในรายการนอกขอบระวาง แผนที่ลายเส้นซึ่งพิมพ์สีโดยทั่วไปจะพิมพ์เส้นชั้นความสูงเป็นสีน้ำตาล และทุกๆ ห้าเส้นจะเป็นเส้นหนากว่าปกติ เส้นดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า เส้นชั้นความสูงหลัก ( Index Contour) เส้นชั้นที่อยู่ระหว่างเส้นชั้นความสูงหลักเรียกว่า “ เส้นชั้นความสูงรอง” ( Intermediate Contours) เป็นเส้นที่บางกว่าและไม่มีตัวเลขแสดงค่ากำกับ

ค) การหาค่าความสูงของจุดใดๆ ในแผนที่ที่แสดงความสูงต่ำของพื้นผิวภูมิประเทศด้วยเส้นชั้นความสูง

ง) ในแผนที่บริเวณที่เส้นชั้นความสูงมีระยะห่างตามแนวนอนมาก เช่น บริเวณที่มีมุมของลาดน้อยหรือบริเวณที่ใกล้จะเป็นพื้นราบ ย่อมเป็นการยากที่จะประมาณค่าความสูงของจุดต่างๆ ให้ใกล้เคียงความจริงได้ ในกรณีเช่นนี้ผู้ผลิตแผนที่นิยมเขียน “ เส้นชั้นแทรก ” (Supplementary Contours) เพิ่มขึ้นในบริเวณนั้น เส้นชั้นแทรกที่เขียนขึ้นจะมีลักษณะเป็นเส้นประสีน้ำตาล แสดงค่า ครึ่งหนึ่งของช่วงห่างเส้นชั้นความสูง

จ) นอกจากจะแสดงลักษณะความสูงต่ำของพื้นผิวภูมิประเทศด้วยเส้นชั้นความสูงแล้ว ใน แผนที่แผ่นเดียวกันนั้นยังอาจมีหมุดหลักฐานการระดับหรือจุดที่บอกค่าความสูงอยู่ในบางบริเวณด้วย ตามปกติจะแสดงจุดที่บอกค่าความสูงไว้ตามยอดภูเขา ยอดเนิน คอเขา จมูกเขา ทางแยก และบริเวณที่เส้นชั้นความสูงอยู่ห่างกันมากๆ ฯลฯ

ฉ) ระยะห่างทางแนวนอนของเส้นชั้นความสูงและรูปแบบของเส้นชั้นความสูงแสดงให้เห็นถึงลักษณะความสูงต่ำและรูปแบบของพื้นผิวภูมิประเทศ

ช) การหาความลาดจากเส้นชั้นความสูง

ความลาด คือ อัตราส่วนของความต่างในทางระดับระหว่างจุด 2 จุด กับระยะตามแนวนอนระหว่างจุดสองจุดนั้น หรือ

ความลาด = ระยะตามแนวยืน / ระยะตามแนวนอน

ระยะตามแนวนอนระหว่างจุดสองจุดที่จะพิจารณาความลาด สามารถหาได้ด้วยการวัดระยะระหว่างจุด 2 จุดนั้นในแผนที่ด้วยบรรทัด แล้วแปลงเป็นระยะจริงในภูมิประเทศ หรืออ่านค่าพิกัดของจุดทั้งสองแล้วคำนวณหาระยะก็ได้

ระยะตามแนวยืนสามารถหาได้ด้วยการอ่านค่าจากเส้นชั้นความสูงของจุดทั้งสอง (จุดต้นและจุดปลายลาดที่พิจารณา) ตามวิธีหาค่าความสูงของจุดโดยอาศัยเส้นชั้นความสูงนำมาหักลบกันก็จะได้ความ สูงต่างหรือระยะตามแนวยืน(ระยะตามแนวนอนและระยะตามแนวยืนต้องเป็นหน่วยเดียว กัน)

2. แถบสี ( Layer Tinting )

ในแผนที่มาตราส่วนเล็กที่พิมพ์หลายสีมักจะใช้แถบสีแสดงระดับความสูงต่ำของพื้นผิว ภูมิประเทศโดยกำหนดแถบสีต่างๆ ตามช่วงของระดับความสูง เช่น บนภาคพื้นดิน ใช้สีเขียวแก่กับช่วงระดับ

