รอย สิว ทํา ไง ดี

เมื่อสิวหายแล้ว หลายๆ คนอาจชะล่าใจและละเลยการดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี ซึ่งในความเป็นจริงวงจรปัญหาผิวยังไม่จบแค่นั้น เพราะ ‘รอยสิว หรือ รอยดำจากสิว’ เป็นปัญหาผิวที่เกิดตามมาภายหลัง และต้องการรักษาด้วยเช่นกัน แม้ว่ารอยสิวเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง แต่ในเรื่องของจิตใจเมื่อเราสังเกตเห็นรอยสิวที่เกิดขึ้นบนผิวหน้า ความเครียดก็ตามมาแน่นอน ยิ่งเครียดสิวก็ยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง การเข้าใจสาเหตุของการเกิดรอยดำจากสิว จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับปัญหาผิวเหล่านี้ได้ทันทีและเข้าใจวิธีลดรอยดำจากสิวอย่างตรงจุดตั้งแต่ระยะแรกที่เริ่มเป็นสิว 

รอยดำจากสิวเกิดจากอะไร?

รอยดำจากสิว มีสาเหตุมาจากการอักเสบที่ใต้ชั้นผิวหนัง ซึ่งเป็นกลไกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เป็นสิว โดยร่างกายจะมีการหลั่งสารอักเสบออกมาที่ใต้ผิวหนัง ส่งผลให้มีการผลิตเม็ดสีเมลานินเป็นจำนวนมากในบริเวณที่เกิดการอักเสบ เรียกว่า Post-Inflammatory Hyperpigmentation เกิดเป็นรอยดำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้พฤติกรรมการแกะสิว บีบสิว ก็อาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่เป็นสิวเกิดการบวมแดงและอักเสบมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดรอยสิวหรือรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยากขึ้น 

โดยลักษณะความเข้มและสีของรอยดำจากสิวจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการอักเสบ ยิ่งอักเสบมาก รอยดำจากสิวก็ยิ่งเข้มและหายช้า ซึ่งโดยปกติสีของรอยสิวจะค่อย ๆ จางลงได้เองตามธรรมชาติ แต่อาจต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือน หรือมากกว่านั้น การลดรักษารอยดำจากสิวจึงควรได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและถูกวิธี ภายหลังจากการอักเสบของสิว

ประเภทของรอยสิวและสาเหตุของรอยสิว รอยดำและรอยแดงจากสิวต่างกันอย่างไร

สิวเป็นปัญหากวนใจสำหรับสาว ๆ อยู่แล้ว ยิ่งเวลาสิวหายก็มักทิ้งรอยสิว รอยแดงและรอยดำจากสิวเอาไว้ให้ดูต่างหน้า ทำให้สาว ๆ หลายคนต้องมองหาวิธีลดรอยดำจากสิว ที่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เราจะเริ่มทำการรักษาจะต้องทราบถึงความแตกต่างของรอยสิวทั้ง 2 ชนิดนี้ก่อน 

  • เกิดจากเนื้อเยื่อถูกทำลายขณะที่เราเป็นสิว โดยผิวบริเวณนั้นยังมีการสร้างเนื้อเยื่อที่ไม่สมบูรณ์ และมีการรวมตัวของเม็ดสีจึงทำให้เกิดรอยดำจากสิวขึ้น
  • มักเกิดภายหลังจากที่สิวอักเสบหายดีแล้ว
  • แสงแดดมีส่วนทำให้รอยดำจากสิวมีสีเข้มขึ้น

รอยแดงจากสิว

  • เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนเพราะต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป และการอุดตันของน้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้วรวมไปถึงแบคทีเรียต่างๆ อาจจะทำให้ผิวหนังอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบขึ้น
  • เกิดการอักเสบบริเวณผิวหนัง ซึ่งอาจเกิดจากการบีบ แคะ แกะสิวจนเกิดอาการบวบช้ำ ทำให้เกิดรอยแดงดังกล่าวขึ้น

