เราเชื่อว่าถ้าเลือกได้ หลายคนคงไม่มีใครอยากจะมี"หนี้"ติดตัว ที่ต้องจ่ายกันทุกสิ้นเดือนหรอก แต่ถ้าไม่มีเงินกู้ ชีวิตมันก็อาจจะไปต่อไม่ได้ เช่น คนประกอบอาชีพค้าขาย ถ้าเงินทุนตัวเองไม่พอ ก็ต้องกู้ยืมมาขยายกิจการ หรือบางคนที่อยากจะซื้อบ้าน ก็จำเป็นต้องกู้เงินเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราจำเป็นต้องสร้างหนี้ สิ่งสำคัญที่พี่ ป้า น้า อา ควรต้องรู้ก่อนเป็นหนี้ 2 อย่างก็คือ
เขาคิดดอกเบี้ยเราแบบไหน
เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อที่เราจะได้วางแผนการเงินในการจ่ายชำระหนี้ได้ถูกต้อง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการคิดดอกเบี้ยก็จะมี 2 แบบ คือ
การคิดดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่
คือ เจ้าหนี้จะคิดดอกเบี้ยเราจากยอดเงินที่เรากู้ทั้งหมดคงที่ตลอดอายุสัญญา แม้ว่าเราจะผ่อนไปบ้างแล้วดอกเบี้ยก็ไม่ลดลงตามต้นเงินครับ
ตัวอย่างเช่น กู้เงินมา 15,000 บาท ดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 15 ต่อปี ระยะเวลาผ่อน 12 เดือน ซึ่งดอกเบี้ยทั้งหมดจะอยู่ที่ 2,250 บาท เจ้าหนี้ก็จะเอาไปบวกกับเงินที่กู้ไป รวมเป็นเงิน 17,250 บาท แล้วก็เอามาหาร 12 เดือน ก็จะได้เงินที่ต้องจ่ายคืนเจ้าหนี้ ต่อเดือนๆ ละ 1,437.5 บาท และหากผ่อนไปแล้ว 6 เดือน เกิดโชคดีถูกหวยขึ้นมา อยากรีบเอาเงินมาปิดหนี้ ก็ไม่มีประโยชน์มากนักเพราะก็ต้องจ่ายส่วนที่ขาดไปอีก 6 เดือน ดอกเบี้ยคงที่ไม่ลด ซึ่งการคิดดอกเบี้ยแบบนี้ส่วนใหญ่จะเจอในการกู้ซื้อรถ หรือการกู้หนี้นอกระบบนั่นเอง
การคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก
คือ เจ้าหนี้จะคิดดอกเบี้ย ตามยอดหนี้ที่เหลืออยู่ในแต่ละเดือน เช่น กู้มา 15,000 บาท เดือนแรกเขาก็จะคิดดอกเราจากยอดเงิน 15,000 บาท และในเดือนแรกเราผ่อนจ่ายไป 1,500 บาทแล้ว เดือนถัดไปเขาจะเอาเงินต้นที่เหลืออยู่ก็คือ 13,500 บาท มาคิดดอกเบี้ย ซึ่งจะต่างจากแบบแรกที่ถ้ากู้ 15,000 บาท จะผ่อนจ่ายไปกี่เดือนแล้วก็ตามเวลาคิดดอกเบี้ยก็จะคิดจากยอดกู้ 15,000 บาท เห็นไหมว่าดอกเบี้ยแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ตัวอย่างเช่น ไปกู้เงินมา 15,000 บาท ดอกเบี้ย ลดต้นลดดอกร้อยละ 15 ต่อปี ระยะเวลาผ่อน 12 เดือน ทางเจ้าหนี้เขาจะคำนวนมาให้เลยว่าเราจะผ่อนเดือนละ 1,360 บาท รวมเป็นเงิน 16,320 บาท ซึ่งรวมแล้วเราจะจ่ายถูกกว่าแบบเงินต้นคงที่และถ้าเรามีเงินก้อน เราก็สามารถเอาเงินก้อนไปโปะได้ ดอกเบี้ยก็จะลดลงอีกด้วย จากยอดที่เราต้องจ่ายทั้งหมด 16,320 บาท อาจจะเหลือแค่ 16,000 บาทก็เป็นได้ ซึ่งส่วนใหญ่ดอกเบี้ยลักษณะนี้คือการกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือสินเชื่อส่วนบุคคลครับ
แล้วเราจะเลือกผ่อนสั้นผ่อนยาวดีล่ะถึงเหมาะกับเรา ?