ที่ต่ำสุด สูงขึ้นไปใช้สีเขียวอ่อน สีเหลือง สีเหลืองแก่ สีส้ม และ สีแดง ฯลฯ ตามลำดับ ในทะเลหรือมหาสมุทรบริเวณที่ตื้นที่สุดใช้สีขาว ลึกลงไปใช้สีน้ำเงินอ่อน และเพิ่มความเข้มของสีน้ำเงินขึ้นเรื่อยๆ ตามความลึกจนกระทั่งถึงสีน้ำเงินเข้มที่สุดที่ความลึกสุด เป็นต้น การใช้สีแสดงความสูงอาจใช้สีแตกต่างไปจากที่กล่าวมาแล้วทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ออกแบบแผนที่ที่จะคิดค้นสีขึ้นใช้ให้ผู้ใช้แผนที่มองเห็นลักษณะความสูงต่ำ ของผิวภูมิประเทศ สอดคล้องกับที่เป็นอยู่จริงตามธรรมชาติ

3. เส้นลายขวานสับ ( Hachures )

แผนที่ที่มีขนาดมาตราส่วนเล็กมากนิยมใช้เส้นลายขวานสับแสดงภาพของภูเขามาตั้งแต่

สมัยโบราณจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ลักษณะของเส้นลายขวานสับเป็นขีดสั้นๆ ปลายข้างหนึ่งหนาอีกข้างหนึ่งบาง คล้ายลอยปลายคมขวางที่สับลงบนแผ่นกระดาน นักแผนที่สมัยก่อนจึงนิยมเรียกลายขวานสับ ลายขวานสับจะใช้ร่วมกันเรียงเป็นแถว เป็นวงซ้อนๆ กัน แล้วแต่ลักษณะภูมิประเทศปลายด้านบางของลายขวานสับจะชี้ลงสู่ที่ต่ำ ลายขวานสับถ้าใช้แสดงภูเขาหรือลูกเนินเป็นวง ๆ ความถี่ของลายขวานสับจะมีมากบริเวณใกล้ยอดเขาและค่อยๆ ห่างออกสำหรับวงที่มีระดับต่ำลงมาตามลำดับ

4. เงา ( Shaded Relief) การให้เงาเป็นวิธีการหนึ่งของการแสดงลักษณะความสูงต่ำของพื้นผิวภูมิประเทศ หลักการให้เงา นิยมถือหลักว่ามีแสงส่องมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้านที่อยู่ตรงข้ามกับทิศทางที่แสงส่องจะเกิดเงาสีดำ ความต่างของความเข้มของเงาจะช่วยให้เห็นลักษณะความสูงต่ำที่แตกต่างกัน ที่สูงชันเงาจะเข้มมาก ถ้าเป็นที่ลาดเงาจะมีสีจาง

5. เส้นรูปลักษณะ ( Form Lines) เป็นเส้นที่เขียนขึ้นตามรูปลักษณะของลูกเนินหรือภูเขา มองดูคล้ายเส้นชั้นความสูง แต่เส้นรูปลักษณะไม่ได้ลากผ่านจุดที่มีความสูงเท่ากันไม่มีค่าสัมพันธ์กับพื้นหลักการระดับใดๆ แม้ว่าจะพยายามเขียนโดยมีแนวความคิดว่าให้ขนานกับพื้นระดับน้ำทะเลปานกลางก็ตาม แต่ก็เป็นไปโดยประมาณเท่านั้น จึงไม่สามารถจะหาค่าความสูงใดๆ จากเส้นรูปลักษณะได้มีประโยชน์เพียงให้นึกภาพความสูงต่ำของลักษณะภูมิประเทศบริเวณนั้นออกเท่านั้น

* วิธีหาระยะ

ก. ระยะ

ระยะในภูมิประเทศจริงนั้นมีอยู่ 3 ชนิดคือ

1) ระยะตามแนวนอน ( Horizontal Distance ) ได้แก่ ระยะห่างระหว่างสองจุดที่วัดไปตามแนวระดับ ( Horizontal Line )

