ป้อมปิดปัจจานึก อยู่ตรงปากคลองผดุงกรุงเกษม (ป้อมนี้อยู่ปากคลองผดุงฯ ฝั่งพระนคร )
ป้อมฮึกเหิมหาญ
ป้อมผลาญไพรีรบ (อยู่ตลาดหัวลำโพง) ป้อมปราบศัตรูพ่าย (อยู่ริมวัดพลับพลาไชย)
ป้อมทำลายแรงปรปักษ์ (อยู่มุมถนนหลานหลวง)
ป้อมหักกำลังดัสกร (อยู่ถนนราชดำเนิน)
ป้อมนครรักษา (อยู่ตรงวัดนรนารถ ที่เทเวศร์นั่นเอง)
นอกจากป้อมบางสิ่งที่หายไปคือ สะพาน สะพานเหล็ก หรือสะพานข้ามคลองผดุงกรุงเกษม สะพานเหล็กไม่ได้ทำจากเหล็กทั้งหมด สะพานเหล็กมีเสาและคานทำจากไม้ ส่วนที่เป็นเหล็กคือโครงพื้นสะพานอย่างเดียวที่เป็นเหล็ก โครงพื้นสะพานมีล้อและรางเหล็ก สามารถขันจักรหรือกลไกเดินสะพานให้สะพานแยกออกจากกันเป็นการเปิดสะพานได้
นอกจากป้อม สะพาน สิ่งที่หายไปอีกอย่าง อาจจะบอกว่า คือประตูเมือง ประตูพระนครไม่ใช่สิ่งที่อยู่ใกล้คลองผดุงกรุงเกษมซะทีเดียว อยู่ถัดเข้ามาแถวคลองโอ่งอ่าง (คลองตรงสะพานหัน) ประตูเมืองสร้าหลังตั้งพระนคร เวลาผ่านไปความจำเป็นของการขยายเมือง และถนน ประตูและป้อมจึงถูกรื้อไป เราไม่จำเป็นต้องมีป้อมไว้ป้องกันศัตรูเวลาประชิดเมืองอีก ขณะเดียวกันประตูพระนครที่สร้างคู่กับหอรบก็ไม่ต้องมีหอไว้รับอีกพอขยายถนนเจริญกรุงสร้างตึกประตูพระนครก็หายไป
สมัยกรุงธนบุรี โปรดให้ขุดคลองเป็นคูข้างหลังเมือง ตั้งแต่คลองบางกอกน้อยมาถึงคลองบางกอกใหญ่ ทำให้ตัวเมืองฟากตะวันออกเป็นเกาะ พร้อมกับโปรดให้ขุดคลองเป็นคูเมืองฟากตะวันออก (ฝั่งพระนคร)
ซึ่งเรียกกันต่อมาว่าคลองหลอด อีกสายหนึ่ง
ครั้นเมื่อถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2328 รัชกาลที่ 1 โปรดให้ขุดคลองขยายคูเมืองออกไปอีกชั้น พระราชทานชื่อว่าคลองรอบกรุง
ด้านเหนือไปออกวัดบางลำพู ด้านใต้ไปออกวัดเชิงเลน (วัดบพิตรภิมุข) ทำให้พื้นดินระหว่างคลองคูเมืองกับคลอง
รอบกรุง กลายเป็นเกาะใหญ่ขึ้นอีกเกาะหนึ่ง
ไม่แค่นั้น ยังโปรดให้ขุดคลอง จากคลองคูเมืองเดิม ออกไปบรรจบคลองรอบกรุงอีก 2 คลอง คือคลองข้างวัดศิริอมาตยารามสายหนึ่ง กับคลองข้างวัดราชบพิธอีกสายหนึ่ง
คลองสองคลองนี้ชักน้ำถึงกัน ทำให้คนในกำแพงพระนครมีน้ำใช้
