หล กส ตร มน ษยศาสตร อ งกฤษ ม.ท กษ ณ

รายงานการวิ จิ ยในชิ ้นเริ ยน การพ ฒนาผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนโดยกระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธานิิรายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิ ของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ ของน กเริ ยนระดิ บชิ ้นม ธยมศึกษาปิ ท 6 ผิู้วิ จิ ย ครูกชณ ภาิิิก นตะกน ษฐ์ กลิุ่มสาระการเริ ยนริู้วิ ทยาศาสตร์และเทคโนโลย ปิ การศึกษา 2565 โรงเริ ยนปากเกร็ด

2 รายงานการวิ จิ ยในชิ ้นเริ ยน การพ ฒนาผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนโดยกระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธานิิรายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิ ของม ธยมศึกษาปีท ่ 6 หน่วยการเร ยนรู้ิท ่ 1 ความหลากหลายทางช วภาพ ของน กเริ ยนระดิ บชิ ้นม ธยมศึกษาปิ ท 6 ผิู้วิ จิ ยิครูกชณ ภาิิิก นตะกน ษฐ์ กลิุ่มสาระการเริ ยนริู้วิ ทยาศาสตร์และเทคโนโลย ปิ การศึกษา 2565 โรงเริ ยนปากเกร็ด

3 ชื ่อเรื ่องวื จื ย การพ ฒนาผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนโดยกระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธานิิ รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 ชื ่อผื ้ว จื ย นางกชณ ภาิก นตะกน ษฐ์ิต าแหน่งครูช านาญการพ เศษิกลุ่มสาระการเร ยนรู้ว ทยาศาสตร์และ ิิิิิิิิิิิิิิิ เทคโนโลย บทค ดยื อ การว จ ยคร ้งน ้ม ว ตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 ท ่ม ต่อการพ ฒนาผลส มฤทธ ์ในการเร ยนว ชา ว ทยาศาสตร์ ช วภาพิิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 ภาคเร ยนท ่ิ2 ปีการศึกษาิ2565 จ านวนกลุ่มเป้าหมาย 20 คน เครื่องมือใน การว จ ยคือ กระบวนการ Active Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 เรื่อง อนุกรมว ธาน สถ ต ท ่ใช้ในการว เคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถ ต พื้นฐาน ิิผลการว จ ย พบว่าหล งจากการเร ยนรู้ เรื่องอนุกรมว ธานโดยกระบวนการActive Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 น กเร ยนทุกคนสามารถท าคะแนนหล งการการเร ยนรู้เรื่องอนุกรมว ธานโดยกระบวนการActive Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 ได้สูงกว่าก่อนการการเร ยนรู้เรื่องอนุกรมว ธานโดย กระบวนการActive Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 โดยคะแนนเฉล ่ยของ ผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนหล งใช้กระบวนการActive Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ 6 เท่าก บิ15.70 เพ ่มขึ้นจากก่อนใช้การเร ยนรู้โดยกระบวนการActive Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิ ของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 4.52 คะแนนิค ดเป็นร้อยละของคะแนนนเฉล ่ยเพ ่มขึ้นเท่าก บิร้อยละิ22.60

4 สารบ ญ บทที่ หน้า 1. บทนำ ิิิิิ5 ิิิิิท ่มาและความสำค ญิิิิิิ ิิ ิิิิิว ตถุประสงค์ของการว จ ยิิิิิิิ ิิิิิขอบเขตของการว จ ยิิิิิิิ ิิิิิน ยามศ พท์เฉพาะิิิ ิิิิิกรอบแนวค ดในการว จ ยิิิิิิิิ 2. เอกสารและงานว จ ยท ่เก ่ยวข้อง ิิิิ7 ิิิิิแนวค ดและทฤษฎ ท ่เก ่ยวข้องก บกระบวนการActive Learning 3. ว ธ การดำเน นการว จ ย ิิิิ11 ิิิิิประชากรและกลุ่มต วอย่างท ่ใช้ในการว จ ย ิิิิิเครื่องมือท ่ใช้ในการว จ ย ิิิิิการเก็บรวบรวมข้อมูล ิิิิิสถ ต ท ่ใช้ในการว เคราะห์ข้อมูล 4. ผลการว เคราะห์ข้อมูล ิิิิ12 ิิิ ส ญล กษณ์และอ กษรย่อท ่ใช้ในการว เคราะห์ข้อมูล ิิิิผลการว เคราะห์ข้อมูล 5. สรุปผลการว จ ยิและข้อเสนอแนะ 15 ิิิิสรุปผลการว จ ย ิิิิข้อเสนอแนะ ิิิิบรรณานุกรม ิิิ16 ิิิิภาคผนวก ิิ 17 ิิิิิ1. สาระการเร ยนรู้หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ 2. บ นทึกผลการจ ดการเร ยนรู้ิหน่วยท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ 3. รายงานก จกรรมิ23.5 เรื่องไดโคโทม สค ย์ 4. เกณฑ์ประเม นรายงานก จกรรม 5. ข้อสอบปรน ยว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนก่อนและหล งการใช้การใช้การเร ยนรู้เรื่องอนุกรมว ธานโดย กระบวนการActive Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 เนื้อหาจำนวนิ20 ข้อ 6. ต วอย่างการรายงานก จกรรมิ23.5 การเร ยนรู้เรื่องอนุกรมว ธานโดยกระบวนการActive Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6

5 บทที่ื1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำค ญ ิิ การเร ยนการสอนเป็นกระบวนการเพื่อพ ฒนาผู้เร ยนให้ม ผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนอย่างม คุณภาพิท ้งในด้าน ความรู้ท กษะและสมรรถภาพสมองในด้านต่างๆิซึ่งส่วนใหญ่จะว ดและประเม นผลจากคะแนนสอบ หรือคะแนน ท ่ได้จากงานท ่ครูมอบหมายหรือท ้งสองอย่างิด งน ้นครูผู้สอนเป็นผู้ท ่ม บทบาทสำค ญในการจ ด กระบวนการเร ยน การสอนและอำนวยความสะดวกต่างๆิเพื่อพ ฒนาผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนของน กเร ยน แต่อย่างไรก็ตามผู้ท ่ม บทบาทสำค ญท ่สุดในการพ ฒนาผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนน ้นิคือิต วผู้เร ยนเองิผู้เร ยน ท ่เร ยนด น ้นไม่จำเป็นต้อง เป็นคนท ่ม สต ปัญญาเฉล ยวฉลาดมากแต่ต้องเป็นคนท ่ต้องรู้จ กใช้เวลาิต้องรู้จ กว ธ เร ยนว ธ ทำงานให้ได้ผลด ิการ เร ยนการสอนท ่ด จะช่วยให้ผู้เร ยนม คุณล กษณะเป็นบุคคลแห่งการเร ยนรู้สามารถสร้างเสร มเต มเต็ม กระบวนการค ดม ความรู้และท กษะท ่จำเป็นตามท ่กำหนดไว้ในหล กสูตร การศึกษาของชาต โดยเน้นให้ผู้เร ยนได้ ลงมือปฏ บ ต ิสรุปเนื้อหาิสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองิและสามารถน าความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องก บการดำเน นช ว ต จากการส งเกตการเร ยนการสอนในรายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพ ระด บช ้น ม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 ปีการศึกษา 2565 หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ พบว่าิน กเร ยนส่วน ใหญ่ไม่สามารถทำแบบฝึกห ดิและแบบทดสอบย่อยได้ผ่านเกณฑ์ท ่กำหนดไว้ิซึ่งเนื้อหาในหน่วยการเร ยนน ้ส่วน ใหญ่ิเน้น ความจำ ความเข้าใจิการว เคราะห์ิและการน าไปใช้ิและในระหว่างการเร ยนการสอนผู้สอนได้ให้ น กเร ยนเร ยนรู้เรื่องอนุกรมว ธานโดยกระบวนการActive Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพของ ม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 และพบว่าน กเร ยนส่วนใหญ่สามารถเข้าใจและรายงานเนื้อหาได้อย่างถูกต้องิด งน ้นปัญหาจึง เก ดจากการท ่น กเร ยนไม่สามารถจดจำเนื้อหาและไม่สามารถสรุปเนื้อหาสำค ญอย่างเป็นล าด บข ้น เชื่อมโยงได้ ด้วยเหตุน ้ิผู้ว จ ยจึงสนใจท ่จะนำการการเร ยนรู้เรื่องอนุกรมว ธานโดยกระบวนการActive Learning รายว ชา ว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 มาใช้ในการจ ดการเร ยนการสอน เพื่อพ ฒนาผลส มฤทธ ์ทางการเร ยน รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพ หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ ของน กเร ยนช ้นม ธยมศึกษาปีท ่ิ 6 เนื่องจากกระบวนการเร ยนรู้แบบActive Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 จะเป็นเครื่องมือท ่ช่วยให้ผู้เร ยนได้เร ยนรู้แบบจ ดระบบความค ดแล้วนำมาว เคราะห์เนื้อหาเพื่อสรุปออกมาเป็น เนื้อหาตามความเข้าใจของผู้เร ยนิช่วยเพ ่มพูนความจำ สามารถต ความและต กรอบองค์ความรู้ได้ิส่งผลให้ม ผลส มฤทธ ์ทางการเร ยน ของน กเร ยนสูงขึ้น 1.2 ว ตถุประสงค์ของก ารว จ ย ิิิิิิ1) เพื่อศึกษาผลของการใช้การเร ยนรู้โดยกระบวนการActive Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของ ม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 ท ่ม ต่อผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนของน กเร ยนช ้นม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 ปีการศึกษาิ2564 โรงเร ยน ปากเกร็ด 2) เพื่อพ ฒนาผลส มฤทธ ์ทางการเร ยน

6 1.3 ขอบเขตของก ารว จ ย ิิิิิิ1) ด้านประชากริน กเร ยนช ้นม ธยมศึกษาปีท ่ิ6/1, 6/2,ิ6/4-6/7 ปีการศึกษาิ2565โรงเร ยนปากเกร็ด จ งหว ดนนทบุร และกลุ่มต วอย่างน กเร ยนม ธยมศึกษาปีท ่ 6/1 จำนวนิ20 คน ิิิิิ 2) ด้านเนื้อหาิเนื้อหาท ่ใช้ในการว จ ยคร ้งน ้ิคือิหน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ เรื่องิ อนุกรมว ธาน ิิิิิิ3) ต วแปรท ่ใช้ในการศึกษา ิิิิิิิิิิ3.1) ต วแปรต้นิได้แก่ิกระบวนการเร ยนรู้แบบActive Learning ิิิิิิิิิิ3.2) ต วแปรตามิได้แก่ิผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนรายว ชารายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพของน กเร ยนช ้น ม ธยมศึกษาปีท ่ิ6/1 โรงเร ยนปากเกร็ด จำนวนิ20 คน 1.4 น ยามศ พท์เฉพ าะ ิิิิิ1) ผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ชาว ทยศาสตร์ิหมายถึงิคะแนนท ่ได้จากการทำแบบทดสอบ ผลส มฤทธ ์ ทางการเร ยนในว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพ หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ หล งจากผ่านการ เร ยนรู้เรื่องโดยกระบวนการActive Learning รายว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพิของม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 ิิิิิ2) การเร ยนการสอนแบบิActive Learning หมายถึง กระบวนการเร ยนการสอนท ่เน้นให้ผู้เร ยนม ส่วนร่วม และม ปฏ ส มพ นธ์ก บก จกรรมการเร ยนรู้ผ่านการปฏ บ ต ท ่หลากหลายรูปแบบิเช่นิการว เคราะห์ิการส งเคราะห์ิ การระดม สมองิการแลกเปล ่ยนความค ดเห็น ซึ่งจะทำให้เก ดความเข้าใจส ่งต่างๆได้ง่ายขึ้นและย ่งยืน 1.5 กรอบแนวค ดในก ารทำว จ ย การเร ยนการสอนแบบิ Active Learning ผลส มฤทธ ์ทางการเร ยน ว ชาว ทยาศาสตร์ช วภาพของ น กเร ยนระด บช ้นม ธยมศึกษาปีท ่ิ6