2) ระยะตามแนวยืน ( Vertical Distance ) ได้แก่ ระยะห่างระหว่างจุดสองจุดที่วัดไปตามแนวเส้นดิ่ง ( Vertical Line )

3) ระยะตามลาด ( Slope Distance ) ได้แก่ ระยะห่างระหว่างจุดสองจุดที่วัดไปตามลาด ( Slope )

ข. ความสัมพันธ์ระหว่างมาตราส่วนของแผนที่กับระยะ

มาตราส่วนของแผนที่ ( Map Scale ) คือ อัตราส่วนการย่อพื้นผิวภูมิประเทศลงมาสร้างเป็นแผนที่ให้มีขนาดกระทัดรัดเหมาะสมแก่การนำไปใช้งาน ดังนั้นมาตราส่วนของแผนที่จะบอกให้ทราบถึงอัตราส่วนการย่อระยะตามแนวนอนในภูมิประเทศมาเป็นระยะในแผนที่ คือ

มาตราส่วนของแผนที่ = ระยะในแผนที่ / ระยะตามแนวนอนในภูมิประเทศ

ค. การหาระยะตามแนวนอนในภูมิประเทศจากแผนที่

1) หาระยะตามแนวนอนโดยอาศัยมาตราส่วนแบบเศษส่วน สามารถกระทำได้ด้วยการวัดระยะระหว่างจุดที่ต้องการทราบระยะบนแผนที่ด้วยบรรทัด ได้ระยะเท่าไรแล้วนำไปคูณกับตัวเลขที่เป็นส่วนของมาตราส่วนแผนที่

2) หาระยะตามแนวนอนโดยอาศัยมาตราส่วนแบบบรรทัด

การหาระยะตามแนวนอนในภูมิประเทศจากแผนที่โดยอาศัยมาตราส่วนแบบบรรทัด ( Graphic Scale or Bar Scale ) นั้น ไม่มีปัญหายุ่งยากเกี่ยวกับการคำนวณเพราะตามปกติแล้วแผนที่ ภูมิประเทศแบบลายเส้นทั่ว ๆ ไปจะมีมาตราส่วนแบบบรรทัดพิมพ์ติดไว้ที่นอกขอบระวางด้านล่าง อย่างเช่นแผนที่ชุด L 7017 มีมาตราส่วนแบบบรรทัดพิมพ์ไว้ถึง 4 ชนิดตามหน่วยวัดความยาว คือ เป็นไมล์ เมตร หลา และไมล์ทะเล เพียงแต่ใช้วิธีการรังวัดเปรียบเทียบก็จะทราบระยะตามต้องการ

3) หาระยะตามแนวนอนในแผนที่ที่ไม่ปรากฏมาตราส่วน

ในกรณีที่ไม่ทราบมาตราส่วนของแผนที่ จำเป็นต้องหามาตราส่วนของแผนที่ให้ได้เสียก่อน แล้วจึงจะหาระยะระหว่างจุดใด ๆ ในแผนที่ดังกล่าวแล้วได้ การหามาตราส่วนของแผนที่สามารถกระทำได้ 2 วิธีดังนี้

ก) เปรียบเทียบระยะในแผนที่กับระยะในภูมิประเทศที่ตรงกัน

ข) เปรียบเทียบกับแผนที่แบบอื่นที่คลุมพื้นที่บริเวณเดียวกันและทราบมาตราส่วนแล้ว

4) หาระยะตามแนวนอนในภูมิประเทศจากแผนที่ โดยอาศัยล้อวัดระยะล้อวัดระยะเป็นเครื่องมือวัดระยะในแผนที่ ประกอบด้วยหน้าปัทม์บอกระยะ ลูกล้อเล็ก ๆ และด้ามถือบนหน้าปัทม์มีเข็มเล็ก ๆ คล้ายเข็มนาฬิกา ทำหน้าที่ชี้บอกระยะที่ลูกล้อเคลื่อนที่ไปตามแนวของระยะที่ต้องการวัด