เรื่องนี้ต้องขอกระซิบบอกหน่อยว่า “ไม่ว่าจะเป็นการคิดดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ หรือการคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก แม้ว่าทั้งสองแบบจะมีวิธีการคิดดอกเบี้ยต่างกัน แต่สิ่งที่เขาให้เรามีสิทธิ์เลือกได้ก็คือ เราจะผ่อนแบบสั้น หรือแบบยาว” หากคุณยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกผ่านแบบไหน!!! เราขอแนะนำแบบกระชับและได้ใจความ ดังนี้
ถ้าเลือกผ่อนแบบสั้น
การผ่อนหนี้ในแต่ละเดือนยอดชำระก็จะสูง แต่ก็หมดไวมีภาระผ่อนไม่นาน แถมดอกเบี้ยก็จะน้อยลงไปด้วย ซึ่งถ้าเรารู้ตัวเองว่ามีรายได้ประจำที่แน่นอน เช่น เป็นพนักงานมีเงินเดือน สามารถประเมินรายได้แต่ละเดือนได้ ถ้าดูจากเงินเดือนแล้วสามารถผ่อนระยะสั้นไหว การผ่อนระยะสั้นก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากเช่นกัน เพราะหมดหนี้ไว หมดปัญหาหนี้สินกวนใจนั่นเอง
ถ้าเลือกผ่อนแบบยาว
ในแต่ละเดือนเราก็จะผ่อนน้อย ผ่อนนาน ผ่อนสบาย แต่ว่าดอกเบี้ยก็เยอะขึ้นตามระยะเวลาที่นานขึ้น ซึ่งถ้าเราทำอาชีพค้าขาย หรืองานรับจ้างต่างๆ ที่มีรายได้ขึ้นอยู่กับงานที่ทำ รายได้ไม่คงที่ไม่ได้เป็นประจำแน่นอนตลอด การเลือกผ่อนแบบยาวก็ดูเข้าทางมากกว่าการผ่อนแบบสั้น ถึงแม้ว่าดอกเบื้ยจะแพงกว่าก็เถอะ แต่เราก็จะไม่ลำบากต้องไปหาหยิบยืม สร้างหนี้ มาจ่ายหนี้ทบหนี้อีก แต่ถ้าเดือนไหนมีรายได้เข้ามาค่อนข้างเยอะ เราก็ควรกันไว้จ่ายในกรณีฉุกเฉินหากเดือนไหนรายได้เราลดน้อยลง หรือเอาไปโปะยอดเงินต้นถ้าสินเชื่อที่เรากู้เป็นแบบลดต้นลดดอก จะได้หมดหนี้ไวๆ เสียดอกน้อยลง แทนที่จะเอาเงินไปจ่ายดอกอย่างเดียวก็เอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า
สุดท้าย และท้ายสุดอยากฝากไว้ว่าถ้าพี่ ป้า น้า อา ทั้งหลาย จำเป็นจะต้องใช้เงินก้อน ต้องกู้ขอสินเชื่อ จนทำให้เกิดการสร้างหนี้เพื่อให้ชีวิตหมุนต่อได้ แต่ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมว่าหนี้ของเรานั้นควรจะผ่อนสั้นหรือยาว ควรเลือกผ่อนในแบบที่เราสามารถจ่ายไหว ไม่เกินกำลังของตัวเอง แต่หากคิดไม่เผื่ออนาคต กลัวเสียดอกเบี้ยเยอะเลยเลือกผ่อนสั้น แต่พอถึงคราวผ่อนจริงๆ ดันผ่อนไม่ไหว อันนี้จะกลายเป็นปัญหาในอนาคตให้ต้องนอนเอาขาก่ายหน้าผากวันละ 8 ตลบได้ หากไม่อยากเป็นหนี้เกินตัว ก็ต้องวางแผนการเงินอย่างฉลาดและรู้ทันตัวเอง ไม่ว่าเราจะเลือกผ่านแบบไหน ควรสอบถามเงื่อนไขของการชำระและการปิดหนี้ให้แน่ใจก่อนการตัดสินใจ
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…
Facebook | Line | Youtube | Instagram
บัตรเครดิตใครๆ ก็มีในกระเป๋า แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักและเข้าใจดอกเบี้ยของบัตรเครดิตนั้นจริงๆ
ดอกเบี้ยที่ว่ามีอะไรที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกันบ้าง เรามาดูกัน