7 บทที่2 เอกสารและงานว จ ยที่เกี่ยวข้อง ในการว จ ยคร ้งน ้ผู้ว จ ยได้ศึกษาเอกสารและงานว จ ยท ่เก ่ยวข้องิและได้นำเสนอตามห วข้อิต่อไปน ้ 1. แนวทางการจ ดก จกรรมการเรียนร ้ในยุคการศึกษาไทยื4.0 ิิว ทว สิดวงภุมเมศิ(2560) กล่าวว่าิในยุคการศึกษาไทยิ4.0 ม เป้าหมายให้ผู้เร ยนสามารถสร้างองค์ ความรู้ได้ด้วยตนเองและนำความรู้ไปประยุกต์ให้เก ดนว ตกรรมสู่ส งคมิการจ ดก จกรรมการเร ยนรู้จะต้องม องค์ประกอบท ่สำค ญิกล่าวคือิ1) การสร้างสภาพแวดล้อมและกระตุ้นความกระหายใคร่รู้ในปัญหา 2) ให้ ผู้เร ยนลงมือสร้างความเข้าใจและวางแผนในการเร ยนรู้ิ3) ลงข้อสรุปผลการเร ยนรู้และสร้างองค์ความรู้ 4) นำผลการเร ยนรู้เข้าสู่กระบวนการขยายและแปลงความรู้ลงสู่นว ตกรรมและิ5) ประเม นผลการเร ยนรู้ ท ่ม ต่อรูปแบบการสอนิActive Learning ิิิิิิิิิิด งน ้นการศึกษาไทยในยุคไทยแลนด์4.0 จะต้องเป็นการจ ดก จกรรมการเร ยนรู้ท ่ให้ผู้เร ยนได้ลงมือ ปฏ บ ต จร งิสามารถนำองค์ความรู้หลายๆิแขนงมาบูรณาการแบบสร้างสรรค์เพื่อพ ฒนานว ตกรรมต่างๆิมา ตอบสนองความต้องการของส งคมิในการจ ดก จกรรมการเร ยนรู้ในส่วนของประเด็นการออกแบบก จกรรมการ เร ยนรู้เน้นภาคปฏ บ ต ก จกรรมการเร ยนรู้ควรม ล กษณะยืดหยุ่นและหลากหลายิผู้เร ยนม อ สระในการเลือกท ่จะ เร ยนรู้ม ส่วนร่วมค ดออกแบบก จกรรมการเร ยนรู้เปิดโอกาสให้ผู้เร ยนแสดงผลของการเร ยนรู้ตลอดจนสามารถ แสดงถึงการประยุกต์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการร งสรรค์ช ้นงานขึ้นมาใหม่การว ดและประเม นผลการเร ยนรู้ สมควรเน้นการว ดและประเม นผลตามสภาพจร งท ่ผู้เร ยนแสดงออกในขณะการปฏ บ ต ก จกรรมและหล งทำ ก จกรรมกรรมการเร ยนรู้เสร็จส ้นแล้วิซึ่งจะสามารถสะท้อนถึงความรู้ท กษะกระบวนการค ดิท กษะกระบวนการ แก้ปัญหาิสมรรถนะและคุณล กษณะของผู้เร ยนิซึ่งจะเป็นการแสดงว่ากระบวนการจ ดการเร ยนรู้ให้ก บผู้เร ยน น ้นิจะสามารถให้ผลตอบสนองก บความต้องการของส งคมิสามารถส่งผลให้ผู้เร ยนเก ดหรือม ท กษะท ่จำเป็นใน ศตวรรษท ่ิ21 และเป็นไปตามเป้าหมายของการจ ดการเร ยนรู้ยุคไทยแลนด์4.0 ได้อย่างแท้จร ง ืืืืืื2. ทฤษฎีและแนวค ดเกี่ยวก บการเรียนการสอนแบบืActive Learning ิิิิิิิิิิสถาพริพฤฑฒ กุลิ(2558) กล่าวว่าิActive Learning เป็นกระบวนการจ ดการเร ยนรู้ตามแนวค ดการ สร้างสรรค์ทางปัญญาิ(Constructivism) ท ่เน้นกระบวนการเร ยนรู้มากกว่าเนื้อหาว ชาิเพื่อช่วยให้ผู้เร ยน สามารถเชื่อมโยงความรู้หรือสร้างความรู้ให้เก ดขึ้นในตนเองิด้วยการลงมือปฏ บ ต จร งผ่านสื่อหรือก จกรรมการ เร ยนรู้ท ่ม ครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำ กระตุ้นิหรืออำนวยความสะดวกให้ผู้เร ยนเก ดการเร ยนรู้ขึ้นโดยกระบวนการ ค ดข ้นสูงิกล่าวคือิผู้เร ยนม การว เคราะห์ิส งเคราะห์และการประเม นค่าจากส ่งท ่ได้ร บจากก จกรรมการเร ยนรู้ท า ให้การเร ยนรู้เป็นไปอย่างม ความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆิได้อย่างม ประส ทธ ภาพ ิิิิิิิิิไชยยศิเรืองสุวรรณิ(2553 อ้างถึงในิสถาพริพฤฑฒ กุล, 2558) กล่าวถึงล กษณะของการจ ดการเร ยน การสอนแบบิActive Learning ไว้ด งน ้1. เป็นการเร ยนการสอนท ่พ ฒนาศ กยภาพทางสมองิได้แก่การค ดิการ แก้ปัญหาิและการนำความรู้ไป ประยุกต์ใช้2. เป็นการเร ยนการสอนท ่เปิดโอกาสให้ผู้เร ยนม ส่วนร่วมใน กระบวนการเร ยนรู้สูงสุด 3. ผู้เร ยนสร้างองค์ความรู้และจ ดกระบวนการเร ยนรู้ด้วยตนเอง 4. ผู้เร ยนม ส่วนร่วม ในการเร ยนการสอนท ้งในด้านการสร้างองค์ความรู้การสร้างปฏ ส มพ นธ์ร่วมก น ร่วมมือก นมากกว่าการแข่งข น 5. ผู้เร ยนเร ยนรู้ความร บผ ดชอบร่วมก นิการม ว น ยในการทำงานิและการแบ่งหน้าท ่ความร บผ ดชอบ

8 6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เร ยนอ่านิพูดิฟังิค ดอย่างลุ่มลึกิผู้เร ยนจะเป็นผู้จ ดระบบการเร ยนรู้ ด้วยตนเอง 7. เป็นก จกรรมการเร ยนการสอนท ่เน้นท กษะการค ดข ้นสูง 8. เป็นก จกรรมท ่เปิดโอกาสให้ผู้เร ยน บูรณาการข้อมูลข่าวสารหรือสารสนเทศและหล กการความค ดรวบยอด 9. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกใน การจ ดการเร ยนรู้เพื่อให้ผู้เร ยนเป็นผู้ปฏ บ ต ด้วยตนเอง 10. ความรู้เก ดจากประสบการณ์การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เร ยน งานว จ ยท ่เก ่ยวข้อง ิิิิิิิเดชดน ยิจุยชุม, เกษราิบาวแชมชอย, และศ ร ก ญญาิแกนทองิ(2559 : บทค ดย่อ)ิได้ศึกษาเรื่องิการ พ ฒนาผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนิเรื่องิท กษะการค ดของน กศึกษาในรายว ชาท กษะการค ดิ(Thinking Skills) รห ส ว ชาิ11-024-112 ประจำภาคเร ยนท ่ิ1 ปิ การศึกษาิ2558 ดิ้วยการเร ยนรูิ้แบบม สิ่วนรวมิ(Active Learning) ม ว ตถุประสงคิ์เพื่อิ1) ศึกษาพฤต กรรมทางการเร ยนิ2) เปร ยบเท ยบผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนและ 3) ศึกษาความ พึงพอใจของน กศึกษาในรายว ชาท กษะการค ดิ(Thinking Skills) รห สว ชาิ11-024-112 ภาคเร ยนท ่ิ1 ประจ าปี การศึกษาิ2558 ดิ้วยการเร ยนรูิ้แบบม สิ่วนรวมิ(Active Learning) กลุิ่มต วอยางใชิ้ว ธ สุิ่ม กลุิ่มต วอยิ่างแบบ เจาะจงิโดยใชิ้น กศึกษาสาขาว ชาภาษาอ งกฤษิคณะศ ลปศาสตริ์ในรายว ชาท กษะการค ด (Thinking Skills) รห สว ชาิ11-024-112 ภาคเร ยนท ่ิ1 ปิ การศึกษา2558 จำนวนิ83 คนิเครื่องมือว จ ยท ่ใชิ้ใน การทดลองิคือิ 1) แผนการสอนแบบม สิ่วนรวมิ(Active Learning) 2) แบบบ นทึกพฤต กรรมทางการเร ยน 3) แบบทดสอบ ท กษะการค ดิ(Thinking Skills) ไดิ้คิ่าความเชื่อม ่นของแบบทดสอบเทิ่าก บิ0.941 และ 4) แบบสอบถามความ พึงพอใจไดิ้คิ่าส มประส ทธ ์อ ลฟาของครอนบาคิเทิ่าก บิ0.823 ว เคราะหขิ้อมูลโดยใช้คิ่าเฉล ่ยิ( X ) คิ่าสิ่วน เบ ่ยงเบนมาตรฐานิ(S.D.) และคิ่าริ้อยละิผลการว จ ยิพบวิ่าิ1) พฤต กรรมทางการเร ยน ของน กศึกษาิหล งการ เร ยนรูิ้แบบม สิ่วนรวมด ขึ้นท ้งในดิ้านการทำงานเปิ็นกลุิ่มิการแสดงความค ดเห็นและการแสดงออกเพื่อสะทิ้อน ความค ดเห็นรวมก นิ2) คะแนนผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนหล งเร ยนของน กศึกษาสูงกวิ่ากิ่อนเร ยนิ3) น กศึกษาม ความพึงพอใจติ่อการเร ยนรูิ้แบบม สิ่วนริ่วมิ(Active Learning) โดยรวมอยูิ่ระด บมาก ( X ) = 4.17, S.D. = 0.476 ิิิิิิเมษิทรงอาจิ(2558) ได้ศึกษาเรื่องิรูปแบบการเร ยนการสอนิรายว ชาจ ตว ทยาสำหร บครู(200 204) โดย ใช้การสอนแบบม ส่วนร่วมิ(Active Learning) ของน ส ตปร ญญาตร มหาว ทยาล ยิมหาจุฬาลงกรณิ์ราชว ทยาล ยิ ว ทยาเขตขอนแก่นิม ว ตถุประสงค์เพื่อิ(1) พ ฒนารูปแบบการเร ยนการสอนแบบม ส่วนร่วมิ(Active Learning) และพ ฒนาท กษะด้านจ ตว ทยาสำหร บครูของน ส ตปร ญญาตร มหาว ทยาล ยมหาจุฬาลงกรณิ์ราชว ทยาล ยิ ว ทยาเขตขอนแก่นิ(2) ศึกษาประส ทธ ภาพของรูปแบบการเร ยนการสอนแบบม ส่วนร่วมิตามเกณฑ์80/80 (3) เปร ยบเท ยบผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนของน ส ตปร ญญาตร ท ่เร ยนรายว ชาจ ตว ทยาสำหร บครู(200 204) ก่อน และหล งทดลองสอนแบบม ส่วนร่วมและิ(4) ประเม นความพึงพอใจของน ส ตปร ญญาตร ท ่ม ต่อการเร ยนการสอน แบบม ส่วนร่วมิรายว ชาจ ตว ทยาสำหร บครูกลุ่มต วอย่างิเป็นน ส ตปร ญญาตร สาขาว ชาส งคม ศึกษาิและ สาขาว ชาการสอนภาษาไทยิท ่ลงทะเบ ยนเร ยนว ชาจ ตว ทยาสำหร บครูิ(200 204) ภาคเร ยนท ่ 2/2557 จำนวนิ 53 คนิเก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบทดสอบิและแบบประเม นิได้ค่าความเชื่อม ่นเท่าก บิ0.922 ใช้ค่าร้อยละิ ค่าเฉล ่ยิค่าส่วนเบ ่ยงเบนมาตรฐานิและทดสอบท ิ(t-test) ในการว เคราะห์ข้อมูลิผลการว จ ย พบว่าิ 1. ประส ทธ ภาพของรูปแบบการเร ยนการสอนแบบม ส่วนร่วมิ(Active Learning) รายว ชาจ ตว ทยา สำหร บครู (200 204) ของน ส ตปร ญญาตร มหาว ทยาล ยมหาจุฬาลงกรณิ์ราชว ทยาล ยิว ทยาเขตขอนแก่น ม ประส ทธ ภาพิ

