การฟ งสารท ให ความร ม ล กษณะเฉพาะอย างไร จงอธ บาย

แชร์งานครู Teachers Sharing Download

  • Publications :0
  • Followers :0

(คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.1 ล.1

(คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.1 ล.1 คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เล่ม 1

ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!

Create your own flipbook

View Text Version Likes : 0 Category : All Report

  • Follow
  • Upload
  • 0
  • Embed
  • Share

(คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.1 ล.1

Jiab Chanchira Download

  • Publications :0
  • Followers :0

แผนการจัดการเรียนรู้หน่วยที่ 1 เรื่องสารรอบตัวเรา

แผนการจัดการเรียนรู้หน่วยที่ 1 เรื่องสารรอบตัวเรา

Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!

Create your own flipbook

View Text Version Likes : 0 Category : All Report

  • Follow
  • Upload
  • 0
  • Embed
  • Share

แผนการจัดการเรียนรู้หน่วยที่ 1 เรื่องสารรอบตัวเรา

ม.3 ใบงานวทิ ยาศาสตร5์ เทอม 1 ว23102  วิทยาศาสตร์กับการแก้ปญั หา  พันธศุ าสตร์  คลน่ื และแสง  ระบบสุริยะของเรา ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)

1หนว่ ยท่ี วทิ ยาศาสตรก์ บั การแกป้ ญั หา

หน่วยท่ี ใบงานเร่ือง ความกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์ คะแนน 1 วิทยาศาสตร์กับการแก้ปญั หา สาระ - มาตรฐาน - ชือ่ -นามสกลุ ......................................................................ช้นั ...............เลขที่........... คาชแ้ี จง ให้นักเรยี นวเิ คราะหผ์ ลทเ่ี กดิ จากความก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตรใ์ นด้านตา่ ง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี ความกา้ วหนา้ ประโยชน์ ผลกระทบ ทางวทิ ยาศาสตร์ 1.ด้านการศึกษา ทาให้มีการผลิตอปุ กรณใ์ หม่ ๆ ขน้ึ รวมท้ังส่อื การสอน -ทาให้ผสู้ อนและผเู้ รยี นขาดปฏิสมั พนั ธโ์ ตต้ อบ ในรปู แบบตา่ ง ๆ ผู้เรียนสามารถเลือกวิชาเวลาสถานที่ กนั ไดต้ ามความสนใจโดยไม่ตอ้ งมตี ารางเรยี นสามารถ -ค่าใช้จา่ ยในการซือ้ อปุ กรณเ์ ทคโนโลยตี ่าง เข้าถึงข้อมลู ไดจ้ ากเครื่องคอมพิวเตอรด์ ้วยระบบ ๆ ทีม่ ีคุณภาพคอ่ นขา้ งสูง ออนไลนท์ ั่วโลก ช่วยเพิม่ พนู ประสทิ ธภิ าพและ ประสทิ ธผิ ลในการเรยี นการสอนมากข้นึ 2.ดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม -ทาใหเ้ กดิ การจดั สภาพแวดล้อมทด่ี ขี ึน้ -ทาใหเ้ กิดภาวะโลกร้อน -มกี ารประดษิ ฐข์ องเทียมข้ึนใช้ เช่นการนาพลาสตกิ มา -การใชส้ ารเคมีป้องกันการกาจัดศัตรพู ืชทา 3.ดา้ นการเมอื ง ใช้แทนเหลก็ การใชย้ างสังเคราะห์แทนยางธรรมชาติ ให้สารเคมตี กคา้ งในบรรยากาศ การปกครอง -ศตั รพู ืชระบาดมากข้ึนเพราะใช้สารเคมที าลาย -ใช้เปน็ ตัวกล่อมเกลาทางการเมืองเปน็ ผลท่ไี ดจ้ ากการ แมลงบางชนิดทมี่ ปี ระโยชน์ต่อพืช 4.ดา้ นเศรษฐกจิ นาเทคโนโลยมี าใช้เพอื่ ใหป้ ระชาชนเกิดความสนใจและ -การสญู เสยี แหล่งพนั ธุกรรมเพราะปลูกพชื การเงนิ เข้าใจสามารถนาไปส่กู ารปฏบิ ัตทิ ี่ถูกต้องได้ เพียงชนิดเดียวและกาจดั พชื ชนิดเดิมออกไป อุตสาหกรรม -รปู แบบการเมืองระบบเผดจ็ การจะลดน้อยลงเนอ่ื งจาก ไม่สามารถควบคุมข่าวสารได้ -การใฝห่ าแต่ผลประโยชน์ใสต่ นเองจงทาให้ 5.ด้าน การปกครองไม่มีความคลอ่ งตวั ศิลปะวัฒนธรรม เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศขยายตวั อยา่ งรวดเร็วมีการ -การใช้เทคโนโลยใี นการแอบฟังขอ้ มูลขา่ วสาร แขง่ ขันทางธรุ กิจสูง มีอตั ราการจ้างงานเพมิ่ ขึน้ มีชีวิต ของฝ่ายตรงกันข้าม ความเป็นอย่สู ะดวกสบายขนึ้ -ใชเ้ ทคโนโลยใี นการสร้างภาพหรือ เสยี ง ทาลายฝ่ายตรงกันขา้ มสง่ ผลต่อความซ่ือสตั ย์ -ชว่ ยอนรุ ักษแ์ ละฟนื้ ฟสู ถานท่โี บราณตา่ ง ๆ และคุณธรรม -ส่อื บนั เทงิ ระบบมลั ติมเี ดีย ช่วยในการพกั ผ่อน -ระบบการสื่อสารไร้พรมแดนชว่ ยใหเ้ ขา้ ถึง -เกิดการขาดแคลนวัตถุดบิ ในการผลติ เพราะ ขนบธรรมเนยี มประเพณีของแต่ละท่ไี ด้ง่ายขึ้น ต้องสง่ั ซ้ือจากต่างประเทศ และทาให้ตอ้ งเสยี ภาษนี าเข้าในราคาทแ่ี พง -การใชบ้ ัตรเครดิตสามารถใช้ได้งา่ ยมากขนึ้ ทาให้อตั ราการเปน็ หน้สี ูงขน้ึ และเกิดปัญหา ทางสังคม -ทาให้ปฏิสัมพนั ธข์ องคนในชมุ ชนลดนอ้ ยลง -การรบั วฒั นธรรมของคนในสังคมโลก อาจ เกดิ พฤติกรรมทไี่ มเ่ หมาะสม -เยาวชนรุ่นใหม่สับสนตอ่ ค่านยิ มที่ดีงาม ดังเดิม มีการรับคา่ นยิ มใหม่ ๆ และอาจ สง่ ผลใหเ้ กดิ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

หน่วยที่ ใบงานเร่ือง การใชป้ ระโยชน์จากความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ คะแนน 1 วิทยาศาสตร์กบั การแก้ปัญหา สาระ - มาตรฐาน - ชือ่ -นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขท่ี........... คาชีแ้ จง ให้นักเรียนพจิ ารณาขอ้ ความต่อไปนี้ วา่ เปน็ การใช้ประโยชนจ์ ากความรูท้ างวิทยาศาสตร์ในด้านใด ประชากรมนษุ ย์ การศึกษา การเมอื ง การเกษตร สงั คมและวัฒนธรรม การใชช้ ีวติ ประจาวัน ส่งิ แวดล้อม การบริการ การแพทย์ เศรษฐกจิ 1.ชว่ ยใหล้ ดการพึ่งสารเคมี และหันมาพ่ึง สารชีวภาพ และวธิ กี ารทางธรรมชาตมิ ากขึ้น ดา้ นการ เกบ็ เกี่ยว ตอ้ งใชเ้ ครอื่ งทุ่นแรง เพ่ือช่วยลดความเสียหายระหวา่ งการเกบ็ เกีย่ ว และชว่ ยยดื ระยะเวลาการเก็บรกั ษาใหน้ านข้ึน 2.การลดมลภาวะ ด้วยการผลิต ท่ีใชเ้ ทคโนโลยีสะอาด การใช้พลงั งานทดแทน 3.ช่วยสนองความต้องการของบคุ คล และชมุ ชน ท้งั ด้านการปอ้ งกนั การสง่ เสริมสุขภาพอนามยั และวทิ ยาการ ดว้ ยเครื่องมือ วธิ ีการทที่ นั สมยั มปี ระสิทธภิ าพสูง 4.ชว่ ยในการสร้าง การพัฒนาสินคา้ และบริการแบบใหม่ ๆ เพือ่ สรา้ งรายได้ และยกระดบั คณุ ภาพชีวติ ด้านความเป็นอยู่ของคนในประเทศให้ดีข้นึ 5.ทาให้มกี ารผลติ อุปกรณ์ใหมๆ่ ข้ึนรวมทั้งสอ่ื การสอนในรปู แบบตา่ ง ๆ เช่นสอื่ วทิ ยโุ ทรทศั น์วดี โี อ และคอมพวิ เตอรโ์ ดยทผี่ เู้ รยี นสามารถเรียนรไู้ ด้ดว้ ยตนเองโดยผ่านสือ่ ต่าง ๆ 6.รูปแบบการเมืองระบบเผดจ็ การจะลดนอ้ ยลงเนอื่ งจากไม่สามารถควบคุมข่าวสารได้ ระบบการ สอ่ื สาร ทก่ี ระจายอานาจทาให้ประชาชนมอี านาจมากขนึ้ สามารถติดตามการทางานของรฐั บาลได้ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ 7.อัตราการเกิดและการตายมแี นวโนม้ ลดลงทาใหข้ นาดประชากรมนุษย์ไม่เพ่ิมมากอยา่ งรวดเรว็ ทา ใหก้ ารบรหิ ารประชากรมปี ระสิทธิภาพครอบครัวมีขนาดเล็กลงทาให้ประชากรรนุ่ ต่อไปมีคุณภาพ 8.ช่วยส่งเสรมิ สขุ ภาพและความเปน็ อยู่ใหด้ ขี ้ึน ชว่ ยให้เกดิ ความเข้าใจอนั ดีระหวา่ งกนั การสอ่ื สาร โทรคมนาคมสมัยใหม่ชว่ ยย่อโลกใหเ้ ล็กลง ไร้พรมแดนมกี ารเรยี นรูว้ ัฒนธรรมซึ่งกันและกนั มาก ขึ้นเกิดความเข้าใจอันดีระหวา่ งกนั ทาใหล้ ดปญั หาในเร่อื งความขัดแย้ง 9.มีความสะดวกสบายในการสอื่ สารการบริการและการผลติ เชน่ การติดตอ่ ผา่ นธนาคารดว้ ยระบบ ธนาคารที่บา้ น (Home Banking) การทางานท่ีบ้านโดยการติดตอ่ สอื่ สารดว้ ยระบบเครือข่าย อนิ เตอร์เนต็ การบนั เทงิ พกั ผอ่ นดว้ ยระบบมัลตมิ ีเดยี รวมท้ังเกิดการรบั วฒั นธรรมหรอื แลกเปลยี่ น วัฒนธรรมของคนในสงั คมโลก 10.เพ่ือตอบสนองความต้องการของสงั คม เชน่ ธนาคาร ส่ือสารมวลชน การรกั ษาพยาบาล การท่องเทีย่ ว ด้านการศกึ ษา ชว่ ยใหส้ ื่อการเรยี นการสอน มีรปู แบบท่ีนา่ สนใจมากข้ึน

หนว่ ยที่ ใบงานเรอื่ ง การแกป้ ัญหาโดยประยกุ ตใ์ ช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คะแนน 1 วทิ ยาศาสตรก์ บั การแก้ปญั หา สาระ - มาตรฐาน - ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ช้ัน...............เลขท่ี........... คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนเลือกภาพท่เี หมาะสม พร้อมท้งั ให้เหตุผลประกอบ แมข่ องพรมิ้ ซ้อื แอปเปิลมาจากตลาด พร้มิ รบั อาสานาแอปเปลิ ไปล้างแลว้ ปอกเปลือก หัน่ เปน็ ชนิ้ ใส่จานแลว้ นาไปแชต่ ูเ้ ย็น เมอื่ พ่อกลับจากทางาน พริม้ จึงนาแอปเปลิ ออกจากตเู้ ย็นเพอ่ื จะนามาให้พ่อรบั ประทาน แตพ่ ริม้ สงั เกตวา่ แอปเปลิ มีสคี ล้า และเน้อื ของแอปเปิลเห่ยี วลงไปไมน่ า่ รับประทานเหมอื นตอนทป่ี อกเสร็จใหม่ ๆ พร้มิ จึงนาแอปเปิลในจานไปทง้ิ ถังขยะ แล้วนาน้าเยน็ ไปให้พ่อดื่มแทน..... ปัญหา แอปเปิลคลา้ เหยี่ ว ไม่น่ารบั ประทาน สาเหตุ วธิ ีแก1้ เอนไซม์ในเนอ้ื ผลไม้ทาปฏิกิริยากับ ใชน้ า้ มะนาว เพราะนา้ มะนาวสามารถ ออกซิเจนในอากาศหรอื ทเี่ รียกวา่ “ปฏิกิริยาออกซิเดช่ัน” ป้องกนั การเกดิ ปฏิกิรยิ าออกซเิ ดช่ันได้ เพราะมีกรดซติ รกิ หรอื กรดมะนาวซึ่งเปน็ วธิ แี ก2้ สารตา้ นการเกิดปฏกิ ริ ิยาออกซเิ ดช่ัน ใชเ้ กลือ เพราะเกลือเปน็ วตั ถุกันเสีย วิธแี ก3้ ตามธรรมชาติและชว่ ยปอ้ งกนั แอปเปิลห่นั ใชก้ ลอ่ งสุญญากาศ ปอกเปลอื กเแอป แล้วไม่ให้เปลยี่ นสีได้เป็นอยา่ งดี เปิลจากนั้นนาไปลา้ งนา้ ใหส้ ะอาด แลว้ นา แอปเป้ิลมาใส่ลงในกลอ่ งปิดฝาให้สนิทแล้ว นาไปแชไ่ ว้ในตู้เยน็

แบบฝกึ หดั ทา้ ยหนว่ ย เร่อื ง วิทยาศาสตรก์ บั การแกป้ ัญหา คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนเลือกข้อท่ถี ูกตอ้ งท่สี ดุ 6.เมื่อเกดิ วิกฤตการณต์ า่ ง ๆ ส่งิ แรกทค่ี วรทาคอื ข้อใด 1.ข้อใดไมใ่ ช่ประโยชนข์ องวทิ ยาศาสตร์ในด้านการศกึ ษา ก.หนีใหเ้ รว็ ท่ีสุด ก.ใชโ้ ปรแกรม ZOOM ในการเรียนออนไลน์ ข.ใช้โทรศัพทใ์ นการขายของออนไลน์ ข.ตงั้ สติ ไตร่ตรองสง่ิ ท่ีอยู่ตอ่ หนา้ ค.ใชก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ในการสอ่ งดูเซลล์พชื ง.สง่ การบา้ นใหค้ รทู างอเี มล ค.ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง 2.ขอ้ ใดคือประโยชน์ของวทิ ยาศาสตรใ์ นด้านการเกษตร ก.รับจ้างผสมเทียมวัว ง.ใชก้ ลอ้ งโทรศพั ท์บนั ทึกภาพเหตกุ ารณน์ ั้นไว้ ข.รบั จา้ งเย็บผ้า ค.ทาขนมไปขายท่ตี ลาด 7.ระบบการสอื่ สารท่ีกระจายอานาจทาใหป้ ระชาชนมอี านาจ ง.วง่ิ ออกกาลงั กายทท่ี ุ่งนา 3.ใครใช้หลกั การทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการแกป้ ญั หา มากขึ้นสามารถตดิ ตามการทางานของรฐั บาลไดอ้ ยา่ งมี ก.แอมทากระเป๋าเงนิ หายจึงไปหาหมอดู ข.เกดชอบเข้าวดั ทาบุญและขอพรให้รวย ๆ ประสทิ ธิภาพ เปน็ ประโยชนข์ องวทิ ยาศาสตรใ์ นดา้ นใด ค.ผ้ึงใสห่ นา้ กากอนามัยทกุ ครั้งเมื่อต้องอยู่ในทชี่ ุมชน ง.บอยซ้อื ฉลากกนิ แบ่งรฐั บาลจากผพู้ กิ าร ก.ดา้ นเศรษฐกิจ ข.ด้านการศกึ ษา 4.เกษตรกรใช้สารชนดิ ใดในการปรบั ปรุงดินเพ่ือลดความ เปน็ กรดของดิน ค.ด้านการเมือง ง.ด้านสงั คม ก.ปูนขาวหรือปูนมาร์ล ข.ปุย๋ ยูเรยี 8.วิทยาศาสตร์เกย่ี วขอ้ งกับงานด้านการบรกิ ารอยา่ งไร ค.มูลสัตว์ ง.แคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ก.ช่วยใหผ้ ู้รบั บริการได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น 5.หากไมม่ กี ารพยากรณ์อากาศ จะส่งผลอยา่ งไรในการ ดาเนนิ ชวี ิต ข.ช่วยใหผ้ ใู้ ห้บริการพฒั นารูปแบบการให้บริการนา่ สนใจ ก.อาจทาใหส้ ัตว์ป่าไมม่ ที ี่อยู่ ข.อาจเกดิ ธรณพี บิ ัตภิ ยั คร้ังยงิ่ ใหญ่ มากข้ึน ค.สญั ญาณโทรศพั ทม์ อื ถืออาจใช้งานไมไ่ ด้ ง.ทาใหข้ าดการเตรียมตวั เพือ่ รบั มอื กบั สถานการณ์ตา่ ง ๆ ค.ชว่ ยให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จา่ ยทไี่ ม่จาเปน็ ทอี่ าจเกดิ ข้ึนจากภัยพิบตั ิทางธรรมชาติ ง.ถูกทุกขอ้ 9.ขอ้ ใดเปน็ ผลกระทบท่เี กดิ จากความกา้ วหนา้ ทาง วทิ ยาศาสตร์ ก.การรบั วัฒนธรรมของคนในสงั คมโลก ก่อให้เกดิ พฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสม ข.ระบบการสื่อสารไรพ้ รมแดนชว่ ยใหเ้ ขา้ ถงึ ขนบธรรมเนียม ประเพณีของแต่ละท่ไี ด้ง่ายข้นึ ค.เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศขยายตัวอยา่ งรวดเรว็ มกี าร แข่งขันทางธรุ กิจสูง ง.เกดิ การจดั สภาพแวดลอ้ มทดี่ ีขน้ึ 10.ขอ้ ใดกลา่ วผดิ ก.วทิ ยาศาสตร์ช่วยอานวยความสะดวกในการทางาน ข.วทิ ยาศาสตรท์ าใหส้ ามารถท่องโลก แสวงหาความรู้ได้ โดยไม่จากัดไม่วา่ จะอย่มู มุ ใดของโลก ค.วทิ ยาศาสตร์ทาใหค้ าดเดาทศิ ทางการดาเนนิ ชีวติ ได้ ง.วิทยาศาสตรช์ ่วยพัฒนาความเปน็ อยู่ใหด้ ขี น้ึ

2หน่วยท่ี พนั ธุศาสตร์ ใบงานเรอ่ื ง โครโมโซม คะแนน สาระ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/1 ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขที่........... คาช้ีแจง ให้นกั เรียนเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในช่องวา่ งให้ถกู ต้อง 1. ภายในนวิ เคลยี สของเซลล์จะมีเส้นใยเล็กๆขดอยู่ เรียกวา่ โครมาทนิ (Chromatin) 2. เม่อื มกี ารแบ่งเซลลเ์ ส้นใยจะขดตัวจนมสี กั ษณะเปน็ ทอ่ นๆ เรียกว่า โครโมโซม (Chromosome) 3. โครโมโซมของเซลลร์ า่ งกายมี 2 ชดุ เขยี นแทนด้วย 2n 4. โครโมโซมของเซลล์สบื พันธุม์ ี 1 ชุด เขยี นแทนด้วย n 5. เซลลร์ า่ งกายมนุษยม์ โี ครโมโซม 46 แท่ง และเซลล์สืบพันธ์ุมี 23 แทง่ 6. เมอื่ เซลลส์ ืบพนั ธุข์ องเพศชายทีม่ จี านวน 23 แทง่ และเซลลส์ บื พันธเ์ุ พศหญงิ จานวน 23 แท่ง มารวมกันเรียกวา่ การปฏสิ นธิ จะไดเ้ ซลใ์ หมท่ ่เี รยี กวา่ ไซโกต (Zygote) ซง่ึ มจี านวนโครโมโซมเทา่ กับจานวน โครโมโซมปกตขิ องร่างกายคอื 46 แทง่ 7. มนษุ ยม์ ีโครโมโซมทัง้ หมด 46 แทง่ 23 คู่ โดยแบง่ ออกเปน็ สองกลุ่มไดแ้ ก่ 7.1 ออโตโซม (Autosome) คือ โครโมโซมร่างกาย มีจานวน 22 คู่ มีลักษณะเหมอื นกันทง้ั เพศหญงิ และเพศชาย 7.2 โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome) คือ โครโมโซมเพศ มีจานวน 1 คู่ มลี กั ษณะตา่ งกันในเพศชายและเพศหญิง 8. โครโมโซมแต่ละแท่งประกอบดว้ ยสว่ นสาคัญสองส่วนคอื DNA และ โปรตนี 9. โครโมโซมทม่ี รี ูปร่างเหมือนกันและขนาดใกล้เคียงกนั เรียกวา่ โฮโมโลกัสโครโมโซม (Homologous Chromosome) 10. เตมิ ตวั เลขแสดงจานวนโครโมโซมในเซลล์ร่างกายและเซลล์สืบพนั ธข์ุ องสิง่ มีชวี ิตชนิดต่างๆใหถ้ กู ต้อง สิ่งมีชวี ติ จานวนโครโมโซม(แทง่ ) เซลลร์ ่างกาย(2n) เซลล์สืบพนั ธ์ุ (n) มนุษย์ สุนัข 46 23 แมลงหว่ี 78 39 ถ่ัวลันเตา 84 ขา้ วโพด 14 7 ขา้ ว 20 10 24 12 โครโมโซมในภาพ เป็นโครโมโวมของเพศ หญิง โดยดจู ากโครโมโซมคทู่ ี่ 23 ซ่งึ โครโมโซมค่นู ี้เรียกวา่ โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome)

2หนว่ ยท่ี พันธุศาสตร์ ใบงานเร่อื ง การแบ่งเซลลข์ องสิ่งมชี วี ิต คะแนน สาระ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/4 ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ชัน้ ...............เลขที่........... คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนเติมคาหรือขอ้ ความลงในช่องวา่ งให้ถกู ตอ้ ง 1.กระบวนการแบง่ เซลล์ของสง่ิ มีชีวติ มี 2 กระบวนการ ไดแ้ ก่ การแบง่ นิวเคลยี ส(Karyokinesis)และการแบง่ ไซโทพลาซมึ (Cytokinesis) 2.การแบง่ นิวเคลียสของสงิ่ มีชีวติ มี 2 แบบ ไดแ้ ก่ การแบง่ แบบไมโทซสิ และการแบ่งแบบไมโอซิส 3.การแบง่ เซลล์เพ่อื เพิม่ จานวนเซลลร์ า่ งกายคอื การแบ่งแบบ ไมโทซิส(mitosis) มเี ซลลใ์ หม่เกดิ ขึน้ จานวน 2 เซลล์ 4.นาอกั ษรหน้าขอ้ ความดา้ นขวามอื เตมิ ลงหน้าประโยคหรือข้อความด้านซา้ ยมอื ที่มคี วามสัมพันธ์กนั 4.1 เป็นระยะที่โครโมโซมประกอบด้วย 2 โครมาทิด ก. ระยะอินเตอร์เฟส(interphase) จะถกู เสน้ ใยสปนิ เดิลดึงใหเ้ คลื่อนทม่ี าอยตู่ รงก่งึ กลางของเซลล์ ข. ระยะโพรเฟส(prophase) 4.2 เปน็ ระยะท่เี ซลลเ์ ตรียมความพรอ้ มกอ่ นเร่มิ แบ่งเซลล์ ค. ระยะเมทาเฟส(metaphase) มีการสังเคราะหส์ ารต่างๆ และมีการจาลองตัวของดีเอน็ เอ ง. ระยะแอนาเฟส(anaphase) โดยเซลลใ์ นระยะน้จี ะมนี ิวเคลยี สขนาดใหญ่ และเหน็ นิวคลีโอลัสชัดเจน จ. ระยะเทโลเฟส(telophase) 4.3 เป็นระยะที่โครโมโซมถูกดึงให้แยกออกจากกนั ไปยังข้วั เซลล์ ทาให้มีโครโมโซมเพียง 1 แทง่ อย่บู ริเวณขั้วเซลล์ 4.4 เป็นระยะทโี่ ครโมโซมหยดุ เคลื่อนที่ เส้นใยสปินเดิลสลายตัว มกี ารสงั เคราะห์เยือ่ หมุ้ นวิ เคลยี สและนิวคลีโอลัส โครมาทดิ จะคลายตัว เปน็ เสน้ ใยโครมาทนิ แล้วจงึ มกี ารแบ่งไซโทพลาซึม 4.5 เปน็ ระยะทโี่ ครโมโซมปรากฏให้เห็นเปน็ แท่ง แต่ละแทง่ ประกอบดว้ ย 2 โครมาทิด ซงึ่ ยดึ ตดิ กันอยู่บรเิ วณเซนโทรเมยี ร์ เซนโทรโซมท่ีอยใู่ นไซโทพลาสซึมเริม่ มีการสรา้ งเส้นใยสปินเดิล 5.การแบ่งเซลลเ์ พอ่ื สรา้ งเซลล์สืบพนั ธุข์ องส่งิ มชี ีวิตคือการแบ่งแบบ ไมโอซิส(meiosis) ทาให้ไดเ้ ซลล์สืบพันธุ์จานวน 4 เซลล์ แต่ละเซลลจ์ ะมจี านวนโครโมโซมเพ่ิมขึน้ หรอื ลดลงอยา่ งไร ลดลงครึ่งหนึง่ 6.การแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ จะมีการแบง่ เซลล์ต่อเน่อื งกัน 2 รอบ คือ ไมโอซสิ I (meiosisI)และไมโอซิสII (meiosisII) 7.เซนโทรโซม คอื ออรแ์ กเนลล์ที่ไมม่ ีเย่อื หุม้ พบในเซลลส์ ตั วม์ ีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก 2 อัน วางตัง้ ฉากกัน แต่ ละอันจะเรียกวา่ เซนทรโิ อล 8. ระบรุ ะยะของการแบง่ เซลลจ์ ากภาพที่กาหนดให้ ลงในชอ่ งว่างใหถ้ ูกตอ้ ง metaphase Telophase interphase Nucleus anaphase Cytoplasm prophase