รอยหลุมสิว

  • รอยหลุมสิวเกิดจากสิวอักเสบ โดยเกิดจากกระบวนการที่ร่างกายของเราสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อขึ้นมาเพื่อรักษาแผลจากสิวอักเสบ แต่มักจะรักษาแผลได้ไม่สมบูรณ์
  • สิวอักเสบบางชนิดทำเกิดความเสียหายที่ผิวชั้นล่างที่อยู่ลึกลงไป จนร่างกายสร้างคลอลลาเจนและเนื้อเยื่อได้ไม่เพียงพอแก่การรักษาทั้งหมด ทำให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวอยู่ที่ผิวหนังชั้นนอกของเรา

6 วิธีการลดรอยดำจากสิวและรักษารอยสิวให้หายไปเร็วที่สุดอย่างเป็นธรรมชาติ

หลายคนคงจะทราบกันแล้วว่ารอยสิว รอยแดงและรอยดำจากสิว มีสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกัน ทำให้มีวิธีการดูแลรักษาและวิธีทำให้รอยสิวหายที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งระยะเวลาการลดรอยดำจากสิวนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความเข้มของรอยสิวที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยมีวิธีดังต่อไปนี้

1.ทานอาหารที่มีประโยชน์ 

การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ถือเป็นการช่วยลดรอยดำจากสิวที่เริ่มต้นได้ง่าย ๆ ๆจากภายใน โดยอาจเลือกทานผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากช่วยลดการอักเสบของสิวแล้วยังช่วยลดรอยดำจากสิวได้เช่นกัน

2.หลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือบีบสิว

ในขณะที่เราเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือบีบสิว เพราะพฤติกรรมเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนังมากขึ้น หรือทำให้สิวอักเสบกระจายไปบริเวณอื่นจนทำให้เกิดรอยสิวเยอะมากขึ้น ซึ่งหากเลี่ยงได้นอกจากช่วยลดการอักเสบแล้ว ยังช่วยให้การลดรอยดำจากสิวมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3.หลีกเลี่ยงแสงแดด 

แสงแดดถือเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นให้รอยดำจากสิวเข้มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้สีผิวบริเวณนั้นไม่สม่ำเสมอด้วย แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 11.00-15.00 น. และทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและยังลดรอยดำและจุดด่างดำจากสิวได้ด้วย

สำหรับคนที่เคยเป็นสิวส่วนใหญ่น่าจะรู้จัก “รอยสิว” เป็นอย่างดี รอยสิวสามารถเกิดขึ้นหลังจากการรักษา สิว หายแล้ว หรืออาจจะเกิดรอยสิวในขณะที่กำลังเป็นสิวอักเสบ หรือสิวอุดตันอยู่ ซึ่งการ รักษาสิว ที่ผิดวิธีทำให้เกิดรอยสิวทิ้งไว้หลังการรักษาได้ ทั้งนี้รอยสิวมีทั้งแบบรอยแดง รอยดำ และรอยหลุมสิว

รอยสิวส่วนใหญ่เป็นปัญหากวนใจของคนเป็นสิว ถึงแม้ว่ารอยสิวจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่รอยสิวสามารถส่งผลต่อความมั่นใจทำให้ผู้ที่มีรอยสิวขาดความมั่นใจในตัวเอง การเข้าใจกลไกของการเกิดรอยสิว และการรักษารอยสิวอย่างถูกวิธีอาจจะช่วยให้รอยสิวจางลงได้เร็วขึ้น

บทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจถึงกลไกการเกิดรอยสิว ประเภทของรอยสิวไม่ว่าจะเป็น รอยดำ รอยแดง หรือรอยแผลเป็นจากสิว พร้อมทั้งแชร์เคล็ดลับวิธีการรักษารอยสิวอย่างถูกวิธี จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะช่วยทำให้รอยสิวหายได้เร็วมากขึ้น

สารบัญบทความ

  1. เผยความลับ “รอยสิว” เกิดจากอะไร ?
  2. ประเภทของรอยสิว และสาเหตุของการเกิดรอยสิว
  3. 12 วิธี รักษารอยสิวอย่างไร ให้หน้ากลับมาเรียบเนียน
  4. วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว
  5. สรุป

เผยความลับ “รอยสิว” เกิดจากอะไร ?