9 E1/E2 เท่าก บิ80.67/89.52 สูงกว่าเกณฑ์ิ80/80 ตามท ่กำหนดไว้ิ2. ค่าด ชน ประส ทธ ผลของรูปแบบการเร ยน การสอนแบบม ส่วนร่วมิ(Active Learning) รายว ชาจ ตว ทยาสำหร บครู(200 204) พบว่า น ส ตท ่เร ยนรู้โดยใช้ รูปแบบการเร ยนการสอนแบบม ส่วนร่วมิม ค่าด ชน ประส ทธ ผลเท่าก บิ0.4577 แสดงว่าน ส ต ปร ญญาตร ม ความรู้ เพ ่มขึ้นิ0.4577 หรือค ดเป็นร้อยละิ45.77 3. เปร ยบเท ยบผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนของน ส ตปร ญญาตร ก่อน และหล งการใช้รูปแบบการเร ยนการสอนแบบม ส่วนร่วมิ(Active Learning) ม คะแนนสูงขึ้น และจากการ ทดสอบท (t-test) พบว่าิคะแนนทดสอบระหว่างเร ยนิม ค่าเฉล ่ยเท่าก บิ72.60 และคะแนนทดสอบหล งเร ยนิ ม ค่าเฉล ่ยเท่าก บิ80.57 แสดงว่าิคะแนนหล งเร ยนสูงกว่าก่อนเร ยนิม ความแตกต่างก นอย่าง ม น ยสำค ญทาง สถ ต ท ่ระด บิ.05 ซึ่งเป็นไปตามสมมต ฐานท ่ต ้งไว้ิ4. คุณภาพแผนบร หารจ ดการรายว ชาจ ตว ทยา สำหร บครู(200 204) พบว่าิคุณภาพแผนบร หารจ ดการรายว ชาิ(มคอ.3) ของรูปแบบการเร ยนการสอนแบบม ส่วนร่วมิ(Active Learning) โดยรวมม คุณภาพิอยู่ในระด บด และเมื่อพ จารณาเป็นรายด้านิพบว่าิด้านท ่ม คุณภาพอยู่ในระด บด มากท ่สุดิคือิด้านทร พยากรประกอบการเร ยนการสอนิข้อิ6.1 รายชื่อตำาราหรือเอกสารสำหร บน ส ตอ่าน ประกอบการเร ยนปรากฏอยู่ในรายการของตำราหล กในสาขาน ้นๆิไม่เก นิ10 ปีและม ให้บร การในห้องสมุดิ อยู่ในระด บด มากิรองลงมาิคือด้านแผนการสอนและการประเม นผลการเร ยนรู้ข้อิ5.1 กำหนดว ธ การ ประเม นผลการเร ยนรู้/งานท ่จะใช้ประเม นผลผู้เร ยนสอดคล้องก บก จกรรมการเร ยนการสอนท ่ระบุไว้ใน แผนการสอนิ(หมวดท ่ิ5) และผลล พธ์การเร ยนรู้(Learning Outcome) อยู่ในระด บด มากิส่วนด้านท ่ม ค่าเฉล ่ย ติ่ำสุดิคือด้านจุดมุ่งหมายและว ตถุประสงค์ข้อิ2.3 ระบุว ตถุประสงค์ครบถ้วนิครอบคลุมผลล พธ์การเร ยนรู้ (Learning Outcome) อยู่ในระด บด และด้านล กษณะและการดำเน นการิข้อิ3.3 Learning Outcome ผลล พธ์การเร ยนรู้ครบถ้วนตรงก บิCurriculum mapping และข้อิ3.4 ผลล พธ์การเร ยนรู้(Learning Outcome) สอดคล้องก บว ธ การสอนและว ธ การประเม นผลิและด้านผลการเร ยนรู้ของน ส ต ข้อิ4.1 ห วข้อิ เนื้อหาสาระิ(Content) ครบสอดคล้องก บคำอธ บายรายว ชาิและจำนวนช ่วโมงเหมาะสมก บ เนื้อหาและด้าน แผนการสอนและการประเม นผลการเร ยนรู้ข้อิ5.3 ว ธ การประเม นผลการเร ยนรู้/งานท ่จะใช้ประเม นผลผู้เร ยนิ สอดคล้องก บว ธ การประเม นผลของแต่ละิDomain (ว ธ การประเม นผลในตารางิOLE) ท ่ระบุในหมวดิ4 ส่วน ด้านอื่นๆิม ค่าเฉล ่ยท ่ใกล้เค ยงก นและม ความส มพ นธ์ก นตามลำด บิ5. ความพึงพอใจ ของน ส ตปร ญญาตร ท ่ม ต่อ การใช้รูปแบบการเร ยนการสอนแบบม ส่วนร่วมิ(Active Learning) รายว ชาจ ตว ทยา สำหร บครู(200 204) พบว่าิโดยรวมค่าเฉล ่ยอยู่ในระด บมากิเมื่อพ จารณาเป็นรายด้านิพบว่าิด้านท ่ม ค่าเฉล ่ยสูงสุดิได้แก่ิด้าน คุณล กษณะอาจารย์อยู่ในระด บมากิรองลงมาคือด้านการจ ดการเร ยนการสอนอยู่ในระด บมาก ส่วนค่าเฉล ่ย ติ่ำดิคือิด้านสื่อและส ่งสน บสนุนการเร ยนการสอนิอยู่ในระด บมากิส่วนด้านอื่นๆ ม ค่าเฉล ่ยท ่ใกล้เค ยงก นและม ความส มพ นธ์ก นตามลำด บ ิิิิิิรส ตาิร กสกุล, สุวรรณาิสมบุญสุโข, และกองกาญจนิ์วช รพน งิ(2558 : บทค ดย่อ)ิได้ศึกษาเรื่อง ส มฤทธ ิ์ ผลของการจ ดการเร ยนการสอนแบบบูรณาการิโดยใช้Active Learning ของน กศึกษาในรายว ชาการบร หาร จ ดการยุคใหมิ่และภาวะผูิ้นำมหาว ทยาล ยเทคโนโลย พระจอมเกลิ้าธนบุร โดยม ว ตถุประสงคิ์เพื่อ 1) ศึกษา

10 ส มฤทธ ผลและิ2 ) ประเม นความพึงพอใจของผูิ้เร ยนติ่อส มฤทธิ ์ผลของการจ ดการเร ยนการสอนแบบบูรณาการิ โดยใช้Active Learning ของน กศึกษาในรายว ชาการบร หารจ ดการยุคใหมิ่และภาวะผูิ้นำมหาว ทยาล ย เทคโนโลย พระจอมเกลิ้าธนบุร กลุิ่มต วอยิ่างท ่ใชในการว จ ยิคือิน กศึกษาระด บปร ญญาตร มหาว ทยาล ย เทคโนโลย พระจอมเกลิ้าธนบุร ท ่ลงทะเบ ยนเร ยนรายว ชาิGEN 351 การบร หารจ ดการยุคใหมิ่และภาวะผิู้นำ ภาคการศึกษาท ่ิ1 ปิ การศึกษาิ2557 จำนวนิ407 คนิเครื่องมือท ่ใชิ้ในการว จ ยิคือิ1) รูปแบบการจ ดการเร ยน การสอนแบบบูรณาการิ2) แบบทดสอบหาส มฤทธิ ์ผลทางการเร ยนิและิ3) แบบประเม นความพึงพอใจิ ผลการว จ ยพบวิ่าิผลการเปร ยบเท ยบคะแนนจากการทดสอบกิ่อนเร ยนและหล งเร ยนดิ้วยว ธ การจ ดการเร ยน การสอนแบบบูรณาการโดยใชิ้Active Learning หล งการจ ดการเร ยนการสอนม คะแนนจากการทดสอบสูงกวิ่า กิ่อนการจ ดการเร ยนการสอนอยิ่างม น ยสำค ญทางสถ ต ท ่ิ0.05 2) ความพึงพอใจของผูิ้เร ยน ติ่อการจ ดการเร ยน การสอนแบบบูรณาการโดยใชิ้Active Learning อยูิ่ในระด บมาก

11 บทที่ื3 ว ธีการดำเน นการว จ ย ิิิิิิิในการศึกษาค้นคว้าในคร ้งน ้ิผู้ว จ ยได้ดำเน นการตามข ้นตอนด งน ้ ิิิิิิิิิิิิิ3.1 ประชากรและกลุ่มต วอย่างท ่ใช้ในการว จ ย ิิิิิิิิิิิิิ3.2 เครื่องมือท ่ใช้ในการว จ ย ิิิิิิิิิิิิิ3.3 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือท ่ใช้ในการว จ ย 3.4 ว ธ ดำเน นการว จ ย 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.6 สถ ต ท ่ใช้ในการว เคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มต วอย่าง ิิิิิิิิิิิิิประชากริน กเร ยนช ้นม ธยมศึกษาปีท ่ิ6/1,6/2,ิ6/4-6/7 ปีการศึกษาิ2565 โรงเร ยนปากเกร็ด จ งหว ดนนทบุร ิิิิิิิิิิิิิกลุ่มต วอย่างท ่ใช้ในการว จ ย น กเร ยนช ้นม ธยมศึกษาปีท ่ิ6/1 ปีการศึกษาิ2565 โรงเร ยนปากเกร็ด จ งหว ดนนทบุร ิจำนวนิ20 คน 3.2 เครื่องมือท ่ใช้ในการว จ ย ิิิิิิิิิิิิ1) กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธานหน่วยการเร ยนรู้ท ่1ความหลากหลายทางช วภาพ ิิิิิิิิิิิิ2) ข้อสอบปรน ยว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนก่อนและหล งการใช้การใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ โดยจำนวนิ20 ข้อิคะแนนเต็มท ้งหมดิ 20 คะแนนและม เกณฑ์ผ่านการประเม นคือิ10 คะแนนค ดเป็นร้อยละิ50 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล ิิิิิิิิิิิิิ1) ทดสอบก่อนเร ยนโดยใช้แบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนิจำนวนิ20 ข้อ ิิิิิิิิิิิิิ2) ดำเน นการสอนโดยผู้ว จ ยเป็นผู้สอนเอง ิิิิิิิิิิิิิ3) เมื่อส ้นสุดการสอนตามกำหนดแล้วิจึงทำการทดสอบหล งการใช้ผ งมโนท ศน์สรุปเนื้อหาโดยใช้ แบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนิจ านวนิ20 ข้อ ิิ4)ิน าผลคะแนนจากการตรวจสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนมาว เคราะห์โดยใช้ว ธ การทางสถ ต เพื่อ ทดสอบสมมต ฐานต่อไป 3.4 สถ ต ท ่ใช้ในการว เคราะห์ข้อมูล ิิิ3.4.1 สถ ต พื้นฐาน ิิิ1) ค่าร้อยละ ิิิ2) ค่าเฉล ่ยิ(Mean) คำนวณจากสูตร เมื่อิิิ แทนิคะแนนเฉล ่ย แทนิผลรวมของคะแนนท ้งหมด แทนิจำนวนน กเร ยนท ้งหมดในกลุ่มเป้าหมาย 10

12 บทที่ื4 ผลการว เคราะห์ข้อม ล ในการเสนอผลการว เคราะห์ข้อมูลิผู้ว จ ยขอเสนอผลการว เคราะห์ข้อมูลิด งน ้ 4.1 ส ญล กษณ์และอ กษรย่อท ่ใช้ในการว เคราะห์ข้อมูล 4.2 ผลการว เคราะห์ข้อมูล 4.1 ส ญล กษณ์และอ กษรย อที่ใช้ในการว เคราะห์ข้อม ล ิิิิิ ในการเสนอผลการว เคราะห์ข้อมูลเพื่อให้เก ดความเข้าใจิิในการแปลความหมายของผลการว เคราะห์ ข้อมูลผู้ว จ ยจึงได้กำหนดส ญล กษณ์ย่อท ่ใช้ในการว เคราะห์ข้อมูลิด งน ้ ิิิิิิิิ = ร้อยละคะแนนการทำแบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ทยาศาสตร์ของน กเร ยนแต่ละคน ก่อนการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ ิิิิิิิ ิิ= ร้อยละคะแนนการทำแบบทดสอบว ดว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ทยาศาสตร์ของน กเร ยนแต่ละ คนหล งการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทาง ช วภาพ ิิิิิิิิิ X1= คะแนนการท าแบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ทยาศาสตร์ของน กเร ยนแต่ละคนก่อนการ ใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ ิิิิิิิิิ X2= คะแนนการทำแบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ทยาศาสตร์ของน กเร ยนแต่ละคนหล งการ ใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ Σ X1= ผลรวมคะแนนการทำแบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ทยาศาสตร์ของน กเร ยนแต่ละคน ก่อนการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ Σ X2 = ผลรวมคะแนนการทำแบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ทยาศาสตร์ของ น กเร ยนแต่ละ คนหล งการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทาง ช วภาพ ิิิิิิิ 1 = คะแนนเฉล ่ยการทำแบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ทยาศาสตร์ของ น กเร ยนแต่ละคน ก่อนการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ ิิิิิิิ 2 = คะแนนเฉล ่ยการทำแบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ทยาศาสตร์ของ น กเร ยนแต่ละคน หล งการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ 4.2 ผลการว เคราะห์ข้อม ล ิิิิิการนำเสนอผลการว เคราะห์ข้อมูลิผู้ว จ ยจะนำเสนอข้อมูลเก ่ยวก บผลของการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ ท ่ม ต่อผลส มฤทธ ์ทางการเร ยน ของน กเร ยนิโดยพ จารณาจากคะแนนเฉล ่ยการทำแบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ทยาศาสตร์ของ น กเร ยนก่อนการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลาย ทางช วภาพ และคะแนนเฉล ่ยการทำแบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ทยาศาสตร์ของน กเร ยนหล งการ

13 ใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ โดยทำการทดลองก บน กเร ยนช ้นม ธยมศึกษาปีท ่ิ6/1 ปีการศึกษาิ2565 โรงเร ยนปากเกร็ด จำนวนิ20 คนิ รายละเอ ยดผลการว เคราะห์ข้อมูลปรากฏด งตาราง ตารางที่ื1 คะแนนการทำแบบทดสอบว ดผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนว ทยาศาสตร์ของน กเร ยนช ้นม ธยมศึกษาปีท ่ิ 6/1 ก่อนและหล งการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธานหน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1ความหลากหลาย ทางช วภาพ ิิิ จากตารางท ่ิ1 พบว่าผลการศึกษาพบว่าหล งการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ น กเร ยนทุกคนสามารถทำคะแนนหล งเร ยนได้สูงกว่าก่อน น กเรียน เลขที่ X1 A X2 B 1 2 1 9 45 19 95 1 =11.2 2 = 15.7 2 12 60 13 65 3 12 60 16 80 4 13 65 18 90 5 10 50 15 75 6 11 55 16 80 7 14 70 13 65 8 12 60 16 80 9 9 45 17 85 10 10 50 14 70 11 10 50 14 70 12 12 60 17 85 13 12 60 16 80 14 9 45 13 65 15 11 55 16 80 16 10 50 15 75 17 14 70 19 95 18 9 45 13 65 19 12 60 16 80 20 13 65 18 90 Σ X1 = 224 Σ X1= 314

14 เร ยนทุกคนิโดยคะแนนเฉล ่ยของผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนก่อนการใช้กระบวนการActive Learning เรื่อง อนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ เท่าก บิ11.2 คะแนนิคะแนนเฉล ่ยของ ผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนหล งการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความ หลากหลายทางช วภาพ เท่าก บ 15.70 เพ ่มขึ้นจากก่อนการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ 4.52 คะแนนิค ดเป็นร้อยละของคะแนนเฉล ่ยเพ ่มขึ้นเท่าก บิ ร้อยละิ22.60