* วิธีหาทิศทาง

1. หน่วยในการกำหนดทิศทาง

ตามปกติหน่วยในการกำหนดทิศทางเป็นค่าของง่ามมุม ซึ่งมีอยู่หลายระบบด้วยกัน เท่าที่นิยมใช้อยู่ในปัจจุบันมี 3 ระบบ คือ
1) องศา ( Degree ) เป็นหน่วยที่ใช้ในการกำหนดขนาดของง่ามมุมที่ใช้อยู่อย่างแพร่หลายที่สุด เครื่องมือที่สร้างขึ้นมาใช้ในการวัดมุมที่ต้องการความละเอียดถูกต้องสูง ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีหน่วยเป็นองศา ลิปดา และพิลิปดา โดยกำหนดให้มุมรอบจุดมีค่าเท่ากับ 360 องศา 1 องศามีค่าเท่ากับ 60 ลิปดา และ 1 ลิปดา มีค่าเท่ากับ 60 พิลิปดา

2) เกรด ( Grade ) เป็นหน่วยที่ใช้ในการกำหนดขนาดของง่ามมุมที่มีใช้อยู่ในงานสำรวจด้านวิศวกรรมและงานก่อสร้างบางแห่ง โดยกำหนดให้มุมรอบจุดมีค่าเท่ากับ 400 เกรด ซึ่งเป็นหน่วยลงตัวง่ายๆ

3) มิล ( Mil ) เป็นหน่วยที่ใช้ในการกำหนดขนาดของง่ามมุมในกิจการทหารบางสาขา เช่น การบอกที่หมายเพื่อการยิงอาวุธของทหารราบ หรือการตั้งยิงและปรับมุมยิงของปืนใหญ่ เป็นต้น โดยกำหนดให้มุมรอบจุดมีค่าเท่ากับ 6,400 มิล
2. เส้นฐานสำหรับกำหนดทิศทาง ( Direction base lines )

การวัดสิ่งต่าง ๆ ย่อมต้องมีจุดเริ่มต้น การวัดทิศทางก็ต้องมีแนวเริ่มหรือแนวทิศทางที่เป็นศูนย์ ซึ่งเรียกว่า "เส้นฐานสำหรับกำหนดทิศทาง" ที่ใช้เป็นสากลอยู่ในปัจจุบันนิยมใช้แนวทิศเหนือเป็นทิศหลักซึ่งมีอยู่ 3 ชนิด คือ

1. ทิศเหนือจริง ( True North ) ได้แก่ แนวที่ลากจากจุดใดจุดหนึ่งบนพื้นผิวพิภพไปสู่จุดขั้วโลกเหนือ เส้นลองจิจูดทุกเส้นชี้ไปในทิศทางของทิศเหนือจริง แนวทิศเหนือจริงในแผนที่ภูมิประเทศที่ใช้เป็นแผนที่มูลฐาน ปัจจุบันใช้รูปดาวเป็นเครื่องหมาย
2. ทิศเหนือแม่เหล็ก ( Magnetic North ) คือ แนวทิศเหนือที่กำหนดขึ้นโดยใช้เข็มทิศแม่เหล็กในแผนที่ภูมิประเทศที่ใช้เป็นแผนที่มูลฐานปัจจุบัน ใช้รูปหัวลูกศรซีกเดียวเป็นเครื่องหมายแสดงแนวทิศเหนือแม่เหล็ก
3. ทิศเหนือกริด ( Grid North ) คือ แนวทิศเหนือที่ขนานกับเส้นกริดในทางตั้ง ในแผนที่ภูมิประเทศที่ใช้เป็นแผนที่มูลฐานปัจจุบันใช้อักษร GN เป็นเครื่องหมายกำกับแนวทิศเหนือกริด

3. อาซีมุทและอาซีมุทกลับ ( Azimuth and Back Azimuth)

1. วิธีกำหนดทิศทางที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน คือการใช้ค่าอาซีมุท อาซีมุท คือ ค่าของมุมราบที่นับเวียนตามเข็มนาฬิกาจากเส้นฐานสำหรับกำหนดทิศทางไปยังทิศทางของที่หมาย เนื่องจากเส้นฐานสำหรับกำหนดทิศทางมี 3 ชนิด อาซีมุทจึงมี 3 ชนิด ตามไปด้วยคือ

ก) อาซิมุทจริง ( True Azimuth ) คือ อาซิมุทที่วัดจากแนวทิศเหนือจริงเป็นเส้นฐานในการกำหนดทิศทาง