2หนว่ ยท่ี พนั ธศุ าสตร์ ใบงานเรื่อง พันธศุ าสตรข์ องเมลเดล คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/1-3 ช่อื -นามสกุล......................................................................ช้ัน...............เลขที่........... คาชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นเตมิ คาหรอื ข้อความลงในช่องว่างให้ถูกตอ้ ง 1.บดิ าแห่งพันธศุ าสตร์คือ เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล 2.พชื ท่เี มนเดลใชใ้ นการศึกษา คือ ถ่ัวลันเตา มีลกั ษณะท่เี หมาะสมในการใชเ้ ปน็ พชื ทดลองคือ ปลกู งา่ ย อายุสั้น เจรญิ เตบิ โตเร็ว ให้ผลจานวนมาก มหี ลายพันธุ์ มีลกั ษณะแตกตา่ งกนั อย่างชัดเจน สามารถคดั เลือกลักษณะทต่ี อ้ งการ ไดง้ ่าย ดอกถั่วลนั เตาเป็นดอกสมบรู ณเ์ พศ ในธรรมชาตมิ กี ารผสมในดอกเดยี วกนั และสามารถควบคุมการทดลองให้ ผสมข้ามต้นไดง้ า่ ย 3.ลักษณะของถัว่ ลนั เตาท่ีเมนเดลใชใ้ นการศกึ ษามที ง้ั หมด 7 ลักษณะ ไดแ้ ก่ รูปรา่ งของเมลด็ สขี องเมล็ด รูปรา่ งของฝัก สีของฝกั ตาแหนง่ ของดอก สขี องดอก ความสงู ของลาตน้ 4.พนั ธุกรรม หมายถึง การถา่ ยทอดลักษณะของสงิ่ มีชวี ติ จากรุ่นหน่ึงไปสอู่ กี รุ่นหนึ่งบางลกั ษณะอาจไม่ปรากฎในรนุ่ ลกู แต่จะขา้ มไปปรากฏในรุ่นหลาน 5.จีโนไทป์ คอื การจบั คกู่ นั ของยีนทคี่ วบคุมลักษณะเดียวกนั บนโครโมโซมคเู่ หมือนเขยี นแทนดว้ ยตวั อกั ษร ภาษาอังกฤษโดยตัวอกั ษรพิมพใ์ หญห่ มายถึงยนี เดน่ ส่วนตัวอกั ษรพมิ พเ์ ล็กหมายถงึ ยีนดอ้ ย 6.ฟโี นไทป์ คอื ลักษณะทปี่ รากฏออกมาให้มาสารถสงั เกตเห็นได้ เชน่ สีผม สีผิว 7.ในการผสมถั่วลนั เตาฝกั สีเขียวพันธุ์ทางกบั ถ่ัวลันเตาฝกั สเี หลืองพนั ธ์แุ ทจ้ ะได้ลูกมีลกั ษณะเปน็ อย่างไรบา้ งคดิ เป็น อตั ราส่วนเท่าใด (กาหนดให้ G แทนยนี ท่คี วบคุมลักษณะฝักสีเขยี ว g แทนยนี ท่ีควบคุมลักษณะฝกั สีเหลือง) รนุ่ พอ่ แม่ (P) ฝักสเี ขียวพนั ธ์ทุ าง ฝักสเี หลืองพันธ์แุ ท้ gg Gg เซลล์สืบพันธ์ุเพศผู้ G g g g เซลลส์ ืบพนั ธ์เุ พศเมยี ลกู ร่นุ ที่ 1 (F1) Gg Gg gg gg สขี องฝกั ในรุ่น F1 สเี ขียวพันธ์ุทาง สเี ขยี วพนั ธ์ุทาง สเี หลืองพันธ์แุ ท้ สีเหลืองพนั ธแ์ุ ท้ ดงั นนั้ รุ่น F1 จะมี 2 ลกั ษณะ คือ ฝกั สีเขยี วพันทาง และฝกั สเี หลอื งพนั ธ์แุ ท้ คดิ เป็นอตั ราสว่ น 1:1

2หน่วยท่ี พันธศุ าสตร์ ใบงานเรื่อง ความผดิ ปกตทิ างพนั ธุกรรม คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/5-6 ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขท่ี........... คาชแี้ จง ให้นักเรยี นเติมคาหรือข้อความทีก่ าหนดใหล้ งในช่องว่างใหถ้ กู ตอ้ ง 1.โครโมโซมเพศของเพศหญงิ คือ XX และเพศชายมีโครโมโซมเพศ คอื XY 2.กาหนดให้ C แทนยนี ที่ควบคมุ ลกั ษณะตาปกติ c แทนยีนท่ีควบคมุ ลักษณะตาบอดสี สามารถเขียนจีโนไทป์ ไดด้ ังนี้ 2.1หญงิ ตาปกติ คอื XCXC 2.2หญงิ ตาปกติ แต่เปน็ พาหะ คอื XCXc 2.3หญงิ ตาบอดสี คือ XcXc 2.4ชายตาปกติ คอื XCY 2.5ชายตาปกติ แตเ่ ป็นพาหะ คอื ไม่มี 2.6ชายตาบอดสี XcY 3.ยนี ท่เี กยี่ วเนือ่ งกับเพศ หมายถึง ยนี ที่อยใู่ นโครโมโซมเพศ ซึง่ ได้แก่ โครโมโซม X โครโมโซม Y 4.ยนี ที่ควบคุมลักษณะตาบอดสีเป็นยนี เดน่ หรือยนี ด้อย ยีนด้อย ซงึ่ อยู่บนโครโมโซม X 5.โรคกลา้ มเนือ้ แขนขาลบี ควบคุมโดยยีนดอ้ ยบนโครโมโซม X ชายปกตแิ ตง่ งานกับหญิงปกตแิ ต่เป็นพาหะของโรค กลา้ มเน้อื แขนขาลีบ (กาหนดให้ XM ไม่เปน็ โรค Xm เปน็ โรคกล้ามเน้อื แขนขาลีบ) ชายปกติ หญงิ ปกตแิ ตเ่ ป็นพาหะ ร่นุ พ่อแม่ (P) XMY XMXm เซลลส์ บื พันธุเ์ พศผู้ XM Y XM Xm เซลลส์ ืบพนั ธ์ุเพศเมยี ลกู รุ่นท่ี 1 (F1) XMXM XMXm XMY XmY ลกั ษณะในรุ่น F1 หญิงปกติ หญิงปกตแิ ตเ่ ปน็ พาหะ ชายปกติ ชายเปน็ โรคกลา้ มเนอื้ แขนขาลบี ลูกที่เปน็ โรคกล้ามเนือ้ แขนขาลีบคือเพศ ชาย คิดเปน็ ร้อยละ 25 ลกู ท่ไี มเ่ ปน็ โรคกลา้ มเนอื้ แขนขาลีบคือเพศ หญิง คิดเป็นร้อยละ 75 สมชายตาบอดสีแต่งงานกบั สมหญิงซงึ่ ตาปกตแิ ละไม่เป็นพาหะของตาบอดสี 6.หากทัง้ สองคนมีลกู เปน็ ผหู้ ญงิ จะมลี ักษณะเปน็ อยา่ งไร และมรี ้อยละเทา่ ไรของลูกทง้ั หมด ลูกผหู้ ญิงจะมลี กั ษณะตาปกตแิ ตเ่ ปน็ พาหะ คดิ เป็นร้อยละ 50 7.หากท้งั สองคนมลี ูกเป็นผ้ชู าย จะมีโอกาสท่ลี กู ชายเป็นตาบอดสหี รอื ไม่ อย่างไร ลูกชายไมม่ โี อกาสเปน็ ตาบอดสี เน่อื งจากตาบอดสเี ป็นยนี ดอ้ ยทอี่ ยูบ่ นโครโมโซม X เท่านัน้ ในกรณนี เี้ ซลล์ สบื พันธุ์ของแมไ่ ม่มียีนตาบอดสีบนโครโมโซมจึงไมส่ ามารถถา่ ยทอดไปส่รู ุ่นลกู ได้

2หนว่ ยที่ พันธศุ าสตร์ ใบงานเรือ่ ง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/5-6 ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ชั้น...............เลขท่ี........... คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนเตมิ คาหรอื ข้อความลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ต้อง 1.การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมจากยีนบนออโตโซม แบง่ เป็น 2 ชนิด ได้แก่ การถา่ ยทอด ลักษณะพนั ธุกรรมทคี่ วบคุมโดยยนี ด้อยบนออโตโซม และ การถ่ายทอดลกั ษณะพนั ธกุ รรมทค่ี วบคุมโดยยนี เดน่ บนออ โตโซม 2.การถ่ายทอดลกั ษณะพนั ธกุ รรมทคี่ วบคมุ โดยยนี ด้อยบนออโตโซม เชน่ ลักษณะผวิ เผอื ก โรคธาลสั ซีเมีย โรค ซกิ เคิลเซลล์หรือเม็ดเลือดแดงเปน็ รูปเคียว 3.การถ่ายทอดลักษณะพันธกุ รรมทีค่ วบคมุ โดยยนี เด่นบนออโตโซม เช่น การมนี ้ิวเกิน การมลี กั ยมิ้ คนแคระ โรคท้าว แสนปม กลุ่มอาการมาร์แฟน (ผอมสูง แขนขายาว หวั ใจผิดปกติ เลนสต์ าหลดุ ) 4.ในการถ่ายทอดลักษณะผิวเผอื ก โดยทัง้ พ่อและแม่เป็นพาหะของลกั ษณะผิวเผอื กจะได้ลูกมีลักษณะเปน็ อย่างไรบ้างคดิ เปน็ อัตราสว่ นเทา่ ใด (กาหนดให้ A แทนยีนทีค่ วบคุมลักษณะผิวปกติ a แทนยนี ทค่ี วบคุมลักษณะผิวเผอื ก) รุ่นพ่อแม่ (P) พอ่ ปกตแิ ตเ่ ป็นพาหะ แมป่ กตแิ ตเ่ ปน็ พาหะ Aa Aa เซลล์สืบพนั ธุเ์ พศผู้ A a A a เซลลส์ ืบพันธ์ุเพศเมีย ลูกรนุ่ ท่ี 1 (F1) AA Aa Aa aa ลักษณะในร่นุ F1 ผวิ ปกติ ผิวปกตแิ ตเ่ ป็นพาหะ ผวิ ปกติแต่เปน็ พาหะ ผิวเผอื ก ดงั นั้นร่นุ F1 จะมี 2 ลกั ษณะ คอื ผวิ ปกติ และผิวเผอื ก โอกาสทลี่ กู จะเปน็ พาหะของลักษณะผิวเผอื กคิดเปน็ รอ้ ยละ 50 โอกาสทล่ี ูกจะมีลกั ษณะผิวเผือกคิดเปน็ รอ้ ยละ 25 พอ่ ไมม่ ีลกั ยม้ิ แมม่ ลี กั ย้ิมพันธุ์แท้ รุ่นพ่อแม่ (P) ss SS เซลลส์ บื พันธเ์ุ พศผู้ s s S S เซลลส์ ืบพนั ธุ์เพศเมยี ลูกรนุ่ ที่ 1 (F1) Ss Ss Ss Ss มีลักยิม้ มีลกั ย้ิม ลกั ษณะในรนุ่ F1 มีลักยิม้ มีลักยม้ิ ดงั น้นั รนุ่ F1 จะมี 1 ลักษณะ คอื มลี ักย้ิม โอกาสที่ลูกจะมีลักษณะการมลี กั ย้มิ คดิ เป็นรอ้ ยละ 100

2หน่วยท่ี พันธุศาสตร์ ใบงานเรอื่ ง โรคทางพนั ธุกรรม คะแนน สาระ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/5-6 ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ช้นั ...............เลขที่........... คาชแ้ี จง ให้นักเรียนเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในช่องว่างใหถ้ ูกต้อง 1.โรคพนั ธุกรรมมีสาเหตมุ าจากความผิดปกติของ ยนี และ โครโมโซม 2.มิวเทชนั (Mutation) หมายถงึ ความผิดปกตทิ ี่เกดิ จากการเปล่ียนแปลงยีนไปจากเดมิ ส่งผลให้ลกั ษณะทาง พนั ธกุ รรมเปลีย่ นแปลงไปจากเดิม 3.สาเหตขุ องการเกดิ มิวเทชัน ไดแ้ ก่ การไดร้ บั รงั สบี างชนดิ เช่น รังสเี อกซ์ และสารเคมีบางชนิด 4.ความผดิ ปกตขิ องยีนแบ่งไดเ้ ป็น 2 แบบ คอื ความผดิ ปกติของยีนบนออโตโซม และ ความผิดปกติของยีนบน โครโมโซมเพศ 5.โรคทเี่ กิดจากความผดิ ปกติของยีนบนออโตโซม ไดแ้ ก่ โรคธาลสั ซเี มยี โรคซิกเคิลเซลล์ 6.โรคทเี่ กิดจากความผดิ ปกติของยีนบนโครโมโซมเพศ ไดแ้ ก่ ภาวะตาบอดสี โรคภาวะพรอ่ งเอนไซม์ G-6-PD โรคฮโี มฟเี ลียหรือโรคเลือดแข็งตัวชา้ 7.โรคพนั ธุกรรมทีเ่ กิดจากความผดิ ปกติของโครโมโซมแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ ความผดิ ปกตทิ เี่ กดิ กบั ออโตโซม และความผดิ ปกตทิ ่ีเกดิ กับโครโมโซมเพศ 8.ความผดิ ปกตทิ ่ีเกิดกบั ออโตโซมมี 2 ชนดิ คือ ความผดิ ปกตทิ ่จี านวนออโตโซมและความผดิ ปกตทิ ่รี ปู ร่างของ ออโตโซม 9.ความผดิ ปกติที่เกิดกบั โครโมโซมเพศ ได้แก่ โครโมโซม X หรอื Y ขาดหายไป หรอื เกินมาจากปกติ 10.ให้นกั เรียนนาขอ้ ความท่ีอย่ดู า้ นขวามอื มาเตมิ ลงหนา้ ขอ้ ความด้านซ้ายมอื ทมี่ คี วามสัมพนั ธก์ ัน ฉ 1.เป็นความผดิ ปกตขิ องโครโมโซมเพศ โดยโครโมโซม X ก. กลุม่ อาการพาเทา ขาดหายไป 1 แทง่ ข. กลมุ่ อาการไคลน์เฟลเตอร์ ค. กลุม่ อาการเอด็ เวิรด์ ก 2.โครโมโซมคู่ท่ี 13 เกนิ มา 1 แท่ง ง. กล่มุ อาการคริดูชาต์ จ 3.โครโมโซม 44+XYY จ. เอ็กซว์ ายวายซินโดรม ค 4.โครโมโซมคูท่ ี่ 18 เกนิ มา 1 แทง่ ฉ. กล่มุ อาการเทอรืเนอร์ ช 5.โครโมโซมคูท่ ี่ 21 เกินมา 1 แทง่ ช. กลุม่ อาการดาวน์ ง 6.ผู้ป่วยเสยี งรอ้ งแหลมเลก็ คล้ายเสียงแมวรอ้ ง ข 7.โครโมโซม X เกนิ จากปกติ 44+XXY หรอื 44+XXXY ดาวนซ์ ินโดรม โรคเมด็ เลือดแดงรูปเคยี ว แบบทดสอบตาบอดสี (Down Syndrome) (Sickle Cell disease)

2หนว่ ยที่ พนั ธุศาสตร์ ใบงานเรอ่ื ง สงิ่ มีชีวิตดดั แปรพนั ธกุ รรม คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว.1.3 ม.3/7-8 ช่อื -นามสกุล......................................................................ชั้น...............เลขท่ี........... คาชแี้ จง ให้นักเรยี นเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งว่างให้ถูกต้อง 1.เทคโนโลยชี ีวภาพ (Biotechnology) คอื กระบวนการกระบวนการนาความร้ดู ้านชวี วิทยาระดับเซลลโ์ ดยเฉพาะการ ถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรมมาประยุกต์ใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์เพ่อื พัฒนาผลิตภณั ฑท์ างการเกษตร การอุตสาหกรรม และปรบั ปรุงคณุ ภาพชีวิตของมนุษย์ 2.วธิ ีการพัฒนาลักษณะของสง่ิ มชี ีวติ ทีต่ ้องการโดยนาความรูด้ ้านเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้มี 3 วิธี ได้แก่ การคดั เลือกพนั ธ์ุ การคัดลอกพันธ์หุ รือการโคลน (Cloning) และการใช้พันธุวศิ วกรรม (Genetic Engineering) 3.โคลกู ผสม 3 สายเลือดมขี ้อดีมากกว่าโคพันธ์พุ ้ืนเมอื งหรอื โคพ่อพันธแ์ุ มพ่ ันธุ์จากต่างประเทศอย่างไร โคลูกผสม 3 สายเลือดมขี ้อดมี ากกวา่ โคพันธุพ์ นื้ เมอื งหรอื โคพ่อพันธ์แุ ม่พนั ธ์จุ ากต่างประเทศคือใหผ้ ลผลิตไดม้ ากกว่า โคพันธุ์พื้นเมอื ง และมีความต้านทานโรคตา่ งๆได้ดีกว่าพ่อพันธุแ์ ละแมพ่ นั ธุ์จากต่างประเทศ 4.การคดั ลอกพันธหุ์ รือการโคลน (Cloning) หมายถึง การสรา้ งสิ่งมชี ีวติ ขน้ึ มาใหมโ่ ดยไมต่ อ้ งอาศัยการปฏสิ นธขิ อง เซลลส์ บื พนั ธเุ์ พศผู้และเซลล์สบื พนั ธเ์ุ พศเมยี แต่ใช้เซลลร์ ่างกายในการสรา้ งส่ิงมชี ีวิตขน้ึ มาใหม 5.ประโยชนข์ องการใช้พนั ธุวศิ วกรรมด้านการเกษตรมดี ังน้ี ได้สัตวท์ ีม่ ีขนาดใหญ่ คุณคา่ ทางอาหารเพ่มิ ข้นึ และทนต่อ สิง่ แวดล้อมและโรคตา่ งๆได้ดขี ึ้น ไดพ้ ืชใหม่ทมี่ ีคุณสมบตั ติ ามต้องการ ใหผ้ ลผลติ สูง ทนทานต่อสภาพแวดลอ้ มไดด้ ี 6.การใช้เทคโนโลยีชีวภาพมีประโยชน์ต่อมนษุ ยด์ ้านใดบ้าง จงยกตวั อยา่ ง 1. ด้านการแพทย์ เชน่ การผลติ ฮอโมน สร้างวคั ซนี ผลิตยาวติ ามนิ แก้ไขภาวะผดิ ปกตแิ ละการรกั ษาโรคต่างๆ เปน็ ต้น 2. ดา้ นเกษตรกรรม เชน่ การขยายพันธุ์และการปรับปรุงพันธุ์สัตว์ การขยายพันธแุ์ ละการปรับปรงุ พนั ธพ์ุ ืช เปน็ ต้น 3. ดา้ นอตุ สาหกรรมอาหาร เช่น การทาอาหารกระปอ๋ ง การใช้จุลินทรีย์และการปรบั ปรุงสายพนั ธุจ์ ุลินทรีย์ 7.เหตุใดจึงมกี ารนาการคดั ลอกพนั ธุ์หรือการโคลนมาใช้ เนื่องจาก การผสมโดยการคัดเลอื กพันธุไ์ มส่ ามารถจะควบคมุ ใหพ้ นั ธพ์ุ ่อและพันธแ์ุ ม่ถ่ายทอดลักษณะไปยงั รุน่ ลกู ได้ ตามที่ต้องการ แต่การใช้การโคลนสามารถผลิตรุ่นลกู ให้มลี ักษณะทีต่ อ้ งการได้ตามความประสงค์ ซึ่งสง่ิ มีชวี ิตทเี่ กิด ใหม่จะมีองคป์ ระกอบทางพนั ธุกรรมเชน่ เดยี วกับสิ่งมีชีวติ ท่เี ป็นต้นกาเนดิ ทุกประการ 8.พิจารณาขอ้ ความทกี่ าหนดให้ต่อไปนี้วา่ ถูกตอ้ งใช่หรอื ไม่ ขอ้ ความ ใช่หรือไมใ่ ช่ 1.จเี อม็ โอ หรอื GMOs – Genetically Modified Organisms คือ ส่งิ มีชวี ติ ท่ไี ด้รบั การดัด ใช/่ ไมใ่ ช่ แปรพันธุกรรมเป็นผลผลิตจากการใช้เทคโนโลยพี นั ธวุ ศิ วกรรม 2.สารเคมที ีใ่ ชป้ ราบวชั พชื ไมส่ ามารถแยกวัชพชื ออกจากพืชท่ีเราปลูกซ่ึงสารเคมีเหลา่ นนั้ จะทาลาย ใช/่ ไมใ่ ช่ หมดทุกอย่าง นักเทคโนโลยชี ีวภาพพืชจงึ ได้ค้นควา้ และวจิ ัยยาปราบวชั พืชโดยอาศยั เทคนคิ ทาง วิศวกรรมพันธศุ าสตรผ์ ลติ สารปราบวัชพืชได้สาเรจ็ 2 ชนดิ คือ ไกลโฟเสท (glyphosate) และ กลูโฟซิเนท (glufosinate) 3.ฮอรโ์ มนท่ีได้จากสง่ิ มชี ีวิตดดั แปรพนั ธกุ รรม ถือวา่ เป็นจีเอม็ โอ(GMOs) ใช/่ ไม่ใช่

แบบฝึกหัดท้ายหน่วย เรื่อง พนั ธุศาสตร์ คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นเลอื กขอ้ ท่ีถกู ต้องท่ีสุด 1.ชายหนุ่มผิวดาพันธ์ุแท้ แต่งงานกับหญงิ สาวผิวขาว มลี กู 6.ในต้นถั่วลนั เตา ต้นสูงเป็นลกั ษณะเดน่ และตน้ เต้ยี 2 คน ลูกทงั้ สองมีโอกาสเปน็ แบบใด เป็นลกั ษณะดอ้ ย การศึกษาวา่ ต้นถ่ัวลันเตาต้นสงู เปน็ พนั ธ์ุ ก.ผวิ ดาทง้ั หมด แทห้ รอื พนั ทาง ควรผสมถั่วลันเตาทม่ี ลี ักษณะใด ข.ผวิ ขาวทงั้ หมด ก.สงู พันธุแ์ ท้ ข.เตย้ี พันธ์ุแท้ ค.ผิวดาหรือผิวขาวกไ็ ด้ ค.สงู พนั ธ์ุทาง ง.เต้ยี พันธุ์ทาง ง.คนหน่ึงผิวดา อีกคนหนงึ่ ผวิ ขาว 7.การผสมพันธร์ุ ะหวา่ งลกั ษณะเด่นพนั ธแุ์ ทก้ บั ลกั ษณะดอ้ ย 2.การตรวจด้วยวธิ ใี ดใชพ้ สิ ูจนค์ วามเปน็ พอ่ แม่ลูกไดผ้ ล พนั ธ์ุแท้ รุ่นลกู จะมีลักษณะอย่างไร แม่นยาทสี่ ุด ก.ปรากฏเพยี งลักษณะเดยี ว ก.จโี นไทป์ ข.โครโมโซม ข.ปรากฏลักษณะกง่ึ กลางระหวา่ งพ่อกบั แม่ ค.กรปุ๊ เลอื ด ABO ง.ลายพิมพ์ DNA ค.ลกั ษณะเดน่ ต่อลักษณะด้อยเทา่ กับ 1 : 3 3.สง่ิ มชี วี ิตชนดิ หนง่ึ มีจานวนโครโมโซม 2n=16 ข้อความ ง.ลักษณะเดน่ ตอ่ ลักษณะดอ้ ยเท่ากับ 3 : 1 ต่อไปนี้ข้อใดถูกต้อง 8.ข้อใดไมถ่ ูกต้อง ก.สิ่งมชี วี ติ ดงั กล่าวมจี านวนโครโมโซม 16 ชุด ก.ยนี แต่ละลักษณะจะมอี ยเู่ ปน็ คู่ ๆ ข.จานวนโฮโมโลกัสโครโมโซมเท่ากบั 16 คู่ ข.ในโครโมโซมมียนี ค.เซลลส์ ืบพนั ธ์ุมจี านวนโครโมโซม 8 แท่ง ค.โครโมโซมในเซลลร์ ่างกายมี 46 แท่ง ง.ไมม่ ขี อ้ ใดถกู ง.โครโมโซมในเซลล์ร่างกายมี 44 แท่ง 4.รุ่นลกู (F1)มีโอกาสท่จี ะเปน็ ฟีโนไทป์และจโี นไทป์ไม่ 9.ความผดิ ปกติของทารกในข้อใดไม่ได้มีสาเหตมุ าจากการ เหมอื นกนั ในกรณใี ด ถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม ก.พอ่ และแม่เปน็ เฮเทอโรไซกสั ก.โรคหัดเยอรมัน ข.พอ่ และแม่เป็นโฮโมไซกัส ข.โรคผวิ เผือก ค.พ่อเป็นเฮเทอโรไซกสั แมเ่ ปน็ โฮโมไซกัส ค.โรคตาบอดสี ง.พอ่ เปน็ โฮโมไซกสั แมเ่ ป็นเฮเทอโรไซกสั ง.โรคเลอื ดไหลไมห่ ยดุ 5.ขอ้ ใดกล่าวถงึ ยนี ไม่ถูกต้อง 10.ลักษณะพันธกุ รรมทถี่ ูกควบคุมด้วยยีนดอ้ ยบน ก.คนท่ีมีลักยิ้มเกดิ จากการถ่ายทอดยีนเด่น โครโมโซมเพศ ชนดิ X ข้อใดกลา่ วถกู ต้อง ข.โครโมโซมแท่งหน่ึง ๆ มียนี กาหนดลักษณะตา่ ง ๆ ก.ไมพ่ บลกั ษณะน้ีในผหู้ ญิง เป็นพนั ๆ ยีน ข.พบลกั ษณะนีใ้ นผ้หู ญิงมากกว่าผู้ชาย ค.การแสดงลกั ษณะของสงิ่ มชี ีวติ ถูกควบคุมโดยยีนดอ้ ย ค.พบลกั ษณะนใ้ี นผชู้ ายมากกว่าผหู้ ญิง 1 ตัว ง.ไมพ่ บลกั ษณะนใ้ี นผชู้ าย ง.ลักษณะของยนี ทีม่ คี วามผิดปกติทาให้คนมีลักษณะ ผิดปกติได้

3หน่วยที่ คล่นื และแสง ใบงานเรือ่ ง คลน่ื คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/10 ชอื่ -นามสกลุ ......................................................................ช้ัน...............เลขท่ี........... คาชี้แจง ให้นักเรยี นเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง 1.ในการจาแนกคล่ืนตามชนิดของตวั กลางที่คลน่ื ใชใ้ นการเดินทางสามารถจาแนกออกเป็น 2 ชนดิ คือ คลืน่ กล และคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า 2.คล่นื ท่จี าเปน็ ต้องใช้ตัวกลางในการเคลอ่ื นท่ี ซงึ่ บางสว่ นเราสามารถมองเห็นได้ง่ายๆ คือ คลื่นกล (Mechanical wave) 3.คล่นื ท่ไี ม่ไดอ้ าศยั ตวั กลางในการเคล่อื นที่เป็นคลืน่ ท่สี ามารถเคลื่อนที่ผา่ นสญุ ญากาศได้ คอื คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า (Electromagnetic waves) 4.นาข้อความท่กี าหนดให้เตมิ ลงในแผนภาพใหส้ มบูรณ์ คลื่นกล คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ คล่นื เสียง คล่นื แสง รงั สีเอ็กซ์ คลื่นที่ผิวนา้ คล่นื ไมโครเวฟ คล่นื ในเส้นเชอื ก รงั สีแกมมา คล่ืนวทิ ยแุ ละโทรทัศน์ เรดาร์ คลน่ื ในสปรงิ รงั สแี กมมา คลื่นไมโครเวฟ คลนื่ ในเส้นเชอื ก รังสีเอ็กซ์ คล่ืนในสปริง คล่ืนแสง คล่ืนเสยี ง คล่นื ทีผ่ ิวน้า เรดาร์ คลน่ื วทิ ยแุ ละ โทรทัศน์ คล่นื กล คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ คล่ืน