ผู้คนจำนวนมากที่เป็นสิวส่วนใหญ่มักได้รับผลกระทบจากรอยสิว อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น แม้ว่ารอยสิวจะไม่ได้อันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่รอยสิวสามารถทำให้เสียความมั่นใจในตนเองได้ สาเหตุของการเกิดรอยสิวแต่ละประเภท มีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป

ซึ่งรอยสิวส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดง หรือรอยหลุมสิว มักเกิดจากการอักเสบของผิวหนังและเกิดจากกระบวนการซ่อมแซมบาดแผล ฟื้นฟูผิวหนังที่อักเสบ ทำให้เกิดเป็นรอยสิวต่างๆ รอยสิวส่วนใหญ่มักเกิดจากสิวอุดตัน หรือสิวอักเสบ เมื่อสิวหายจึงทิ้งรอยสิวเอาไว้ เช่น รอยแดง รอยดำ และรอยหลุมสิว

ประเภทของรอยสิว และสาเหตุของการเกิดรอยสิว

สามารถแบ่งประเภทของรอยสิวและสาเหตุการเกิดรอยสิว ได้ตามอาการและลักษณะของรอยสิว ดังนี้

  1. รอยแดง (Post – Inflammatory Erythema)

รอยแดงจากสิว มีทั้งสีแดง ชมพู หรือสีม่วงจากสิว ส่วนใหญ่มักมาจากการอักเสบของผิวหนังบริเวณนั้น กลไกของการเกิดสิวคือ การที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งทำให้เกิดสิว และการอุดตันของน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเชื้ออาจจะทำให้ผิวหนังอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบ

เมื่อผิวหนังเกิดอาการอักเสบทำให้ร่างกายเริ่มกระบวนการฟื้นฟูตัวเองด้วยการลำเลียงเลือดไปยังบริเวณผิวหนังที่มีการอักเสบ เพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ทำให้บริเวณที่เป็นสิวอักเสบเกิดการขยายตัวของหลอดเลือดที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังกลายเป็นสีแดง ชมพู ม่วง หรือเกิดรอยแดงขึ้น รอยแดงจากสิวอักเสบหากไม่ได้รับวิธีรักษาที่ถูกวิธีอาจจะทำให้ผิวหนังเป็นรอยแดงอยู่นาน หรืออาจจะเป็นรอยแดงถาวรได้

  1. รอยดำ (Post – Inflammatory Hyperpigmentation)

รอยดำจากสิวส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการอักเสบหรือการระคายเคืองของผิวหนัง ซึ่งการอักเสบจะไปกระตุ้นให้เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ที่ทำหน้าที่ผลิตเมลานิน ให้ผลิตเมลานินมากกว่าปกติ ทำให้เกิดรอยดำที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งรอยดำจากสิวสามารถเป็นได้ทั้งรอยสีดำ สีน้ำตาล หรือสีเทา การเกิดรอยดำเป็นการอักเสบบริเวณผิวหนังชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งการรักษาใช้เวลานานและยากกว่าการรักษารอยแดง

นอกจากการสิวอักเสบหรือผิวหนังอักเสบที่ทำให้เกิดรอยดำแล้ว การใช้เลเซอร์หรือการบำบัดด้วยแสงบางชนิดสามารถทำให้เกิดรอยดำได้เช่นกัน

เมลาโนไซต์ (Melanocytes) เป็นเซลล์ที่ผลิตเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีเข้มที่ช่วยปกป้องร่างกายจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ โดยเมลาโนไซต์ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งปริมาณเมลานินเป็นตัวกำหนดสีผิวของคนเรา คนที่มีผิวสีอ่อนจะผลิตเมลานินได้น้อยมาก ในขณะที่คนที่มีสีผิวคล้ำจะสร้างเมลานินได้มากกว่า ซึ่งอาจจะเกิดรอยดำได้ง่ายกว่า

อ่านต่อได้ในบทความ : รอยดำรอยแดงบนใบหน้า คืออะไรกันแน่

  1. รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)

รอยหลุมสิว คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว มักเกิดจาก สิวอักเสบ โดนเกิดจากกระบวนการการรักษาแผลบริเวณที่เป็นสิวให้ผิวบริเวณนั้นกลับมาเรียบเนียน โดยร่างกายจะสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่เพื่อสมานแผล แต่ส่วนใหญ่กระบวนการซ่อมแซมบาดแผลมักไม่เรียบเนียนเหมือนผิวหนังในตอนแรก เพราะเกิดการบาดเจ็บในชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป คอลลาเจนและเนื้อเยื่อที่สร้างไม่เพียงพอ ทำให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวในที่สุด

รอยหลุมสิวสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ

  • Rolling Scars มีลักษณะเป็นหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้าง รอยหลุมสิวชนิดนี้จะมีรูปร่างคล้ายคลื่น
  • Ice – pick Scars มีลักษณะหลุมสิวที่มีรอยแผลลึก ปากแผลแคบ มักพบบริเวณแก้ม ถือเป็นหลุมสิวที่รักษาค่อนข้างยากและรุนแรง
  • Boxcar Scars เป็นรอยหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้าง มีทั้งแบบรอยหลุมตื้นและรอยหลุมลึก Boxcar scars นอกจากเกิดจากสิว แล้วยังสามารถเกิดได้จากอีสุกอีใสด้วย
  • Keloid Scars รอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นเนื้อนูนแข็งมีสีชมพู สีแดง หรืออาจจะสีเนื้อเข้มกว่าผิวหนัง แผลที่ทำให้เกิดคีลอยด์มักเป็นแผลที่ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้

โดยปกติแล้ว การซ่อมแซมผิวหนังมักจะไม่เรียบเนียนเหมือนผิวหนังในต่อแรก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะเกิดรอยหลุมสิวจากกระบวนการซ่อมแซมของผิวหนัง

12 วิธี รักษารอยสิวอย่างไร ให้หน้ากลับมาเรียบเนียน

รอยสิวตัวปัญหาที่คอยทำลายความมั่นใจของหลายๆคน รอยแดงจากสิวใช้อะไรดี ?

ทาง SkinX ได้รวบรวม 12 วิธีลดรอยสิว รักษารอยแดงจากสิว และรักษารอยดำจากสิว มีดังนี้

  1. ใช้ยาทาภายนอกรักษารอยสิว

เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยลบเลือนรอยสิว ที่มีสารประกอบดังนี้

  • Topical vitamin C วิตามินซีสามารถช่วยลดรอยแดงหรืออาการแดงที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตบีได้ (UVB) ช่วยลดการอักเสบและป้องกันรอยแดงที่เกิดจากสิว
  • Retinoids เรตินอยด์สามารถยับยั้งกระบวนการผลิตเม็ดสีในเซลล์ผิวได้ และเรตินอยด์ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ที่จะไปช่วยลดเม็ดสีในเซลล์เม็ด ทำให้ลดรอยดำได้ ทั้งนี้ เรตินอยด์เป็นยาที่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เพียงเท่านั้น
  • Kojic acid เป็นสารจากเห็ดที่สามารถช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ และช่วยลดรอยดำให้จางลง
  • Arbutin เป็นสารธรรมชาติที่สกัดมาจากต้นแบร์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ข้าวสาลี และแพร จัดอยู่ในกลุ่มอนุพันธ์ของสาร Hydroquinone สาร Arbutin สามารถออกฤทธิ์ช่วยลดจุดด่างดำที่เกิดขึ้นจากการอักเสบของผิวหนัง หรือการอักเสบจากสิว สามารถพบได้ตามผลิตภัณฑ์เซรั่มที่ช่วยลดรอยสิว
  • Niacinamide หรือที่รู้จักในชื่อ “วิตามินบี 3” เป็นสารอีกชนิดที่แพทย์มักใช้รักษาและลดรอยสิว แถมยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ลดรอยแดงจากสิว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
  • Thiamidol ช่วยลดรอยดำ และลดความหยาบกร้านของผิวได้
  • Nicotinamide สามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใส และลดการอักเสบของผิวหนังลดได้
  1. เลเซอร์รักษารอยสิว

การรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์สามารถรักษาได้ทั้ง รอยดำ รอยแดง รอยหลุมสิว และช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนังได้ โดยปกติแล้ว แสงเลเซอร์จะรักษารอยสิวที่ผิวหนังชั้นบนและผิวหนังกลาง โดยจะไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดใหม่ และแข็งแรงมากขึ้น เพื่อมาทดแทนรอยแผลเดิม วิธีรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่ปลอดภัยและไม่รู้สึกเจ็บ แต่อาจจะต้องทำหลายๆครั้ง และมีราคาค่อนข้างแพง

การรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์อาจจะทำให้เกิดรอยแดง และการระคายเคืองหลังการรักษา แต่รอยแดงจะค่อยๆหายไปเอง ในขณะที่ใช้เลเซอร์รักษาสิว จำเป็นต้องสวมแว่นตาเพื่อป้องกันดวงตาจากแสงเลเซอร์ เนื่องจากเลเซอร์อาจจะทำให้ดวงตาได้รับบาดเจ็บได้ ทั้งนี้เลเซอร์บางชนิดนอกจากจะรักษารอยดำ รอยแดงที่เกิดจากสิวได้แล้ว ยังสามารถช่วยบรรเทาความรุนแรงของสิวอุดตัน และสิวอักเสบได้

  1. Microneedling

เป็นเทคนิคที่ใช้รักษารอยหลุมสิวที่ค่อนข้างใหม่ โดยแพทย์จะใช้เข็มเล็กๆ ทิ่มเข้าไปซ้ำๆในบริเวณที่ต้องการทำให้เกิดบาดแผลเล็กๆ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน (Collagen and Elastin) ใต้ผิวหนัง เพื่อสมานบาดแผล Microneedling รักษาได้ทั้งแผลจากสิวอักเสบ และแผลเป็นจากสิว Microneedling เป็น Invasive procedure เล็กน้อย

  1. Dermabrasion

แพทย์จะใช้เครื่องมือกรอขัดผิวหนังส่วนที่เป็นรอยสิวออกไป เพื่อให้ผิวได้ผลัดเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ถูกขัดออกไป โดยจะทำให้ผิวหนังมีสภาพเรียบเนียนและใกล้เคียงกับผิวบริเวณนั้นมากที่สุด

เนื่องจากปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์และการบำบัดด้วยแสงมากขึ้น ทำให้ Dermabrasion (การผ่าตัดผิวหนังเพื่อรักษารอยแผลเป็น) ถูกใช้น้อยลง เพราะการ Dermabrasion หรือ การกรอผิว เป็นรักษาด้วยวิธีทางกายภาพ ต้องมีการรักษาลึกลงไปถึงบริเวณใต้รอยแผลเป็น และใช้เวลาพักฟื้นนาน เสี่ยงต่อการเกิดอาการแทรกแซง จึงทำให้การรักษาด้วยวิธีนี้ถูกใช้ในน้อยลงในปัจจุบัน

  1. การฉีดสเตียรอยด์

มักใช้วิธีนี้รักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว โดยเฉพาะรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นเนื้อนูนแข็ง (Keloid) โดยแพทย์จะทำการฉีดสารคอร์ติโคสเตียรอยด์ เข้าไปที่แผลเป็นเพื่อช่วยให้คีลอยด์ยุบตัวลง วิธีรักษารอยสิวด้วยการฉีดสเตียรอยด์ เป็นวิธีที่ปลอดภัยและไม่เจ็บมาก แต่มีผลข้างเคียงคือทำให้แผลเป็นแดงได้ เนื่องจากสเตียรอยด์ชนิดที่ฉีดเข้าไปจะไปกระตุ้นให้สร้างหลอดเลือดแดงใกล้ชั้นผิวมากขึ้น

  1. การฉีดฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยทำให้รอยหลุมสิวที่ลึกดูตื้นขึ้น โดยใช้ Hyaluronic Acid เข้าไปเติมเต็มหลุมสิว แต่การรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ จำเป็นต้องตัดพังผืดที่คอยดึงรั้งผิวหนังออกไปก่อน ซึ่งการเลาะพังผืดจะช่วยให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดช่องว่าง และแพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์เข้าตรงบริเวณที่เลาะพังผืดออกไปเพื่อเติมเต็มช่องว่าง การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้บริเวณที่เป็นหลุมดูตื้นขึ้นในทันที

  1. Cryotherapy

วิธีการรักษารอยสิวด้วยการบำบัดด้วยความเย็นนอกจากจะรักษารอยสิวได้แล้ว วิธีนี้ยังสามารถใช้รักษาสิวผดได้ด้วย โดยแพทย์จะใช้เครื่องพ่นไนโตรเจนเหลวหรือคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอุณหภูมิต่ำไปยังจุดที่ต้องการรักษาเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อทำให้เซลล์ผิวบริเวณนั้นตาย และสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่แทนที่ วิธีนี้มักใช้รักษาควบคู่ไปกับวิธีรักษาแบบอื่น เช่น การฉีดสเตียรอยด์