15 บทที่ื5 สรุปผลการว จ ยและข้อเสนอแนะ ในการว จ ยคร ้งน ้เป็นศึกษาผลของการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการ เร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ ท ่ม ต่อผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนของ น กเร ยนช ้นม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 ปี การศึกษาิ2565 โรงเร ยนปากเกร็ดิจ านวนิ20 คนิซึ่งสามารถสรุปผลอภ ปรายผลและม ข้อเสนอแนะิด งน ้ 5.1 สรุปผลการว จ ย ผลการศึกษาพบว่าิหล งการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ น กเร ยนทุกคนสามารถทำคะแนนหล งการใช้กระบวนการActive Learning เรื่อง อนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ ได้สูงกว่าก่อนการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพทุกคนิโดยคะแนนเฉล ่ยของ ผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนหล งการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความ หลากหลายทางช วภาพ เท่าก บิ15.70 เพ ่มขึ้นจากก่อนการใช้กระบวนการActive Learning เรื่องอนุกรมว ธาน หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 ความหลากหลายทางช วภาพ 5.2 การอภ ปรายผลการว จ ย ิิิิิิิิิิการจ ดการเร ยนการสอนให้ประสบความสำเร็จได้น ้นครูควรม การว เคราะห์ผู้เร ยนและส งเกตพฤต กรรม ของน กเร ยนขณะจ ดการเร ยนการสอนิโดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาท ่หลากหลายท กษะกระบวนการทางว จ ยใน ช ้นเร ยนครูควรตระหน กว่าในแต่ละว นน กเร ยนม การเร ยนหลายว ชาและแต่ละว ชาม เนื้อหาท ่มากและ หลากหลายการสอนเพื่อให้เก ดการเร ยนรู้อย่างม ประส ทธ ภาพว ธ หนึ่งิคือกระบวนการเร ยนรู้แบบActive Learning จะเป็นเครื่องมือท ่ช่วยให้ผู้เร ยนได้เร ยนรู้แบบจ ดระบบความค ดแล้วนำมาว เคราะห์เนื้อหาเพื่อสรุป ออกมาเป็นเนื้อหาตามความเข้าใจของผู้เร ยนิช่วยเพ ่มพูนความจำ สามารถต ความและต กรอบองค์ความรู้ได้ิ ส่งผลให้ม ผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนของน กเร ยนสูงขึ้น 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.3.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลว จ ยไปใช้ ิิิิิิิิ1) ครูควรศึกษาว ธ การเร ยนรู้แบบActive Learning ให้ม ความชำนาญและจ ดรูปแบบการสอนในแนวทาง Active Learning ท ่หลากหลายให้เหมาะสมก บเนื้อหา ิิิิิิิิ2) ครูควรบอกประโยชน์ท ่คาดว่าผู้เร ยนจะได้ร บจากการใช้ว ธ การเร ยนรู้แบบActive Learning ให้เข้าใจ ก่อนเพื่อเป็นส ่งกระตุ้นให้ผู้เร ยนร่วมมือในการเร ยนรู้อย่างม ประส ทธ ภาพ ิิิิิิิิ3) ครูสามารถนำการใช้ว ธ การเร ยนรู้แบบActive Learning ใช้ก บเนื้อหาในหน่วยการเร ยนรู้อื่นๆิได้ 5.3.2 ข้อเสนอแนะสำหร บการว จ ยคร ้งต อไป ิิิิิิิิควรม การว จ ยเพื่อเปร ยบเท ยบผลส มฤทธ ์ทางการเร ยนิโดยใช้ว ธ การเร ยนรู้แบบActive Learning ใน รูปแบบต่างๆ เช่นิ1. แบบระดมสมองิ(Brainstorming) 2. แบบเน้นปัญหา/โครงงาน/กรณ ศึกษาิ (Problem/Project-based Learning/Case Study) 3. แบบแสดงบทบาทสมมุต ิ(Role Playing) 4. แบบ แลกเปล ่ยนความค ดิ(Think – Pair – Share) 5. แบบสะท้อนความค ดิ(Student’s Reflection) 6. แบบต ้ง คำถามิ(Questioning-based Learning) 7. แบบใช้เกมิ(Games-based Learning) ิิิิิิิิ

16 บรรณานุกรม คณะกรรมการการศึกษาแห งชาต , สำน กงาน.ิ(2545). พระราชบ ญญ ต การศึกษาแห งชาต ืพ.ศ.ื2542 และที่ ืืืืืืืืืืแก้ไขเพ ่มเต มื(ฉบ บที่ื2) พ.ศ.ื2545. กรุงเทพฯ:ิบร ษ ทพร กหวานกราฟฟิคิจำก ด. เดชดน ยิจุยชุม, เกษราิบาวแชมชอย, และศ ร ก ญญาิแกนทอง.ิ(2559). การพ ฒนาผลส มฤทธ ์ทางการเรียน ืืืืืืืืืืเร ่องืท กษะการค ดของน กศึกษาในรายว ชาท กษะการค ดื(Thinking Skills) รห สว ชาื11-024- ืืืืืืืืืื112 ประจำภาคเรียนที่1 ปืีการศึกษาื2558 ดื้วยการเรียนร ื้แบบมีสื วนรื วมื(Active Learning). ิิิิิิิิิิินราธ วาส:ิคณะศ ลปศาสตร์ิมหาว ทยาล ยนราธ วาสราชนคร นทริ์. เมษิทรงอาจ.ิ(2558). ร ปแบบการเรียนการสอนืรายว ชาจ ตว ทยาสำหร บคร (200 204) โดยใช้การสอน ืืืืืืืืืืแบบมีส วนร วมของน ส ตปร ญญาตรีมหาว ทยาล ยมหาจุฬาลงกรณื์ราชว ทยาล ยืว ทยาเขตขอนแก น. ิิิิิิิิิิขอนแก่น:ิคณะครุศาสตร์มหาว ทยาล ยมหาจุฬาลงกรณิ์ราชว ทยาล ย. รส ตาิร กสกุล, สุวรรณาิสมบุญสุโข, และกองกาญจนิ์วช รพน ง.ิ(2558). ส มฤทธื ์ผลของการจ ดการเรียนการ ืืืืืืืืืืสอนแบบบ รณาการืโดยใช้ืActive Learning ของน กศึกษาในรายว ชาการบร หารจ ดการยุคใหมื ืืืืืืืืืืและภาวะผ ื้นำมหาว ทยาล ยเทคโนโลยีพระจอมเกลื้าธนบุรี.การประชุมว ชาการระด บชาต ิิิิิิิิิิิมหาว ทยาล ยร งส ติประจำปีิ2558 (RSU National Research Conference 2015) ว นศุกริ์ท ่ิ24 ิิิิิิิิิิเมษายนิ2558 ณิหิ้องิAuditorium ช ้นิ2 อาคาริDigital Multimedia Complex (ตึกิ15) ิิิิิิิิิิมหาว ทยาล ยร งส ต. ว ทว สิดวงภุมเมศ.ิ(2560). การจ ดการเรียนร ้ในยุคไทยแลนด์ื4.0 ด้วยการเรียนร ้อย างกระต อร อร้น ืืืืืืืืืืLearning Management in Thailand 4.0 with Active Learning. วารสารมนุษยศาสตร์และ ืืืืืืืืืืส งคมศาสตร์ืบ ณฑ ตว ทยาล ย, 11(2), 1-14. สถาพริพฤฑฒ กุล.ิ(2558). คุณภาพผ ้เรียนืเก ดจากกระบวนการเรียนร ้.ืสระแก้ว:ิคณะเทคโนโลย การเกษตริ ิิิิิิิิิิมหาว ทยาล ยบูรพาิว ทยาเขตสระแก้ว. 15

17 ภาคผนวก

18 สาระการเรียนร ้หน วยที่ื1 ความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบสาระการเรียนร ้ืด งนี้ 1. ความหลากหลายทางช วภาพิประกอบด้วยความหลากหลายทางพ นธุกรรมิความหลากหลาย ของสปีช ส์ิและความหลากหลายของระบบน เวศ 2. การแปรผ นทางพ นธุกรรมท าให้เก ดความหลากหลายทางพ นธุกรรมิซึ่งส ่งม ช ว ตใดท ่ม ความิิิ หลากหลายทางพ นธุกรรมมากย่อมท าให้ม โอกาสอยู่รอดเพ ่มขึ้นและสืบทอดลูกหลานต่อไปได้ 3. ส ่งม ช ว ตท ่ด ารงช ว ตอยู่ในส ่งแวดล้อมต่างิๆิได้ผ่านกระบวนการค ดเลือกโดยธรรมชาต หรือโดยมนุษย์มาเป็น ระยะเวลายาวนานหลายช ่วรุ่นซึ่งอาจเก ดเป็นสปีช ส์ใหม่ิส่งผลให้เก ดความหลากหลายของสปีช ส์ 4. แหล่งท ่อยู่อาศ ยแต่ละแหล่งท ่ส ่งม ช ว ตอาศ ยอยู่น ้นจะม องค์ประกอบของปัจจ ยทางกายภาพและปัจจ ย ทางช วภาพท ่แตกต่างก นิท าให้เก ดความหลากหลายของระบบน เวศ 5. การจ าแนกส ่งม ช ว ตออกเป็นหมวดหมู่เป็นล าด บข ้นต่างิๆิเร ่มจากหมวดหมู่ใหญ่แล้วแบ่งเป็นหมวดหมู่ย่อยิ ม ด งน ้ิิค งดอมิไฟล มิคลาสิออร์เดอร์ิแฟม ล ิจ น สิและสปีช ส์ 6. ชื่อว ทยาศาสตร์ของส ่งม ช ว ตในล าด บข ้นสปีช ส์ท ่ต ้งขึ้นตามระบบทว นามเพื่อใช้ในการระบุถึงส ่งม ช ว ตแต่ละ ชน ดให้ม ความเข้าใจถูกต้องตรงก นประกอบด้วยิ2ส่วนิโดยส่วนแรกเป็นชื่อสกุลส่วนหล งเป็นค าท ่ระบุล กษณะพ เศษ ของส ่งม ช ว ตชน ดน ้นิหรือเป็นค าท ่ม ความหมายเฉพาะิโดยท ้ง2ส่วนน ้ต้องเป็นภาษาละต น 7. ไดโคโทม สค ย์เป็นเครื่องมือท ่ใช้เพื่อระบุหมวดหมู่ของส ่งม ช ว ตล าด บข ้นต่างๆิโดยม หล กเกณฑ์ในการน า ล กษณะท ่ต่างก นของส ่งม ช ว ตมาพ จารณาเป็นคู่ 8. ว ทเทเกอร์ิเสนอแนวความค ดท ่ว่าส ่งม ช ว ตพวกยูคาร โอตม ว ว ฒนาการมาจากส ่งม ช ว ตพวกโพรคาร โอติและ จ าแนกส ่งม ช ว ตเป็นิ5ค งดอม ประกอบด้วยิมอเนอราิโพรท สตาิพืชิฟังไจและส ตว์ 9. โวสซ์ิและคณะิจ าแนกส ่งม ช ว ตเป็นิ3โดเมนประกอบด้วยิแบคท เร ยิอาร์เค ยและยูคาร โอตโดยแนวความค ด การจ าแนกส ่งม ช ว ตแต่ละโดเมนเป็นกลุ่มย่อยจะใช้หล กท ่ว่าิส ่งม ช ว ตในกลุ่มเด ยวก นม สายว ว ฒนาการมาจากบรรพ บุรุษร่วมก น 10. จุดเร ่มต้นของว ว ฒนาการของเซลล์เก ดจากโมเลกุลของอ ทร ยสารโดยเซลล์รูปแบบแรกท ่เก ดขึ้น คือิเซลล์โพร คาร โอติและม ว ว ฒนาการขึ้นมาเป็นเซลล์ยูคาร โอติและจากส ่งม ช ว ตเซลล์เด ยวเป็นส ่งม ช ว ตหลายเซลล์ท ่ม โครงสร้าง แบบง่ายิๆิจนกลายมาเป็นส ่งม ช ว ตหลายเซลล์ท ่ม โครงสร้างซ บซ้อนมากขึ้นตามล าด บ 11.แบคท เร ยเป็นส ่งม ช ว ตพวกโพรคาร โอติผน งเซลล์ม เพปท โดไกลแคนเป็นองค์ประกอบส าค ญ แบคท เร ยท ่วไป สร้างอาหารเองไม่ได้ิด ารงช ว ตแบบผู้สลายสารอ นทร ย์หรือแบบปรส ตแต่แบคท เร ยบางกลุ่มิเช่นิ ไซยาโนแบคท เร ยสร้างอาหารเองได้จากกระบวนการส งเคราะห์ด้วยแสง 12.ิิโพรท สต์เป็นส ่งม ช ว ตพวกยูคาร โอติท ่ม ความหลากหลายมากท ่สุดิม ล กษณะท ่หลากหลายิบางชน ดคล้าย พืชิบางชน ดคล้ายส ตว์ิิโดยม ท ้งเป็นส ่งม ช ว ตเซลล์เด ยวและส ่งม ช ว ตหลายเซลล์ท ่ย งไม่ม การพ ฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อิม การด ารงช ว ตท ่หลากหลายิบางพวกด ารงช พเป็นปรส ติบางพวกท าหน้าท ่เป็นผู้ผล ตท ่ส าค ญในระบบน เวศท้องทะเล 13. พืชเป็นส ่งม ช ว ตหลายเซลล์พวกยูคาร โอติม ผน งเซลล์ซึ่งม เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบิม ว ฏจ กรช ว ตแบบ สล บและม ระยะเอ็มบร โอในการสืบพ นธุ์แบบอาศ ยเพศิพืชสร้างอาหารเองได้จากกระบวนการส งเคราะห์ด้วยแสง