คลองคูเมืองเดิม เรียกกันหลายชื่อหลายตอน ปากคลองข้างใต้ เรียกปากคลองตลาด เพราะสมัยหนึ่งเป็นตลาดปลาใหญ่ที่สุด มีเรือบรรทุกปลาทะเลจากท่าจีนมาจอดขายกันขวักไขว่
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2340 โปรดให้ขุดคลองนอกกำแพงพระนคร ทางด้านเหนือวัดสระเกศ เพื่อให้ราษฎรได้ประชุมลอยเรือเล่นเพลง และสักรวาในเทศกาลฤดูน้ำ ปัจจุบันเรียกกันว่า คลองมหานาค
ชื่อคลองรอบกรุง แม้เป็นชื่อพระราชทาน แต่ต่อมาชื่อนี้ก็ค่อยเลือนหายไป ราษฎรเลือกเรียกกันใหม่
ตั้งแต่ปากคลอง แถวๆวัดบางลำพูบน (วัดสังเวชฯ) ไปถึงวัดสระเกศ เรียกว่าคลองบางลำพู
ปากคลองเรียกบางลำพูบน ปลายคลองทางใต้เรียกบางลำพูล่าง
คลองรอบกรุงระยะที่สอง จากวัดสระเกศไปออกวัดเชิงเลน ก็เรียกกันว่า คลองวัดเชิงเลน
เรียกได้ไม่นาน เมื่อทางการสร้างสะพานจากฝั่งวัดสามปลื้ม ข้ามไปสำเพ็งเพื่อติดต่อการค้าขายได้สะดวก สะพานนั้นเป็นสะพานไม้ หันให้เรือผ่านไปมาได้ จึงเรียกกันว่า สะพานหัน
คลองนี้จึงถูกเรียกใหม่ว่า คลองสะพานหัน
ครั้นต่อมา ชาวรามัญจากสามโคก นำโอ่งอ่างบรรทุกเรือมาจอดขายปากคลองวัดเชิงเลนเป็นประจำ ชื่อคลองสะพานหัน ก็เปลี่ยนเป็น คลองโอ่งอ่าง และยังเรียกกันถึงวันนี้ วันที่ไม่มีโอ่งอ่างขายแม้แต่ใบเดียว
คลองรอบกรุงแต่เดิม น้ำลึกและกว้าง มีเรือขึ้นล่องไปมา มีแพจอดเรียงราย น้ำขึ้นลงตามแม่น้ำเจ้าพระยา เคยมีจระเข้ใหญ่หลงเข้าไปคาบนายทองอยู่ ต้นตระกูล ฤทธาคนี แต่รอดมาได้ เป็นข่าวใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 1
ส.พลายน้อย เล่าถึงการขุดคลองผดุงกรุงเกษม คลองเปรมประชากร และอีกหลายๆคลองสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ทำให้จินตนาการถึงมหานครที่หันไปทางไหนก็มีแต่ลำคลอง หน้าน้ำเป็นเทศกาลความสุข
มีคนลอยเรือเล่นสักรวาฯลฯ ข้าวกล้าเสียหายบ้าง แต่ก็ไม่มาก ยังพูดกันว่า ข้าวเหลือเกลืออิ่ม
สมัยปัจจุบัน หลายผู้นำมหานครเวนิสตะวันออก ช่วยกันถมคลองเป็นถนน คลองที่ยังเหลือก็ถูกอาคารบ้านเรือนรุกล้ำ พื้นที่จะช่วยรับน้ำ ช่วยระบายน้ำ ก็ลดลงไป
หน้าน้ำในสมัยใหม่ น้ำมากจึงบ่าท่วมไปทุกเมือง ไม่เว้นเมืองกรุงฯ นี่มันยิ่งกว่ายุคข้าวยากหมากแพง ข้าวสาร ไข่ ฯลฯ กระทั่งน้ำดื่ม ก็ยังหาซื้อไม่ได้ในศูนย์การค้ากลางพระนคร