3หนว่ ยท่ี คล่นื และแสง ใบงานเรือ่ ง สว่ นประกอบและสมบตั ิของคลื่น คะแนน สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/10 ช่ือ-นามสกลุ ......................................................................ช้นั ...............เลขที่........... คาชี้แจง ให้นกั เรียนพจิ ารณาภาพตอ่ ไปนีแ้ ล้วตอบคาถามให้ถูกต้อง 1.เป็นตาแหน่งสูงสุดของคล่ืน หรอื เปน็ ตาแหน่งทมี่ กี ารกระจดั สงู สุดในทางบวก คือ จดุ b , f ตาแหนง่ น้ีเรยี กวา่ สนั คลืน่ (Crest) 2.เปน็ ตาแหนง่ ต่าสดุ ของคลน่ื หรือเป็นตาแหน่งทมี่ ีการกระจดั สงู สดุ ในทางลบ คือ จดุ d , s ตาแหนง่ นี้เรยี กว่า ท้องคลน่ื (Trough) 3.เปน็ ระยะการกระจดั มากสุด ทง้ั ค่าบวกและคา่ ลบ วดั จากระดบั ปกติไปถึงสันคลื่นหรอื ไปถึงทอ้ งคลน่ื คอื สัญลักษณ์ A ตาแหน่งน้เี รยี กวา่ แอมพลิจูด (Amplitude ; A) หรือ ช่วงกวา้ งของคล่ืน 4. ความยาวคลื่น (wavelength) คอื ความยาวของคลื่น 1 ลกู คลื่นหรอื เป็นระยะหา่ งจากสันคลื่นถงึ สนั คล่นื ทตี่ ิดกัน หรอื ระยะหา่ งจากท้องคล่ืนถงึ ทอ้ งคล่ืนที่ตดิ กัน 5.คาบ (Period ; T) คือ เวลาทีจ่ ดุ ใดๆ บนตัวกลางสัน่ ครบ 1 รอบหรอื เป็นเวลาทเี่ กดิ คลืน่ 1 ลูก หรือเวลาท่ีคลน่ื ไปได้ไกล 1 ลกุ คลื่น คาบมหี น่วยเปน็ วนิ าทีตอ่ ลูก หรอื วนิ าที (s) 6.ความถี่ (frequency ; f)คอื จานวนลกู คลน่ื ทีเ่ กิดข้ึนใน 1 หนว่ ยเวลา หรอื จานวนลกู คลน่ื ท่ีเคลอ่ื นที่ผ่านจุดคงท่ีใน เวลา 1 หน่วย และความถ่ีของคลืน่ จะมคี ่าเทา่ กับความถ่ขี องการสนั่ ของแหล่งกาเนิดหมายความว่าแหลง่ กาเนิดสนั่ ครบ 1 รอบ จะเกดิ คลื่น 1 ลูก ความถม่ี หี นว่ ยเป็นลูกคล่นื ต่อวินาที, รอบต่อวนิ าท,ี หรือ Hertz (HZ) 7.ใหน้ กั เรียนนาขอ้ ความทีอ่ ยู่ดา้ นขวามอื มาเตมิ ลงหน้าขอ้ ความด้านซ้ายมอื ทีม่ ีความสัมพนั ธ์กนั ค 1.เกิดจากคลืน่ เคลือ่ นท่ีไปกระทบสิ่งกดี ขวางแล้วเปลย่ี นทศิ ก. การแทรกสอด(interference) กลับสตู่ ัวกลางเดิม ข. การเลยี้ วเบน(diffraction) ค. การสะท้อน(reflection) ง 2.เกิดจากคลนื่ เคลื่อนทจี่ ากตวั กลางหนึ่งไปยงั อกี ตวั กลางหน่ึง ง. การหกั เห(refraction) แลว้ ทาให้อตั ราเร็วและทิศของเคลอื่ นเปล่ยี นไป ก 3.เกดิ จากคล่ืนสองขบวนทีเ่ หมอื นกนั ทกุ ประการเคลอื่ นท่ีมาพบกัน แล้วเกดิ การซ้อนทบั กนั ข 4.เกิดจากคล่นื เคลอื่ นท่ีไปพบสงิ่ กดี ขวางแล้วเคลอ่ื นทีอ่ อ้ มไป ดา้ นหลังของสิ่งกดี ขวาง

3หน่วยที่ คล่นื และแสง ใบงานเรอ่ื ง คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/11 ชือ่ -นามสกลุ ......................................................................ช้นั ...............เลขที่........... คาช้แี จง ใหน้ ักเรยี นเติมคาหรือข้อความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ กู ต้อง 1.คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า เกดิ จาก การรบกวนทางแม่เหลก็ ไฟฟ้า (Electromagnetic disturbance) โดยการทาใหส้ นามไฟฟา้ หรือสนามแมเ่ หล็กมีการเปลีย่ นแปลง เมือ่ สนามไฟฟา้ มกี ารเปล่ียนแปลงจะเหนย่ี วนาให้เกดิ สนามแมเ่ หลก็ หรือถา้ สนามแม่เหลก็ มีการเปลี่ยนแปลงกจ็ ะเหน่ยี วนาใหเ้ กิดสนามไฟฟา้ 2.แสงทีต่ ามองเห็น (Visible light) เปน็ สว่ นหนง่ึ ของคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าหากนาแท่งแก้วปริซมึ มาหกั เหแสงอาทิตย์ เราจะ เหน็ ว่าแสงสีขาวถูกหกั เหออกเปน็ สตี า่ งๆ ไดแ้ ก่ สมี ว่ ง คราม นา้ เงิน เขยี ว เหลอื ง แสด แดง เรยี กว่า “สเปคตรมั ” (Spectrum) 3.แสงแต่ละสีมีความยาวคลนื่ แตกตา่ งกันโดย สมี ว่ ง มคี วามยาวคล่ืนน้อยทส่ี ดุ สีแดง มคี วามยาวคลืน่ มากท่สี ดุ 4.ใหน้ กั เรียนนาขอ้ ความทอี่ ย่ดู ้านขวามอื มาเตมิ ลงหนา้ ขอ้ ความดา้ นซ้ายมอื ท่ีมีความสัมพนั ธ์กนั 4.1เป็นคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าที่มคี วามยาวคลนื่ น้อยกว่า 0.01 nm ก. คล่ืนวทิ ยุ(Radio wave) โฟตอนของรังสมี พี ลังงานสงู มาก กาเนดิ จากแหล่งพลังงาน ข. รังสเี อก็ ซ(์ X-ray) นวิ เคลียร์ เช่น ระเบดิ ปรมาณู เป็นอนั ตรายมากตอ่ ส่งิ มีชีวติ ค. รังสีแกมมา(Gamma ray) ง. แสงท่ีตามองเหน็ (Visible light) 4.2มีความยาวคลืน่ 0.01 - 1 nm มีแหล่งกาเนิดในธรรมชาติ จ. คลืน่ ไมโครเวฟ(Microwave) มาจากดวงอาทิตย์ ใช้ในทางการแพทย์ เพือ่ ส่องผ่านเซลล์ ฉ. รังสอี ินฟราเรด เนื้อเย่อื แต่ถา้ ไดร้ า่ งกายไดร้ ับรังสนี ้ีมาก ๆ ก็จะเปน็ อนั ตราย (Infrared radiation) 4.3มีความยาวคลื่น 1 - 400 nm มอี ยใู่ นแสงอาทติ ย์ ช. รังสีอลุ ตราไวโอเลต็ เปน็ ประโยชน์ต่อรา่ งกาย แต่หากได้รับมากเกินไปกจ็ ะทาให้ ผิวไหม้ และอาจทาใหเ้ กิดมะเร็งผวิ หนงั (Ultraviolet radiation) 4.4มคี วามยาวคลืน่ 400 – 700 nm พลังงานท่ีแผ่ออกมาจาก ดวงอาทติ ย์ สว่ นมากเป็นรังสีในช่วงนี้ เป็นแหล่งพลังงานที่ สาคญั ของโลก และยงั ชว่ ยในการสังเคราะหแ์ สงของพชื 4.5มีความยาวคล่นื 700 nm – 1 mm โลกและสิ่งชีวติ แผ่รังสี ชนดิ นอ้ี อกมา กา๊ ซเรือนกระจก เช่น คารบ์ อนไดออกไซด์ และไอน้า ในบรรยากาศดูดซบั รังสีนไี้ ว้ ทาใหโ้ ลกมีความ อบอนุ่ เหมาะกับการดารงชวี ิต 4.6มคี วามยาวคลนื่ 1 mm – 10 cm ใช้ประโยชน์ในด้าน โทรคมนาคมระยะไกล นอกจากนนั้ ยงั นามาประยุกต์สรา้ ง พลังงานในเตาอบอาหาร 4.7เป็นคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ ท่มี คี วามยาวคล่นื มากท่ีสุด สามารถ เดินทางผ่านชั้นบรรยากาศได้ จึงถูกนามาใช้ประโยชนใ์ นด้าน การสอื่ สาร โทรคมนาคม

3หนว่ ยที่ คลื่นและแสง ใบงานเรอ่ื ง คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/12 ช่ือ-นามสกลุ ......................................................................ชั้น...............เลขท่ี........... คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นเตมิ คาหรือข้อความลงในช่องวา่ งใหถ้ ูกต้อง 1.สมบตั ิของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า มดี ังน้ี 1. ไมต่ ้องใชต้ ัวกลางในการเคลอื่ นท่ี 2. อตั ราเร็วของคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ทุกชนิดในสุญญากาศเทา่ กับ 3x108m/s ซึ่งเท่ากับ อตั ราเร็วของแสง 3. เปน็ คล่ืนตามขวาง 4. ถ่ายเทพลังงานจากท่ีหนึง่ ไปอีกท่หี น่งึ 5. ถูกปลอ่ ยออกมาและถูกดดู กลนื ได้โดยสสาร 6. ไมม่ ปี ระจุไฟฟ้า 7. คลนื่ สามารถแทรกสอด สะทอ้ น หักเห และเล้ยี วเบนได้ 2.จงบอกประโยชน์และอันตรายที่เกดิ จากคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ชนดิ ของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ประโยชน์ อันตราย/ข้อจากดั 1.รงั สแี กมมา ใชร้ ักษาโรคมะเรง็ ศกึ ษาโรคพชื ตา่ งๆ ทาลายเซลลร์ ่างกายเนอ้ื เย่ือตา่ งๆ (Gamma ray) การดูดซึมแร่ธาตขุ องรากพืช อาจทาใหเ้ กดิ มะเรง็ ได้ 2.รงั สเี อ็กซ์ (X-ray) การเปลยี่ นแปลงพันธพุ์ ชื เมอื่ รา่ งกายรบั เขา้ ไปมากเซลล์จะตายหรอื 3.รังสอี ลั ตราไวโอเลต ตรวจวนิ ิจฉัยโรค รักษาโรคมะเร็ง เส่อื มคุณภาพ อาจทาให้เกิดโรคมะเรง็ ได้ (Ultraviolet radiation) ตรวจสอบสง่ิ แปลกปลอม หรอื อาวธุ ในกระเปา๋ อาจทาให้เกิดการเปลย่ี นแปลงในยีน 4.แสงท่ตี ามองเห็น หรือหีบหอ่ ตา่ ง ๆ มีผลต่อกรรมพันธุ์ (Visible light) ใช้ตรวจสอบวัตถุโบราณ หากได้รบั ในปริมาณมากอาจทาให้สง่ ผล ช่วยกระต้นุ ใหร้ ่างกายผลิตวิตามนิ ดี กระทบตอ่ ดวงตา เช่นกระจกตาอกั เสบ ใชร้ ักษาโรคหลายชนดิ เช่น ด่างขาว สะเกด็ เงนิ ผิวไหม้ ผวิ คล้า ริ้วรอย มะเร็งผวิ หนัง โรคกระดูกอ่อนในเด็ก อันตรายตอ่ ผิวหนัง และตาคน เมือ่ รับมา เป็นแหลง่ พลังงานที่สาคัญของโลก จานวนมากๆ อาจเป็นมะเร็งท่ผี วิ หนงั ได้ ช่วยในการสังเคราะห์แสงของพชื 5.รังสอี นิ ฟราเรด ถา่ ยภาพพื้นโลกจากดาวเทียม การสร้างเม็ดสขี องผวิ ผิดปกติ (Infrared radiation) เป็นตวั นาคาสัง่ จากอุปกรณค์ วบคมุ ไปยัง ทาให้เกิดร้วิ รอย เหีย่ วย่นแก่ก่อนวัย เคร่อื งรบั ที่เรยี กวา่ รีโมทคอนโทรล ผิวหนังสูญเสียความยดื หยุ่น 6.คล่ืนไมโครเวฟ การฆา่ เชอ้ื โรค การตรวจวนิ จิ ฉยั โรค มะเรง็ ผวิ หนัง (Microwave) ใช้ในการสือ่ สาร เชน่ ดาวเทียม ทาใหเ้ ซลล์หรอื อวัยวะเกิดความเสยี หาย 7.คลื่นวทิ ยุ โทรศัพทม์ ือถือ และหากเกดิ ในระดบั รนุ แรงอาจทาให้ (Radio wave) เซลลต์ ายได้ ใช้ส่อื สารทางทะเล ใช้ส่งวทิ ยคุ ลืน่ ส้นั สือ่ สาร เกดิ ความรอ้ นบริเวณใตผ้ ิวหนงั และ ระหวา่ งประเทศ ใช้สง่ ไมโครเวฟและเรดาร์ ใช้ส่ง อวัยวะภายใน เป็นอันตรายตอ่ เลนส์ตา คลนื่ วทิ ยุระบบเอเอม็ เอฟเอม็ และคล่ืนโทรทัศน์ ทาใหอ้ ุณหภมู สิ ูงขึน้

3หนว่ ยท่ี คล่นื และแสง ใบงานเรอื่ ง กฎการสะท้อนของแสง คะแนน สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/13-14 ช่ือ-นามสกุล......................................................................ช้นั ...............เลขที่........... คาชแี้ จง ให้นักเรียนเตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งวา่ งให้ถกู ตอ้ ง 1.พจิ ารณาภาพตอ่ ไปน้ี แล้วเติมคาหรือขอ้ ความลงในช่องว่างใหถ้ กู ต้อง เสน้ แนวฉาก มุมสะทอ้ น มมุ สะทอ้ น รงั สีตกกระทบ รงั สสี ะทอ้ น ผิววัตถุ 2.กฎการสะทอ้ น มี 2 ข้อ คือ 1. รงั สตี กกระทบ รังสสี ะทอ้ น และเสน้ ปกตจิ ะอยู่ในระนาบเดียวกนั 2. มมุ ตกกระทบเท่ากบั มมุ สะทอ้ น 3.เขียนแผนภาพให้สมบูรณแ์ ล้วตอบคาถามลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกต้อง 3.1 ก A ข 60 1.ขนาดของมุมตกกระทบ 60 องศา 2.ขนาดของมุมสะท้อน 60 องศา 3.รังสีสะท้อนทามมุ กบั แนวกระจก กข มีค่า 30 องศา 3.2 A 1.รังสตี กกระทบบนกระจกเงาราบ กข คือ รงั สีAB ก 2.มมุ ตกกระทบบนกระจกเงาราบ กข มีคา่ 45 องศา 3.รงั สีสะทอ้ นบนกระจกเงาราบ กข คอื รังสBี C 45 4.รงั สตี กกระทบบนกระจกเงาราบ ขค คือ รังBC 5.มมุ ตกกระทบบนกระจกเงาราบ ขค มคี า่ 45 องศา B D 6.รงั สีสะทอ้ นบนกระจกเงาราบ ขค คอื รังสีCD 7.มมุ สะท้อนบนกระจกเงาราบ ขค มคี า่ 45 องศา ขค C

3หนว่ ยที่ คลืน่ และแสง ใบงานเรือ่ ง ภาพทีเ่ กิดจากการวางวัตถุไวห้ นา้ กระจกเว้า คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/14 ช่ือ-นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขที่........... คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนวาดภาพทีเ่ กดิ จากการวางวตั ถไุ วห้ นา้ กระจกเวา้ ณ ตาแหนง่ ต่าง ๆ พรอ้ มทงั้ อธิบายลกั ษณะของภาพ วางวัตถสุ ูง 1 cmไวห้ น้าจุด C P CF ลักษณะภาพ ภาพจรงิ หวั กลับ ตาแหน่ง หน้ากระจกระหวา่ งจดุ C กบั จดุ F ขนาดภาพ เลก็ กว่าวัตถุ วางวตั ถสุ งู 1 cmไว้ท่จี ดุ C P CF ลักษณะภาพ ภาพจริงหัวกลับ ตาแหน่ง หนา้ กระจกท่ีจุด C ขนาดภาพ เทา่ กนั กบั วัตถุ วางวัตถสุ ูง 1 cmไว้ระหว่างจุด C และจดุ F P CF ลักษณะภาพ ภาพจรงิ หวั กลบั ตาแหนง่ หน้าจดุ C ขนาดภาพ ใหญก่ วา่ วัตถุ

3หนว่ ยท่ี คล่นื และแสง ใบงานเร่อื ง ภาพทเี่ กดิ จากการวางวัตถุไว้หน้ากระจกเว้า คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/14 ช่ือ-นามสกลุ ......................................................................ชัน้ ...............เลขที่........... คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นวาดภาพทเ่ี กิดจากการวางวตั ถุไว้หน้ากระจกเว้า ณ ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ พร้อมท้งั อธบิ ายลักษณะของภาพ วางวัตถสุ ูง 1 cmไว้ท่จี ดุ F P CF ลกั ษณะภาพ ไมเ่ กิดภาพ ตาแหน่ง ทรี่ ะยะอนนั ต์ ขนาดภาพ โตกวา่ วัตถุ วางวตั ถสุ งู 1 cmไว้ระหวา่ งจดุ F กับข้วั กระจก P CF ลกั ษณะภาพ ภาพเสมอื นหัวตัง้ ตาแหน่ง หลังกระจก ขนาดภาพ โตกวา่ วัตถุ วางไว้หนา้ กระจกท่ีระยะอนนั ต์ P CF ลักษณะภาพ ภาพจรงิ ตาแหนง่ หน้ากระจก ขนาดภาพ เลก็ เป็นจดุ

3หน่วยท่ี คลน่ื และแสง ใบงานเร่อื ง ภาพท่ีเกดิ จากการวางวัตถุไว้หน้ากระจกนนู คะแนน สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/14 ชือ่ -นามสกลุ ......................................................................ชัน้ ...............เลขที่........... คาช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นวาดภาพทีเ่ กิดจากการวางวตั ถไุ วห้ น้ากระจกเวา้ ณ ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ พรอ้ มท้ังอธบิ ายลกั ษณะของภาพ วางวัตถสุ ูง 1 cmไวห้ นา้ จุด C CF P FC ลักษณะภาพ ภาพเสมอื นหวั ตั้ง ตาแหน่ง หลงั กระจก ขนาดภาพ เล็กกวา่ วัตถุ วางวตั ถสุ งู 1 cmไวท้ ่จี ดุ C CF P C F ลักษณะภาพ ภาพเสมอื นหัวตั้ง ตาแหนง่ หลงั กระจก ขนาดภาพ เล็กกวา่ วตั ถุ วางวัตถุสงู 1 cmไวร้ ะหวา่ งจดุ C และจุด F CF P C F ขนาดภาพ เล็กกว่าวตั ถุ ลกั ษณะภาพ ภาพเสมือนหัวตง้ั ตาแหนง่ หลงั กระจก

3หนว่ ยท่ี คลนื่ และแสง ใบงานเรอ่ื ง การหกั เหของแสง(1) คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/15 ช่ือ-นามสกุล......................................................................ช้นั ...............เลขที่........... คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในช่องว่างให้ถกู ต้อง จากภาพการ เราเรยี กปรากฎการณน์ ้วี า่ การหกั เหแสง ซึง่ จะเกิดบรเิ วณ ผิวรอยตอ่ ของตวั กลาง รังสีตกกระทบ เส้นปกติ มุมตกกระทบ ตัวกลางท่มี คี วามหนาแน่น น้อย มุมหักเห ตวั กลางท่ีมีความหนาแน่น มาก รงั สหี ักเห เมอื่ แสงเคลื่อนที่จากตัวกลางทมี่ คี วามหนาแนน่ นอ้ ย ไปสู่ตัวกลางทมี่ คี วามหนาแนน่ มาก ลาแสงหกั เห เบนเข้าหา เสน้ ปกติ ทาให้มมุ ตกกระทบ โตกว่า มุมหักเห รงั สตี กกระทบ เสน้ ปกติ มุมตกกระทบ ตวั กลางท่ีมคี วามหนาแน่น มาก มมุ หักเห ตัวกลางทม่ี คี วามหนาแน่น นอ้ ย รังสีหักเห เมอ่ื แสงเคล่อื นทีจ่ ากตัวกลางทมี่ ีความหนาแน่น มาก ไปสู่ตวั กลางทมี่ ีความหนาแน่น น้อย ลาแสงหักเห เบนออกจาก เส้นปกติ ทาใหม้ มุ ตกกระทบ เลก็ กวา่ มมุ หักเห

3หน่วยที่ คล่นื และแสง ใบงานเรอ่ื ง การหกั เหของแสง(2) คะแนน สาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/15,17 ชอื่ -นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขที่........... คาช้แี จง ใหน้ ักเรยี นเตมิ คาหรือข้อความลงในช่องว่างให้ถกู ต้อง มมุ เบ่ยี งเบนของแสง สี เหลอื ง แดง แสงขาว คราม, นา้ เงนิ 1. วตั ถใุ นภาพทท่ี าใหแ้ สงขาวกระจายออกเป็นสีตา่ งๆ คอื ปริซมึ 2. แถบสตี า่ งๆทเี่ กิดจากการกระจายของแสงขาว เรียกว่า แถบสเปกตรัม 3. วัตถใุ ดในธรรมชาตทิ ่ีทาให้เกิดการหักเหของแสง หยดนา้ 4. ให้นักเรยี นอธบิ ายการเกดิ ปรากฎการณร์ งุ้ กินน้า หลงั ฝนตกมักจะมีละอองนา้ หรือหยดนา้ เล็กๆ ลอยอยใู่ น อากาศ จะทาหนา้ ท่ีเสมือนปรซิ ึมหักเหแสงอาทิตย์ (White light) ใหแ้ ยกออกเปน็ สเปกตรมั 7 สี ไดแ้ ก่ ม่วง คราม นา้ เงิน เขยี ว เหลอื ง แสด แดง 5. ปรากฏการมิราจ (Mirage) คอื ปรากฏการณซ์ ่ึงเกิดจากการหกั เหของแสงเน่ืองจากชนั้ ของอากาศที่แสงเดิม ทางผ่านมอี ณุ หภมู ิตา่ งกัน แลว้ เกิดการสะท้อนกลับหมด เชน่ การมองเห็นต้นไม้กลบั หวั การมองเห็นเหมือนมนี า้ หรอื นา้ มนั นองพ้นื ถนน ในวนั ทีม่ อี ากาศร้อนจดั

3หนว่ ยที่ คลืน่ และแสง ใบงานเรื่อง ภาพทีเ่ กิดจากการวางวัตถไุ วห้ นา้ เลนส์นนู (1) คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/16 ช่อื -นามสกลุ ......................................................................ช้ัน...............เลขท่ี........... คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นวาดภาพที่เกดิ จากการวางวัตถไุ วห้ น้าเลนส์นนู ณ ตาแหนง่ ต่าง ๆ พรอ้ มท้งั อธบิ ายลกั ษณะของภาพ วางวตั ถสุ ูง 1 cmไวห้ น้าจุด C CF FC ลกั ษณะภาพ ภาพจรงิ หวั กลับ ตาแหนง่ ระหว่างจดุ C กับจุด F ขนาดภาพ เลก็ กวา่ วัตถุ วางวัตถุสงู 1 cmไวท้ ีจ่ ุด C CF F C ขนาดภาพ เทา่ กับวตั ถุ ลกั ษณะภาพ ภาพจริงหวั กลับ ตาแหน่ง จดุ C วางวตั ถสุ งู 1 cmไว้ระหวา่ งจุด C กับจุด F CF FC ลักษณะภาพ ภาพจริงหวั กลบั ตาแหน่ง หลงั จุด C ขนาดภาพ ใหญ่กว่าวัตถุ

3หน่วยท่ี คล่นื และแสง ใบงานเร่ือง ภาพทเี่ กดิ จากการวางวัตถไุ ว้หน้าเลนสน์ นู (2) คะแนน สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/16 ช่อื -นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท่ี........... คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นวาดภาพทเ่ี กิดจากการวางวัตถไุ วห้ นา้ เลนส์นูน ณ ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ พร้อมทั้งอธิบายลักษณะของภาพ วางวตั ถสุ งู 1 cmไวท้ ่ีจุด F CF FC ลักษณะภาพ ภาพจริงหรอื ภาพเสมือน ตาแหนง่ ระยะอนนั ต์ ขนาดภาพ โตกวา่ วัตถุ วางวัตถสุ ูง 1 cmไว้หลังจุด F CF F C ขนาดภาพ ใหญ่กว่าวตั ถุ ลักษณะภาพ ภาพเสมือนหัวตัง้ ตาแหนง่ หน้าเลนส์ วางวัตถสุ ูง 1 cmไวท้ ่รี ะยะอนันต์ CF F C ขนาดภาพ เป็นจุด ลักษณะภาพ ภาพจรงิ ตาแหน่ง ท่ีจดุ F

3หน่วยที่ คลนื่ และแสง ใบงานเรือ่ ง ภาพท่เี กิดจากการวางวตั ถุไวห้ น้าเลนสเ์ วา้ (1) คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/16 ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท่ี........... คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนวาดภาพทีเ่ กดิ จากการวางวัตถไุ วห้ น้าเลนส์เวา้ ณ ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ พร้อมทง้ั อธิบายลกั ษณะของภาพ วางวตั ถุสูง 1 cm ไวห้ น้าจุด C CF FC ลกั ษณะภาพ ภาพเสมอื นหวั ต้ัง ตาแหนง่ หน้าเลนส์ ขนาดภาพ เลก็ กว่าวตั ถุ วางวตั ถสุ ูง 1 cm ไวท้ จ่ี ดุ C CF FC ลกั ษณะภาพ ภาพเสมอื นหัวตงั้ ตาแหน่ง หน้าเลนส์ ขนาดภาพ เลก็ กว่าวัตถุ วางวัตถุสูง 1 cm ไว้ระหว่าจุด C กับจุด F CF FC ลักษณะภาพ ภาพเสมอื นหัวตง้ั ตาแหนง่ หน้าเลนส์ ขนาดภาพ เล็กกวา่ วตั ถุ

3หน่วยที่ คลืน่ และแสง ใบงานเร่ือง ภาพทเ่ี กิดจากการวางวตั ถุไวห้ น้าเลนสเ์ วา้ (2) คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/16 ชื่อ-นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขที่........... คาชี้แจง ให้นกั เรยี นวาดภาพที่เกดิ จากการวางวัตถไุ ว้หน้าเลนสเ์ ว้า ณ ตาแหน่งต่าง ๆ พร้อมทง้ั อธบิ ายลกั ษณะของภาพ วางวตั ถสุ ูง 1 cm ไว้ทจี่ ุด F CF FC ลักษณะภาพ ภาพเสมือนหวั ตงั้ ตาแหนง่ หนา้ เลนส์ ขนาดภาพ เล็กกวา่ วตั ถุ วางวตั ถสุ ูง 1 cm ไว้หลงั จุด F CF FC ลักษณะภาพ ภาพเสมอื นหัวตงั้ ตาแหนง่ หนา้ เลนส์ ขนาดภาพ เลก็ กว่าวัตถุ วางวัตถุไว้ท่รี ะยะอนนั ต์ CF FC ลกั ษณะภาพ ภาพเสมอื น ตาแหน่ง หนา้ เลนส์ ขนาดภาพ เปน็ จดุ