19 14. ฟังไจเป็นส ่งม ช ว ตพวกยูคาร โอติม ท ้งส ่งม ช ว ตเซลล์เด ยวและหลายเซลล์ิเซลล์ของฟังไจย งไม่พ ฒนาไปเป็น เนื้อเยื่อิผน งเซลล์ม ไคท นเป็นองค์ประกอบส าค ญิฟังไจสร้างอาหารเองไม่ได้และด ารงช ว ตแบบผู้ย่อยสลายสารอ นทร ย สารหรือแบบปรส ต 15. ส ตว์เป็นส ่งม ช ว ตหลายเซลล์พวกยูคาร โอตไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ต้องได้ร บอาหารจากส ่งม ช ว ตอื่น ส่วนใหญ่ม ระบบย่อยอาหาร บางชน ดอาจเป็นปรส ติส ตว์ม ระยะเอ็มบร โอในการสืบพ นธุ์แบบอาศ ยเพศ 16.ส ตว์อาจแบ่งเป็นกลุ่มย่อยจากล กษณะต่างิๆิได้แก่ิเนื้อเยื่อสมมาตริการเปล ่ยนแปลงของบลาสโทพอร์ิการ เจร ญในระยะต วอ่อนิท าให้อาจแบ่งส ตว์เป็นกลุ่มย่อยิเช่นิกลุ่มฟองน้ ากลุ่มไฮดราิกลุ่มหนอนต วแบนิกลุ่มหอยและ หมึกกลุ่มไส้เดือนด นกลุ่มหนอนต วกลมกลุ่มส ตว์ท ่ม ขาเป็นปล้องิกลุ่มดาวทะเลและปล งทะเลและกลุ่มส ตว์ท ่ม โนโทคอร์ด ……………………………………………………………………………………

20 แผนการจ ดการเรียนร ้ กลุ มสาระการเรียนร ้ว ทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช ้นม ธยมศึกษาปีที่ื6 รายว ชาว ทยาศาสตร์ชีวภาพื รห สว ชาืว30103 หน วยที่ื1 เร ่องืความหลากหลายทางชีวภาพ ืืืืืืืืืืืเวลาื28 ช ่วโมง แผนการจ ดการเรียนร ้ที่ื8 เร ่องืความหลากหลายของส ่งมีชีว ตื เวลาื3 ช ่วโมงื ผ ้สอนนางกชณ ภาืืก นตะกน ษฐ์ืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืืื โรงเรียนปากเกร็ด ………………………………………………………………………………………………………………………………… 1.ืต วชี้ว ดการเรียนร ้ 1. อธ บายและยกต วอย่างการจ าแนกส ่งม ช ว ตจากหมวดหมู่ใหญ่จนถึงย่อยิและว ธ การเข ยนชื่อ ว ทยาศาสตร์ในล าด บข ้นสปีช ส์ 2. สร้างไดโคโทม สค ย์ในการระบุส ่งม ช ว ตหรือต วอย่างท ่ก าหนดออกเป็นหมวดหมู่ 2. จุดประสงค์การเรียนร ้ 1. อธ บายและยกต วอย่างการจ าแนกส ่งม ช ว ตจากหมวดหมู่ใหญ่จนถึงหมวดหมู่ย่อยได้ิ(K) 2. อธ บายว ธ การเข ยนชื่อว ทยาศาสตร์ในล าด บข ้นสปีช ส์ได้ิ(K) 3. สร้างไดโคโทม สค ย์ในการระบุส ่งม ช ว ตหรือต วอย่างท ่ก าหนดออกเป็นหมวดหมู่ได้(P) 4. ปฏ บ ต ก จกรรมได้อย่างถูกต้องและเป็นล าด บข ้นตอน (P) 5. ร บผ ดชอบต่อหน้าท ่และมุ่งม ่นในการท างาน (A)ิ 3. สาระการเรียนร ้ ืืืืืืืืสภาพแวดล้อมของโลกเมื่อประมาณิ4,600ล้านปีท ่ผ่านมาเป็นช่วงท ่โลกโดนอุกกาบาตซึ่งเป็นก้อนห น ขนาดใหญ่พุ่งชนก่อให้เก ดความร้อนซึ่งไม่เหมาะสมต่อการก าเน ดช ว ติจนกระท ่งการพุ่งชนของอุกกาบาตหยุด ลงท าให้บรรยากาศของโลกเปล ่ยนแปลงเก ดช่วงระยะท ่เหมาะสมต่อการก าเน ดช ว ตืื ิิิิิิิิิว ว ฒนาการของส ่งม ช ว ตว่าส ่งม ช ว ตในปัจจุบ นต่างม ว ว ฒนาการมาจากบรรพบรุษุเด ยวก นส ่งม ช ว ตใน ปัจจุบ นม ท ้งส ่งม ช ว ตเซลล์เด ยวและส ่งม ช ว ตหลายเซลล์ การจ าแนกส ่งม ช ว ตออกเป็นหมวดหมู่เป็นล าด บข ้นต่างิๆิเร ่มจากหมวดหมู่ใหญ่แล้วแบ่งเป็น หมวดหมู่ย่อยิม ด งน ้ิิค งดอมิไฟล มิคลาสิออร์เดอร์ิแฟม ล ิจ น สิและสปีช ส์ ชื่อว ทยาศาสตร์ของส ่งม ช ว ตในล าด บข ้นสปีช ส์ท ่ต ้งขึ้นตามระบบทว นามเพื่อใช้ในการระบุถึงส ่งม ช ว ต แต่ละชน ดให้ม ความเข้าใจถูกต้องตรงก นประกอบด้วยิ2 ส่วนิโดยส่วนแรกเป็นชื่อสกุล ส่วนหล งเป็นค าท ่ ระบุล กษณะพ เศษของส ่งม ช ว ตชน ดน ้นิหรือเป็นค าท ่ม ความหมายเฉพาะิโดยท ้ง 2 ส่วนน ้ต้องเป็นภาษา ละต น ไดโคโทม สค ย์เป็นเครื่องมือท ่ใช้เพื่อระบุหมวดหมู่ของส ่งม ช ว ตล าด บข ้นต่างๆิโดยม หล กเกณฑ์ในการ น าล กษณะท ่ต่างก นของส ่งม ช ว ตมาพ จารณาเป็นคู่ ว ทเทเกอร์ิเสนอแนวความค ดท ่ว่าส ่งม ช ว ตพวกยูคาร โอตม ว ว ฒนาการมาจากส ่งม ช ว ตพวกโพรคาร โอติ และจ าแนกส ่งม ช ว ตเป็นิ5 ค งดอม ประกอบด้วยิมอเนอราิโพรท สตา พืชิฟังไจ และส ตว์โวสซ์ิและคณะิ จ าแนกส ่งม ช ว ตเป็นิ3 โดเมน

21 4. สาระส าค ญ/ความค ดรวบยอด น กว ทยาศาสตร์จ าแนกส ่งม ช ว ตออกเป็นหมวดหมู่ิเร ่มจากหมวดหมู่ใหญ่แล้วแบ่งเป็นหมวดหมู่ย่อยิ ได้แก่ิิค งดอมิไฟล มิคลาสิออร์เดอร์ิแฟม ล ิจ น สิและสปีช ส์ิโดยใช้ไดโคโทม สค ย์เป็นเครื่องมือเพื่อระบุ หมวดหมู่ของส ่งม ช ว ตล าด บข ้นต่างๆิซึ่งม หล กเกณฑ์ในการน าล กษณะท ่ต่างก นของส ่งม ช ว ตมาพ จารณา เป็นคู่ิจากน ้นม การต ้งชื่อว ทยาศาสตร์ของส ่งม ช ว ตในล าด บข ้นสปีช ส์ด้วยระบบทว นามิซึ่งประกอบด้วย สองส่วนิโดยส่วนแรกเป็นชื่อสกุลิส่วนหล งเป็นค าท ่ระบุล กษณะพ เศษของส ่งม ช ว ตชน ดน ้นิโดยท ้งสองส่วน ต้องเป็นภาษาละต น 5. สมรรถนะส าค ญของผ ้เรียนและคุณล กษณะอ นพึงประสงค์ สมรรถนะส าค ญของผ ้เรียน คุณล กษณะอ นพึงประสงค์ 1.ิความสามารถในการสื่อสาร 2.ิความสามารถในการค ด 1) ท กษะการส งเกต ิิิ2) ท กษะการจ าแนกประเภท ิิิ3) การลงความเห็นจากข้อมูล 4) การต ความหมายข้อมูลและการลงข้อมูล 3. ความสามารถในการใช้ท กษะช ว ต 1. ม ว น ย 2. ใฝ่เร ยนรู้ 3. มุ่งม ่นในการท างาน 6. ก จกรรมการเรียนร ้ ิิิิิแนวค ด/รูปแบบการสอน/ว ธ การสอน/เทคน คิ: แบบเน้นมโนท ศน์ิ(Concept Based Teaching) ข ้นการใช้ความร ้เด มืเช ่อมโยงความร ้ใหม ื(Prior Knowledge) 1. ครูน าสนทนาเก ่ยวก บมาตราธรณ กาลิและถามค าถามให้น กเร ยนร่วมก นแสดงความค ดเห็นิเช่น - มาตราธรณ กาลคืออะไริจ ดท าขึ้นเพื่ออะไร (แนวตอบ : มาตราธรณ กาลิคือิตารางเวลาท ่จ ดท าขึ้นเพื่อล าด บเหตุการณ์ก าเน ดส ่งม ช ว ตในช่วงเวลา ท ่ผ่านมา) - น กว ทยาศาสตร์ศึกษาล าด บว ว ฒนาการของส ่งม ช ว ตในอด ตได้อย่างไร (แนวตอบ : ศึกษาจากซากดึกด าบรรพ์ของส ่งม ช ว ต) 23.2.1 ก าเน ดเซลล์เร ่มแรก ิิิครูใช้รูปโลกเมื่อิ4,600ิล้านปีท ่ผ่านมาิโดยใช้ค าส าค ญในการสืบค้นข้อมูลว่าิhadean หรือบรมยุคเฮเด ยนิ เพื่อแสดงให้เห็นถึงสภาพของโลกในช่วงน ้นิจากน ้นให้น กเร ยนสืบค้นข้อมูลก าเน ดเซลล์เร ่มแรกในหน งสือเร ยน ช ่วโมงที่ื1-2 ข ้นน า

22 ประกอบการอภ ปรายิโดยม แนวค าถามด งน ้ โลกเมื่อิ4,600ิล้านปีท ่ผ่านมาม สภาพเป็นอย่างไร จากรูปน กเร ยนค ดว่าม ส ่งม ช ว ตอาศ ยอยู่ในโลกช่วงน ้นได้หรือไม่ สภาพแวดล้อมแบบใดจึงจะเหมาะสมต่อการก าเน ดช ว ต จากการอภ ปรายร่วมก นน กเร ยนควรอธ บายได้ว่าสภาพแวดล้อมของโลกเมื่อประมาณิ4,600ล้านปีท ่ผ่านน มาเป็นช่วงท่ำโลกโดนอุกกาบาตซึ่งเป็นก้อนห นขนาดใหญ่พุ่งชนก่อให้เก ดความร้อนซึ่งไม่เหมาะสมต่อการก าเน ด ช ว ติจนกระท ่งการพุ่งชนของอุกกาบาตหยุดลงท าให้บรรยากาศของโลกเปล ่ยนแปลงเก ดช่วงระยะท ่เหมาะสม ต่อการก าเน ดช ว ต ร ้ื(Knowing) 1. ครูถามค าถามให้น กเร ยนร่วมก นอภ ปรายโดยย งไม่เฉลยว่าถูกหรือผ ด - ส ่งม ช ว ตบนโลกม ประมาณเท่าใด - หากต้องการศึกษาส ่งม ช ว ตท ้งหมดจะม ว ธ การศึกษาได้อย่างไร - น กว ทยาศาสตร์ใช้ข้อมูลใดในการจ ดหมวดหมู่ส ่งม ช ว ต 2. น กเร ยนศึกษาข้อมูลและหล กฐานท ่น กว ทยาศาสตร์ใช้ในการจ ดหมวดหมู่ส ่งม ช ว ติจากหน งสือเร ยน รายว ชาเพ ่มเต มว ทยาศาสตร์และเทคโนโลย ิช วว ทยาิม.6 เล่มิ2 และอภ ปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมก น 3. ครูถามค าถามเพื่อน าเข้าสู่การท าก จกรรมิเรื่องิการจ ดหมวดหมู่ของเมล็ดพืช - การจ ดหมวดหมู่ของส ่งม ช ว ตม ว ธ การอย่างไร (แนวตอบิ: ใช้ล กษณะต่างิๆิของส ่งม ช ว ติท ้งท ่เหมือนก นและแตกต่างก นิช่วยจ ดหมวดหมู่ิโดยจะ จ ดส ่งม ช ว ตท ่ม ล กษณะเหมือนก นอยู่ในกลุ่มเด ยวก น 4. น กเร ยนแบ่งกลุ่มิกลุ่มละิ4-5 คนเพื่อท าก จกรรมิเรื่องิการจ ดหมวดหมู่ของกระดุมิในหน งสือเร ยน รายว ชาเพ ่มเต มว ทยาศาสตร์และเทคโนโลย ิช วว ทยาิม.ิ6 เล่มิ2 โดยให้น กเร ยนบ นทึกผลการท าก จกรรม ในรูปแบบของแผนภาพิหรือแผนผ ง 5. น กเร ยนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏ บ ต ก จกรรมหน้าช ้นเร ยนิจากน ้นให้น กเร ยนร่วมก นตอบค าถามท้าย ก จกรรมิและสรุปผลการท าก จกรรม 6. น กเร ยนและครูร่วมก นอภ ปรายผลก จกรรมิการจ ดหมวดหมู่ของกระดุมิเพื่อให้ได้ข้อสรุปิด งน ้ิเกณฑ์ท ่ใช้ ในการแบ่งกลุ่มกระดุมของน กเร ยนแต่ละกลุ่มไม่ม ถูกผ ดิแต่ควรพ จารณาว่าเกณฑ์ใดท ่ช่วยให้การจ ด หมวดหมู่เหมาะสมก บต วอย่างท ่น ามาศึกษามากท ่สุด 7. ครูและน กเร ยนร่วมก นสรุปเก ่ยวก บการจ ดหมวดหมู่ของส ่งม ช ว ติโดยม แนวการสรุปิด งน ้ การจ ดหมวดหมู่ส ่งม ช ว ตม หล กเกณฑ์พื้นฐาน คือ จ ดส ่งม ช ว ตท ่ม ล กษณะเหมือนก นอยู่ในกลุ่ม เด ยวก น ซึ่งปัจจุบ นน กว ทยาศาสตร์จ ดหมวดหมู่ส ่งม ช ว ตจากหมวดหมู่ใหญ่ลงไปเป็นหมวดหมู่ย่อย ได้แก่อาณาจ กร (Kingdom) ไฟล ม (Phylum) ช ้นหรือคลาส (Class) อ นด บหรือออร์เดอร์(Order) วงศ์หรือแฟม ลี(Family) สกุลหรือจีน ส (Genus) และชน ดหรือสปีชีส์(Species) ข ้นสอน