  1. การผ่าตัด

เป็นวิธีการรักษาที่โดยตัดแผลออกไป และแพทย์จะทำการเย็บผิวหนังให้ติดเข้าหากัน วิธีนี้นิยมใช้รักษากับรอยหลุมสิว ประเภท Ice – pick scars และ Boxcar scar

  1. ใช้กรดลอกผิวรักษารอยสิว

วิธีนี้จะใช้สารประกอบเคมี 3 ชนิด กระตุ้นให้ผิวหนังชั้นนอกหลุดออกไป โดยสารประกอบเคมีที่ใช้กระตุ้น ได้แก่ Glycolic Acid , Salicy Acid และ Trichlooacetic Acid มีคุณสมบัติ ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ที่สกัดจากผลไม้ , ละลายได้ดีเมื่อทาลงบนผิว และมีคุณสมบัติในการสลายโปรตีนผิวหนัง

  1. ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซน

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแดง หรือรอยบวม คอร์ติโซนจะช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง ทำให้รอยแดงจากสิวจางลงไป และช่วยให้รอยสิวยุบตัวลง โดยสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ทั้งนี้ แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรเกี่ยวกับวิธีและขั้นตอนการใช้งานก่อนเสมอ

  1. ทาครีมกันแดดทุกครั้ง

การทาครีมกันแดดเป็นการป้องกันรังสี UVฺB ที่กระตุ้นทำให้เกิดรอยแดง รอยดำเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้สำหรับคนที่เลือกใช้วิธีรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์จำเป็นต้องทาครีมกันแดดทุกครั้ง เพราะแสงเลเซอร์ทำให้ผิวหนังบางลง ซึ่งทำให้ผิวโดนทำร้ายจากแสงแดดได้ง่ายขึ้น

  1. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงถือเป็นการรักษาสิวและรอยสิวที่ปลอดภัยและได้ผลมากที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการสิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง เนื่องจากการปรึกษาแพทย์จะทำให้ทราบสาเหตุของรอยสิว และช่วยเลือกวิธีรักษาที่ตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากที่สุด ซึ่งอาจจะช่วยลดการเกิดสิว และเร่งให้ผิวฟื้นฟูได้เร็วมากขึ้น

ปัจจุบันการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก และต้องใช้เวลาตลอดทั้งวันเหมือนแต่ก่อน เพราะมีแอปพลิเคชั่น SkinX ที่ช่วยให้คุณปรึกษาปัญหาสิวกับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังกว่า 210 คน จากสถานพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ สามารถปรึกษาได้ทุกที่ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เพียงดาวน์โหลดแอป SkinX และทำการนัดหมายเวลากับแพทย์ เพียงเท่านี้ ปัญหาสิวที่คอยกวนใจคุณก็จะหมดไป ด้วยคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทาง

วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว

  1. หลีกเลี่ยงการแกะ บีบ กดสิวด้วยตนเอง

ผู้คนส่วนใหญ่เมื่อเกิด สิวไม่มีหัว ชอบนำมือไปสัมผัสหรือแกะ แต่การแกะหรือบีบสิวถือเป็นการกระตุ้นให้เนื้อเยื่อผิวหนัง และรูขุมขนอักเสบมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดเป็นรอยสิวและรอยแผลเป็นจากสิว การที่ใช้มือบีบ กดสิวบริเวณที่เป็นสิวโดยที่ไม่ได้ล้างมือ ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ผิวหนังอักเสบมากกว่าเดิม ส่งผลให้รอยแดงหายช้า

ไม่ใช่เพียงแค่การแกะ บีบ กดสิวเท่านั้น ควรงดการสครับ ถู ขัดบริเวณที่เป็นสิวอย่างรุนแรง ถือเป็นการกระตุ้นให้ผิวหนังอักเสบมากกว่าเดิม

  1. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอี

จากงานวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างได้ทดลองที่ใช้วิตามินอีกับผิวโดยทำให้เกิดภาวะผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis) นอกจากนี้การนำสารอาหารเข้าสู่ผิวหนังโดยตรงอาจจะรบกวนกระบวนการฟื้นฟูของผิวหนัง