3หนว่ ยที่ คลนื่ และแสง ใบงานเร่อื ง นยั นต์ าและการมองเหน็ คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/18 ชื่อ-นามสกุล......................................................................ช้นั ...............เลขที่........... คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนพิจารณาภาพต่อไปนีแ้ ล้วตอบคาถามใหถ้ กู ต้อง 16 2 5 3 4 7 1.จากภาพจงบอกสว่ นประกอบและหนา้ ท่ีของนัยนต์ า หมายเลข 1 คอื กระจกตา ทาหน้าท่ี เป็นส่วนของตาดาอยูภ่ ายนอกเลนส์ตา มีลกั ษณะเปน็ เยอื่ เหนียวใสและ บาง หมายเลข 2 คือ รมู ่านตา ทาหน้าที่ เปน็ ช่องใหแ้ สงผา่ นไปสูเ่ ลนส์ตา ขนาดของรมู า่ นตาจะเปลีย่ นแปลงไปตาม การเปิดปิดของม่านตา หมายเลข 3 คอื ม่านตา ทาหนา้ ที่ เปน็ ม่านเปิดรูรับแสงให้ใหญห่ รอื เลก็ เพือ่ ช่วยให้แสงผ่านไปยังเลนส์ได้ พอเหมาะ ถา้ แสงสว่างมากมา่ นตาจะเปดิ ชอ่ งเป็นรูเลก็ และถ้าแสงสว่างน้อย มา่ นตาจะเปดิ ช่องเป็นรูกว้าง เพื่อไม่ให้ เป็นอนั ตรายต่อเรตนิ า และเปน็ เนอื้ เยอ่ื ส่วนท่ีมสี ีของนยั น์ตา ซงึ่ อาจมสี ดี า สีน้าตาล หรอื สฟี า้ แลว้ แตเ่ ชอ้ื ชาติ หมายเลข 4 คือ กล้ามเนื้อยึดเลนสต์ า ทาหนา้ ที่ ปรับความยาวโพกสั ของเลนสต์ าให้สามารถมองเห็นวัตถุได้ชดั เจน ทร่ี ะยะตา่ ง ๆ หมายเลข 5 คอื เลนสต์ า ทาหน้าท่ี รับแสงและหักเหแสง มลี กั ษณะเป็นเลนส์นูน เลนส์ตาสามารถปรบั ความยาว โพกสั ได้ หมายเลข 6 คือ เรตนิ ่า (ฉากรบั ภาพ) ทาหนา้ ท่ี เปน็ ฉากรับภาพทีเ่ กิดจากการหักเหแสงผ่านเลนสต์ า ซ่ึง ประกอบด้วยเซลล์ประสาท 2 ชนิด คือ เซลล์ปะสารทรปู แทง่ และเซลลป์ ระสาทรูปกรวย 2.เซลล์ประสาทรปู แท่ง และเซลล์ประสาทรูปกรวยมหี นา้ ที่อยา่ งไร 1.เซลลป์ ระสาทรปู แท่ง (Rod Cell) ทาให้เกิดความรูส้ กึ เกย่ี วกับความมืดและความสวา่ ง ทางานไดด้ ีในที่มแี สงสว่าง นอ้ ย 2.เซลล์ประสาทรูปกรวย (Cone Cell ) ทาใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ เกย่ี วกับสี ทางานได้ดีในทม่ี ีแสงสว่างมาก เซลล์ ประสาทเหลา่ นจ้ี ะรวมกันเป็นประสาทตา (Optic Nerve ) ทาหนา้ ที่เปลย่ี นสัญญาณแสงเป็นสญั ญาณไฟฟ้าไปสู่ สมองเพือ่ แปลความหมายออกมาเปน็ ภาพทมี่ องเหน็ 3.คนที่มปี ัญหาด้านสายตา จักษแุ พทยจ์ ะทาเลสิกท่สี ่วนประกอบใดของนัยน์ตา กระจกตา

3หน่วยที่ คลืน่ และแสง ใบงานเรือ่ ง ความสว่างของแสง คะแนน สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว.2.3 ม.3/19-21 ชอื่ -นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขท่ี........... คาช้แี จง ใชข้ ้อมลู จากตารางประกอบการตอบคาถาม และเติมคาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งว่างให้ถกู ต้อง สถานที่ ความสวา่ งโดยประมาณ(ลกั ซ)์ บา้ น หอ้ งน่งั เล่น ห้องครวั ห้องอาหาร 150-300 หอ้ งอ่านหนงั สือ ห้องทางาน 500-1,000 โรงเรยี น โรงพละศกึ ษา หอประชุม 75-300 ห้องเรียน 300-750 ห้องสมุด ห้องปฏิบัตกิ าร ห้องเขียนแบบ 750-1,500 โรงพยาบาล ห้องตรวจโรค 200-750 หอ้ งผา่ ตดั 5,000-10,000 สานักงาน บนั ไดฉุกเฉิน 30-75 ทางเดนิ ในอาคาร 75-200 หอ้ งประชมุ หอ้ งรับรอง 200-750 1.อปุ กรณ์ท่ีใชว้ ัดปริมาณความสวา่ งของแสง คอื ลักซ์มเิ ตอร์(Lux Meter) โดยมีหน่วยวัด คือ ลกั ซ์ 2.สถานท่ที ต่ี อ้ งการความสวา่ งเพยี ง 50 ลักซ์ คือ บนั ไดฉุกเฉิน 3.บริเวณห้องครวั ควรมคี วามสว่าง 150-300 ลกั ซ์ 4.การทากิจกรรมใดควรใชค้ วามสว่างมากทส่ี ุด การผา่ ตดั โดยใชค้ วามสวา่ ง 5,000-10,000 ลักซ์ 5.การทากิจกรรมใดทม่ี กี ารใช้ความสว่างน้อยที่สดุ บรเิ วณบนั ไดฉุกเฉนิ โดยใชค้ วามสวา่ ง 30-75 ลักซ์ 6.ความสวา่ งประมาณ 900 ลักซ์ มคี วามพอเหมาะกับการใช้งานในกจิ กรรมใดบ้าง ห้องอ่านหนงั สือ หอ้ งทางาน หอ้ งสมดุ ห้องปฏิบตั กิ าร หอ้ งเขยี นแบบ 7.พิจารณาขอ้ ความต่อไปน้ีแล้วเตมิ เครอ่ื งหมาย✓หน้าข้อท่ีเหน็ ด้วย และเติมเครอ่ื งหมายหนา้ ขอ้ ทไ่ี มเ่ ห็นดว้ ย 7.1เม่ือแสงสว่างมปี รมิ าณมากเกินไปจะส่งผลให้เรตนิ าเกดิ ความเสยี หายได้ 7.2หากอา่ นหนงั สือในที่ท่มี คี วามสวา่ งน้อยเกนิ ไปจะส่งผลให้กลา้ มเนื้อตาเสอ่ื มเรว็ กวา่ ปกติ 7.3ชา่ งเชือ่ มโลหะใช้หน้ากากป้องกนั ความร้อนจากแสงทเ่ี กิดขน้ึ 7.4ดวงตาของสัตวห์ ากนิ ในตอนกลางคนื จะมีขนาดใหญ่เพ่ือรับแสงในสภาวะมดื สลวั ตอนกลางคนื ไดม้ าก 7.5ดวงตาของสัตว์บก จะมกี ระจกตาทีช่ ว่ ยหักเหแสงใหก้ ระทบเข้าสู่เลนส์ตา ถ้ากระจกตามคี วามโคง้ มาก แสงก็จะถกู หกั เหมาก 7.6เมอ่ื แสงไปกระทบส่งิ ตา่ ง ๆ จะสะทอ้ นวัตถหุ รือสิ่งของน้ันมาเข้าตาเราและผ่านเขา้ ในลกู ตาไปทาให้เกิดภาพท่ี กระจกตา 7.7เรตนิ าจะมีเซลล์รบั แสง 2 ชนิด คอื เซลล์รูปแทง่ (Rod Cell) และเซลล์รูปกรวย (Cone Cell) 7.8อัตราการใหพ้ ลังงานแสงของแหลง่ กาเนิดแสง มีหนว่ ยเป็น ลกั ซ์ 7.9วัตถุทผ่ี ลติ แสงไดด้ ้วยตัวเองเรยี กว่า แหลง่ กาเนิดแสง เชน่ ดวงอาทติ ย์ ห่งิ ห้อย เทียนไข หลอดไฟฟา้ 7.10ความสวา่ งขนาด 810 ลกั ซ์ เป็นความสว่างทีเ่ หมาะสาหรบั การเขียนหนังสอื และการทดลองวิทยาศาสตร์

แบบฝกึ หดั ทา้ ยหนว่ ย เร่ือง คล่นื และแสง คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนเลอื กขอ้ ท่ีถูกต้องท่ีสุด 6.เลนสต์ าของคนเป็นเลนส์ชนิดใด ก.เลนส์เว้า 1.คลนื่ นาที่เกดิ จากแหล่งกาเนิดท่ีสั่นเรว็ ขึ้นจะมอี ะไร ข.เลนส์เว้าแกมนูน เปล่ยี นแปลงนอกจาความถ่ี ค.เลนสน์ ูน ก.คาบเพิม่ ข้ึน ง.เลนสน์ นู แกมเว้า ข.ความยาวคลนื่ ลดลง 7.เรตินามหี นา้ ทค่ี ล้ายสว่ นประกอบใดของกลอ้ งถ่ายรูป ค.พลงั งานมากขึน้ ก.ไดอะแฟรม ง.อัตราเรว็ เพิ่มข้ึน ข.ชัตเตอร์ 2.ปริมาณใดของคลน่ื ทใ่ี ชบ้ อกค่าพลงั งานบนคล่ืน ค.เลนส์นูนหลายอนั ประกบกัน ก.ความถี่ ง.ฟลิ ์ม ข.ความยาวคลนื่ 8.คนสายตาส้ันตอ้ งใช้แว่นที่ทาด้วยเลนส์เว้าเพราะเหตุใด ค.แอมพลิจดู ก.เลนสเ์ วา้ ทาให้เห็นวตั ถุใกลเ้ ขา้ มา ง.อตั ราเรว็ ข.เลนส์เวา้ ทาใหเ้ หน็ วตั ถุโตข้นึ และไปอยทู่ ี่เรตินา 3.คลนื่ ในข้อตอ่ ไปน้ีข้อใดเปน็ คลืน่ ประเภทเดียวกนั ค.เลนสเ์ ว้าทาให้ภาพของวัตถุเลื่อนออกไปอยูท่ ่ีเรตินา ก.คลืน่ เสียง คลื่นวิทยุ คลน่ื ไมโครเวฟ ง.เลนส์เวา้ ทาใหภ้ าพของวัตถุเลอื่ นเขา้ มาอยู่ทีเ่ รตินา ข.คลื่นนา คลนื่ ในเสน้ เชือก 9.เม่อื สอ่ งกระจกนนู จะเห็นภาพที่มีลกั ษณะอย่างไร ค.คลืน่ ดล คลืน่ ในสปรงิ ก.หนา้ ใหญห่ ัวตั้งพอเขา้ ใกล้หนา้ เล็กลงหวั ต้ัง ง.แสง คลนื่ ไฟฟา้ กระแสสลับ รงั สีแกมมา ข.หนา้ เลก็ หัวต้งั พอเขา้ ใกลห้ น้าใหญ่หัวตั้ง 4.พิจารณาคลืน่ ท้งั 3 ชนิด ได้แก่ คล่นื ในเส้นเชือกที่ ค.หน้าใหญ่หวั ต้งั พอเขา้ ใกล้หน้าใหญข่ ้นึ หวั ต้ัง เกิดจากการสะบัดปลายเชือกขน้ึ ลง คล่ืนผวิ น้าทเ่ี กิดจาก ง.หนา้ เล็กหัวกลับพอเข้าใกลห้ นา้ ใหญ่ขน้ึ หัวต้ัง วตั ถกุ ระทบผวิ น้าและคลืน่ เสยี งในนา้ ขอ้ ใดผิด 10.เลนสน์ นู อนั หนง่ึ มีความยาวโฟกัส 10 เซนตเิ มตร วาง ก.คล่นื ทงั้ 3 ชนิดเป็นคลื่นกล วัตถุห่างจากเลนส์ 20 เซนตเิ มตรขอ้ ใดกลา่ วถูก ข.คลื่นทัง้ 3 ชนดิ เป็นคลนื่ ตามยาว ก.เกิดภาพจริงห่างจากเลนส์ 20 เซนตเิ มตรมขี นาดโต ค.คลืน่ ทง้ั 3 ชนดิ เป็นการถา่ ยโอนตามยาว เปน็ 2 เทา่ ของวตั ถุ ง.คลนื่ ทั้ง 3 ชนิดจะสะท้อนเม่อื ผ่านตวั กลางต่างชนดิ กนั ข.เกดิ ภาพจรงิ ห่างจากเลนส์ 20 เซนตเิ มตรมีขนาดเท่า 5.คลื่นใดต่อไปน้ีเป็นคลนื่ ทต่ี ้องอาศยั ตัวกลางในการ วัตถุ เคล่ือนที่ ค.เกดิ ภาพจรงิ ห่างจากเลนส์ 40 เซนติเมตร มขี นาดโต 1.คลน่ื แสง เป็น 2 เท่าของวตั ถุ 2.คล่ืนเสยี ง ง.เกิดภาพเสมอื นหา่ งจากเลนส์ 20 เซนตเิ มตรมขี นาดเทา่ 3.คลน่ื ผิวนา้ วัตถุ ก.ข้อ 1 เท่าน้นั ข.ข้อ 2 และขอ้ 3 ค.ขอ้ 1 และขอ้ 3 ง.ทงั้ ข้อ 1 ขอ้ 2 และข้อ 3

4หนว่ ยท่ี ระบบสุรยิ ะของเรา

4หน่วยที่ ระบบสรุ ยิ ะของเรา ใบงานเร่อื ง แรงโนม้ ถว่ งระหวา่ งดวงอาทติ ยก์ ับดาวบริวาร คะแนน มาตรฐาน ว3.1 ม.3/1 สาระ วทิ ยาศาสตร์โลกและอวกาศ ชอื่ -นามสกุล......................................................................ช้นั ...............เลขที่........... คาช้ีแจง ใหน้ ักเรียนเติมคาหรือข้อความลงในช่องว่างใหถ้ ูกตอ้ ง 1.นักวทิ ยาศาสตร์ผ้คู น้ พบแรงโน้มถ่วงของโลกคือ เซอร์ ไอแซก นิวตนั 2.แรงโน้มถ่วงทาให้ส่งิ ต่าง ๆ ท่ีมีมวลเคลอื่ นที่ เขา้ หากนั โดยวตั ถุท่มี ีมวลมากจะมีแรงดงึ ดูด มาก และถา้ วัตถุ อยู่ใกลก้ นั แรงดงึ ดดู กจ็ ะมคี ่า มากข้ึน 3.เราสามารถคานวณแรงโน้มถว่ งได้จากสมการ F = G(m1m2)/r2 โดย แรงโนม้ ถ่วง = F ค่านจิ โน้มถว่ งสากล = G ระยะทางระหวา่ งวัตถทุ ง้ั สอง = r มวลของวัตถุ = m1 , m2 4.โจฮานเนส เคปเลอร์ ค้นพบวา่ ดาวเคราะหโ์ คจรรอบดวงอาทิตยเ์ ปน็ วงรี โดยมคี วามเร็วในวงโคจรไม่เทา่ กัน ระยะห่างจากดวงอาทติ ย์กับคาบเวลาในการโคจรของดาวเคราะหแ์ ต่ละดวงเปน็ สัดส่วนคงท่ี เซอร์ ไอแซก นิวตนั ได้ อธิบายวา่ ทีเ่ ป็นเช่นนี้เปน็ เพราะอิทธพิ ลของแรงโนม้ ถ่วง 5.ดาวเคราะหช์ ้นั ใน(Inner Planets) คือ ดาวเคราะหท์ ่โี คจรอยู่ใกลด้ วงอาทติ ย์ เป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็ก มคี วาม หนาแน่นสงู มอี งค์ประกอบเป็นหินและโลหะ 6.ดาวเคราะหช์ นั้ นอก(Outer Planets) คือ ดาวเคราะหท์ ่ีโคจรอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ เป็นดาวเคราะห์ที่มขี นาดใหญ่ มีวงแหวนลอ้ มรอบ มอี งคป์ ระกอบท่เี ป็นน้าแขง็ แก๊ส และของเหลว 7.ในระบบสุรยิ ะ ดาวเคราะหท์ ม่ี ีขนาดใหญ่ที่สุดคือ ดาวพฤหัสบด(ี Jupiter) 8.ดาวเคราะห์ที่มีสแี ดงจัดคอื ดาวองั คาร สาเหตทุ ่มี ีสแี ดงเนอ่ื งจาก องคป์ ระกอบของดินส่วนใหญ่เปน็ เหลก็ 9.ในบรรดาดาวเคราะห์ท้ัง 8 ดวง หากนาไปใสล่ งในน้าดาวเคราะหด์ วงใดสามารถลอยน้าได้ ดาวเสาร์ เพราะ ดาวเสารม์ คี วามหนาแน่นนอ้ ยกวา่ นา้ มีความหนาแน่นเฉลีย่ ประมาณ 0.7 กรัมต่อลกู บาศก์เซนตเิ มตร 10.ระยะเวลาของการโคจรรอบดวงอาทติ ยข์ องดาวเคราะหม์ ีความสัมพนั ธก์ บั ระยะห่างจากดวงอาทิตยด์ งั น้ี ดาวเคราะหท์ ่ีอยูห่ ่างจากดวงอาทิตย์จะใช้เวลาในการโคจรรอบดวงอาทิตยม์ ากกว่าดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ 11.เกณฑข์ องการเปน็ ดาวเคราะหค์ ือ ต้องเป็นดาวทีโ่ คจรรอบดาวฤกษ์ มวี งโคจรชดั เจนไม่สบั สนกบั ดาวเคราะห์ดวงอื่น และตอ้ งมมี วลมากพอจนเกดิ แรงโนม้ ถว่ งทาใหม้ รี ปู รา่ งกลมหรือเกือบกลม 12.ดาวเคราะหแ์ คระมี 3 ดวง ได้แก่ ดาวพลโู ต ดาวอิริส และดาวซีเรส 13.ดาวเคราะห์น้อยคอื ดาวเคราะหข์ นาดเล็ก มีองค์ประกอบเปน็ หินหรือสว่ นผสมของหนิ กบั โลหะ มจี านวนมากมาย ดาว เคราะห์น้อยส่วนใหญ่โคจรรอบดวงอาทติ ย์ ดาวเคราะหน์ อ้ ยทอ่ี ยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารและดาวพฤหสั บดี เรียกวา่ แถบดาวเคราะหน์ ้อย 14.ดาวหาง คอื วัตถุบนทอ้ งฟา้ ทไ่ี ม่มแี สงในตัวเอง เปน็ กอ้ นน้าแขง็ สกปรก โคจรรอบดวงอาทิตยเ์ ป็นวงรมี าก จึงโคจร อยรู่ ะหวา่ งดาวเคราะหด์ ้วย เม่ือโคจรอยู่ห่างจากดวงอาทติ ย์จะไม่มหี าง แต่เม่ือเขา้ ใกลด้ วงอาทติ ยจ์ ะมีหัวและหางปรากฏ โดยหางจะพุ่งไปทศิ ตรงขา้ มกบั ดวงอาทติ ย์ 15.ฝนดาวตก เกดิ จาก ดาวหางบางดวงโคจรผา่ นใกล้ทางโคจรของโลก เมื่อดาวหางเคล่ือนที่ไปจะท้ิงเศษฝนุ่ และหินไว้ใน วงโคจร เมือ่ โลกเคลอื่ นทผี่ า่ นทางโคจรของดาวหาง เศษฝุ่นและหินเหล่านนั้ จะตกลงสู่พ้นื โลก และเสียดสกี ับบรรยากาศ ของโลก ทาให้ลกุ ไหม้เป็นดาวตกจานวนมากมาย

4หน่วยท่ี ระบบสุรยิ ะของเรา ใบงานเร่ือง การเคลือ่ นทป่ี รากฏของดวงอาทิตย์ คะแนน มาตรฐาน ว3.1 ม.3/2 สาระ วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ ชื่อ-นามสกลุ ......................................................................ช้ัน...............เลขที่........... คาช้ีแจง ให้นกั เรยี นเตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ กู ต้อง 1.นาอกั ษรหนา้ ข้อความท่กี าหนดให้ เติมลงในชอ่ งวา่ งให้ถกู ต้อง A 20 มี.ค. A. วสนั ตวษิ วุ ตั (อคี วนิ อกซ์ฤดูใบไม้ผลิ) B. เหมายนั (โซลสทสิ ฤดูหนาว) C ดวงอาทิตย์ B C. ครีษมายนั (โซลสทิสฤดรู อ้ น) 21 ม.ิ ย. 21 ธ.ค. D. ศารทวิษุวัต(อคี วินอกซ์ฤดใู บไม้รว่ ง) 22 ก.ย. D 2.สุริยวถิ (ี Ecliptic) หมายถงึ เส้นทางการเคล่ือนที่ของดวงอาทติ ย์บนทอ้ งฟ้า 3.วสนั ตวิษุวัต (อคี วนิ อกซ์ฤดใู บไมผ้ ลิ) คือ ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทศิ ตะวนั ออก และตกทางทิศตะวันตกพอดี ทาใหก้ ลางวนั และกลางคืนยาวนานเท่ากนั พอยา่ งเข้าฤดูหนาวดวงอาทิตยจ์ ะเคล่ือนท่ไี ปอยู่ในซีกฟ้าเหนอื มากข้ึนใตแ้ ต่ละวนั 4.ครีษมายัน (โซลสทิสฤดูร้อน) คอื ชว่ งเวลาที่ดวงอาทติ ยอ์ ยู่ค่อนไปทางทิศเหนอื มากท่สี ดุ ดวงอาทิตยข์ ้ึนเร็วและตกช้า ทาใหซ้ ีกโลกเหนือกลางวนั ยาวนานกว่ากลางคนื 5.ศารทวิษุวตั (อคี วนิ อกซฤ์ ดใู บไมร้ ว่ ง) คือ ชว่ งเวลาทดี่ วงอาทิตย์จะขึ้นทางทศิ ตะวนั ออกและตกทางทศิ ตะวนั ตกพอดีอกี คร้งั กลางวนั และกลางคืนยาวนานเท่ากัน พอยา่ งเขา้ ฤดูหนาว ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนทไี่ ปอยูใ่ นซีกฟา้ ใตม้ ากขนึ้ ในแตล่ ะวัน 6.เหมายนั (โซลสทสิ ฤดูหนาว) คือ ช่วงเวลาท่ีดวงอาทิตยอ์ ยคู่ อ่ นไปทางทิศใต้มากที่สดุ ดวงอาทติ ย์ขึน้ ชา้ และตกเรว็ ทาให้ซกี โลกเหนือกลางคืนยาวนานกว่ากลางวนั หลงั จากนน้ั ดวงอาทิตยจ์ ะเคล่อื นทก่ี ลบั มายงั เสน้ ศนู ยส์ ูตรฟา้ อกี ครงั้ 7.จากภาพ ขอ้ ความต่อไปนถี้ ูกต้องใชห่ รือไม่ ขอ้ ความ ใชห่ รือไม่ใช่ 1.วนั ท่ี 20 มีนาคมและ 22 กันยายน ดวงอาทติ ย์ขนึ้ ทาง ใช/่ ไมใ่ ช่ ทศิ ตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกพอดี ทาใหก้ ลางวันและกลางคนื ยาวนานกว่าปกติ 2.วนั ที่ 21 มิถุนายน ดวงอาทิตย์อยูค่ อ่ นไปทางทศิ เหนือ ใช/่ ไมใ่ ช่ มากทส่ี ดุ ดวงอาทติ ยข์ ึน้ เร็วและตกชา้ ทาใหซ้ กี โลกเหนือ กลางวันยาวนานกวา่ กลางคืน 3. วนั ท่ี 21 ธันวาคม ดวงอาทติ ย์อยูค่ อ่ นไปทางทศิ ใต้ ใช/่ ไมใ่ ช่ มากท่ีสดุ ดวงอาทิตย์ขึน้ ช้าและตกเรว็ ทาให้ซีกโลกเหนอื กลางคนื ยาวนานกว่ากลางวัน

4หน่วยที่ ระบบสุรยิ ะของเรา ใบงานเรอ่ื ง การเกดิ ขา้ งขึ้นข้างแรม คะแนน มาตรฐาน ว3.1 ม.3/3 สาระ วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ ช่ือ-นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขที่........... คาช้ีแจง ให้นกั เรยี นระบายสภี าพดวงจนั ท1ร์ตามลักษณะขา้ งขึ้น-ข้างแรม แล้วเติมคาหรือขอ้ ความลงในช่องว่างใหถ้ ูกตอ้ ง 8 2 SUN 7 3 64 5 1.แรม 15 ค่า คือหมายเลข 3 ดวงจนั ทรม์ ีลักษณะ มดื ทัง้ ดวง 2.ขน้ึ 15 คา่ คือหมายเลข 7 ดวงจันทรม์ ลี ักษณะ สวา่ งเต็มดวง 3.ดวงจันทรโ์ คจรรอบโลกใช้เวลา 29.5 วนั ในทศิ ทิศเดียวกนั กับโลกหมุนรอบตัวเอง 4.แสงอาทติ ย์สะท้อนจากดวงจนั ทรม์ ายงั โลกทาให้คนบนโลก เหน็ สว่ นสวา่ งได้ไม่เหมือนกนั ในแต่ละคนื โดยหันด้านสวา่ ง เขา้ หาดวงอาทติ ย์เสมอ ปรากฏการณ์น้เี รียกว่า ข้างข้ึน-ข้างแรม(The Moon’s Phases) 5.ดวงจนั ทร์โคจรรอบโลก ทาให้มุมระหว่างดวงอาทติ ย์-ดวงจันทร์-โลก เปล่ียนแปลงไปวนั ละ 12 องศา 6.ชว่ งเวลาทม่ี องเห็นดวงจนั ทร์คอ่ ย ๆ สวา่ งขน้ึ ในแตล่ ะคืนจนสวา่ งเต็มดวงเรยี กช่วงเวลาน้ีวา่ ขา้ งขนึ้ มีระยะเวลา ประมาณ 15 วนั จะเห็นดวงจนั ทร์ในชว่ ง หวั ค่า 7.ช่วงเวลาท่ีมองเห็นดวงจันทร์ค่อย ๆ มดื ลงในแต่ละคนื จนมดื สนทิ ท้งั ดวงเรยี กชว่ งเวลานีว้ ่า ข้างแรม มีระยะเวลา ประมาณ 15 วัน จะเหน็ ดวงจันทร์ในชว่ ง เช้ามดื 8.คนไทยแบง่ เดอื นทางจนั ทรคติ (Lunar month) ออกเป็น 30 วนั คอื วันขน้ึ 1 ค่า - วนั ข้นึ 15 ค่า และ วนั แรม 1 ค่า - วันแรม 15 คา่ 9.ตามปฏทิ ินจนั ทรคติถือใหว้ ันพระ ไดแ้ ก่ วนั ข้ึน 15 ค่า (ดวงจันทร์สว่างเต็มดวง), วนั แรม 15 คา่ (ดวงจันทร์มดื ทง้ั ดวง), วนั แรม 8 คา่ และวันขน้ึ 8 ค่า (ดวงจันทรส์ ว่างครึ่งดวง) 10.ในช่วงเวลาทดี่ วงจนั ทรป์ รากฏเป็นเส้ียวบาง แต่เราสามารถมองเหน็ ดา้ นมดื ของดวงจนั ทร์ได้ เน่อื งจาก แสงอาทติ ย์ ส่องกระทบพื้นผวิ โลกแล้วสะทอ้ นไปยังดวงจนั ทร์ เรยี กปรากฏการณน์ ี้ว่า “แสงโลก” (Earth shine)