23 8. ครูน าอภ ปรายว่าิส ่งม ช ว ตต่างิๆิบนโลกม ชื่อเหมือนก นหรือไม่ิอย่างไริจากน ้นครูยกต วอย่างชื่อท้องถ ่น ของส ่งม ช ว ตบางชน ดิเช่นิส ปปะรดิ(มะน ดิบ กน ดิย่าน ด)ิแล้วอธ บายเพื่อช ้ให้น กเร ยนเห็นว่าชื่อท้องถ ่นิ (local name) อาจท าให้เก ดความส บสนได้ิด งน ้นิจึงม การต ้งชื่อสาม ญ (common name) ขึ้นิแต่ อย่างไรก็ตามชื่อสาม ญก็ย งอาจท าให้เก ดความส บสนในการศึกษาอ้างอ งิด งน ้นิน กว ทยาศาสตร์จึง ก าหนดการต ้งชื่อว ทยาศาสตร์ิ(scientific name) ของส ่งม ช ว ตขึ้นมา 9. ให้น กเร ยนแบ่งกลุ่มิกลุ่มละิ4-5 คนิช่วยก นสืบค้นข้อมูลชื่อว ทยาศาสตร์ของส ่งม ช ว ตอย่างน้อยกลุ่มละิ 3 ชื่อิโดยแต่ละกลุ่มห้ามซ้ าก นิ(ควรเป็นส ่งม ช ว ตหลากหลายชน ด)ิจากน ้นส่งต วแทนกลุ่มออกไปเข ยนชื่อ ว ทยาศาสตร์น ้นิๆิบนกระดานหน้าช ้นเร ยน 10. น กเร ยนพ จารณาชื่อว ทยาศาสตร์ท ้งหมดท ่เข ยนอยู่บนกระดานหน้าช ้นเร ยนว่าม หล กเกณฑ์ในการเข ยน อย่างไร 11. ให้น กเร ยนศึกษาหล กการเข ยนชื่อว ทยาศาสตร์จากหน งสือเร ยนรายว ชาเพ ่มเต มว ทยาศาสตร์และ เทคโนโลย ิช วว ทยาิม.6 เล่มิ2 แล้วอภ ปรายและสรุปร่วมก นิโดยม แนวการสรุปิด งน ้ “การต ้งชื่อว ทยาศาสตร์ม กใช้ล กษณะของส ่งม ช ว ติแหล่งก าเน ดิสถานท ่พบิผู้ท ่ค้นพบิหรืออาจต ้ง เพื่อเป็นเก ยรต ให้แก่บุคคลิโดยชื่อส่วนแรกเป็นชื่อสกุลหรือจ น สิส่วนท ่สองเป็นชื่อสปีช ส์ิซึ่งเข ยนด้วย ภาษาละต นิชื่อสกุลต วแรกต้องเป็นต วพ มพ์ใหญ่ิและชื่อว ทยาศาสตร์ต้องเข ยนให้ต่างจากต วอ กษรอื่น ๆิ โดยอาจใช้ต วเอนิหรือต วข ดเส้นใต้” ร ้ื(Knowing) 12. ครูถามค าถามน กเร ยนเพื่อน าเข้าสู่การท าก จกรรมิเรื่องิการใช้ไดโคโตม สค ย์ - น กว ทยาศาสตร์ระบุชน ดของส ่งม ช ว ตได้อย่างไร (แนวตอบิ: น กว ทยาศาสตร์สามารถระบุชน ดของส ่งม ช ว ติโดยการสร้างเครื่องมือส าหร บตรวจหาและ ระบุชน ดหรือกลุ่มของส ่งม ช ว ติว่าเคยจ ดหมวดหมู่หรือต ้งชื่อไว้แล้วหรือย งิหากพบว่า เป็นส ่งม ช ว ตท ่ไม่เคยถูกจ ดหมวดหมู่หรือต ้งชื่อมาก่อนิก็จะศึกษาเพื่อจ ดจ าแนกและต ้ง ชื่อต่อไป) - เครื่องมือใดท ่ช่วยในการระบุชน ดของส ่งม ช ว ต (แนวตอบิ: ไดโคโตม สค ย์ิ(dichotomous key)) 13. น กเร ยนแบ่งกลุ่มิกลุ่มละิ4-5 คนิเพื่อท าก จกรรมิเรื่องิการใช้ไดโคโตม สค ย์ิจากหน งสือเร ยนรายว ชา เพ ่มเต มว ทยาศาสตร์และเทคโนโลย ิช วว ทยาิม.ิ6 เล่มิ2 14. น กเร ยนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏ บ ต ก จกรรมหน้าช ้นเร ยนิร่วมก นอภ ปรายิตอบค าถามท้ายก จกรรมิ และสรุปผลการท าก จกรรม 15. น กเร ยนแบ่งกลุ่มิกลุ่มละิ4-5 คนิเพื่อท าก จกรรมิเรื่อง การสร้างไดโคโตม สค ย์ิจากหน งสือเร ยนรายว ชา เพ ่มเต มว ทยาศาสตร์และเทคโนโลย ิช วว ทยาิม.ิ6 เล่มิ2 ช ่วโมงที่ื3

24 16. น กเร ยนแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการปฏ บ ต ก จกรรมหน้าช ้นเร ยนิร่วมก นอภ ปรายิตอบค าถามท้ายก จกรรมิ และสรุปผลการท าก จกรรม 17. ครูและน กเร ยนร่วมก นสรุปเก ่ยวก บการระบุชน ดของส ่งม ช ว ติโดยม แนวการสรุปิด งน ้ เนื่องจากส ่งม ช ว ตม หลายชน ดิน กว ทยาศาสตร์จึงต้องระบุชน ดิ(identification) ของส ่งม ช ว ตโดยใช้ เครื่องมือท ่เร ยกว่าิไดโคโตม สค ย์ิ(dichotomous key) ซึ่งพ จารณาความแตกต่างของโครงสร้างท ละ ล กษณะเป็นคู่ๆ เข้าใจื(Understanding) 18. ครูถามค าถามิkey Question ก บน กเร ยนว่าิ“เราจะศึกษาความหลากหลายของส ่งม ช ว ตได้อย่างไร” (แนวตอบ : ในการศึกษาความหลากหลายของส ่งม ช ว ตต้องม การจ าแนกส ่งม ช ว ตออกเป็นหมวดหมู่ิ เพื่อให้สะดวกต่อการศึกษาิโดยการศึกษาความหลากหลายของส ่งม ช ว ตแบ่งออกเป็นิ3 ส่วนิ ได้แก่ิการจ ดหมวดหมู่ของส ่งม ช ว ติ(classification) โดยอาศ ยข้อมูลและหล กฐานจากหลายิ ๆิด้านิอาท เช่นิหล กฐานจากซากดึกด าบรรพ์ิข้อมูลทางช วว ทยาระด บโมเลกุลิส่วนท ่สองิ คือิชื่อของส ่งม ช ว ติ(Nomenclature) และส่วนสุดท้ายคือิการระบุชน ดของส ่งม ช ว ติ (Identification)) 19. ครูถามค าถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของน กเร ยนิเรื่องการจ ดหมวดหมู่ส ่งม ช ว ติชื่อของส ่งม ช ว ติและ การระบุชน ดของส ่งม ช ว ติเช่น - น กว ทยาศาสตร์ใช้เกณฑ์ใดในการจ ดหมวดหมู่ส ่งม ช ว ต (แนวตอบ : จ ดส ่งม ช ว ตท ่ม ล กษณะเหมือนก นอยู่ในกลุ่มเด ยวก น)ิ - ปัจจุบ นน กว ทยาศาสตร์จ ดหมวดหมู่ส ่งม ช ว ตจากหมวดหมู่ใหญ่ลงไปเป็นหมวดหมู่ย่อยอย่างไร (แนวตอบ : น กว ทยาศาสตร์จ ดหมวดหมู่ส ่งม ช ว ตจากหมวดหมู่ใหญ่ลงไปเป็นหมวดหมู่ย่อย ได้แก่ อาณาจ กร (Kingdom) ไฟล ม (Phylum) ช ้นหรือคลาส (Class) อ นด บ (Order) วงศ์หรือแฟม ล (Family) สกุล (Genus) และชน ด (Species))ิ - มนุษย์ม ชื่อว ทยาศาสตร์อย่างไร (แนวตอบ : Homo sapiens) - ยกต วอย่างชื่อว ทยาศาสตร์ของส ่งม ช ว ตท ่น กเร ยนสนใจอย่างน้อยิ3 ชน ด (แนวตอบ : พ จารณาจากค าตอบของน กเร ยน) - ไดโคโตม สค ย์คืออะไริ (แนวตอบ : ไดโคโตม สค ย์ิคือิเครื่องมือท ่ใช้ในการระบุชน ดของส ่งม ช ว ติท ้งน ้เพื่อจ ดหมวดหมู่ ส ่งม ช ว ต) 20. ให้น กเร ยนสืบค้นข้อมูลและน าเสนอต วอย่างการจ าแนกส ่งม ช ว ตท ่สนใจจากหมวดหมู่ใหญ่จนถึงหมวดหมู่ ย่อยและเข ยนชื่อว ทยาศาสตร์ของส ่งม ช ว ตท ่ยกต วอย่าง 21. น กเร ยนท าิTopic Question ท้ายห วข้อ การศึกษาความหลากหลายของส ่งม ช ว ติในหน งสือเร ยนรายว ชา เพ ่มเต มว ทยาศาสตร์และเทคโนโลย ิช วว ทยาิม.6 เล่มิ2

25 22. น กเร ยนท าแบบฝึกห ดิเรื่องิการศึกษาความหลากหลายของส ่งม ช ว ติในแบบฝึกห ดรายว ชาเพ ่มเต ม ว ทยาศาสตร์และเทคโนโลย ิช วว ทยาิม.6 เล่มิ2 ลงม อท าื(Doing) 23. น กเร ยนท าใบงานท ่ิ1.9 เรื่องิการจ าแนกส ่งม ช ว ตและเข ยนชื่อว ทยาศาสตร์และน กเร ยนท าก จกรรมิ 23.5 ไดโคโทม สค ย์ 1. ครูและน กเร ยนร่วมก นสรุปเก ่ยวก บเรื่องการจ ดหมวดหมู่ส ่งม ช ว ติชื่อของส ่งม ช ว ติและการระบุชน ดของ ส ่งม ช ว ติโดยควรสรุปได้ิด งน ้ “น กว ทยาศาสตร์จ ดหมวดหมู่ส ่งม ช ว ตโดยอาศ ยข้อมูลและหล กฐานหลายอย่างิเช่นิซากดึกด าบรรพ์ิ หล กฐานทางกายว ภาคเปร ยบเท ยบิว ทยาเอ็มบร โอเปร ยบเท ยบิซึ่งจ ดส ่งม ช ว ตท ่ม ล กษณะร่วมก นไว้ใน หมวดหมู่เด ยวก นิท ้งน ้เนื่องจากส ่งม ช ว ตม จ านวนมากจึงต้องม การต ้งชื่อเพื่อใช้สื่อสารและท าความเข้าใจได้ ตรงก นิเร ยกว่าิชื่อว ทยาศาสตร์ิ(sciencetific name) และระบุชน ดของส ่งม ช ว ตโดยใช้ไดโคโตม สค ย์ิ (dichotomous key)” 1. ประเม นความรู้เก ่ยวก บ เรื่องิการศึกษาความหลากหลายของส ่งม ช ว ติโดยส งเกตพฤต กรรมการตอบ ค าถาม ตรวจแบบฝึกห ด และตรวจใบงานท ่ิ1.9 เรื่องิการจ าแนกส ่งม ช ว ตและเข ยนชื่อว ทยาศาสตร์ ิิิิิิและตรวจรายงานก จกรรมิ23.5ิไดโคโทม สค ย์ 2. ประเม นท กษะและกระบวนการ โดยส งเกตพฤต กรรมการท างานรายบุคคล การท างานในก จกรรมกลุ่มิ ิิิิิและการน าเสนอผลการปฏ บ ต ก จกรรมก จกรรมิ23.5 ไดโคโทม สค ย์หน้าช ้นเร ยน 3. ประเม นคุณล กษณะอ นพึงประสงค์โดยส งเกตพฤต กรรมความสนใจใฝ่รู้ในการศึกษาและความมุ่งม ่นใน การท างาน 7. การว ดและการประเม นผล รายการว ด ว ธ การ เครื่องมือ เกณฑ์การ ประเม น 7.1 ประเม นระหว่างการจ ด ก จกรรมการเร ยนรู้ 1)ิการศึกษาความ หลากหลายของ ส ่งม ช ว ต - ตรวจแบบฝึกห ด - ตรวจใบงานท ่ิ1.9 เรื่อง การจ าแนกส ่งม ช ว ตและ เข ยนชื่อว ทยาศาสตร์ - แบบฝึกห ด - ใบงานท ่ิ1.9 เรื่องิการ จ าแนกส ่งม ช ว ตและเข ยน ชื่อว ทยาศาสตร์ - ร้อยละิ50 ผ่านิิิิิ ิิเกณฑ์ - ร้อยละิ50 ผ่าน ิิเกณฑ์ 2) การปฏ บ ต ก จกรรมิ 23.5ิไดโคโทม สค ย์ - ประเม นการปฏ บ ต ิิก จกรรม 23.5ิไดโค โทม สค ย์ - แบบประเม นการิ ิิปฏ บ ต ก จกรรมิ23.5ิไดโค โทม สค ย์ - ระด บคุณภาพิ2ิ ผ่านเกณฑ์ ข ้นสรุป ข ้นประเม น

