การคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก
การคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก (Effective Rate)
ใช้คำนวณดอกเบี้ยของสินเชื่อเกือบทุกประเภท เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวด
กรณีทั่วไป
มีสูตรการคำนวณคือ
กรณีกำหนดให้ชำระหนี้เดือนละเท่า ๆ กัน
สมมติว่า ต้องการกู้เงิน 12,000 บาท ระยะเวลาผ่อน 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 24% ต่อปี สถาบันการเงินจะคำนวณจำนวนเงินผ่อนต่องวดจากสูตรดังต่อไปนี้
ในกรณีนี้สถาบันการเงินปัดยอดเงินต่องวดขึ้นและให้ผ่อนชำระงวดละ 2,150 บาท ยกเว้นเดือนสุดท้ายที่จะให้ผ่อนชำระ 2,093 บาท ซึ่งสามารถจำแนกเป็นสัดส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยในแต่ละงวดตามสูตรที่ได้กล่าวถึงในกรณีทั่วไปได้ดังนี้
อยากรู้ว่าดอกเบี้ยที่ไหนถูกหรือแพง ลองแปลง Flat Rate เป็น Effective Rate ช่วยได้
ในการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่ต่างประเภทกัน เราไม่สามารถนำตัวเลขอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) มาเปรียบเทียบโดยตรงกับตัวเลขอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) ได้ เพราะวิธีการคิดดอกเบี้ยแตกต่างกันดังที่ได้อธิบายข้างต้น แต่หากจะแปลงอัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่เป็นแบบลดต้นลดดอกแบบคร่าว ๆ ก็สามารถทำได้โดยใช้ 1.8 คูณกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่
ตัวอย่าง
วัลลภต้องการเช่าซื้อรถยนต์ แต่เขากำลังคิดว่าจะเลือกใช้บริการจากที่ไหนดีระหว่างผู้ให้เช่าซื้อ A และ B
ผู้ให้เช่าซื้อ | อัตราดอกเบี้ยต่อปี | วิธีคิดดอกเบี้ย |
A | 4 % | เงินต้นคงที่ (Flat Rate) |
B | 6 % | ลดต้นลดดอก (Effective Rate) |
ถ้าดูกันแค่ตัวเลขก็เหมือนว่า A จะถูกกว่า แต่ที่จริงแล้ว เมื่อวัลลภลองแปลงอัตราดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ของ A เป็นแบบลดต้นลดดอก ก็จะพบว่า อัตราดอกเบี้ยของ A แบบลดต้นลดดอกโดยประมาณ = 4% x 1.8 = 7.2%
เห็นอย่างนี้แล้ว วัลลภก็ได้รู้ว่าเมื่อคำนวณเป็นแบบลดต้นลดดอกเหมือนกันเพื่อให้เปรียบเทียบกันได้แล้ว ดอกเบี้ยของ A แพงกว่า B ประมาณ 1.2% ต่อปี ดังนั้น B ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีของวัลลภ หากคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ นอกเหนือจากอัตราดอกเบี้ย เช่น ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ความสะดวกในการชำระเงิน คุณภาพการให้บริการของ A และ B ประกอบด้วยแล้วไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดนัก
ดังนั้น ก่อนกู้เงินหรือขอสินเชื่อจึงต้องศึกษาข้อมูลให้แน่ใจว่าคิดดอกเบี้ยแบบไหน ใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอะไรและเท่าไหร่ โดยแปลงให้เป็นวิธีคิดแบบเดียวกันเพื่อให้เปรียบเทียบได้ว่าถูกแพงต่างกันอย่างไร
คำถามถามบ่อย
ทำไมอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เช่น MLR ของแต่ละธนาคารไม่เท่ากัน | |
เพราะต้นทุนของธนาคารแต่ละแห่งไม่เท่ากัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก สภาพคล่อง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ธนาคารต้องดำรง ซึ่งอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติธนาคารก็มักจะใช้ MLR กับทั้งลูกค้ารายใหญ่และรายย่อย | |
ทำไมอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงมีบวกหรือลบต่อท้ายด้วย เช่น MLR + X% และทำไม X% ของลูกค้าแต่ละรายจึงไม่เท่ากัน | |
หากผู้กู้มีความเสี่ยงสูง เช่น ฐานะทางการเงินไม่ค่อยมั่นคง ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น (X%) จากอัตราอ้างอิง เพื่อชดเชยความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละรายที่อาจแตกต่างกันไป หรือหากผู้กู้มีความเสี่ยงต่ำ ธนาคารอาจคิดดอกเบี้ยที่ถูกกว่าอัตราอ้างอิงก็ได้ เช่น MLR + X% ซึ่ง X% ของลูกค้าแต่ละรายจึงไม่จำเป็นต้องเท่ากัน และยังขึ้นกับดุลพินิจ หลักเกณฑ์ และวิธีการพิจารณาสินเชื่อที่แตกต่างกันไปของธนาคารแต่ละแห่ง ดังนั้น เราควรสอบถามธนาคารที่เราสนใจหลาย ๆ แห่ง
และนำมาพิจารณาเปรียบเทียบว่าธนาคารแห่งไหนมีเงื่อนไขที่ดีและเหมาะสมกับเรามากที่สุด |