  1. หลีกเลี่ยงแสงแดด

แสงแดดสามารถกระตุ้นเม็ดสีผิวเพิ่มขึ้นทำให้รอยสิวมีอาการแย่ลง พร้อมทั้งให้รอยดำ รอยแดงจากสิว ที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้รักษาได้ยากขึ้น และอาจจะชะลอกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิว หากจำเป็นต้องออกแดดควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง พร้อมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมบริเวณที่เป็นรอยสิว เพื่อป้องกันไม่ให้รอยสิวมีอาการแย่ลง ทั้งนี้ ค่า SPF ที่แนะนำสำหรับครีมกันแดดคือ SPF 30 PA ++ หรือมากขึ้นไป

  1. เลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว

ควรเลือกใช้สกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการอุดตัน ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือระคายเคือง ให้ความชุ่มชื้น พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลาย ลดจุดด่างดำและรอยสิว

  1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

สำหรับผู้ที่มีรอยสิวอยู่แล้ว แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด และสำหรับผู้ที่เป็นสิว แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดรอยสิวหลังการรักษา

สรุป

วิธีลดรอยสิวมีหลากหลายแบบ เนื่องจากรอยสิวมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น สิวหัวดำ สิวไม่มีหัว สิวอักเสบ เป็นนต้น วิธีรักษารอยสิวแต่ละประเภทจึงแตกต่างกันออกไป ตามลักษณะ และอาการความรุนแรงของรอยสิวที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ วิธีรักษารอยสิวที่ดีที่สุดคือการไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้ วิธีนี้ยังเป็นวิธีที่ช่วยย่นระยะเวลาในการรักษา เพราะรู้สาเหตุและรักษาได้ตรงจุดทำให้รอยสิวหายได้เร็วมากกว่า การรักษารอยสิวด้วยตนเอง

สำหรับผู้ที่ต้องการไปพบแพทย์แต่ไม่สะดวกเดินทาง หรือไม่มีเวลา แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป SkinX ที่รวบรวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาปัญหาสิวกับคุณไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หมดปัญหาสิวกวนใจ เพียงคลิกเดียว!

บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว

แหล่งอ้างอิงข้อมูลบางส่วน

Whelan, C. (2020, Dec 4). How to Treat Post – Inflammatory Erythema. Healthline. //www.healthline.com/health/acne/post-inflammatory-erythema

Ferreira, M. (2021, Dec 13). How to Best Treat Acne Scars. Healthline. 

Brennan, D. (2021, Apr 27). What To Know About Post-Inflammatory Erythema. Healthline.

//www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/acne/what-to-know-about-post-inflammatory-erythema

Emily, D. (2021, Apr 12). What Is Post-Inflammatory ErythemaM These Post-Acne Red SpotsAren’t Scars. The healthy. //www.thehealthy.com/skin-health/post-inflammatory-erythema/

Nicole, W. (2021, Nov 02). What is Post Inflammatory Hyperpigmentation?. WebMD. //www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/what-is-post-inflammatory-hyperpigmentation

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาไทย โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน lmyour แปลภาษา แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ไทยแปลอังกฤษ ประโยค แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แปลภาษาอาหรับ-ไทย Terjemahan พจนานุกรมศัพท์ทหาร หยน แปลภาษา มาเลเซีย ไทย Bahasa Thailand ข้อสอบภาษาอังกฤษ พร้อมเฉลย pdf บบบย tor คือ จัดซื้อจัดจ้าง การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 ชขภใ ยศทหารบก เรียงลําดับ ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง เขียน อาหรับ แปลไทย แปลภาษาอิสลามเป็นไทย Google map กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย ค้นหา ประวัติ นามสกุล อาจารย์ ตจต แจ้ง ประกาศ น้ำประปาไม่ไหล แปลบาลีเป็นไทย แปลภาษา ถ่ายรูป แปลภาษาจีน แปลภาษามลายู ยาวี โรงพยาบาลภมูพลอดุยเดช ที่อยู่ Google Drive Info TOR คือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ช่างไฟฟ้า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 กลยุทธ์ทางการตลาด มีอะไรบ้าง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีอะไรบ้าง การประปาส่วนภูมิภาค การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 ขขขขบบบยข ่ส ข่าว น้ำประปา วันนี้ ข้อสอบโอเน็ต ม.6 มีกี่ตอน ตารางธาตุ ประปาไม่ไหล วันนี้