26 3) การน าเสนอ ิิิผลงาน/ผลการปฏ บ ต ิิิ ิิิก จกรรม - ประเม นการน าเสนอ ิิผลงาน/ผลการปฏ บ ต ิิิิ ิิก จกรรมิ23.5ิไดโค โทม สค ย์ - แบบประเม นการน าเสนอ ิิผลงานก จกรรมิ23.5ิไดโค โทม สค ย์ - ระด บคุณภาพิ2 ผ่านเกณฑ์ 4) พฤต กรรมการ ท างานรายบุคคล - ส งเกตพฤต กรรม ิิการท างานรายบุคคล - แบบส งเกตพฤต กรรมิ ิิการท างานรายบุคคล - ระด บคุณภาพิ2 ผ่านเกณฑ์ 5) พฤต กรรมการ ท างานกลุ่ม - ส งเกตพฤต กรรม ิิการท างานกลุ่ม - แบบส งเกตพฤต กรรมิ ิิการท างานกลุ่ม - ระด บคุณภาพิ2 ผ่านเกณฑ์ 6)ิคุณล กษณะอ นพึง ประสงค์ - ส งเกตความม ว น ยิิ ิิและร บผ ดชอบ ิิในการท างาน - แบบประเม นคุณล กษณะิิิิิิิิิิิ ิิอ นพึงประสงค์ ระด บคุณภาพิ2 ผ่านเกณฑ์ 8. ส ่อ/แหล งการเรียนร ้ ืืืื8.1 ส ่อการเรียนร ้ 1) หน งสือเร ยนรายว ชาเพ ่มเต มว ทยาศาสตร์และเทคโนโลย ิช วว ทยาิม.6ิเล่มิ2 หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ 1 การศึกษาความหลากหลายของส ่งม ช ว ต 2) แบบฝึกห ดรายว ชาเพ ่มเต มว ทยาศาสตร์และเทคโนโลย ิช วว ทยาิม.6ิเล่มิ2 หน่วยการเร ยนรู้ ท ่ิ1 การศึกษาความหลากหลายของส ่งม ช ว ต 3) ใบงานท ่ิ1.9 เรื่องิการจ าแนกส ่งม ช ว ตและเข ยนชื่อว ทยาศาสตร์ 4) สื่อPower point เรื่องิการจ ดหมวดหมู่ของส ่งม ช ว ต 5) PowerPoint เรื่องิการศึกษาความหลากหลายของส ่งม ช ว ต 6) ภาพส ตว์ชน ดต่างิๆ 7) เปลือกหอยหรือกระดุม ืืืื8.2 แหล งการเรียนร ้ 1) ห้องเร ยน 2) ห้องสมุด 3) แหล่งข้อมูลสารสนเทศิิสื่ออ นเตอร์เน็ต

27 ใบงานที่ื1.9 เร ่องืการจ าแนกส ่งมีชีว ตและเขียนช ่อว ทยาศาสตร์ -------------- ค าชี้แจง : ให้น กเร ยนจ บคู่ก นสืบค้นข้อมูลการจ าแนกส ่งม ช ว ตจากหมวดหมู่ใหญ่จนถึงหมวดหมู่ย่อยของ ส ่งม ช ว ตจ านวนอย่างน้อยิ3 ชน ดท ่น กเร ยนสนใจ และเข ยนชื่อว ทยาศาสตร์ในล าด บข ้นสปีช ส์ของ ส ่งม ช ว ตน ้น ๆ ส ่งมีชีว ต Kingdom Phylum Class Order Family Genus Species ภาพ ส ่งมีชีว ต Kingdom Phylum Class Order Family Genus Species ภาพ ส ่งมีชีว ต Kingdom Phylum Class Order Family Genus Species ภาพ

28 ใบงานที่ื1.9 เฉลย เร ่องืการจ าแนกส ่งมีชีว ตและเขียนช ่อว ทยาศาสตร์ -------------- ค าชี้แจง : ให้น กเร ยนจ บคู่ก นสืบค้นข้อมูลการจ าแนกส ่งม ช ว ตจากหมวดหมู่ใหญ่จนถึงหมวดหมู่ย่อยของ ส ่งม ช ว ตจ านวนอย่างน้อยิ3 ชน ดท ่น กเร ยนสนใจ และเข ยนชื่อว ทยาศาสตร์ในล าด บข ้นสปีช ส์ของ ส ่งม ช ว ตน ้น ๆ ท ้งน ้ค าตอบของน กเร ยนขึ้นอยู่ก บดุลพ น จของคุณครู ส ่งมีชีว ต หมาป่าส เทาิ(gray wolf) Kingdom Animalia Phylum Chordata Class Mammalia Order Carnivora Family Canidae Genus Canis Species Canis lupus ส ่งมีชีว ต ช มแปนซ ิ(chimpanzee) Kingdom Animalia Phylum Chordata Class Mammalia Order Primate Family Hominidae Genus Pan Species Pan troglodytes ส ่งมีชีว ต ส งโติ(lion) Kingdom Animalia Phylum Chordata Class Mammalia Order Carnivora Family Felidae Genus Panthera Species Panthera leo

29 9.ืบ นทึกผลหล งการสอน ด้านความรู้ น กเร ยนสามารถจ าแนกหมวดหมู่ของส ่งม ช ว ตได้ผ่านเกณฑ์ิร้อยละิ60 ด้านสมรรถนะส าค ญของผู้เร ยน น กเร ยนม.6/1,6/2 ,6/4-6/7 ม ท กษะกระบวนการทางว ทยาศาสตร์ิ ตามเกณฑ์ท ่ครูก าหนดิสามารถิท ารายงานก จกรรมท ่23.5 ได้อย่างถูกต้องและน กเร ยนท าใบงานท ่ิ1.9 ได้ ถูกต้องผ่านเกณฑ์ร้อยละ50 ด้านคุณล กษณะอ นพึงประสงค์ น กเร ยนม.6/1,6/2 ,6/4-6/7 ม ความร บผ ดชอบท ารายงานก จกรรม 23.5 ได้ส าเร็จตรงประเด็นและน กเร ยนท าใบงานท ่ิ1.9 ได้ถูกต้องผ่านเกณฑ์ิร้อยละ50 ปัญหา/อุปสรรค /แนวทางการแก้ไข น กเร ยนบางคนไม่สามารถจ าแนกส ่งม ช ว ตออกเป็นหมวดหมู่ได้ิจึงให้น กเร ยนเข้ากลุ่มเพื่อนท ่ม ความ เข้าใจด ช่วยอธ บายเพ ่มเต ม ข้อเสนอแนะ ให้น กเร ยนจ บคู่ก บเพื่อนท ่เข้าใจก นเพื่อช่วยอธ บายเพ ่มให้ก นและก น ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิลงชื่อ.......... ............ผู้สอน ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ(นางกชณ ภาิิก นตะกน ษฐ์) ลงชื่อ.................................................... ลงชื่อ....................................................... ิิิิิิิ(นายด ฐธ เดชิิแจ้งคต) ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ (นางสายไหมิิิดาบทอง) ห วหน้ากลุ่มสาระการเร ยนรู้ว ทยาศาสตร์ ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิรองผู้อ านวยการโรงเร ยนกลุ่มการบร หารว ชาการิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ 10. ความค ดเห็นของห วหน้าสถานศึกษาืหร อผ ้ที่ได้ร บมอบหมาย .................................................................................................................... .......................................................................... ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิลงชื่อ......................................................... ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ ิิิิิิิิิิิ ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ(นางแน่งน้อยิเพ็งพ นธ์) ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ ผู้อ านวยการโรงเร ยนปากเกร็ดิิ

30 บ นทึกผลการจ ดการเรียนร ้ หน่วยการเร ยนรู้ท ่ิ1 เรื่องิความหลากหลายทางช วภาพิิิิิิิิิิิิิิิิิิ เวลาิ24 ช ่วโมง ช ้นม ธยมศึกษาปีท ่ิ6 รห สว ชาิว30103 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1. ด้านการบรรลุผลการเรียนร ้ ิิิ1.1 ด้านความร ้ความค ด ิิิิิิิิการเร ยนรู้จากสื่อการสอนPower point ,ิสื่อว ด โอประกอบเนื้อหา,ิก จกรรมจากบทเร ยนิ,แบบฝึกห ด การจ ดท าผ งมโนท ศน์ิ,แบบฝึกห ดและแบบทดสอบจากApplication Liveworksheet การตอบค าถามิและ การอภ ปราย ในเนื้อหาต่อไปน ้ - ความหมายและองค์ประกอบของความหลากหลายทางช วภาพ - ความหลากหลายของส ่งม ช ว ต - การศึกษาความหลากหลายของส ่งม ช ว ต ิิิ1.2 ท กษะกระบวนการทางว ทยาศาสตร์ - การส งเกติการลงความเห็นจากข้อมูลิการจ าแนกประเภทิการพยากรณ์ิการจ ดกระท าและ สื่อความหมายข้อมูลิการต ความหมายข้อมูลและลงข้อสรุปและการน าเสนอข้อมูลิการตอบค าถามิและการ อภ ปราย ิิิิิิิิิ- ด้านการค ดอย่างม ว จารณญาณและการแก้ปัญหาิ ิิิิิิิิิ- ด้านการสื่อสารสารสารสนเทศและการรู้ท นสื่อิจากการใช้งานสารสนแทศเพื่อสืบค้นข้อมูลและเพื่อ สื่อสารก บบุคคลอื่นอย่างถูกต้องและเหมาะสม ิิิิิิิิิ- ด้านความร่วมมือิการท างานเป็นท มิและภาวะผู้น าิด้านการท างานิิการเร ยนรู้ิและการพึ่ง ตนเองิจากการท างานกลุ่มิการแสดงความร บผ ดชอบิิต่องานท ่ท างานร่วมก นิความยืดหยุ่นิในการท างาน ร่วมก นิการบร หารจ ดการงานท ่ได้ร บมอบหมายให้ลุล่วง ิิิิิิิิ- ด้านคอมพ วเตอร์ิและเทคโนโลย สารสนเทศและการสื่อสาริจากการใช้ในการท างานเพื่อการสืบค้นิ การรวบรวมิและการจ ดการข้อมูลเพื่อน าเสนอ 1.3 ด้านจ ตว ทยาศาสตร์ การใช้ว จารณญาณิความรอบคอบิว ตถุว ส ยิจากการสืบค้นข้อมูลิและการว เคราะห์ข้อมูล - การยอมร บความเห็นต่างิความใจกว้างิจากการท างานกลุ่มร่วมก นิและการอภ ปราย - ความอยากรู้อยากเห็นิความมุ่งม ่นในการสืบค้นข้อมูลิการตอบค าถามน าเสนอและการอภ ปราย 2. ปัญหาที่พบจากการจ ดการเรียนร ้และแนวทางแก้ไข - 3. แนวทางในการพ ฒนาต อไป ครูค ดหานว ตกรรมหรือกลยุทธ์ใหม่ๆมาใช้ในการจ ดการเร ยนการสอนิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ ลงชื่อ ผู้สอน (นางกชณ ภาิิิก นตะกน ษฐ์) ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ ต าแหน่งครูช านาญการพ เศษ ว นท ่ 12 ม นาคมิ2565

31 ข้อสอบปรน ยว ดผลส มฤทธ ์ทางการเรียนก อนและหล งเรียน โดยใช้กระบวนการเรียนร ้แบบActive Learning