ข) อาซิมุทแม่เหล็ก ( Magnetic Azimuth ) คือ อาซิมุทที่วัดจากแนวทิศเหนือแม่เหล็กเป็นเส้นฐานในการกำหนดทิศทาง

ค) อาซิมุทกริด ( Grid Azimuth ) คือ อาซิมุทที่วัดจากแนวทิศเหนือกริดเป็นเส้นฐานในการกำหนดทิศทาง
2. อาซีมุทกลับ คือ ค่าของมุมราบที่นับจากแนวเส้นฐานสำหรับกำหนดทิศทางเวียนตามเข็มนาฬิกาไปยังทิศทางที่อยู่ตรงข้ามกับทิศทางของที่หมาย ค่าอาซีมุทกลับหาได้จากค่าอาซีมุท คือ เอา 180 องศา บวกกับค่าอาซีมุทในกรณีที่ค่าอาซีมุทน้อยกว่า 180 องศา แต่ในกรณีที่ค่าอาซีมุทมากกว่า 180 องศา ให้เอา 180 องศา ลบออก

4. แบริ่ง ( Bearings)

แบริ่ง ( Bearing ) เป็นระบบการบอกทิศทางแบบหนึ่งซึ่งการบอกทิศเป็นค่าง่ามมุมนับจากแนวอ้างอิง ส่วนเหนือหรือส่วนใต้เวียนตามเข็มหรือทวนเข็มนาฬิกาไปสู่แนวที่หมาย ค่าแบริ่งจะอยู่ระหว่าง 1- 90 องศาหรือเศษหนึ่งส่วนสี่ของวงกลม การกำหนดค่าแบริง จะต้องบอกข้อมูลที่จำเป็นต่อไปนี้

1. แนวอ้างอิงที่จะใช้เพื่อการวัด( ส่วนเหนือหรือส่วนใต้)
2. ขนาดง่ามมุม
3. ทิศทางที่จะวัดค่ามุมเวียนไปทางตะวันออกหรือตะวันตก

* วิธีการบอกตำแหน่งในแผนที่ โดยอาศัยระยะและทิศทาง

ระยะที่จะใช้ในการบอกตำแหน่งของจุดใด ๆ ในแผนที่ คือ ระยะตามแนวนอนที่วัดได้ในแผนที่นั้น สำหรับทิศทางที่ใช้ประกอบในการบอกระยะอาจจะใช้ค่าอาซีมุทหรือแบริ่งได้ หน่วยในการบอกระยะและทิศทางสามารถเลือกใช้ได้ตามความสะดวกและความเหมาะสม การบอกตำแหน่งด้วยวิธีนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "การกำหนดตำแหน่งโดยอาศัยพิกัดโพล่าร์"

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาไทย โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน lmyour แปลภาษา แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ไทยแปลอังกฤษ ประโยค แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แปลภาษาอาหรับ-ไทย Terjemahan พจนานุกรมศัพท์ทหาร หยน แปลภาษา มาเลเซีย ไทย Bahasa Thailand ข้อสอบภาษาอังกฤษ พร้อมเฉลย pdf บบบย tor คือ จัดซื้อจัดจ้าง การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 ชขภใ ยศทหารบก เรียงลําดับ ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง เขียน อาหรับ แปลไทย แปลภาษาอิสลามเป็นไทย Google map กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย ค้นหา ประวัติ นามสกุล อาจารย์ ตจต แจ้ง ประกาศ น้ำประปาไม่ไหล แปลบาลีเป็นไทย แปลภาษา ถ่ายรูป แปลภาษาจีน แปลภาษามลายู ยาวี โรงพยาบาลภมูพลอดุยเดช ที่อยู่ Google Drive Info TOR คือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ช่างไฟฟ้า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 กลยุทธ์ทางการตลาด มีอะไรบ้าง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีอะไรบ้าง การประปาส่วนภูมิภาค การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 ขขขขบบบยข ่ส ข่าว น้ำประปา วันนี้ ข้อสอบโอเน็ต ม.6 มีกี่ตอน ตารางธาตุ ประปาไม่ไหล วันนี้