4หนว่ ยที่ ระบบสุรยิ ะของเรา ใบงานเรอ่ื ง การขน้ึ -ตกของดวงจันทร์ คะแนน มาตรฐาน ว3.1 ม.3/3 สาระ วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท่ี........... คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนพิจารณาข้อความตอ่ ไปน้วี า่ ถูกตอ้ งใช่หรือไม่ ข้อความ ใช่หรือไมใ่ ช่ 1.ดวงจนั ทร์จะขึ้นและตกเร็วข้นึ อยา่ งสมา่ เสมอประมาณวนั ละ 50 นาที ใช/่ ไมใ่ ช่ 2.ในวนั ข้างขึ้น ดวงจนั ทร์จะข้ึนในเวลากลางวนั ก่อนดวงอาทิตย์ตก ใช/่ ไม่ใช่ และตกในเวลากลางคนื ใช/่ ไม่ใช่ ใช/่ ไม่ใช่ 3.ในวันข้างแรม ดวงจนั ทรจ์ ะขนึ้ หลงั ดวงอาทติ ยต์ ก หรือขึ้นในเวลากลางคืน และตกในเวลากลางวัน 4.ดวงจนั ทรต์ ้องใช้เวลาประมาณ 15 วนั จงึ จะมเี วลาขน้ึ และตกใกล้เคยี งกับเวลาเดิมอีกคร้งั หนงึ่ 5.ในวันขึ้น 8 คา่ ดวงจันทรจ์ ะขึ้นเวลาประมาณเท่ยี งวนั และตกในเวลาเที่ยงคนื ใช/่ ไม่ใช่ 6.ในวันแรม 7 คา่ ดวงจนั ทร์ขึน้ ในเวลาประมาณเทย่ี งคืน และตกในเวลาประมาณเท่ยี งวัน ใช/่ ไมใ่ ช่ 7.ดวงจนั ทร์โคจรรอบโลกจากทศิ ตะวนั ตกไปทิศตะวนั ออกซ่ึงเป็นทศิ ทางเดียวกนั กบั การ ใช/่ ไม่ใช่ หมนุ รอบตัวเองของโลก ใช/่ ไม่ใช่ 8.ดวงจนั ทรข์ ้ึน หมายถึง ดวงจนั ทร์มาปรากฏอยู่ ณ ขอบฟา้ ทิศตะวันออกในเวลากลางคืน ใช/่ ไม่ใช่ 9.เม่ือสงั เกตดวงจนั ทร์บนโลก จะพบวา่ ในวันขา้ งข้นึ ดวงจนั ทร์จะหันด้านสวา่ งไปทางทศิ ใช/่ ไม่ใช่ ตะวนั ออก ใช/่ ไมใ่ ช่ ใช/่ ไม่ใช่ 10.ดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลกใช้เวลาน้อยกวา่ โลกหมนุ รอบตวั เอง ใช/่ ไม่ใช่ ใช/่ ไม่ใช่ 11.ดวงจันทร์ตก หมายถึง ดวงจนั ทร์มาปรากฏอยู่ ณ ขอบฟ้าทศิ ตะวันตก ใช/่ ไม่ใช่ 12.ดวงจันทร์ขึ้นและตกในทิศเดยี วกันกบั ดวงอาทติ ย์ 13.รูปรา่ งปรากฏของดวงจนั ทร์ที่เราเหน็ แตกต่างกัน เกดิ จากโลกหมนุ รอบตวั เอง 14.คนบนโลกเหน็ พ้นื ผวิ ของดวงจนั ทรเ์ พียงดา้ นเดยี วเน่อื งจากดวงจนั ทรใ์ ชเ้ วลาหมนุ รอบตัวเอง เท่ากับเวลาที่ใชใ้ นการโคจรรอบโลก 15.ดวงจันทร์ไมม่ ีแสงสวา่ งในตวั เอง แสงจากดวงจนั ทรเ์ กิดจากการสะทอ้ นแสงอาทติ ยม์ าเข้า ตาเรา

4หน่วยที่ ระบบสรุ ยิ ะของเรา ใบงานเรอ่ื ง ปรากฏการณ์น้าข้ึน-นา้ ลง คะแนน มาตรฐาน ว3.1 ม.3/3 สาระ วทิ ยาศาสตร์โลกและอวกาศ ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชัน้ ...............เลขที่........... คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในช่องว่างให้ถูกต้อง 1.เม่อื ดาวดวงหนงึ่ ได้รบั อิทธิพลของแรงโนม้ ถว่ งจากดาวอกี ดวงหน่งึ ด้านทอ่ี ยใู่ กล้จะถกู ดงึ ดดู มากกวา่ ด้านทีอ่ ยไู่ กล ความ แตกตา่ งของแรงทั้งด้านจะทาให้เกิดความเครยี ดภายใน ถา้ เนื้อของดาวไมแ่ ข็งแรงพออาจทาใหด้ าวแตกได้ ถา้ เนอ้ื ของดาวมี ความหยุ่นกจ็ ะทาใหด้ าวยืดออกเป็นทรงรี เราเรียกแรงภายในท่ีแตกต่างนวี้ า่ \"แรงไทดัล\" (Tidal force) 2.วัตถแุ ต่ละชนดิ ท่มี ีมวลล้วนแล้วแต่มแี รงทดี่ งึ ดูดเข้าหากนั ถ้าวัตถุมีมวลมาก แรงดึงดดู จะมคี า่ มาก หากวัตถอุ ย่หู ่างกนั มาก แรงดงึ ดดู ก็จะมคี า่ น้อย 3.วนั ขึ้น 15 คา่ และวนั แรม 15 คา่ ดวงอาทติ ย์ โลก และดวงจนั ทรเ์ รียงตวั อยูใ่ นแนวเดียวกัน ทาใหแ้ รงไทดัลบน โลกเพิม่ ขึน้ หรอื ลดลง เพ่ิมข้ึน ซึ่งส่งผลใหร้ ะดบั น้าขน้ึ สงู สุดและระดับน้าลงต่าสดุ แตกตา่ งกันมาก เรยี กว่า \"น้าเกิด\" (Spring tides) 4.วนั ขนึ้ 8 ค่า และวันแรม 8 ค่า ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทรอ์ ยู่ในแนวตั้งฉากกัน ทาให้แรงไทดัลบนโลก เพ่ิมขน้ึ หรือลดลง ลดลง สง่ ผลให้ระดบั นา้ ข้นึ สงู สุดและระดบั น้าลงตา่ สดุ ไม่แตกต่างกนั มาก เรียกวา่ \"นา้ ตาย\" (Neap tides) 5.พิจารณาภาพตอ่ ไปนแี้ ล้วเตมิ คาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งให้ถกู ต้อง 22 31 31 44 ภาพ ก ภาพ ข 5.1จากภาพ ก ตาแหน่งที่มนี า้ ข้นึ สูงสดุ คอื หมายเลข 1 และ 3 5.2จากภาพ ก ตาแหนง่ ทีน่ า้ ลงต่าสุด คอื หมายเลข 2 และ 4 5.3จากภาพ ข ตาแหน่งทนี่ ้าขึ้นน้อยทส่ี ุด คอื หมายเลข 2 และ 4 5.4จากภาพ ข ตาแหน่งท่ีน้าลดลงน้อยที่สดุ คอื หมายเลข 1 และ 3 5.5วนั ขึ้น 15 ค่า และวนั แรม 15 คา่ คอื ภาพ ก 5.6วันข้นึ 8 ค่า และวันแรม 8 คา่ คือภาพ ข 5.7เมอ่ื ดวงอาทติ ย์ โลก และดวงจนั ทร์ อยู่ในตาแหน่งท่ที ามุม ดังภาพ ข แรงดึงดูดของดวงจนั ทร์มากกวา่ ดวง อาทิตยส์ ง่ ผลให้น้าทะเลขน้ึ หรอื ลงนอ้ ยที่สดุ เรียกวา่ \"นา้ ตาย\" (Neap tides)

4หนว่ ยที่ ระบบสรุ ยิ ะของเรา ใบงานเรอื่ ง เทคโนโลยีอวกาศ คะแนน มาตรฐาน ว3.1 ม.3/4 สาระ วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ ช่อื -นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขที่........... คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนนาตัวอกั ษรทางด้านขวามือ ไปเตมิ ลงหนา้ ประโยคทางดา้ นซ้ายมือที่มคี วามสัมพนั ธก์ นั และตอบคาถามต่อไปน้ีให้ถูกต้อง 1.ใชป้ ระโยชน์ในการสารวจอวกาศ อย่ใู นวงโคจรทส่ี ูงกวา่ ดาวเทียม ก. ขยะอวกาศ ประเภทอืน่ ข. กระสวยอวกาศ 2.ใช้ประโยชนใ์ นการหาตาแหนง่ และทศิ ทางของการเดินเรือ ค. ยานอวกาศท่ีไมม่ ีมนษุ ย์ 3.ใชป้ ระโยชน์ดา้ นการจารกรรมหรือสงคราม ควบคมุ 4.ใช้ประโยชนใ์ นดารตดิ ต่อสอื่ สารและโทรคมนาคม ง. ดาวเทียมนาร่อง 5.ใชใ้ นการพยากรณอ์ ากาศ จ. ดาวเทยี มส่อื สาร 6.ใชส้ ารวจพ้นื ผวิ โลกและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ฉ. ดาวเทยี มอตุ ุนิยมวิทยา 7.ใช้สารวจดาวเคราะห์ ได้แก่ ดาวพธุ ดาวศกุ ร์ และดาวองั คาร ช. ดาวเทยี มสารวจอวกาศ 8.ยานพาหนะทพี่ าดาวเทียมหรอื ยานอวกาศข้ึนไปสอู่ วกาศ ซ. ดาวเทียมจารกรรม ไม่สามารถนากลับมาใชไ้ ด้อกี ฌ. ดาวเทยี มสารวจ 9.ถูกพัฒนาขึน้ มาแทนจรวด สามารถนากลบั มาแก้ไขซอ่ มแซม ทรัพยากรธรรมชาติ ปรบั ปรงุ เพ่ือนาไปใชใ้ หม่ ญ. จรวด 10.ชนิ้ ส่วนต่างๆของยานอวกาศทส่ี ลัดออกซ่งึ เสอื่ มสภาพแลว้ ฎ. สถานอี วกาศ เปน็ อันตรายตอ่ ดาวเทยี มและสถานอี วกาศทกี่ าลังโคจรอยู่ ฏ. ดาวเทยี มค้างฟา้ 11.เปน็ หอ้ งทดลองขนาดใหญ่ อยู่ในอวกาศตลอดชีวิตการทางาน 12.ดาวเทยี มที่อยู่ ณ ตาแหน่งเดมิ บนท้องฟ้า เนือ่ งจากใชเ้ วลา โคจรรอบโลกครบรอบเท่ากับโลกหมุนรอบตัวเองครบรอบพอดี 13. เหตุใดในปจั จบุ นั มนษุ ย์ตอ้ งส่งดาวเทยี ม ยานอวกาศและอปุ กรณต์ า่ งๆไปโคจรรอบโลก เพื่อการสื่อสารสารวจดวงดาวและอวกาศเพอ่ื สารวจสภาวะแวดล้อมของโลก วจิ ัยและปฏบิ ัติการทดลองบางอยา่ งทไ่ี ม่ สามารถทาไดบ้ นโลก เชน่ การผลิตสารบริสุทธิ์ เพ่ือใชผ้ ลิตยา การผสมสารทม่ี ีสมบัติพเิ ศษ และความหนาแนน่ ต่างกนั 14. ดาวเทยี มส่อื สารดวงแรกของประเทศไทยมชี อ่ื วา่ อยา่ งไร ดาวเทยี มไทยคม 15. เพราะเหตุใดตอ้ งสรา้ งจรวดเป็นหลายๆทอ่ นตดิ ตอ่ กัน เพื่อให้สามารถบรรทุกเช้อื เพลิงได้ในปริมาณมากและเมอ่ื จรวดท่อนตา่ งๆถูกสลดั ทง้ิ ไปตามลาดับทาให้สามารถลดมวล ของจรวดใหน้ ้อยลงเรือ่ ยๆเป็นการลดอุปสรรคในการเคล่อื นท่หี นีแรงโนม้ ถว่ งของโลก

แบบฝกึ หดั ทา้ ยหน่วย เรือ่ ง ระบบสรุ ยิ ะของเรา คาช้ีแจง ให้นกั เรยี นเลอื กข้อที่ถูกตอ้ งที่สุด 1.ขอ้ ใดผิด 6.ดาวเคราะห์ดวงใดทีม่ ีแกนหมุนเอยี ง ทาให้เกดิ ฤดูหนาว ก.วนั ข้างขึ้นดวงจนั ทรข์ ้นึ ในเวลากลางวนั และฤดรู ้อนคล้ายคลึงกบั โลก ข.วนั ข้าวแรมดวงจนั ทร์จะหนั สว่ นสว่างไปทางทิศตะวนั ตก ก.ดาวพธุ ค.ในวันขน้ึ 8 ค่า เราจะเหน็ ดวงจนั ทร์ขึน้ ในเวลา ข.ดาวศุกร์ เท่ียงวนั และตกในเวลาเที่ยงคนื ค.ดาวองั คาร ง.ดวงจนั ทร์ขน้ึ ในเวลาตา่ งกันทกุ วนั ตอ้ งใช้เวลา 30 วัน ง.ดาวเสาร์ จึงจะขนึ้ ใกล้เคียงกบั เวลาเดมิ 7.สุรยิ วถิ ีหมายถงึ 2.บคุ คลแรกที่สร้างกล้องโทรทรรศน์ เพื่องสอ่ งดดู าวบน ก.เส้นทางทดี่ วงอาทติ ยป์ รากฏเคลื่อนท่ีไปบนทอ้ งฟา้ ครบ ทอ้ งฟ้าคือใคร 1 ปี ก.โจฮานส์ เคปเลอร์ ข.เสน้ ทางทด่ี าวเคราะห์เคลื่อนทร่ี อบดวงอาทติ ย์ 1 รอบ ข.นิโคลัส โคเปอรน์ ิคสั ค.ระนาบท่เี กิดจากวงโคจรของโลกรอบดวงอาทติ ย์ ค.กาลิเลโอ ง.การโคจรของดวงอาทิตยท์ าใหพ้ ้นื ท่สี ่วนตา่ ง ๆ ของโลก ง.เฟรด ริบเบลิ ได้รับแสงจากดวงอาทติ ยไ์ มเ่ ทา่ กัน 3.ตามนยิ ามของสมาพันธด์ าราศาสตร์สากล ปจั จบุ ันดาว 8.ถา้ ไม่มีกล้องโทรทรรศนก์ ารสังเกตสงิ่ ใดทใ่ี ชบ้ ่งชี้ไดว้ า่ ดวงใดไม่เป็นดาวเคราะห์ ดาวดวงใดเป็นดาวฤกษ์หรือดาวเคราะห์ ก.ดาวเสาร์ ข.ดาวยเู รนสั ก.การกระพริบแสง ข.การเคล่ือนที่ ค.ดาวเนปจนู ง.ดาวพลูโต ค.สีของดาว ง.ขอ้ 1 และข้อ 2 4.ขอ้ ใดกล่าวผิด 9.ขอ้ ใดมีขนาดใหญ่ทีส่ ุด ก.ดาวตกเป็นสะเก็ดของดาวหาง ก.เอกภพ ข.กาแลก็ ซี ข.ดาวหางไม่มีแสงในตวั แองเชน่ เดียวกับดาวฤกษ์ ค.ระบบสรุ ยิ ะ ง.เนบิวลา ค.มวลของดาวหางบางสว่ นจะหายไปทกุ รอบของการโคจร 10.จากการสงั เกตดาวบนทอ้ งฟ้าในแตล่ ะคืนพบว่าดาว ง.คนบนโลกจะสังเกตเหน็ ดาวหางเม่ือดาวหางอยใู่ กล้โลก เคล่ือนทีจ่ ากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตกเน่ืองจาก 5.ขอ้ ใดกลา่ วถกู เหตุผลตามข้อใด ก.เมือ่ โลกอยใู่ นตาแหน่งทไ่ี กลจากดวงอาทติ ยท์ สี่ ดุ จะเปน็ ก.โลกหมนุ จากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก วนั ทอ่ี ากาศบนโลกหนาวเย็นทสี่ ุด ข.ดาวเคลอ่ื นท่ีจากทศิ ตะวันออกไปยงั ทศิ ตะวันตก ข.ดาวพฤหัสบดีมดี วงจันทร์ 4 ดวง ค.โลกหมนุ จากทศิ ตะวันตกไปยังทิศตะวนั ออก ค.ดาวหางจะเรอื งแสงเม่อื โคจรมาอยูใ่ กลด้ วงอาทิตย์ ง.ดาวเคล่อื นท่จี ากทศิ ตะวนั ตกไปยงั ทิศตะวนั ออก ง.การเกิดสุริยปุ ราคาเต็มดวงจะทาใหเ้ กดิ พายสุ รุ ยิ ะขึ้นอยา่ ง รุนแรง

ม.3 ใบงานวิทยาศาสตร์ เทอม 2  ปฏิกิริยาเคมีและวัสดใุ นชีวติ ประจาวัน  ไฟฟ้า  ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)

5หน่วยท่ี ปฏิกิรยิ าเคมี และวสั ดใุ นชีวิตประจาวนั

หน่วยที่ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ใบงานเร่ือง การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี คะแนน 5 และวัสดุในชีวติ ประจาวัน มาตรฐาน ว2.1 ม.3/3 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชอ่ื -นามสกลุ ......................................................................ชน้ั ...............เลขที่........... คาชแี้ จง ให้นักเรยี นพิจารณาการเปลย่ี นแปลงในแต่ละขอ้ ว่ามปี ฏิกิริยาเกดิ ขน้ึ หรอื ไม่ พรอ้ มทง้ั ใหเ้ หตผุ ล การเปล่ยี นแปลง การเกิดปฏิกริ ิยาเคมี เหตผุ ล เกดิ ปฏกิ ิริยา/ไมเ่ กดิ ปฏกิ ิริยา 1.การหายใจของสัตว์ เมอ่ื หายใจเขา้ สดู เอาแก๊ส ออกซิเจน แต่เมอ่ื เกดิ ปฏกิ ริ ิยา หายใจออกไดแ้ กส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ 2. มะมว่ งดิบกลายเปน็ มะม่วงสุก เกิดปฏกิ ิริยา มีสารใหมเ่ กิดข้นึ คือสีมะม่วงเปล่ยี นจากสเี ขียว เกิดปฏกิ ิรยิ า เป็นสีเหลืองและมีกล่ินหอม 3. การท่เี หล็กเกิดสนมิ เกิดปฏกิ ิริยา มสี ารใหมเ่ กดิ ข้ึนคอื สนิม และเหลก็ ไมส่ ามารถ กลับมาเหมือนเดมิ ไดอ้ กี 4. การใสเ่ ปลอื กไข่ลงในน้าสม้ สายชู ไม่เกดิ ปฏกิ ริ ยิ า แลว้ เกดิ ฟองฟู่ มสี ารใหม่เกดิ ขน้ึ คอื ฟองฟู่ (แกส๊ ) 5. เมือ่ ผสมสารละลายใสไม่มสี ี 2 ชนดิ เขา้ ด้วยกนั แตไ่ ม่เหน็ ความ เนอื่ งจากไม่พบสารใหมเ่ กดิ ข้นึ อาจเป็นเพยี ง เปล่ยี นแปลง แตจ่ บั ภาชนะแลว้ รู้สกึ การละลายของสาร เยน็ 1. นกั เรยี นมวี ิธีการสังเกตอยา่ งไรบ้างในการดูว่าสารต่างๆทอี่ ยู่รอบตวั เรามกี ารเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี สังเกตจากสารใหมท่ เ่ี กิดข้ึน เช่น การเกดิ ตะกอน สี เกดิ ฟองแกส๊ มกี ลนิ่ เกดิ ขึน้ การเกิดสนมิ การเนา่ เปือ่ ย เป็น ต้น 2. หากเติมน้าลงไปในสารชนดิ หนึ่งแลว้ ทาให้ค่า pH เปล่ียนแปลง จัดว่าเปน็ การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีหรือไม่ เพราะเหตใุ ด ไมเ่ กดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี เน่อื งจากเปน็ เพยี งการเจอื จางสาร และไม่มีสารใหม่เกิดขึน้ 3. จงยกตวั อยา่ งสารในชีวิตประจาวันที่มีการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี 3 ตัวอย่าง 1) การเผาไหม้ของเช้อื เพลิง 2) การสังเคราะหแ์ สงของพชื 3) การเกดิ ฝนกรด

หนว่ ยที่ ปฏกิ ิริยาเคมี ใบงานเร่ือง สมการเคมี คะแนน 5 และวสั ดใุ นชีวิตประจาวัน มาตรฐาน ว2.1 ม.3/3 สาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ ชือ่ -นามสกลุ ......................................................................ช้นั ...............เลขที่........... คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นเติมคาหรือข้อความลงในชอ่ งว่างตอ่ ไปนี้ใหถ้ กู ต้อง 1. หลกั ในการเขยี นสมการเคมี มดี งั น้ี 1) เขียนสูตรเคมีของสารต้ังตน้ ไวท้ างซา้ ยมอื ถา้ มีมากกวา่ 1 สารให้ใช้เครื่องหมาย + คั่น เขยี นลูกศรแสดงการ เปล่ียนแปลงแล้วเขียนสตู รเคมีของผลติ ภัณฑ์ ถ้ามมี ากกวา่ 1 สาร ให้ใช้เคร่อื งหมาย + คน่ั 2) ตอ้ งระบุสถานะของสารแต่ละชนดิ โดยใส่ใน ( ) หลังสตู รดงั น้ี (s) สถานะของแขง็ (solid) (l) สถานะของเหลว (liquid) (aq) สารละลายท่ีมีนา้ เป็นตวั ทาละลาย (aqueous) (g) สถานะแกส๊ (gas) 3) ต้องดลุ สมการทุกครั้ง เพอ่ื ทาจานวนอะตอมของธาตุแต่ละธาตุทเ่ี ปน็ องคป์ ระกอบของสารตง้ั ตน้ ใหเ้ ท่ากบั อะตอม ของธาตแุ ตล่ ะธาตุท่เี ปน็ ผลติ ภัณฑ์ 2. หลกั ในการดุลสมการ มีดงั นี้ 1) เรม่ิ จากสารในสตู รเคมที ่มี จี านวนอะตอมมากท่สี ุดกอ่ น 2) นบั จานวนอะตอมของธาตใุ นสูตรแล้วหาตัวเลขท่ีเหมาะสมไปใส่หนา้ สูตร เพอื่ ทาให้จานวนอะตอมของธาตุแตล่ ะ ธาตทุ างซา้ ยเทา่ กับทางขวาของสมการ 3) ดุลทีละธาตจุ นครบทุกธาตุ 4) ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง 3. จงดุลสมการท่กี าหนดให้ตอ่ ไปน้ี 1) Al(s) + O2(g) Al2O3 (g) 4Al(s) + 3O2(g) 2Al2O3 (g) 2) Mg(s) + HCl(aq) MgCl2(aq) + H2(g) Mg(s) + 2HCl(aq) MgCl2(aq) + H2(g) 3) Fe(s) + O2(g) + H2O(l) Fe2O3 . H2O 4Fe(s) + 3O2(g) + 2H2O(l) 2Fe2O3 . 2H2O 4) Zn(s) + HCl(aq) ZnCl2(aq) + H2(g) Zn(s) + 2HCl(aq) ZnCl2(aq) + H2(g) 5) Ca(s) + H2O(l) Ca(OH)2(aq) + H2(g) Ca(s) + 2H2O(l) Ca(OH)2(aq) + H2(g)

หน่วยที่ ปฏกิ ิริยาเคมี ใบงานเร่อื ง มวล พลังงานกบั การเกิดปฏิกริ ิยาเคมี คะแนน 5 และวัสดุในชวี ติ ประจาวนั มาตรฐาน ว2.1 ม.3/4-5 สาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ ช่อื -นามสกุล......................................................................ชั้น...............เลขท่ี........... คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนเติมคาหรอื ข้อความลงในชอ่ งวา่ งตอ่ ไปนใ้ี ห้ถูกต้อง 1. การจาแนกระบบตามมวลของสารในระบบ สามารถจาแนกได้ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) ระบบปดิ หมายถงึ ระบบทีไ่ มม่ ีการถา่ ยเทมวลสารระหวา่ งระบบกับสงิ่ แวดล้อม มวลจึงคงที่ เป็นไปตามกฎทรงมวล 2) ระบบเปดิ หมายถึง ระบบทม่ี กี ารถ่ายเทมวลสารระหว่างระบบกับส่งิ แวดล้อม ซึง่ ตอ้ งมแี กส๊ เก่ยี วขอ้ งในปฏิกริ ยิ าเคมี ดว้ ย มวลจงึ ไมค่ งท่ี ถ้าไมป่ ิดฝาภาชนะ 2. ปฏิกริ ยิ าเคมีสามารถแบง่ ตามค่าพลงั งานของสารทเ่ี ปลี่ยนแปลงไป แบง่ ได้ 2 ประเภท ได้แก่ 1) ปฏกิ ิรยิ าคายพลงั งาน คอื ปฏกิ ิริยาเคมที ี่ผลิตภณั ฑ์มพี ลังงานต่ากว่าสารตัง้ ตน้ 2) ปฏิกริ ยิ าดดู ความร้อน คือ ปฏิกิรยิ าเคมที ี่ผลติ ภัณฑ์มีพลงั งานสูงกวา่ สารตั้นตน้ 3. จงพิจารณาว่าปฏกิ ริ ยิ าต่อไปนี้ เป็นปฏกิ ิรยิ าดดู ความรอ้ นหรือคายความร้อน พร้อมท้ังบอกเหตุผลประกอบ เผา 1) แคลเซยี มคาร์บอเนต แคลเซียมออกไซด์ + แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ปฏิกิริยาน้ีเปน็ ปฏิกริ ยิ า ดูดความร้อน เหตผุ ล สงั เกตจากสารตั้งต้นดดู พลงั งานความร้อนเข้าไปทาให้เกดิ การสลายตัวของสารตง้ั ตน้ แลว้ มีสารใหม่ เกดิ ขน้ึ 2) เผาลวดแมกนีเซยี มในอากาศเกิดการลุกไหม้ได้เปลวไฟสวา่ งจา้ และความร้อน ปฏิกิรยิ าน้เี ป็นปฏิกริ ยิ า คายความร้อน เหตผุ ล เนอื่ งจากการลุกไหมข้ องลวดแมกนเี ซยี มคายพลงั งานออกสู่สิ่งแวดล้อม มีความร้อนและเปลวไฟสวา่ งจา้ เกดิ ขึ้น 4. พจิ ารณากราฟแสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งพลงั งานกับเวลาทใ่ี ช้ในการเกิดปฏกิ ิริยา แล้วตอบคาถามต่อไปน้ี พ ัลงงาน (KJ) A สารตั้งตน้ คือ สาร X ผลิตภัณฑค์ อื สาร Y+Z B Y+Z ปฏิกิรยิ านี้เป็นปฏิกริ ิยา ดูดความร้อน C X เพราะ ผลิตภัณฑ์มีพลงั งานมากกว่าสารตง้ั ต้น เวลา เขยี นสมการไดด้ งั นี้ X Y+Z พลังงาน (KJ) A สารต้ังต้นคือ สาร Y+Z ผลติ ภณั ฑค์ อื สาร X Y+Z B ปฏิกริ ิยาน้เี ปน็ ปฏิกริ ิยา คายความรอ้ น C X เพราะ ผลติ ภัณฑ์มีพลังงานตา่ กวา่ สารตงั้ ตน้ เวลา เขยี นสมการได้ดงั นี้ Y+Z X