32 แบบทดสอบืเร ่องความหลากหลายทางชีวภาพ รายว ชาว ทยาศาสตร์ชีวภาพืรห สืว30103 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ค าส ่งิิจงเลือกค าตอบท ่ถูกต้องท ่สุดเพ ยงข้อเด ยว 1.ความหลากหลายทางช วภาพเก ดขึ้นจากข้อใด ิิิิิ1.ิม วเทช น ิิิิ2.ิการสูญพ นธ์ิิิิิ3.ิการปร บต ว ก.ิ1ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิข.ิ1ิิิ2 ค.1ิิ3ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิง.ิ1ิิิ2ิิิ3 2.ิสาเหตุส าค ญในข้อใดิท ่ม ผลท าให้ความหลากหลายทางช วภาพในปัจจุบ นลดลง ก.ิอุณหภูม ท ่สูงขึ้น ิิิิิิิข.ิการท าลายช ้นโอโซนในบรรยากาศ ค.ิแหล่งท ่อยู่ิ(HABITAT)ิถูกท าลายิิิิิิิิิิิิิิิิิิิง.ิมนุษย์ก นพืชพื้นบ้านเป็นอาหาร 3. ล าด บหมวดหมู่ของส ่งม ช ว ตข้อใดถูก ก.ิไฟล ม,ออร์เดอร์,คลาส,แฟม ล ่,จ น ส,สปีช ส์ิิิิิิิิิิิข.ิไฟล ม,คลาส,จ น ส,ออร์เดอร์,แฟม ล ่,สปีช ส์ิ ค.ิด ว ช น,คลาส,ออร์เดอร์,จ น ส,แฟม ล ่,สปีช ส์ิ ง.ิด ว ช น,คลาส,ออร์เดอร์,แฟม ล ่,จ น ส,สปีช ส์ 4. มะม่วงม ชื่อว ทยาศาสตร์ว่าิMangifera indica ด งน ้นค าว่าิspecies คือ ก. indica ิิิิิิิิ ิิิิิ ข. Indica ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ ค. Mangifera indica ิิิิิิง. Mangifera indica 5.ไดโคโตม สค ย์ิจะท าให้เราสามารถจ ดจ าพวกของส ่งม ช ว ตออกเป็นหมวดหมู่ได้โดย ก. อาศ ยความคล้ายคลึงก นของโครงสร้างเป็นหล กท าให้สามารถจ ดหมวดหมู่ได้ละเอ ยด ข. อาศ ยการพ จารณาว ธ การเจร ญท ่คล้ายคลึงท าให้สามารถจ ดหมวดหมู่ได้เป็นกลุ่มตามแนวค ด ว ว ฒนาการ ค. อาศ ยการศึกษาว ว ฒนาการิท าให้สามารถจ ดหมวดหมู่ได้เป็นกลุ่มตามแนวว ว ฒนาการ ง. อาศ ยการพ จารณาหลายๆิด้านประกอบก นท าให้สามารถจ ดจ าพวกได้จนถึงจ น ส 6.ค าว่าิspecies หมายถึง ก. กลุ่มส ่งม ช ว ตท ่ิิgene pool ของประชากรมาจากบรรพบุรุษเด ยวก น ข. กลุ่มส ่งม ช ว ตท ่ร่วมในประชากรเด ยวก น ค. กลุ่มส ่งม ช ว ตท ่ม ล กษณะเหมือนก น ง. กลุ่มส ่งม ช ว ตท ่ม แหล่งท ่อยู่อาศ ยอย่างเด ยวก น 7. ชื่อว ทยาศาสตร์ม ความส าค ญก บส ่งม ช ว ตในด้านใด ก.ขจ ดปัญหาการเร ยกชื่อส ่งม ช ว ตซ้ าๆก นิในแต่ละภาคของประเทศ ข.เมื่อกล่าวถึงทุกชาต ทุกภาษาเข้าใจตรงก นว่าหมายถึงส ่งม ช ว ตชน ดใด ค.สามารถบอกล กษณะรูปร่างของส ่งม ช ว ตชน ดน ้นๆได้ ง.ระบุบร เวณกระจายพ นธุ์ของส ่งม ช ว ตน ้นๆ

33 8.ิน กเร ยนม ความรู้ว่าิโลมาิกบินกิและค้างคาวิควรจ ดให้อยู่ในพวกเด ยวก นิเพราะม ล กษณะคล้ายคลึงก น หลายประการิแต่ส ตว์ท ้งิ4ิชน ดน ้ิก็ย งม ล กษณะท ่แตกต่างก นิอ นได้แก่ ิิิิิก.โครงกระดูกรยางค์ ิิิิข.ระบบล าเล ยง ค.ล กษณะการเจร ญในระยะเอ็มบร โอ ิิิิง.การเจร ญหล งระยะเอ็มบร โอ 9. ในช่วงคร สต์ศตวรรษท ่ิ19-20ิมนุษย์รู้จ กส ่งม ช ว ตจ านวนมากมายท่านค ดว่าเมื่อส ้นศตวรรษน ้เราจะรู้จ ก ส ่งม ช ว ต ก.ชน ดใหม่ๆเพ ่มขึ้นอ กเท่าต ว ิิิิิิิิิิิิิิข.ชน ดใหม่ๆเพ ่มขึ้นอ กหลายชน ด ค.เท่าท ม อยู่ในปัจจุบ น ิิิิง.ลดน้อยกว่าปัจจุบ นเพราะม การสูญพ นธุ์ 10.ก าหนดให้ิิ1ิ= โครงสร้างภายนอกร่างกายิิิ2ิ= โครงสร้างภายในร่างกาย ิิิิิิิิิิิิิิิิิิ3ิ= แบบแผนการเจร ญเต บโติิิิิ4ิ= ออร์แกเนลล์ภายในเซลล์ ิิิิิหล กเกณฑ์ข้อใดท ่น กช วว ทยาใช้ส าหร บการจ ดเอาวาฬิและค้างคาวไว้ในพวกเด ยวก บคน ิิิิิก.1,2 และิ3 ิิิิิิิิ ิิิิข.2,3 และิ4 ิิิิิิิิิิิิิิิิิิ ค.3 และิ4 ิิิิิิิิิิิิิิิิ ิิิิง.1,2,3 และิ4 11.หล กฐานใดท ่เหมาะสมท ่สุดในการบ่งให้ทราบว่าิส ่งม ช ว ติ2ิชน ดิม ล าด บว ว ฒนาการใกล้เค ยงก นมากท ่สุด ิิิิิก.หล กฐานจากซากดึกด าบรรพ์ของส ่งม ช ว ติิิิิิิิ ข.หล กฐานการเปร ยบเท ยบโครงสร้าง ิิิิิค.หล กฐานทางการเจร ญเต บโตของเอ็มบร โอิิิิิิิ ง.หล กฐานจากการศึกษาในระด บโมเลกุล 12.ชาวสวนท าการผสมข้ามพืชิ3ิต้นิคือิก,ิข, และิคิได้ผลด งน ้ ิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิก×ข →ิิ1ิิิิิิิิิิงิิซึ่งแข็งแรงแต่เป็นหม น ิิิิิิิิิิิิิิ ก×ค →ิิ1ิิิิิิิิิิจิิซึ่งแข็งแรงและไม่เป็นหม น ิิิิจากข้อมูลด งกล่าวจะม สมมต ฐานอย่างไร ก.พืชก,ข,ค,งและจอยู่ในสปีช ส์เด ยวก นิิิิ ข.พืชกและคเป็นพืชต่างสปีช ส์ก นแต่อยู่ในจ น สเด ยวก น ค.พืชกและคม ชื่อว ทยาศาสตร์เด ยวก น ง.พืชงและจม ชื่อว ทยาศาสตร์เด ยวก น 13.ชื่อว ทยาศาสตร์ของส ่งม ช ว ตม ความหมายตรงก บข้อใดมากท ่สุด ก.ใช้เร ยกส ่งม ช ว ตท ่ค้นพบใหม่ ข.ิน กว ทยาศาสตร์ใช้เร ยกส ่งม ช ว ต ค.น กว ทยาศาสตร์ยอมร บและเข้าใจตรงก น ง.เข ยนด้วยภาษาอ งกฤษและข ดเส้นใต้หรือใช้ต วพ มพ์เอน 14.sapiens ม ความหมายทางอนุกรมว ธานอย่างไร ก.หมายถึงิคนิิิิิิิิิิิิิ ิิข. เป็นชื่อเร ยกสปีช ส์ิิิิิิิิิิิิิิิิ ค.เป็นชื่อิsub-species ิิง. ไม่เพ ยงพอท ่จะใช้แยกส ่งม ช ว ตได้ 15. การจ ดอนุกรมว ธานส ่งม ช ว ตในปัจจุบ นน ้พ จารณาถึงข ้นใด ิิิิิก.ซากดึกด าบรรพ์ ิิิิิ ิิข.สารเคม ระด บเซลล์ ค.โครงสร้างของอว ยวะิิิิิ ิิง.ว ว ฒนาการ

34 16.ระด บย่อยท ่สุดในการจ ดอนุกรมว ธานท ่สามารถผสมก นได้โดยลูกไม่เป็นหม นเร ยกว่าอะไร ิิิิิิิก.Class ข.Order ค.Genus ง.Species 17.ชื่อว ทยาศาสตร์ม ความส าค ญต่อส ่งม ช ว ตอย่างไร ิิิิิิิิิก.ระบุบร เวณกระจายพ นธุ์ของส ่งม ช ว ตน ้นิๆ ิิิิิิิิิข.สามารถบอกล กษณะรูปร่างของส ่งม ช ว ตน ้นๆได้ ิิิิิิิิิค.ขจ ดปัญหาการเร ยกชื่อส ่งม ช ว ตซ้ าๆก นในแต่ละสถานท ่ิิ ิิิิิิิิิง.เมื่อกล่าวถึงทุกชาต ทุกภาษาเข้าใจตรงก นว่าหมายถึงส ่งม ช ว ตชน ดใด 18.ชื่อว ทยาศาสตร์ของส ่งม ช ว ตจะประกอบด้วยชื่อหมวดหมู่ในระด บใดของส ่งม ช ว ตชน ดน ้น ิิิิิิิิิก.จ น สิและสปีช ส์ิิิิิิิิิ ข.สปีช ส์และซ บสปีช ส์ิิิิิิิิ ค.คลาสและออร์เดอร์ ิิิิ ง.แฟม ล และออร์เดอร์ 19.ส ่งม ช ว ตท ่ม ล กษณะด งข้อใดท ่ม สายส มพ นธ์ทางว ว ฒนาการน้อยที่สุด ก.ม อว ยวะท ่โครงสร้างคล้ายคลึงก น ข.ม แบบแผนการเจร ญเต บโตในระยะเอ็มบร โอคล้ายคลึงก น ิิิิิิิิิิค.ม โปรต นชน ดเด ยวก นซึ่งม โครงสร้างคล้ายคลึงก นิิ ง.ิม อว ยวะท ่ม โครงสร้างแตกต่างก นแต่ท าหน้าท ่อย่างเด ยวก น 20.ข้อใดเร ยงล าด บหมวดหมู่ของส ่งม ช ว ตได้ถูกต้อง ิิิิิิ ิิ ก.genus - family – order – class - phylum ข.genus - order – family – class - phylum ค.genus – order – class – family - phylum ง.genus - family – class – order - phylum ----------------

ตำรวจภาค 5 มีจังหวัดอะไรบ้าง

กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เป็นส่วนราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดับกองบัญชาการ มีหน้าที่ดูแล 8 จังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทยได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดน่าน

ผู้การภาค7คือใคร

ตำรวจภูธรภาค 7 พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.สยศ.ตร. รรท.ผบช.ภ.7 เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมเตรียมการรับเสด็จ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า

ตํารวจภูธรภาค 9 มีจังหวัดอะไรบ้าง

ตำรวจภูธรภาค 9.

จังหวัดสงขลา.

จังหวัดพัทลุง.

จังหวัดตรัง.

จังหวัดสตูล.

จังหวัดปัตตานี.

จังหวัดยะลา.

จังหวัดนราธิวาส.

ตํารวจภูธรภาค 8 มีจังหวัดอะไรบ้าง

สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค ๘ (สำนักงาน ปปส. ภาค ๘) เป็นส่วนราชการระดับกอง ในสังกัดสำนักงาน ป.ป.ส. ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงาน ป.ป.ส. พ.ศ. ๒๕๔๘ รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ๗ จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พังงา ภูเก็ต ระนอง และ ...

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาไทย โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน lmyour แปลภาษา แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ไทยแปลอังกฤษ ประโยค แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แปลภาษาอาหรับ-ไทย Terjemahan พจนานุกรมศัพท์ทหาร หยน แปลภาษา มาเลเซีย ไทย Bahasa Thailand ข้อสอบภาษาอังกฤษ พร้อมเฉลย pdf บบบย tor คือ จัดซื้อจัดจ้าง การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 ชขภใ ยศทหารบก เรียงลําดับ ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง เขียน อาหรับ แปลไทย แปลภาษาอิสลามเป็นไทย Google map กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย ค้นหา ประวัติ นามสกุล อาจารย์ ตจต แจ้ง ประกาศ น้ำประปาไม่ไหล แปลบาลีเป็นไทย แปลภาษา ถ่ายรูป แปลภาษาจีน แปลภาษามลายู ยาวี โรงพยาบาลภมูพลอดุยเดช ที่อยู่ Google Drive Info TOR คือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ช่างไฟฟ้า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 กลยุทธ์ทางการตลาด มีอะไรบ้าง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีอะไรบ้าง การประปาส่วนภูมิภาค การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 ขขขขบบบยข ่ส ข่าว น้ำประปา วันนี้ ข้อสอบโอเน็ต ม.6 มีกี่ตอน ตารางธาตุ ประปาไม่ไหล วันนี้