ดอกเบี้ย คงไม่กี่บาท
รูดบัตรแค่ไม่กี่บาท ดอกเบี้ยจะสักเท่าไหร่กันเชียว… บอกเลยว่าคิดผิด ถ้าใครเคยผ่อนหนี้บ้านมาก่อน น่าจะพอเข้าใจได้ว่าดอกเบี้ยที่จ่ายแต่ละเดือนไม่ใช่เรื่องสนุกเลย
แล้วรู้ไหมว่าอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตแพงกว่าบ้านอีก เช่น ดอกเบี้ยบ้านอาจอยู่ที่ 6% ต่อปี ในขณะที่ดอกเบี้ยบัตรเครดิตอยู่ที่ 18% ต่อปี หรือสูงถึง 3 เท่าของดอกเบี้ยบ้านเลย
วันที่เริ่มคิดดอกเบี้ย
หลายคนเข้าใจผิดว่า หากชำระล่าช้าหรือชำระไม่เต็ม ดอกเบี้ยจะเริ่มคิดตั้งแต่หลัง “วันสรุปยอด” หรือ “วันกำหนดชำระเงิน” แต่ในความจริงแล้วดอกเบี้ยจะเริ่มคิดตั้งแต่ “วันที่รูดใช้บัตร” ไปจนถึงวันที่เรานำเงินไปชำระหนี้ส่วนนี้
เช่น รูดบัตร วันที่ 1 ม.ค. สรุปยอดวันที่ 15 ม.ค. ครบกำหนดชำระเงินวันที่ 30 ม.ค. หากนำเงินไปชำระค่าบัตรวันที่ 20 ม.ค. (กรณีเข้าเงื่อนไขเสียดอกเบี้ย เช่น ชำระไม่เต็มจำนวน) จะถูกคิดดอกเบี้ยเป็นจำนวน 20 วัน (1 – 20 ม.ค.) ไม่ใช่ 6 วัน (15 – 20 ม.ค.) อย่างที่หลายคนเข้าใจ ซึ่งจากตัวอย่างนี้ ดอกเบี้ยที่คำนวณได้ จะต่างกันถึงกว่า 3 เท่าตัวเลย
ยอดเงินที่คิดดอกเบี้ย
อีกเรื่องที่คนมักเข้าใจผิด คือ รูดบัตรไปก่อนเดี๋ยวพอครบกำหนดก็ชำระบางส่วน ที่เหลือค่อยเสียดอกเบี้ย แต่ในความจริงแล้ว ดอกเบี้ยจะถูกคิดตามยอดเงินที่รูด (เต็มจำนวน) ไม่ใช่ส่วนที่เหลือหลังชำระแล้ว
เช่น รูดบัตร 100,000 บาท เมื่อถึงกำหนดมีการชำระเงิน 70,000 บาท ดอกเบี้ยจะถูกคิดจากยอดเงินที่รูดไป 100,000 บาท ไม่ใช่ส่วนที่เหลือ 30,000 บาท
แบงก์ใจดี มีโปรผ่อน
ดอกเบี้ยบัตรเครดิตปกติอยู่ที่ 18% ต่อปี แต่หากใช้โปรโมชันเปลี่ยนยอดบัตรเป็นยอดผ่อน เช่น 0.83% ต่อเดือน ผ่อน 12 เดือน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยอาจดูเหมือนต่ำกว่าปกติ แต่ในความจริงแล้ว ดอกเบี้ยที่ว่าอาจไม่ได้ต่ำกว่า 18%ต่อปี เสมอไป
นั่นเพราะ 18% ต่อปี หรือ 1.5% ต่อเดือน (18%ต่อปี ÷ 12 เดือน) เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบ Effective Rate (ลดต้นลดดอก) ส่วน 0.83% ต่อเดือน เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบ Flat Rate (เงินต้นคงที่) ซึ่งการเปรียบเทียบความถูกหรือแพง ต้องอาศัยการคำนวณหรือใช้ตารางด้านล่าง เพื่อดูว่า Effective Rate 18% ต่อปี เทียบเท่ากับ Flat Rate กี่ % ที่ระยะเวลาการผ่อนต่างๆ ดังนี้
จำนวนเดือน : Flat Rate ต่อเดือน : Flat Rate ต่อปี
12 0.83% 10.02%
36 0.84% 10.05%
48 0.85% 10.25%
60 0.87% 10.47%
72 0.89% 10.70%
บัตรเครดิตเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่าย แต่ถ้าใช้ไม่เป็น อาจเข้าสู่วังวนความเป็นหนี้และออกมาไม่ได้ง่ายๆ เหมือนตอนเข้าไป
#WealthMeUp