หนว่ ยท่ี ปฏิกริ ยิ าเคมี ใบงานเร่ือง ปจั จัยทมี่ ีผลตอ่ การเกิดปฏิกิรยิ าเคมี คะแนน 5 และวัสดุในชวี ิตประจาวนั มาตรฐาน ว2.1 ม.3/5 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ช่ือ-นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขที่........... คาช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นเติมคาหรือข้อความลงในช่องว่างตอ่ ไปนี้ใหถ้ กู ตอ้ ง 1.ปจั จัยตอ่ ไปน้ีส่งผลอยา่ งไรตอ่ การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า จงอธิบาย 1)ชนิดของสาร สารแตล่ ะชนดิ มสี มบัติทเ่ี ปน็ ลักษณะเฉพาะตัว ซง่ึ สง่ ผลต่อการทาปฏิกิรยิ าว่าจะเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมหี รือไม่ และหากเกิดปฏกิ ริ ยิ าแลว้ ปฏิกริ ยิ าน้ันจะเกดิ ช้าหรอื เร็ว 2)ความเข้มขน้ ของสาร สารละลายทมี่ ีคามเข้มขน้ มาก อัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าจะเกิดเรว็ กวา่ สารที่มคี วามเข้มข้นนอ้ ยกวา่ เนื่องจากจานวนอนภุ าคของสารตง้ั ตน้ ในสารละลายมานวนมากกว่า 3)อุณหภูมขิ องสาร เมอ่ื อุณหภมู ิสงู ขน้ึ อนุภาคของสารต้ังตน้ จะมีพลังงานจลนเ์ พ่มิ ข้นึ ทาให้ชนกันแรงข้นึ ดงั นนั้ ปฏกิ ริ ิยาจะเกดิ เรว็ ขนึ้ แตถ่ า้ อุณหภมู ิตา่ พลงั งานจลนข์ องสารตงั้ ตน้ จะลดลง อนภุ าคของสารตง้ั ต้นชนกนั ไมแ่ รง จงึ มี พลงั งานไมส่ งู พอทีจ่ ะทาใหเ้ กิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี 4)ขนาดของสาร สารท่มี ขี นาดเลก็ กว่าจะเกดิ ปฏกิ ริ ิยาได้เร็วกวา่ สารที่มีขนาดใหญ่เน่ืองจากสารทม่ี ขี นาดเลก็ จะมีพืน้ ที่ ผวิ สมั ผสั มากกวา่ สารทีม่ ีขนาดใหญ่ 2.ถ้าต้องการให้หนิ ปูน 1 กอ้ น มวล 10 กรมั ทาปฏิกิรยิ ากบั สารละลายกรดไฮโดรคลอริกเร็วขนึ้ ควรทาอย่างไร ระบมุ า 3 ประการ 1) บดหนิ ปนู ให้มีขนาดเลก็ ลง 2) เพิ่มความเขม้ ขน้ ของกรดไฮโดรคลอรกิ 3) เพมิ่ อุณหภูมใิ หส้ ูงข้นึ 3. ตวั เรง่ ปฏกิ ิริยาหรือคะตะไลส์ (Catalyst) มสี มบัตดิ งั นี้ 1) ชว่ ยเร่งปฏกิ ริ ยิ าใหเ้ กิดเร็วข้นึ 2) ใส่ลงไปเพียงเล็กนอ้ ย เมื่อส้ินสุดปฏกิ ริ ิยายังคงมีสมบตั เิ หมือนเดิมและมีปรมิ าณเทา่ เดิม 3) ปฏิกิริยาชนดิ หนงึ่ อาจมสี ารที่ใชเป็นตวั เร่งปฏิกริ ยิ าตา่ งจากปฏกิ ริ ิยาชนดิ อื่น 4. A + B C+D ใชเ้ วลา 5 นาทีในการเกิดปฏิกิริยาท่ีสมบูรณ์ A+B+X C + D + X ใชเ้ วลา 2 นาทีในการเกดิ ปฏิกริ ยิ าทส่ี มบูรณ์ สารท่ีเป็นตัวเรง่ ปฏิกริ ยิ าคอื สาร X ทาหน้าที่ เป็นตัวเร่งให้ปฏิกริ ยิ าเกิดเรว็ ข้ึน 5. เพราะเหตใุ ดเวลารบั ประทานอาหารจึงต้องเคี้ยวอาหารใหล้ ะเอียดก่อน เพ่ือให้อาหารมีขนาดเลก็ ลง ช่วยใหเ้ อนไซมย์ ่อยอาหารได้งา่ ยขน้ึ เปน็ การเพม่ิ พืน้ ทผ่ี วิ ของอาหารให้สมั ผสั กับเอนไซม์ ได้มากขึน้

หน่วยที่ ปฏกิ ริ ิยาเคมี ใบงานเร่ือง ปฏิกิรยิ าเคมรี อบตวั คะแนน 5 และวสั ดใุ นชวี ิตประจาวนั มาตรฐาน ว2.1 ม.3/6 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท่ี........... คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนเตมิ คาหรอื ข้อความลงในช่องวา่ ง และเขียนสมการขอ้ ความแสดงปฏกิ ริ ยิ าตา่ ง ๆ ดังตอ่ ไปน้ีให้ถูกตอ้ ง 1. ปฏิกิริยา การเกดิ สนมิ เหล็ก อธิบาย เนือ่ งจากได้รบั ปฏิกริ ิยาเคมีที่มีอากาศ นา้ หรอื ความร้อนเปน็ ตวั การสาคญั ทาใหโ้ ลหะมคี ุณสมบัตแิ ตกตา่ งไปจากเดมิ เชน่ สีที่ เปลยี่ นไป มีความแข็งแรงลดลง และทาใหเ้ กดิ การผกุ ร่อน สมการเคมี 4Fe(s) + 2H2O(l) + 3O2(g) Fe2O3  H2O 2. ปฏกิ ริ ยิ า การสนั ดาปหรอื การเผาไหม้เชื้อเพลงิ อธบิ าย เกิดจากการรวมตัวกนั ของเชอื้ เพลิงกบั ออกซิเจนอย่างรวดเร็ว พร้อมเกดิ การลุกไหมแ้ ละคายความรอ้ น สมการเคมี C3H8(g) + 5O2(g) 3CO2(g) + 4H2O(g) 3. ปฏิกริ ิยา กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง (photosynthesis) อธิบาย เปน็ กระบวนการสรา้ งอาหารของพชื สีเขียว โดยมีคลอโรฟิลลท์ า หน้าทีด่ ูดพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์แลว้ เปล่ยี นสารวัตถดุ ิบคอื นา้ และ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ใหเ้ ปน็ นา้ ตาลกลูโคส นา้ และ แกส๊ ออกซิเจน สมการเคมี 6CO2 + 12H2Oคลอแโสรงฟิลล์ C6H12O6 + 6H2O + 6O2 4. ปฏิกริ ยิ า ฝนกรด อธบิ าย เกิดจากการละลายของก๊าซซลั เฟอร์ไดออกไซดห์ รอื ไนตรกิ ออก ไซดใ์ นน้าฝนท่ตี กลงมา โดยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะมาจากการเผาไหม้ ถา่ นหนิ สว่ นไนตรกิ ออกไซด์มาจากการเผาไหม้ในเครอื่ งยนตข์ อง ยานพาหนะตา่ ง ๆ สมการเคมี CO2 + H2O H2CO3

หนว่ ยที่ ปฏกิ ริ ิยาเคมี ใบงานเร่ือง ผลของปฏกิ ิรยิ าเคมตี อ่ สง่ิ มีชวี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม คะแนน 5 และวัสดุในชีวิตประจาวัน มาตรฐาน ว2.1 ม.3/7 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ช่ือ-นามสกุล......................................................................ชัน้ ...............เลขท่ี........... คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์และผลกระทบของปฏกิ ิรยิ าเคมตี ่อไปน้ี ที่มผี ลต่อส่ิงมีชวี ิตและ ส่งิ แวดล้อม และจบั คูส่ ญั ลักษณ์เตือนภัยใหถ้ ูกต้อง ประโยชน์ของปฏิกิรยิ าเคมี ผลกระทบของปฏิกิริยาเคมี 1.การเผาไหม้ อาจทาให้เกิดแก๊สพษิ เป็นพษิ ตอ่ ระบบหายใจ เปน็ ปฏกิ ิริยาคายความรอ้ นและใหพ้ ลังงานมาใช้กบั รถยนต์ ทาใหเ้ กิดฝนกรด ทาให้เกิดภาวะโลกรอ้ น ประเภทตา่ งๆ ใชใ้ นอตุ สาหกรรม 2.ปฏกิ ิรยิ าระหว่างโลหะกับกรด ทาใหโ้ ลหะเกิดการผกุ รอ่ น จึงไม่ควรนาอาหารท่ีมี ใช้เตรียมแกส๊ ไฮโดรเจนเพือ่ ใช้ในการเชอ่ื มโลหะ บรรจุ รสเปร้ยี วใส่ในภาชนะที่ทาด้วยโลหะ ลูกโปง่ สวรรค์ ทาเนยเทียมหรอื มาการีน และใชล้ ้างคราบ สนมิ ทาให้สง่ิ ก่อสรา้ งท่ีทาด้วยหินปูนผกุ ร่อน 3.สารประกอบคาร์บอเนตกบั กรด - ใช้ทานา้ แข็งแห้ง ใชใ้ นอุตสาหกรรมห้องเย็น ใชส้ ร้าง หมอกควันในการแสดงคอนเสิรต์ ใช้ผลติ น้าอดั ลม ทาให้โลหะเป็นสนมิ ผกุ รอ่ น 4.ปฏิกิริยาระหว่างกรดกบั เบส ชว่ ยล้างพิษจากแมลงกัดต่อย ใชล้ ดความเปน็ กรดของดนิ ทายาธาตุ ลดกรดเคลอื บแผลในกระเพาะอาหาร 5.การเกดิ ออกไซด์ของโลหะ ใชท้ ายาลดกรด ช่วยป้องกันไม่ใหเ้ นื้ออลูมเิ นียมหมอง ทา ใหใ้ ช้งานได้นาน สารกดั กรอ่ น (CORROSIVE) สารกัมมนั ตรังสี สารมพี ิษ (TOXIC) สารไวไฟ (FLAMMABLE)

หน่วยที่ ปฏกิ ิริยาเคมี ใบงานเรื่อง ปฏกิ ิริยาเคมใี นชีวติ ประจาวนั คะแนน 5 และวสั ดุในชีวิตประจาวนั มาตรฐาน ว2.1 ม.3/8 สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชอื่ -นามสกลุ ......................................................................ชนั้ ...............เลขท่ี........... คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งว่างใหถ้ ูกต้อง 1.ถ้าดินมีสมบัตเิ ปน็ กรด ควรแกค้ วามเปน็ กรดของดนิ โดย เตมิ ปนู ขาว เนือ่ งจาก ปูนขาวมีฤทธเิ์ ปน็ ดา่ งออ่ นๆ จะ ชว่ ยลดความเป็นกรดของดินลงได้ 2.ควรนาอาหารประเภทยาใส่ในภาชนะทีท่ าดว้ ยโลหะหรือไม่ ไมค่ วร เพราะ อาหารประเภทยาจะมกี รดมาก เชน่ กรดจากนา้ มะนาว ซ่งึ อาจทาใหก้ ัดกรอ่ นภาชนะทที่ าดว้ ยโลหะ 3.เพราะเหตใุ ดเจดยี ท์ ี่ทาดว้ ยหนิ ปูนจงึ เกดิ การสกึ กร่อน เนอื่ งจากฝนท่ีตกลงมามีฤทธเ์ิ ปน็ กรดออ่ นๆ เมื่อน้าฝนทีม่ ี ฤทธ์ิเปน็ กรดทาปฏกิ ิริยากบั เจดยี ์ทที่ าด้วยหนิ ปูน จึงทาให้เกดิ การสกึ กรอ่ นได้ 4.การชบุ โลหะหรือการทาสีโลหะ มจี ดุ ประสงคเ์ พ่อื ป้องกันไม่ให้โลหะสมั ผสั กับนา้ และแกส๊ ออกซิเจนอันเป็นสาเหตทุ ี่ ทาให้โลหะเกิดสนิม 5.เหตใุ ดจึงไม่ควรใหเ้ คร่ืองใชท้ ีท่ าด้วยโลหะสัมผัสกับน้า เนอ่ื งจากจะทาใหโ้ ลหะเกิดสนิม 6.ปฏิกิริยาทส่ี ารละลายกรดทาปฏกิ ิรยิ าพอดีกับสารละลายเบส เรียกวา่ ปฏิกิริยาสะเทนิ สารทีเ่ กดิ จากปฏกิ ริ ยิ าน้ี คอื เกลือและนา้ 7.ปฏกิ ิรยิ าการเผาไหม้ท่ีไมม่ เี ขม่าควนั สดี าเรยี กวา่ การเผาไหม้สมบูรณ์ สว่ นการเผาไหม้ทเ่ี กิดเขม่าซึง่ เปน็ พิษต่อ ระบบหายใจเรยี กวา่ การเผาไหม้ไมส่ มบรู ณ์ 8.หากถกู ผง้ึ ตอ่ ยจะทาใหร้ ู้สกึ คันหรือปวดเนอื่ งจาก ผง้ึ จะปล่อยกรดอินทรีย์ออกมา ควรปฐมพยาบาลเบ้ืองต้นโดย ใช้สบู่ทม่ี ฤี ทธเิ์ ป็นเบสลา้ งเพอื่ สะเทินกรด จะชว่ ยบรรเทาอาการคันหรือปวดได้ 9.เพราะเหตุใดเมอื่ นาทองคาไปเผาจนหลอมเหลว แต่เม่อื ปล่อยให้เยน็ ลงก็ยังคงมลี กั ษณะเหมือนเดมิ ไม่เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี เพราะธรรมชาติของทองคาจะทาปฏกิ ริ ิยายาก 10. ให้นักเรยี นยกตัวอยา่ งสาเหตุทที่ าให้เกดิ ฝนกรด 3 ตวั อย่าง 1) การเผาไหม้ของถ่านหนิ 2) การเผาไหม้เชื้อเพลงิ จากโรงงาน 3) การระเบดิ ของภูเขาไฟ

หน่วยที่ ปฏิกริ ิยาเคมี ใบงานเรอื่ ง พอลิเมอร์ คะแนน 5 และวสั ดใุ นชีวติ ประจาวัน มาตรฐาน ว2.1 ม.3/1-2 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชัน้ ...............เลขท่ี........... คาชี้แจง ให้นักเรยี นเตมิ คาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งว่างให้ถูกต้อง 1.พอลเิ มอร์(polymer) คอื สารประกอบท่ีมีโมเลกลุ ขนาดใหญ่ เกิดจาก มอนอเมอร์(monomer) ซึ่งเปน็ โมเลกลุ เด่ยี ว จานวนหลายพนั หลายหม่นื โมเลกลุ มายึดต่อกนั ดว้ ยพันธะโคเวเลนต์โดยมอนอเมอรท์ ่ีมาต่อกันอาจเปน็ ชนิดเดียวกันหรือต่าง ชนิดกนั กไ็ ด้ 2.พอลิเมอรม์ ี 2 ประเภท คอื พอลเิ มอร์ธรรมชาตแิ ละพอลเิ มอร์สงั เคราะห์ 3.โครงสรา้ งพอลเิ มอร์มี 3 แบบ คือ พอลิเมอร์แบบเสน้ (linear polymer), พอลเิ มอร์แบบกงิ่ (branched polymer) และพอลิเมอร์แบบร่างแห(network polymer) 4.พจิ ารณาขอ้ ความต่อไปนแี้ ลว้ เตมิ เครือ่ งหมาย✓หนา้ ขอ้ ท่เี ห็นดว้ ยและเตมิ เครื่องหมายหนา้ ขอ้ ทไี่ มเ่ ห็นด้วย 4.1เทอร์มอพลาสติกสามารถหลอมซา้ แลว้ ทาเป็นรูปร่างเดมิ หรอื รปู ร่างใหม่ โดยที่คุณสมบตั ิของพลาสตกิ ไม่เปลีย่ นแปลง เช่น พอลเิ อทิลนี พอลสี ไตรนี 4.2โฟมบรรจุอาหาร ผลิตจากพอลสิ ไตรีน จัดเปน็ เทอร์มอพลาสติก 4.3พลาสติกเทอร์มอเซต ทนต่อความร้อนและแรงดนั ได้ดี เมอื่ ขึน้ รูปดว้ ยความรอ้ นหรอื แรงดนั แล้ว สามารถนากลบั มาขึ้นรูปใหม่ได้อกี เช่น ขวดน้าด่ืม จานเมลามนี 4.4การปรับปรงุ คุณภาพของยางธรรมชาติด้วยกระบวนการวลั คาไนเซชัน ช่วยใหย้ างที่ได้ยดื หยนุ่ ไดด้ ี มีความคงตวั สงู และละลายในตวั ทาละลายอินทรยี ์ เหมาะกับการนาไปทาผลติ ภัณฑต์ า่ งๆ เช่น ยางรัดของ สายยาง ทีน่ อนยาง ถุงมอื ยาง 4.5เสน้ ใยธรรมชาตสิ ามารถดดู ซับนา้ ไดด้ ี ระบายอากาศไดด้ ี ทนต่อเช้อื ราและจุลนิ ทรยี ์ 5.นาข้อความท่กี าหนดใหเ้ ติมลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ต้อง เสน้ ใยสังเคราะห์ เสน้ ใยกึ่งสงั เคราะห์ เส้นใยธรรมชาติ ยางธรรมชาติ ยางสงั เคราะหห์ รือยางเทยี ม เทอรม์ อพลาสติก พลาสตกิ เทอร์มอเซต 5.1 เส้นใยกง่ึ สังเคราะห์ ใชป้ ระโยชน์ในการทาแผงสวิตซแ์ ละหมุ้ สายไฟฟ้า 5.2 พลาสติเทอร์มอเซต ทนต่อความรอ้ นและแรงดนั ไดด้ ี เม่อื ข้นึ รปู แล้วจะไม่สามารถนากลบั มาขน้ึ รปู ไดใ้ หม่ 5.3 ยางธรรมชาติ มีสมบัตติ า้ นทานต่อแรงดงึ ดดู สงู ยืดหยุ่นไดด้ ี ไมล่ ะลายนา้ แขง็ แตเ่ ปราะ ที่ 5.4 ยางสังเคราะห์หรอื ยางเทยี ม อุณหภมู ิต่า เหนียว ออ่ นตวั เม่ือไดร้ ับความร้อน ไม่ทนต่อน้ามันเบนซนิ ใช้ประโยชน์ เชน่ นาไปทายางรถยนต์ พื้นรองเท้า และสายพาน 5.5 เส้นใยสังเคราะห์ ใชใ้ นการทาเชอื ก ดา้ ย แห อวน เสอ้ื ผา้ ถุงเท้า ถุงนอ่ ง 5.6 เทอร์มอพลาสติก โครงสร้างแบบเสน้ และแบบกิง่ ออ่ นตวั เมื่อได้รบั ความรอ้ น เปล่ยี นรูปรา่ งได้ 5.7 เส้นใยธรรมชาติ ประกอบดว้ ยเซลลโู ลส ซึง่ ได้จากส่วนตา่ ง ๆ ของพืช บางชนิดได้จากโปรตนี ขน สัตว์ ซ่ึงเป็นโปรตีนเชน่ เดยี วกับโปนตีนในเส้นผม

หนว่ ยท่ี ปฏิกริ ยิ าเคมี ใบงานเรื่อง เซรามกิ และวัสดผุ สม คะแนน 5 และวัสดุในชวี ิตประจาวัน มาตรฐาน ว2.1 ม.3/1-2 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ช่อื -นามสกลุ ......................................................................ชั้น...............เลขที่........... คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนเตมิ คาหรือข้อความลงในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง 1.เซรามกิ (Ceramic) หมายถงึ ผลิตภณั ฑท์ ีท่ าจากวตั ถดุ บิ ในธรรมชาติ เชน่ ดิน หิน ทราย แรธ่ าตุต่าง ๆ นามาผสม กัน แลว้ นาไปเผาเพอ่ื เปล่ียนเน้ือวัตถุใหแ้ ข็งแรง สามารถคงรปู อย่ไู ด้ 2.เซรามิกจาแนกออกเปน็ 2 ประเภท คือ เซรามิกดั้งเดมิ และเซรามกิ สมัยใหม่ 3.เซรามกิ ทีผ่ ่านกระบวนการท่ที าใหม้ คี วามบรสิ ุทธส์ิ ูงและมกี ารควบคมุ องคป์ ระกอบทางเคมี จดั เปน็ เซรามิกสมัยใหม่ 4.การขน้ึ รูปผลติ ภณั ฑ์มอี หลายวธิ ี โดยทัว่ ไปนยิ มข้นึ รปู ผลิตภัณฑด์ ้วยวิธี เทแบบและการใช้แปน้ หมุน 5.ผลิตภัณฑเ์ ซรามกิ ท่ีพบในชีวิตประจาวนั มหี ลายชนิด เช่น ถว้ ย ชาม แจกนั แก้ว เครอ่ื งปน้ั ดินเผา 6.ปูนซเี มนตแ์ บ่งตามประเภทการใชง้ านได้ 3 ประเภท คือ ปนู ซเี มนต์ปอร์ตแลนด์ ปูนซีเมนต์ผสม และ ปูนซีเมนต์ขาว 7.ปนู ซเี มนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทใดเหมาะสาหรับการนามาใชง้ านตอ่ ไปนี้ 7.1นาไปทาผิวถนน สะพาน ทอ่ ระบายน้า ปูนซเี มนต์ปอร์ตแลนดธ์ รรมดา 7.2นาไปทาเขอ่ื นก้ันน้า ปูนซเี มนตป์ อร์ตแลนดป์ ระเภทเกิดความรอ้ นต่า 7.3นาไปทาตอมอ่ ขนาดใหญ่ ท่าเทยี บเรือ ปนู ซเี มนตป์ อร์ตแลนด์เสรมิ 7.4นาไปทาเสาเขม็ พนื้ สาเร็จรูป ปนู ซเี มนต์ปอร์ตแลนดป์ ระเภทเกิดแรงเรว็ สงู 7.5ใช้ในงานก่อสรา้ งบริเวณที่มีดินเค็มปนอยู่ ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภททนซลั เฟตไดส้ งู 8.พิจารณาขอ้ ความต่อไปน้ีวา่ ถกู ต้องใช่หรือไม่ ข้อความ ใชห่ รือไมใ่ ช่ 1.วสั ดุผสมคือการนาวัสดุต้ังแต่สองชนดิ ขึน้ ไปมาผสมรวมกนั ทาให้วสั ดุท่ีไดม้ ีสมบตั ทิ ่ีดีขึ้น ใช/่ ไมใ่ ช่ โดยวัสดทุ ีน่ ามาผสมกนั ต้องรวมเปน็ เนือ้ เดียวกัน 2.วัสดุพืน้ หรอื เมทริกซ์ทาหนา้ ท่รี กั ษาความเสถยี รในรูปรา่ งและขนาดวัสดุผสม รกั ษาการ ใช/่ ไม่ใช่ กระจายตวั ของส่วนเสริมแรง 3.วสั ดุเสรมิ หรอื ตวั เสริมแรงทาให้วสั ดผุ สมมีความแข็งแรง มกั เปน็ ส่วนที่ไมต่ อ่ เนอ่ื งกนั มี ใช/่ ไม่ใช่ ลกั ษณะรปู ร่างได้หลายรูปแบบ 4.เนอื้ เย่ือของมนุษย์ ทงั้ กระดกู เอ็นยึด รวมทั้งผวิ หนัง จัดเปน็ วสั ดผุ สมประเภทหน่ึง ใช/่ ไม่ใช่ 5.วัสดผุ สมจากการสังเคราะห์ เช่น คอนกรตี ไฟเบอรก์ ลาส ใช/่ ไมใ่ ช่

หนว่ ยท่ี ปฏิกริ ยิ าเคมี ใบงานเร่ือง ผลกระทบจากการใชพ้ อลเิ มอร์ เซรามิก และวัสดผุ สม คะแนน 5 และวสั ดใุ นชวี ติ ประจาวนั มาตรฐาน ว2.1 ม.3/1-2 สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชื่อ-นามสกลุ ......................................................................ช้ัน...............เลขที่........... คาช้ีแจง ให้นักเรยี นเติมคาหรอื ข้อความลงในช่องวา่ งให้ถูกตอ้ ง 1.จงยกตวั อยา่ งผลกระทบจากการกาจัดขยะทเ่ี กิดจากการใชว้ ัสดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ และวัสดุผสม (3ข้อ) 1.หากนาไปเผา จะเกดิ ผลกระทบโดยตรงต่อชน้ั บรรยากาศและทางเดินหายใจของส่ิงมชี ีวติ 2.หากนาไปฝงั จะทาใหด้ ินบรเิ วณน้ันเสอ่ื มสภาพไม่สามารถเพาะปลูกได้ 3.เกดิ ปัญหาขยะในแมน่ ้าลาคลอง ส่งผลใหน้ า้ เน่าเสีย เป็นทสี่ ะสมของเชอ้ื โรค และแบคทีเรียต่าง ๆ 2.นาคาต่อไปนีเ้ ติมลงในชอ่ งว่างใหถ้ ูกตอ้ ง RECYCLE REUSE REDUCE 2.1 REUSE คอื การนาผลิตภัณฑจ์ ากวสั ดสุ ังเคราะหท์ ผ่ี ่านการใชง้ านแลว้ แต่ยงั มีคณุ ภาพดีอยู่กลับมาใชง้ านอกี คร้งั 2.2 REDUCE คือ การลดหรอื หลกี เลีย่ งการใช้ผลติ ภัณฑ์จากวสั ดุสงั เคราะห์ใหน้ ้อยลงและหันมาใชว้ สั ดธุ รรมชาติ ให้มากข้ึน เนอ่ื งจากเปน็ วสั ดุท่ียอ่ ยสลายงา่ ยและเปน็ มติ รกบั ส่งิ แวดล้อม 2.3 RECYCLE คอื การนาผลติ ภัณฑ์วัสดุสงั เคราะห์ตา่ ง ๆ ที่ผา่ นการใชง้ านแลว้ มาผ่านการแปรรปู เปน็ ผลติ ภัณฑใ์ หม่ เพือ่ นากลับมาใช้งานอีก เชน่ การนาขวดพลาสตกิ ทีใ่ ชแ้ ล้วไปหลอมและขึน้ รูปใหม่ 3.พจิ ารณาสัญลกั ษณ์แสดงประเภทของพลาสติกแล้วเติมคาหรือขอ้ ความลงในช่องว่างให้ถูกต้อง สัญลักษณ์ ประเภทพลาสติก การใช้ประโยชน์ ผลติ ภณั ฑ์รีไซเคลิ 1. พอลเิ อทลิ ีนเทเรฟทาเลต ภาชนะสาหรบั ใส่เคร่อื งด่มื ใส่ ทาเป็นเส้นใยสาหรับทาเสื้อกันหนาว อาหารรอ้ น พรม ใยสังเคราะหใ์ นหมอน 2. พอลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง ขวดใส่นม ขวนแชมพู ขวดนา้ ยา เฟอร์นเิ จอร์เช่น ศาลา มา้ นง่ั ลงั ซกั ผ้า พลาสตกิ ไมเ้ ทยี ม 3. พอลิไวนิลคลอไรด์ ฉนวนห้มุ สายไฟ สายยางใส กรวยจราจร ม้านัง่ พลาสตกิ ท่อนา้ ปะปา ตลบั เทป 4. พอลเิ อทลิ ีนความหนาแน่นต่า ฟลิ ม์ หอ่ อาหาร แผน่ ฟลิ ์ม ถงุ ดาใส่ขยะ ถังขยะ ตู้จดหมาย ถุงเยน็ สาหรับบรรจุอาหาร กระเบื้องปูพน้ื 5. พอลิโพรพลิ นี ภาชนะบรรจุอาหาร เชน่ กล่อง กลอ่ งแบตเตอรี่รถยนต์ กนั ชน จาน ชาม รถยนต์ ไมก้ วาดพลาสตกิ 6. พอลิสไตรีน ช้อน โฟมกนั กระแทก ไม้แขวนเสอ้ื ไมบ้ รรทดั สวิตซ์ ถว้ ยไอศกรมี 7. พอลเิ มอรช์ นดิ อ่ืน ๆ ภาชนะบรรจอุ าหาร เช่น ขวด ทอ่ นไมพ้ ลาสติก นา้ ส้ม ขวดน้ามะนาว

แบบฝกึ หดั ทา้ ยหน่วย เร่อื งปฏกิ ิริยาเคมีและวสั ดใุ นชีวิตประจาวัน คาช้ีแจง ใหน้ ักเรียนเลือกข้อทีถ่ ูกต้องทสี่ ดุ 6.โครงสร้างพลาสติกแบบใดมคี วามแข็งแรงมากที่สดุ 1.ปฏกิ ิริยาในขอ้ ใดทาใหเ้ กิดแกส๊ ท่ีใช้เป็นวัตถุดบิ ในการ ก.แบบโซต่ รง ข.แบบโซก่ ิง่ สงั เคราะหด์ ้วยแสง ก.ใส่แผ่นอะลูมเิ นียมลงในนา้ ขเ้ี ถา้ ค.แบบรา่ งแห ง.แบบโซ่ตรงผสมกบั โซ่กงิ่ ข.หยดนา้ สม้ สายชลู งบนแผ่นสังกะสี ค.บบี นา้ มะนาวลงบนแป้งดนิ สอพอง 7.ขอ้ ใดเป็นถุงพลาสติกใสอ่ าหารรอ้ น ง.ใสเ่ กลือแอมโมเนียมไนเตรตลงในน้าปูนใส 2.สารในขอ้ ใดทาปฏิกิริยากบั หนิ ปนู แลว้ เกิดฟองแกส๊ ก.พอลิสไตรนี ก.นา้ สบู่ ข.สารละลายผงซักฟอก ข.พอลิเตตระฟลูออโรเอทิลีน ค.นา้ สม้ สายชู ง.นา้ ยาล้างจาน ค.พอลิยเู รียมฟอร์มลั ดิไฮด์ 3.นากเป็นสารละลายโลหะท่เี กิดจากการผสมโลหะคู่ใด ก.ทองแดงกบั ดบี ุก ง.พอลิโพรพลิ ีน ข.ทองคากับทองแดง ค.ทองแดงกบั เงนิ 8.กระบวนการใดไมช่ ว่ ยลดอณุ หภูมใิ นการเผา ง.ทองแดงกบั สงั กะสี 4.ขอ้ ใดเรยี งลาดบั ความหนาแน่นของอนภุ าคได้ถกู ตอ้ ง ก.เตมิ โพแทสเฟลสปาร์ในการทาให้แก้วใส ก.แกส๊ > ของเหลว > ของแขง็ ข.ของเหลว > ของแข็ง > แกส๊ ข.เติมแคลเซยี มคารบ์ อเนตในการถลงุ ดบี ุก ค.ของแข็ง > ของเหลว > แกส๊ ง.ของแข็ง > แก๊ส > ของเหลว ค.เติมโซเดยี มออกไซด์ในการเคลอื บเซรามิก 5.ในการตม้ นา้ ให้ร้อนขนึ้ ผวิ หนา้ ของน้าจะกลายเปน็ ไอ ขอ้ ใดอธิบายเหตผุ ลของการเปลีย่ นสถานะไดถ้ ูกต้อง ง.เติมยิปซมั ในกระบวนการผลติ ปูนซีเมนต์ ก.โมเลกลุ ของน้าถกู ทาใหส้ ลายตวั เปน็ แกส๊ ไฮโดรเจนและ แก๊สออกซเิ จน 9.ข้อใดกลา่ วผิด ข.โมเลกุลของนา้ ท่ีก้นภาชนะซง่ึ รอ้ นกว่าจะดนั ให้นา้ ที่ ผวิ หน้าหลุดออกไป ก.แก้วคริสตัล มีดัชนหี ักเหสงู มากทาใหม้ ปี ระกายแวววาว ค.โมเลกุลของน้าไดร้ บั ความร้อนจนมีพลงั งานสงู พอทจ่ี ะ หลดุ จากผิวหน้า สวยงาม ง.โมเลกลุ ของน้ามีการถ่ายเทพลังงานจากด้านล่างสู่ ดา้ นบนผิวหนา้ ของของเหลว ข.แกว้ โซดาไลม์ไม่ทนต่อสภาพความเป็นกรดเบส เม่อื ไดร้ ับความรอ้ นแตกง่าย ค.แก้วโอปอมีส่วนผสมของโซเดยี มฟลูออไรดห์ รอื แคลเชียม ฟลูออไรด์อยดู่ ้วย ง.แก้วทพี่ บทว่ั ไป เช่น แกว้ นา้ ขวดนา้ ภาชนะแกว้ กระจกแผ่น เป็นแก้วโบโรซลิ ิเกต 10.พอลิเมอร์ในข้อใดจดั เป็นเสน้ ใยธรรมชาติ ก.เซลลูโลส โปรตีน ข.โปรตนี พอลแิ ซ็กคาไรด์ ค.พอลแิ ซก็ คาไรด์ ใยหิน ง.ใยหนิ เรยอง

6หนว่ ยที่ ไฟฟ้า ใบงานเรื่อง ปริมาณทางไฟฟ้า คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/3 สาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ชัน้ ...............เลขท่ี........... คาชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นเตมิ คาหรือข้อความลงในช่องว่างให้ถกู ต้อง 1.ส่ิงทีน่ าพลงั งานไฟฟา้ จากแหล่งกาเนิดไฟฟา้ มายงั เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้า คอื กระแสไฟฟา้ ซ่งึ เกิดจาก การเคล่อื นทข่ี อง ประจไุ ฟฟา้ 2.ปรมิ าณต่างๆ ทางไฟฟา้ ที่ระบไุ ว้ในเครือ่ งใช้ไฟฟ้าแตล่ ะชนิดมดี ังน้ี 2.1กาลงั ไฟฟา้ มหี น่วยเปน็ วัตต์ (W) 2.2กระแสไฟฟ้า มหี นว่ ยเป็น แอมแปร์ (A) 2.3ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ มหี น่วยเป็น โวลต์ (V) 2.4ความถขี่ องไฟฟ้า มีหนว่ ยเปน็ เฮริ ตซ์ (Hz) 2.5ความต้านทาน มหี น่วยเปน็ โอห์ม (Ω) 3.กระแสไฟฟา้ แบง่ ออกเปน็ 2 ชนดิ คอื 1. ไฟฟ้ากระแสตรง 2. ไฟฟา้ กระแสสลบั 4.เครือ่ งมอื วัดกระแสไฟฟา้ คอื แอมมิเตอร์ (Ammeter) 5.เครือ่ งมอื ทใี่ ชว้ ัดความต่างศกั ยไ์ ฟฟา้ หรือพลังงานไฟฟา้ ท่ตี ่างกันระหว่างจุด 2 จุดในวงจร คือ โวลต์มเิ ตอร์ (Voltmeter) 6.การตอ่ แอมมิเตอรก์ บั วงจรไฟฟา้ ตอ้ งต่อแบบขนานหรืออนกุ รม อนุกรม 7.การต่อโวลตม์ ิเตอรก์ ับวงจรไฟฟา้ ตอ้ งต่อแบบขนานหรืออนุกรม ขนาน 8.ในการต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งง่าย ถา้ เพ่ิมจานวนถา่ นไฟฉายให้มากขึ้น หลอดไฟจะสว่างเพ่มิ ข้นึ หรอื ไม่ หลอดไฟสว่าง เพิม่ ข้ึน 9.ถา้ ความต่างศกั ยม์ ีคา่ มากข้ึน ระดับพลงั งานไฟฟ้าจะเปน็ อยา่ งไร ถ้าความต่างศกั ยม์ ีค่ามากขน้ึ ระดับพลงั งานไฟฟา้ ก็จะมากขนึ้ ดว้ ย 10.ไฟฟา้ กระแสตรงและไฟฟ้ากระแสสลับ ตา่ งกันอยา่ งไร จงอธบิ าย ไฟฟา้ กระแสตรง(DC) เป็นไฟฟ้าทีม่ าจากขว้ั ลบเพยี งอยา่ งเดียว มที ิศทางการไหลไปในทางเดียว ซึง่ จะเรม่ิ ออกจาก แหลง่ กาเนิดไฟฟ้าจากข้วั ลบผา่ นเครือ่ งใช้ไฟฟา้ แลว้ เขา้ สู่ขัว้ บวกของแหล่งกาเนดิ ไฟฟ้า มีคณุ สมบตั พิ ิเศษคือกระแสไฟฟา้ น้นั มแี รงดนั เปน็ บวกอยเู่ สมอและสามารถเกบ็ ประจุเอาไว้ใช้งานกับแบตเตอร่ีได้ ไฟฟา้ กระแสสลบั (AC) เปน็ ไฟฟา้ ทมี่ กี ารไหลไปในทศิ ทางที่สลบั ไปสลบั มา หรือพดู งา่ ยๆ ว่าเปน็ กระแสไฟฟา้ ทไ่ี ม่มีขัว้ นนั้ เอง มีคณุ สมบัติพเิ ศษประจาตวั คอื สามารถสง่ กระแสไฟฟา้ ไปในที่ไกลๆ โดยที่แรงไม่ตก และสามารถปรับระดบั แรงดันด้วยตนเองได้

6หนว่ ยที่ ไฟฟ้า ใบงานเรอ่ื ง กฎของโอมห์ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/1-2 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท่ี........... คาชแ้ี จง จงแสดงวิธที า 1.หลอดไฟฟ้าหลอดหน่ึงต่อกบั ความต่างศักยไ์ ฟฟ้า 220 โวลต์ มกี ระแสไฟฟา้ ไหลผ่าน 2 แอมแปร์ ไสห้ ลอดไฟฟา้ จะมี ความต้านทานไฟฟา้ เทา่ ใด สิง่ ท่โี จทย์กาหนดให้ ได้แก่ V = 220 โวลต์, I = 2 แอมแปร์ สง่ิ ทโี่ จทย์ถามหา คอื R = ? วิธีทา จากสตู ร V = IR แทนคา่ 220 = 2R 220 R= 2 = 10 โอห์ม ดงั นนั้ หลอดไฟฟ้ามีความตา้ นทานไฟฟ้า 110 โอห์ม 2.ลวด 3 เส้น มคี วามตา้ นทาน 5, 10 และ 20 โอห์ม นามาต่อกันแบบอนุกรม ดงั รปู เม่ือนาทง้ั หมดไปต่อกับ ความตา่ งศกั ย์ 70 โวลต์ จงหา 2.2กระแสที่ไหลในวงจร R1 = 5 R2 = 10 R3 = 20 จากสตู ร V = IR 70 = I x 35 I I I = =2 กระแสท่ีไหลในวงจร = 2 แอมแปร์ 2.1ความตา้ นทานรวมทั้งวงจร 2.3ความต่างศกั ย์ท่ีวดั ได้บนความตา้ นทานแตล่ ะตวั

6หน่วยท่ี ไฟฟ้า ใบงานเรอ่ื ง การต่อความต้านทานไฟฟา้ แบบต่างๆ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/1 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชอ่ื -นามสกลุ ......................................................................ช้ัน...............เลขท่ี........... คาช้แี จง ให้นักเรยี นเติมคาหรือข้อความลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง 1 ปรมิ าณทางไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า ความต่าง ความต้านทานไฟฟา้ ศกั ย์ไฟฟา้ 1. สัญลกั ษณ์ท่ีใช้แทนปริมาณทางไฟฟา้ I R 2. เคร่ืองมอื วดั ปริมาณทางไฟฟ้า แอมมิเตอร์ V โอหม์ มเิ ตอร์ 3. หนว่ ยของปรมิ าณทางไฟฟ้า แอมแปร์ 4. สัญลกั ษณ์ของหน่วยของปรมิ าณทางไฟฟ้า โวลต์มิเตอร์ โอห์ม 5. สญั ลกั ษณท์ ี่ใชใ้ นวงจรไฟฟา้ A Ω โวลต์ V 2 การตอ่ ความต้านทานในวงจรไฟฟา้ 1. กระแสไฟฟ้า (I) แบบอนกุ รม แบบขนาน 2. ความต้านทานไฟฟา้ (R) 3. ความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า (V) I = I1 = I2 = I3 I = I1 + I2 + I3 Rรวม = R1 + R2 + R3 = + + Vรวม = V1 + V2 + V3 Vรวม = V1 = V2 = V3

6หนว่ ยท่ี ไฟฟ้า ใบงานเรื่อง กาลังไฟฟา้ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชอื่ -นามสกลุ ......................................................................ชัน้ ...............เลขที่........... คาชแ้ี จง ให้นักเรียนเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ตอ้ ง 1.กาลังไฟฟ้า (Electric Power) คอื พลงั งานไฟฟ้าทใี่ ชไ้ ปในเวลา 1 วินาที 2.กาลงั ไฟฟ้า 1 วตั ต์ หมายความว่า ใน 1 วินาที ใช้พลงั งานไฟฟา้ ไป 1 จูล 3.หลอดไฟดวงหนึ่งใชพ้ ลังงานไฟฟ้า 60 จลู ในเวลา 1 นาที แสดงว่าหลอดไฟดวง นมี้ กี าลงั ไฟฟา้ เทา่ กบั 60 วัตต์ 4.พดั ลมดูดอากาศขนาด 220 V 54 W หมายความวา่ พดั ลมดูดอากาศเคร่อื งนี้ ตอ้ ง ใชก้ ับความตา่ งศักย์ไฟฟ้า 220 โวลต์ เทา่ นน้ั และพดั ลมดูดอากาศเครอ่ื งนมี้ ี กาลังไฟฟ้า 54 วตั ต์ 5.หมอ้ หงุ ขา้ วไฟฟ้าใบหนง่ึ มกี าลังไฟฟา้ 1 กโิ ลวตั ต์ หมายความว่า ในเวลา 1 ชัว่ โมง หม้อหงุ ข้าวใบนใ้ี ช้กาลังไฟฟา้ 1 กิโลวตั ต์ 6.เมอื่ เปดิ หลอดเรืองแสงหลอดหนง่ึ นาน 20 วนิ าที จะใช้พลงั งานไฟฟา้ 800 จูล หลอดเรืองแสงหลอดน้มี กี าลงั ไฟฟ้าเท่ากบั = 40 จลู ตอ่ วนิ าที หรือ 40 วตั ต์ 7.ต้เู ยน็ ขนาด 220 V 150 W หมายความว่า ต้เู ย็นหลังน้ี ตอ้ งใช้กับความต่าง ศักยไ์ ฟฟ้า 220 โวลต์ เทา่ น้นั และตเู้ ยน็ หลังนม้ี ีกาลงั ไฟฟ้า 150 วตั ต์ 8.พัดลมตั้งพื้น A และ B มีขนาด 30 W 220 V กบั 70 W 220 V ตามลาดับ พดั ลมท่ีส้นิ เปลืองพลังงานมากกวา่ คอื พัดลม B สนิ้ เปลืองพลงั งานไฟฟา้ มากกวา่ เท่าใด ส้ินเปลืองพลังงานไฟฟา้ มากกว่า A 40 W A B 9.กาตม้ นา้ ใบหนง่ึ กากบั ตวั เลขว่า 110 W 220 V กาตม้ นา้ ไฟฟา้ ใบนี้มกี ระแสไฟฟ้าไหล ผ่านเท่ากบั I = = = 0.5 แอมแปร์ 10.เตารดี ไฟฟา้ อันหน่งึ ใชพ้ ลังงานไฟฟา้ 6,000 จลู ในเวลา 5 วนิ าที และขณะใช้ งานมีกระแสไฟฟา้ ไหลผ่าน 6 แอมแปร์ เตารดี ไฟฟ้าอันนี้ตอ้ งใชก้ บั ไฟฟา้ ความต่างศกั ย์ เท่ากบั V = = = 200 โวลต์

6หนว่ ยที่ ไฟฟ้า ใบงานเรอ่ื ง พลงั งานไฟฟา้ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ช้ัน...............เลขที่........... คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นเติมคาหรือขอ้ ความลงในช่องวา่ งให้ถูกตอ้ ง 1.พลงั งานไฟฟา้ (Electrical Energy) คอื พลังงานทใ่ี ช้ไปหรือสรา้ งข้ึนมาใหมจ่ ากกาลงั ไฟฟ้าที่ส่งเข้ามาหรอื สง่ ออกไป โดยมีความสมั พันธ์กบั เวลา 2.หน่วยวดั คา่ พลังงานไฟฟา้ คอื จูล (J) และพลงั งานไฟฟ้ามสี ัญลักษณ์ คือ W 3.สูตรทใ่ี ช้ในการคานวณหาค่าพลงั งานไฟฟา้ คือ W = Pt 4.จงหาพลังงานไฟฟา้ ท่ีใชใ้ นเตารีดท่มี กี าลังไฟฟา้ 1,250 วตั ต์ และรดี ผ้านาน 20 นาที วิธีทา พลังงานไฟฟ้า (จูล) = กาลงั ไฟฟา้ (วตั ต์) x เวลา (นาที) = 1,250 วตั ต์ x (20 x 60) วินาที = 1,500,000 จลู ดังน้ัน พลังงานไฟฟา้ ท่ีใชใ้ นเตารีดอนั นีเ้ ทา่ กับ 1,500,000 จูล 5. ถ้าเปดิ เครื่องปรบั อากาศที่มกี าลังไฟฟ้า 2,500 วตั ต์ นาน 3 ชัว่ โมง จะสน้ิ เปลืองพลงั งานไฟฟา้ ก่ีหนว่ ย วิธีทา เคร่ืองปรับอากาศมกี าลังไฟฟา้ 2,500 วตั ต์ = = 2.5 กิโลวัตต์ พลงั งานไฟฟา้ (หน่วย) = กาลงั ไฟฟ้า (กิโลวัตต์) x เวลา (ช่ัวโมง) = 2.5 กโิ ลวัตต์ x 3 ชวั่ โมง = 7.5 หน่วย ดังนน้ั เครอ่ื งปรบั อากาศเครือ่ งนจี้ ะสน้ิ เปลอื งพลงั งานไฟฟ้า 7.5 หนว่ ย 6. หลอดไฟ 60 วัตต์ 5 ดวง ถ้าเปิดพร้อมกนั นาน 6 ชัว่ โมง จะสนิ้ เปลอื งพลังงานไฟฟ้ากหี่ น่วย วิธที า พลงั งานไฟฟา้ = 60 (วตั ต์) x 5 (ดวง) = 300 วัตต์ พลงั งานไฟฟา้ (หน่วย) = กาลงั ไฟฟา้ (กโิ ลวัตต์) x เวลา (ชั่วโมง) = x 6 ช่วั โมง = 1.8 หนว่ ย ดงั นน้ั เปดิ ไฟพรอ้ มกนั 5 ดวง จะสิ้นเปลอื งพลงั งานไฟฟา้ 1.8 หน่วย

6หน่วยที่ ไฟฟา้ ใบงานเรือ่ ง การคดิ เงินคา่ พลังงานไฟฟ้า คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/8 สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขท่ี........... คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง 1.เคร่อื งมอื ทใ่ี ชว้ ัดพลังงานไฟฟ้าทแี่ ต่ละบา้ นใช้ เรียกว่า มเิ ตอร์ไฟฟ้า หรือมาตรไฟฟ้า หรอื มาตรกโิ ลวตั ต์ชว่ั โมง มหี น่วยเป็น กโิ ลวตั ตช์ ัว่ โมง หรือ หน่วย หรอื ยูนิต 2.บ้านอยูอ่ าศัยท่ัวไปจะใช้มาตรไฟฟา้ ขนาด 5 แอมแปร์ 3.จานวนไฟฟา้ 79 หนว่ ย คิดเปน็ กีก่ โิ ลวัตต์ช่ัวโมง 79 กิโลวัตต์ชั่วโมง 4.ค่า Ft หมายถึง คา่ ไฟฟา้ ผันแปรหรอื ค่าอตั ราไฟฟา้ โดยอตั โนมัติ จะมีคา่ ไม่แนน่ อน ซ่งึ ทางการไฟฟา้ จะแจง้ ให้ทราบใน ใบเสรจ็ แตล่ ะเดอื น 5.คา่ ไฟฟา้ ที่ผใู้ ช้จะต้องชาระในแตล่ ะเดือน เป็นดงั นี้ คา่ ไฟที่ต้องชาระ = ค่าพลงั งานไฟฟา้ + ค่าบรกิ าร + คา่ Ft + คา่ ภาษีมลู ค่าเพ่มิ 6.หมอ้ หงุ ข้าว ขนาด 600 วัตต์ จานวน 1 ใบ เปิดใช้วนั ละ 30 นาที จะใช้ไฟฟา้ วนั ละกห่ี นว่ ย x 0.5 = 3 หน่วย 7.ตู้เยน็ ขนาด 125 วตั ต์ จานวน 1 ตู้ เปิดตลอด 24 ช่วั โมง หากคอมเพรสเซอร์ทางาน 8 ช่วั โมง จะใช้ไฟฟ้าวนั ละ กหี่ น่วย x 8 = 1 หนว่ ย 8.ตเู้ ยน็ 250 วัตต์ เปดิ ใช้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ในเดอื นกนั ยายน จะตอ้ งเสยี คา่ ไฟฟา้ ในการใช้ตู้เยน็ หลังน้เี ท่าไร ถ้าคา่ ไฟหนว่ ยละ 2 บาท (แสดงวธิ ีทา) วิธีทา ตูเ้ ยน็ 250 วตั ต์ = = 0.25 กโิ ลวัตต์ ใน 1 วัน ต้เู ย็นใชพ้ ลังงานไฟฟา้ = 0.25 กโิ ลวัตต์ x 24 ช่วั โมง = 6 หนว่ ย และในเดอื นกนั ยายนตู้เย็นหลังน้ีใช้พลงั งานทงั้ สิน้ = 6 x 30 = 180 หน่วย เงนิ คา่ พลังงานไฟฟ้า = จานวนหน่วย x อัตราคา่ ไฟฟ้าต่อหน่วย = 180 x 2 = 360 บาท ดงั น้ันในเดือนกนั ยายนจะตอ้ งเสียค่าไฟฟา้ ในการใชต้ เู้ ย็นหลังนท้ี ง้ั สิน้ 360 บาท

6หนว่ ยท่ี ไฟฟ้า ใบงานเรือ่ ง วงจรไฟฟ้าแบบต่าง ๆ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/5 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ช่อื -นามสกุล......................................................................ช้นั ...............เลขที่........... คาชีแ้ จง ให้นักเรียนเติมคาหรอื ข้อความลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง 1.วงจรไฟฟ้า คอื เสน้ ทางท่กี ระแสไฟฟา้ ผา่ นอุปกรณต์ ่างๆไดค้ รบวงจร 2.วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย ประกอบดว้ ย เซลลไ์ ฟฟ้าหรือแบตเตอรี่ หลอดไฟ และสายไฟ 3.วงจรไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื วงจรปิด และ วงจรเปิด 4.นาอักษรหน้าขอ้ ความด้านขวามอื เตมิ ลงหนา้ ประโยคหรือขอ้ ความดา้ นซา้ ยมือทมี่ ีความสัมพนั ธ์กนั B 4.1วงจรไฟฟา้ ท่ีมีกระแสไฟฟา้ ไหลไดค้ รบวงจร A วงจรเปิด A 4.2วงจรไฟฟ้าท่ไี มม่ กี ระแสไฟฟ้าไหลผ่าน B วงจรปิด D 4.3กระแสไฟฟ้าจากเซลลไ์ ฟฟา้ หรอื แบตเตอร่ไี หลไปทางเดยี วกนั C ไดโอด C 4.4อปุ กรณท์ ่ใี ช้ในการแปลงไฟฟา้ กระแสสลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรง D กระแสตรง (D.C.) E 4.5เปน็ โลหะผสมระหวา่ งตะกวั่ กบั ดีบุกมคี วามต้านทาน E ฟวิ ส์ ไฟฟา้ มาก แตจ่ ดุ หลอมเหลวตา่ 5.จากภาพ หลอดไฟทต่ี อ่ แบบขนาน ได้แก่หลอดไฟหมายเลข 1 และ 2 หลอดไฟที่ต่อแบบอนุกรม ไดแ้ กห่ ลอดไฟหมายเลข 3 และ 4 6.จากภาพ ถ้าต้องการใหห้ ลอดไฟฟา้ L1 สวา่ ง ตอ้ งกดสวติ ช์ S1 7.หากตอ้ งการให้หลอดไฟฟา้ ทอี่ ยู่ใกลแ้ ผงไฟรวมสวา่ ง เราจะต้องต่อสวติ ช์ใด S1

6หนว่ ยที่ ไฟฟา้ ใบงานเรื่อง วงจรไฟฟ้าในบ้าน คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/5 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ช่ือ-นามสกุล......................................................................ชั้น...............เลขท่ี........... คาช้แี จง ให้นักเรยี นเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในช่องว่างให้ถูกต้อง ผังแสดงวงจรไฟฟ้าในบ้านนาย ก 1.ผงั วงจรไฟฟ้าในบ้านนาย ก ประกอบดว้ ยอุปกรณ์ไฟฟา้ ต่าง ๆ ดังน้ี สายไฟ สะพานไฟ ฟวิ ส์ เตา้ รับ เต้าเสยี บ และสวิตซ์ไฟฟ้า 2.เครื่องใช้ไฟฟา้ ต่าง ๆ ในผงั วงจรน้ี ได้แก่ หลอดไฟ เครอื่ งซกั ผ้า และวทิ ยุ 3.เครอื่ งใช้ไฟฟา้ ต่าง ๆ ต่ออย่ใู นวงจรแบบใด ต่อแบบขนาน 4.ก่อนทกี่ ระแสไฟฟา้ จะไหลเข้ามาในบา้ น จะตอ้ งผ่านมาตรไฟฟ้าซง่ึ ทาหนา้ ที่ วดั พลงั งานไฟฟา้ ที่ถกู ใช้ไป 5.สายไฟเส้นใดท่ีศกั ยไ์ ฟฟ้าไมเ่ ป็นศูนยเ์ ม่อื เทียบกบั พ้ืนดนิ สาย L 6.การเลือกสายไฟฟา้ ควรเลอื กสายไฟฟ้าที่มีจดุ หลอมเหลวสูงหรือต่า ต่า และสายไฟฟา้ ควรมีความยาวมากหรือนอ้ ย มาก 7.อปุ กรณต์ า่ ง ๆ บนแผงไฟรวมไดแ้ ก่ สะพานไฟ และฟวิ ส์ อุปกรณ์เหลา่ นีท้ าหนา้ ท่ี ควบคมุ การจา่ ยพลงั งาน ไฟฟา้ ทัง้ หมดภายในบ้าน 8.ไฟตก คอื ปรากฏการณท์ ี่โรงไฟฟา้ ไม่สามารถจา่ ยพลังงานไดเ้ พยี งพอกับความตอ้ งการใชเ้ ครือ่ งใช้ไฟฟ้าหลายชิ้น พรอ้ มๆ กัน มผี ลทาให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเขา้ อปุ กรณ์และเครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ลดลงไมเ่ พียงพอกับการใชง้ าน 9.การลดั วงจรหรอื ไฟชอ็ ต เกดิ จาก การใชเ้ ครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ หลายชนิดพร้อมกัน ทาให้ค่าความต้านทาน ลดลงมาก (เพราะต่อแบบขนาน) กระแสไฟฟา้ ที่ไหลในวงจรจะเพม่ิ ข้นึ จนฉนวนหมุ้ ละลาย ถา้ วงจรไม่ถูกตัดขาดอาจเกดิ การลกุ ไหมห้ รอื เกดิ ประกายไฟฟ้า จากตัวนาของสายไฟแตะกนั วธิ ปี ้องกันสามารถทาได้โดย ผู้ใชต้ อ้ งตรวจดแู ลรกั ษาอปุ กรณต์ ่าง ๆ ให้อยใู่ นสภาพดี และไมใ่ ช้เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าพร้อมกัน หลายอยา่ งที่เตา้ เสยี บเดยี วกนั 10.สายดนิ คอื สายตวั นาไฟฟ้าทต่ี อ่ กบั จดุ ใด ๆ ในวงจรไฟฟ้าใหเ้ ชื่อมกับพ้นื ดิน เพอื่ ให้จดุ น้นั ๆ มีศกั ย์ไฟฟ้าเท่ากบั ศักย์ไฟฟา้ ของพน้ื ดนิ ประโยชน์ของสายดนิ คือ ชว่ ยป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดดู

6หนว่ ยท่ี ไฟฟ้า ใบงานเรอ่ื ง อปุ กรณใ์ นวงจรไฟฟ้า คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชือ่ -นามสกุล......................................................................ช้ัน...............เลขท่ี........... คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ต้อง 1.สายไฟแรงสงู ทาดว้ ยอะลูมเิ นยี ม ท้งั ๆ ท่อี ะลมู เิ นียมมคี วามตา้ นทานไฟฟ้าสงู กวา่ ทองแดง เพราะ มรี าคาถูกและ น้าหนกั เบากวา่ ทองแดง 2.ขณะท่ีนกเกาะสายไฟแรงสูงทไ่ี มม่ ีฉนวนหมุ้ แลว้ ไม่เป็นอันตราย เพราะ นกเกาะสายไฟเพียงเส้นเดียว และเทา้ นกมี ลักษณะเป็นเซลล์ท่แี หง้ มีความตา้ นทานสูง 3.ปจั จยั ทีม่ ผี ลตอ่ ความต้านทานไฟฟ้าของลวดตัวนาไดแ้ ก่ ชนดิ ของลวดตัวนา อณุ หภูมขิ องลวดตัวนา ความยาวของลวดตัวนา และพนื้ ที่หนา้ ตดั ของลวดตัวนา 4.อปุ กรณ์ท่ีทาหนา้ ท่ปี ้องกนั ไมใ่ ห้กระแสไฟฟา้ ไหลผ่านเข้ามามากเกินไป ถ้ามีกระแสผ่านมามากจะตดั วงจรไฟฟา้ ในบ้าน โดยอตั โนมตั ิ อุปกรณ์ชนดิ นคี้ ือ ฟิวส์ เปน็ โลหะผสมระหวา่ ง ตะกว่ั กบั ดบี กุ และบิสมัท 5.ฟวิ สข์ นาด 15 แอมแปร์ คอื ฟิวส์ที่ยอมใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นไดไ้ ม่เกิน 15 แอมแปร์ ถา้ เกินกวา่ น้ฟี วิ ส์จะขาด 6.สะพานไฟมีความสาคญั ตอ่ วงจรไฟฟ้าในบา้ นคอื เปน็ อปุ กรณ์สาหรบั ตดั หรอื ต่อวงจรไฟฟา้ ทัง้ หมดภายในบา้ น 7.สวิตซท์ ่ใี ชก้ ับหลอดไฟ 1 ดวง ซึ่งสามารถเปิดปิดไดจ้ าก 2 ตาแหนง่ คอื สวติ ซ์สองทาง 8.เต้ารับและเต้าเสียบแบบ 3 ขา ดีกว่าเตา้ รับและเตา้ เสยี บแบบ 2 ขา เนอ่ื งจาก เต้ารบั และเต้าเสยี บ 3 ขา จะมขี า กลางจะเชือ่ มต่อกบั สายดนิ ช่วยปอ้ งกนั อนั ตรายกรณกี ระแสไฟฟ้าร่ัว 9.สวิตซ์ทใี่ ช้ตามบ้านเรอื นมี 3 แบบ คอื สวิตซ์ธรรมดา สวติ ซ์ 2 ทาง และสวิตซ์อตั โนมตั ิ 10. บา้ นของน้อยมเี คร่ืองใชไ้ ฟฟา้ ท่ใี ช้กับแรงเคลอ่ื นทีไ่ ฟฟา้ 220 โวลต์ ดงั นี้ 1. เตาไฟฟา้ ขนาด 750 วตั ต์ 1 เตา 2. หมอ้ หุงขา้ ว ขนาด 1,000 วตั ต์ 1 ใบ 3. ตูเ้ ยน็ ขนาด 200 วตั ต์ 1 เครอ่ื ง จะตอ้ งใชฟ้ ิวสข์ นาดกแ่ี อมแปร์ สาหรบั วงจรไฟฟา้ ในบา้ นหลงั น้ี วิธีทา จากสูตร I= P E 1. หาปริมาณการใชก้ ระแสไฟฟา้ ผา่ นเตาไฟฟา้ = 750 = 3.40 220 2. หาปริมาณการใช้กระแสไฟฟา้ ผา่ นหมอ้ หงุ ขา้ ว = 1000 = 4.54 220 3. หาปรมิ าณการใชก้ ระแสไฟฟา้ ผา่ นตู้เย็น = 200 = 0.90 220 รวมกระแสไฟฟ้าท้งั หมด 3.40+4.54+0.90 = 8.84 ดังนน้ั บ้านหลังน้คี วรใช้ฟิวสข์ นาด 10 A

6หน่วยที่ ไฟฟา้ ใบงานเรอ่ื ง เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าทใี่ ห้แสงสวา่ ง คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 สาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ชนั้ ...............เลขที่........... ตอนที่ 1 นาอักษรหนา้ ขอ้ ความทางทกี่ าหนดให้ เตมิ ลงในช่องว่างหนา้ ขอ้ ความด้านล่างที่มคี วามสัมพันธ์กนั A ไนโตรเจน, B คารบ์ อน, C สารฟอสฟอร์, D ไอปรอท, E ทังสเตน F นีออน, G สตารต์ เตอร์, H หลอดตะเกยี บ, I ออกซิเจน J หลอดไฟฟา้ แบบมีไส้, K หลอดไฟโฆษณา, L แบลลัสต์ 1.แกส๊ ทีช่ ว่ ยป้องกนั ไสห้ ลอดไฟฟ้า ไม่ให้ระเหิดกลายเป็นไอ 2.โลหะ หาง่าย ราคาถกู เม่ือร้อนจัดจะเปล่งแสงสว่างออกมาได้ 3.สิง่ ประดษิ ฐข์ องเอดิสนั นักฟสิ ิกส์ชาวอเมริกนั 4.บรรจอุ ยู่ในหลอดเรืองแสง ทาหนา้ ทผี่ ลิตรงั สีอลั ตราไวโอเลต 5.แกส๊ ชนิดหนงึ่ ที่สามารถใหแ้ สงสแี ดงหรอื สีส้มเมื่อมกี ระแสไฟฟา้ ไหลผ่าน 6.เปน็ สวติ ซอ์ ตั โนมัตใิ นขณะที่หลอดไฟยังไมส่ ว่าง และหยุดทางานเม่ือหลอดไฟสวา่ งแล้ว 7.เพม่ิ ความตา่ งศักยเ์ พ่อื ใหห้ ลอดไฟฟา้ สวา่ ง 8.เป็นสารพิษห้ามจับต้อง แตส่ ามารถเปล่งแสงสวา่ งได้เมอ่ื มรี ังสอี ลั ตราไวโอเลตมากระทบ 9.ต้องใช้กบั กระแสไฟฟา้ ทม่ี คี วามต่างศักย์สูงถึง 10,000 โวลต์ 10.หลอดคอมแพคฟลอู อเรสเซนต์ ตอนที่ 2 ให้นกั เรยี นเติมคาหรือข้อความลงในช่องวา่ งให้ถูกตอ้ ง 1.เคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ ท่ีให้แสงสว่าง คอื หลอดไฟฟา้ ปจั จบุ ันมหี ลายชนิด ได้แก่ หลอดไฟฟา้ ธรรมดา หลอดเรอื งแสง หลอดตะเกยี บ และหลอดนีออนหรอื หลอดไฟโฆษณา 2.หลอดแกว้ ของหลอดไฟธรรมดาบรรจแุ กส๊ ไนโตรเจน (N2) และแกส๊ อาร์กอน (Ar) เพอื่ ป้องกนั ไมใ่ หไ้ ส้หลอดที่ ไดร้ บั ความร้อนระเหิดไปจบั ทผี่ ิวในของหลอดแก้ว ซงึ่ จะทาใหห้ ลอดดา 3.ขอ้ ดีของหลอดเรอื งแสง คือ 1.อณุ หภูมไิ มส่ ูงเท่าหลอดไฟธรรมดา 2.เสยี คา่ ไฟน้อยกวา่ หลอดไฟธรรมดาท่ีใหแ้ สงสวา่ ง เทา่ กัน เพราะใช้วตั ตต์ า่ กว่า 3.เม่อื ใช้พลงั งานไฟฟา้ เท่ากัน จะให้แสงสวา่ งมากกวา่ หลอดไฟฟ้าธรรมดา 4 เท่า และมี อายกุ ารใชง้ านทนกวา่ หลอดไฟธรรมดาประมาณ 8 เท่า 4.ข้อดขี องหลอดตะเกียบ คอื ชว่ ยประหยัดพลงั งานไฟฟ้า และมีอายุการใช้งานท่ยี าวนานกวา่ หลอดเรืองแสงแบบธรรมดา 5.แก๊สท่บี รรจุอยูภ่ ายในหลอดนอี อนหรือหลอดไฟโฆษณาจะเกิดการแตกตวั เปน็ ไอออนและนาไฟฟ้าได้ ซึง่ จะตดิ ไฟให้แสง สีตา่ ง ๆ ได้ เน่อื งจาก เมอ่ื มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านหลอดนีออนหรอื หลอดไฟโฆษณาจะมีความตา่ งศกั ย์สงู มาก ประมาณ 10,000 โวลต์

6หน่วยท่ี ไฟฟา้ ใบงานเรือ่ ง เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ทใ่ี หค้ วามร้อน คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชือ่ -นามสกลุ ......................................................................ชน้ั ...............เลขท่ี........... คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง 1.เคร่อื งใช้ไฟฟ้าทีใ่ ห้ความรอ้ นมีการเปลย่ี นรูปพลังงาน คอื เปลี่ยนพลงั งานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานความรอ้ น 2.ตัวอย่างเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าท่ใี ห้ความร้อน ได้แก่ เตารีดไฟฟา้ กระทะไฟฟา้ เตาไฟฟ้า หม้อหุงขา้ วไฟฟ้า หมอ้ ตม้ นา้ ไฟฟา้ เครือ่ งเปา่ ผมไฟฟ้า เตาปิง้ ขนมปัง เคร่อื งทานา้ อนุ่ เปน็ ต้น 3.สว่ นประกอบสาคญั ของเครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าท่ใี ห้ความร้อนคือ ขดลวดความรอ้ น หรอื แผน่ ความรอ้ น(Heater) 4.ขดลวดนโิ ครม (Nichrom) เปน็ โลหะผสมระหวา่ ง นเิ กิล (Nickel) กบั โครเมียม (Chromium) 5.ขดลวดนิโครมให้ความรอ้ นไดส้ งู มาก เนือ่ งจาก มีความตา้ นทานไฟฟา้ สูง ขดลวดประเภทนี้จะไม่ขาดง่ายเพราะ มจี ดุ หลอมเหลวสูง 6.เพื่อป้องกันไม่ใหข้ ดลวดนโิ ครมหลอมละลายและป้องกนั ไฟร่ัว ดงั น้ันจงึ ต้องใชฉ้ นวนไฟฟ้า คือ ใยหนิ หรอื แผน่ ไมกา รองรับขดลวดอย่ภู ายในเคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ทใี่ ห้ความรอ้ นเชน่ เตารีดหรือหมอ้ หงุ ขา้ ไฟฟา้ 7.เคร่อื งใช้ไฟฟา้ เช่น เตารดี กาต้มน้าไฟฟา้ จะมี เทอร์มอสแตท (Thermostst) หรือสวติ ซ์อตั โนมัติ ทาหนา้ หน้าท่ี ควบคุมอณุ หภูมิใหค้ งท่ี โดยมีแผ่นโลหะต่างชนิดกัน 2 แผน่ ประกบกนั เม่ืออุณหภูมสิ งู ข้นึ จะ ขยายตวั ไม่เท่ากนั แผ่น โลหะเกิดการโคง้ งอ ทาให้จดุ สัมผัสแยกออกจากกัน เป็นวงจร เปดิ กระไสไฟฟ้าไหลผา่ นไมไ่ ด้ 8.ข้อควรระวงั ในการใช้เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ท่ใี หค้ วามร้อน คือ 1. ตอ้ งหมนั่ ตรวจสอบสภาพสายไฟ เต้าเสียบและเตา้ รบั ใหอ้ ย่ใู นสภาพที่ดีอยู่เสมอ 2. ต้องปลดเตา้ เสยี บออกทุกครง้ั ทเ่ี ลิกใชง้ าน 9.เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าทีเ่ ปล่ยี นแปลงพลังงานไฟฟา้ เปน็ พลงั งานกลและพลงั งานความรอ้ นได้พรอ้ ม ๆ กนั เช่น เครอื่ งเป่าผมไฟฟ้า เครือ่ งป้งิ ขนมปงั 10.เมือ่ มกี ระแสไฟฟา้ ไหลผ่านขดลวดนโิ ครมจะเกิดความร้อนข้นึ ความรอ้ นท่เี กิดขึ้นนีจ้ ะมากหรอื นอ้ ยข้นึ อยกู่ บั ส่งิ ใดบ้าง ความต้านทานไฟฟา้ และความยาวของขดลวด แผน่ โลหะคู่ ก. ขณะอณุ หภูมปิ กติ ข. ขณะอณุ หภมู สิ งู ข้ึน การทางานของเทอร์มอสแตท

6หนว่ ยที่ ไฟฟ้า ใบงานเรื่อง เครอื่ งใช้ไฟฟา้ ท่ใี ห้พลงั งานกล คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชือ่ -นามสกลุ ......................................................................ช้ัน...............เลขที่........... คาชีแ้ จง ให้นักเรยี นเตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งวา่ งให้ถูกต้อง 1.เคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ ทใ่ี ห้พลังงานกลจะมี มอเตอร์ (Motor) ซ่ึงเปน็ อปุ กรณท์ ีท่ าหนา้ ทเ่ี ปล่ยี นพลังงานไฟฟา้ เปน็ พลงั งานกล 2.การควบคุมให้มอเตอรห์ มนุ ช้าหรือเร็ว ทาได้โดย เพ่ิมหรือลดความต้านทานไฟฟา้ ถา้ ความตา้ นทานไฟฟา้ มาก มอเตอรจ์ ะหมุนชา้ ถ้าลดความตา้ นทานไฟฟ้าลง มอเตอรจ์ ะหมนุ เร็วข้ึน 3.เพราะเหตุใดในการใชง้ านมอเตอร์ จงึ ตอ้ งถอดเตา้ เสยี บออกจากเตา้ รับทกุ ครั้งทีไ่ ฟตก และเมื่อเลกิ ใช้งาน เพราะถา้ ไฟตก มอเตอร์จะไมห่ มุน แต่ยงั มกี ระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดตวั นาอยู่ ซงึ่ อาจทาใหข้ ดลวดร้อนและไหม้ได้ 4.อุปกรณ์ท่เี ปลยี่ นพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า คือ ไดนาโม ซ่งึ ทาหนา้ ที่ตรงข้ามกบั มอเตอร์ 5.จงอธบิ ายหลกั การทางานของมอเตอร์ เมื่อใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นขดลวดตวั นาท่ีวางอย่รู ะหว่างสนามแมเ่ หลก็ ของขวั้ แมเ่ หลก็ เหนือใตจ้ ะทาใหเ้ กิดสนามแม่เหลก็ รอบ ๆ ขดลวด สง่ ผลให้เส้นแรงแมเ่ หลก็ ระหวา่ งข้ัวแมเ่ หลก็ ทงั้ สองเบี่ยงเบนไป เสน้ แรงแม่เหลก็ ทเ่ี บยี่ งเบนไปน้ี จะ พยายามยดื เสน้ แรงออกใหต้ รง โดยออกแรงผลักลวดตวั นา ทาใหเ้ กิดการหมุนของขดลวดขน้ึ ซงึ่ ทิศทางการหมนุ น้ี ข้นึ อย่กู ับทิศทางของกระแสไฟฟ้าทไี่ หลผ่านขดลวดตวั นา 6.ยกตัวอยา่ งเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ท่ใี หพ้ ลังงานกล พร้อมวาดภาพประกอบ (วาดภาพหรือนาภาพมาติด) เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ทีใ่ ห้พลงั งานกล เครื่องใชไ้ ฟฟ้า ที่ใหพ้ ลังงานกล

6หนว่ ยที่ ไฟฟา้ ใบงานเรอื่ ง เครือ่ งใช้ไฟฟ้าที่ใหพ้ ลังงานเสียง คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ชอ่ื -นามสกุล......................................................................ช้ัน...............เลขท่ี........... คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นเตมิ คาหรือข้อความลงในชอ่ งวา่ งให้ถูกตอ้ ง เสาอากาศส่ง เสาอากาศรบั คลืน่ วทิ ยุ คลน่ื วทิ ยุ สถานีวทิ ยุ รบั คล่ืนวทิ ยแุ ละ อปุ กรณ์ กระจายเสยี ง เลือกความถ่ีของ อเิ ล็กทรอนิกส์ คลน่ื หรือสถานี ขยายสัญญาณไฟฟา้ ให้แรงขน้ึ แผนภาพแสดงการเปลย่ี นพลงั งานไฟฟา้ เปน็ พลังงานเสียงของเคร่ืองรบั วิทยุ ลาโพงเสยี ง 1.จากภาพจงอธิบายหลักการของเคร่ืองรบั วิทยุ เคร่อื งรบั วิทยจุ ะรบั และเลือกสถานีหรอื เลอื กความถข่ี องคลนื่ วิทยุซ่งึ เป็นคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าจากสถานีส่งวิทยุ แล้ว เปล่ยี นคลืน่ วทิ ยุเปน็ สญั ญาณไฟฟา้ แล้วใช้อุปกรณอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ สข์ ยายสญั ญาณเสียงท่ีอยูใ่ นรปู ของสญั ญาณไฟฟ้าให้ แรงขน้ึ จนเพยี งพอท่ที าให้ลาโพงสั่นสะเทอื นเป็นเสยี งใหไ้ ดย้ ิน 2.สญั ญาณไฟฟา้ คือ แรงดนั หรือกระแสซึ่งเป็นพาหะของขอ้ มูลขา่ วสาร 3.คลน่ื วิทยุ คอื คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้าที่สง่ ผา่ นบรรยากาศด้วยความถวี่ ทิ ยุ ไม่ต้องอาศัยตวั กลางในการเคลื่อนที่ 4. ไมโครโฟน ทาหน้าท่เี ปล่ยี นพลังงานเสียงเป็นสญั ญาณไฟฟา้ ซึ่งจะถูกบันทึกเสยี งลงในแถบบันทึกทึกเสยี ง ซ่ึงฉาบไวด้ ้วยสารแมเ่ หล็ก ในรปู ของ สัญญาณแม่เหล็ก 5. ลาโพง ทาหน้าทเี่ ปลีย่ นสญั ญาณไฟฟา้ เป็นพลงั งานเสียง

6หนว่ ยท่ี ไฟฟา้ ใบงานเร่ือง เครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ท่ใี หพ้ ลังงานเสียง คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/9 สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ชอื่ -นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท่ี........... คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนบอกวธิ ีการใชเ้ ครอ่ื งใช้ไฟฟา้ อย่างถูกต้อง ประหยัด และคมุ้ ค่า ของเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าต่าง ๆ ดังต่อไปน้ี ชนิดของเครอ่ื งใช้ไฟฟ้า วิธกี ารใช้อย่างถกู ต้อง ประหยัด และคมุ้ คา่ หลอดไฟฟา้ โทรทัศน์ - ออกแบบบา้ นโดยใช้แสงสวา่ งจากธรรมชาตมิ ากท่สี ดุ เตารีด - ควรทาสีผนงั บา้ นดว้ ยสีอ่อน ๆ เพื่อทาให้ห้องดสู วา่ ง ลดการใช้หลอดไฟ - เลอื กใชห้ ลอดตะเกียบ หมอ้ หุงข้าวไฟฟา้ - บรเิ วณทีต่ อ้ งเปดิ ไฟทิ้งไว้นาน ๆ ควรใช้หลอดไฟฟ้าทมี่ ีวัตต์ต่า ตเู้ ยน็ - เลือกซอื้ ขนาดโทรทศั นใ์ ห้เหมาะกับความจาเป็น - ไม่เปดิ โทรทศั นท์ ง้ิ ไวโ้ ดยไมม่ ีคนดู - ไม่ปรับจอภาพใหส้ วา่ งเกนิ ความจาเปน็ - ไม่เปิดโทรทศั นล์ ่วงหนา้ เพื่อดรู ายการทช่ี อบ - เกบ็ ผา้ ไว้รดี ครง้ั ละมาก ๆ และควรรีดติดตอ่ กันจนเสร็จ - ไม่รีดผา้ ทย่ี งั เปยี กอยู่ - ไมพ่ รมนา้ ผา้ ทีจ่ ะรีดจนชมุ่ เกินไป - ถอดปลั๊กก่อนเสรจ็ สิน้ การรีดประมาณ 2 – 3 นาที เพราะยังมีความร้อน เหลอื เพียงพอ - ควรซกั และตากผ้าโดยไมต่ อ้ งบดิ จะทาใหร้ ีดไดง้ ่ายขนึ้ - เลอื กขนาดหมอ้ หงุ ข้าวให้เหมาะสมกับขนาดครอบครัว - หุงข้าวใหพ้ อดกี ับจานวนคน - อย่าเปิดฝาหมอ้ ขณะที่ข้าวยังไม่สกุ - หากเสยี บปลก๊ั อยู่อย่ากดสวิตซ์ปิด – เปิด ขณะทไี่ ม่มตี ัวหมอ้ ช้ันใน - ควรดึงปล๊กั ออกเม่ือขา้ วสกุ แล้ว - เลือกใชต้ เู้ ยน็ ทีม่ ขี นาดเหมาะสมกับครอบครวั - ควรวางตู้เย็นใหห้ า่ งจากผนังท้ังด้านหลงั และด้านขา้ ง อย่างนอ้ ย 15 cm. - ควรตัง้ อณุ หภมู ภิ ายในตู้เยน็ ประมาณ 3 – 6 ๐C และในช่องแชแ่ ขง็ -15 ๐C ถงึ -18 ๐C - ตอ้ งละลายนา้ แขง็ อยา่ งสม่าเสมอ - ไมน่ าอาหารท่ีร้อนหรือยงั อนุ่ อยู่ แชใ่ นตู้เย็น - ไมใ่ ส่ของแชจ่ นแน่นตเู้ ยน็

6หนว่ ยที่ ไฟฟา้ ใบงานเรอื่ ง ตวั ต้านทาน คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/4 สาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ ชอ่ื -นามสกลุ ......................................................................ชัน้ ...............เลขที่........... คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นเตมิ คาหรอื ข้อความลงในช่องว่างใหถ้ กู ตอ้ ง 1.ชิ้นส่วนอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ทามาจาก สารกึ่งตวั นา (Semiconductor) ซงึ่ เปน็ สารที่นาไฟฟ้าได้ดีกว่า ฉนวนไฟฟา้ แต่ไมด่ เี ท่า ตวั นาไฟฟ้า 2.อุปกรณท์ ใี่ ชค้ วบคมุ ปริมาณการไหลของกระแสไฟฟ้าในวงจรอเิ ล็กทรอนิกส์ คือ ตวั ต้านทาน (Resistors) 3.หน่วยวดั ความต้านทานคอื โอห์ม (Ω) 4.ตัวต้านทานแบง่ เปน็ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ ตัวต้านทานคงที่ และตัวต้านทานแปรคา่ ได้ 5.สญั ลักษณ์ตอ่ ไปน้ี หมายถึงตวั ต้านทานแบบใด สญั ลกั ษณ์ ชนิดตัวต้านทาน ตัวตา้ นทานคา่ คงที่ ตวั ต้านทานปรับคา่ ได้ ตวั ต้านทานปรับค่าได้ ตัวต้านทานปรบั คา่ ตามแสง 6.ตัวต้านทานตอ่ ไปนีม้ ีคา่ ความตา้ นทานเท่าใด (แสดงวิธคี ิดคา่ ความตา้ นทาน) แถบสที ่ี 1 สนี ้าตาล คา่ ท่อี า่ นได้ คอื 1 แถบสที ี่ 2 สีเขยี ว คา่ ท่ีอ่านได้ คือ 5 น้าตาล เขียว แดง แถบสที ี่ 3 สีแดง คา่ ทีอ่ ่านได้ คอื 102 แถบสีท่ี 4 ไม่มีสี ค่าความคลาดเคลื่อน คือ ± 20% ดงั นนั้ ตัวต้านทานนีม้ ีคา่ = 15 x 102 Ω ± 20% 1500 Ω ± ( x 1500 Ω) = 1.5 kΩ ± 0.3 kΩ ตวั ตา้ นทานนีม้ คี า่ ความต้านทานอยูร่ ะหว่าง 1,200 – 1,800 Ω หรือ 1.2 – 1.8 kΩ 7.พจิ ารณาภาพแลว้ ตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 7.1ถา้ ต้องการตอ่ ตัวตา้ นทานแปรคา่ ไดเ้ พื่อใหไ้ ด้ค่าความต้านทานสงู สดุ ควรต่อหมายเลข 1 - 3 เขา้ กับวงจร 1 7.2ถ้าตอ้ งการต่อตวั ต้านทานแปรคา่ ได้เพอื่ ใหค้ า่ ของความตา้ นทานเปล่ยี นแปลงไปตาม 2 3 การหมุนของแกนหมนุ ควรต่อหมายเลข 1- 2 เขา้ กับวงจร 8.ความเข้มของแสงทีต่ กกระทบบน LDR มีผลต่อความตา้ นทานอย่างไร ถา้ ไม่มแี สงหรอื มแี สงปรมิ าณน้อย ความตา้ นทานของ LDR จะมาก ทาให้กระแสไฟฟ้าในวงจรมีค่าน้อย แต่เมอื่ ถูกแสงทีม่ ีความเขม้ มาก ความต้านทานของ LDR จะน้อย ทาใหก้ ระแสไฟฟ้าในวงจรมีค่ามาก

6หนว่ ยที่ ไฟฟา้ ใบงานเร่ือง ตวั เกบ็ ประจุ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 สาระ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชอื่ -นามสกุล......................................................................ชั้น...............เลขท่ี........... ตอนที่ 1 นาอักษรหนา้ ขอ้ ความทางขวามือ เติมลงในชอ่ งว่างหนา้ ขอ้ ความทางซ้ายมอื ทม่ี คี วามสัมพนั ธก์ ัน 1.ใชแ้ รงเคลื่อนไฟฟา้ ประมาณ 50 – 2,000 โวลต์ ก. ตวั เกบ็ ปะจชุ นิดไมลาร์ 2.เป็นตวั เก็บประจุชนิดมขี ว้ั (Polarized) ข. ตัวเก็บประจชุ นดิ เซรามิก 3.มีความทนทานสูง ทนต่อความช้ืนและนา้ ค. ตวั เกบ็ ประจชุ นิดนา้ ยา 4.ชนิ้ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนิกส์ท่สี ามารถเก็บพลงั งานไฟฟ้าที่ได้รับเอาไว้ ง. ตวั เกบ็ ประจุ แล้วปลดปล่อยออกมาใช้งานได้ จ. ตัวเกบ็ อิเล็กตรอน 5.หนว่ ยวัดของค่าความจุของตัวเก็บประจุ ฉ. ฟารดั 6.ตัวเกบ็ ประจทุ ใ่ี ช้สารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์กน้ั มีฉนวนบาง ๆของ ช. ส่วนประกอบของตวั เก็บประจุ สารประกอบออกไซดเ์ กาะอย่บู นแผน่ อะลูมิเนยี มบาง ๆ 7.ใชเ้ ซรามกิ กน้ั ระหวา่ งแผน่ ตวั นาไฟฟา้ ไมม่ ขี ้วั บวกหรอื ขั้วลบ 8.ตัวนาไฟฟ้าสองแผน่ มาประกบกนั แลว้ กน้ั ด้วยฉนวนไฟฟ้า 9.ชือ่ เรียกอกี อย่างของตัวเก็บประจุ 10.คา่ ความจไุ ม่เปล่ยี นตามสภาพความชืน้ ตอนท่ี 2 นาขอ้ ความท่ีกาหนดให้เติมลงในช่องวา่ งใหถ้ ูกต้อง ตัวเก็บประจชุ นดิ ไมลาร์ ตัวเกบ็ ประจุชนิดนา้ ยา ตัวเก็บประจุชนดิ เซรามิก ตวั เกบ็ ประจุแบบไมม่ ีข้วั ตัวเก็บประจุชนิดปรับคา่ ได้ ตวั เกบ็ ประจแุ บบมขี ั้ว +- ตวั เกบ็ ประจชุ นดิ นา้ ยา ตัวเก็บประจุแบบมขี ว้ั ตัวเกบ็ ประจุชนิดไมลาร์ ตวั เก็บประจแุ บบไมม่ ขี ั้ว ตวั เก็บประจุชนิดเซรามิก ตวั เกบ็ ประจชุ นดิ ปรับค่าได้

6หน่วยท่ี ไฟฟา้ ใบงานเรอื่ ง ไดโอด คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ชือ่ -นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท่ี........... คาชแ้ี จง ให้นักเรยี นเตมิ คาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งให้ถูกตอ้ ง 1.ไดโอด (Diode) ประกอบดว้ ยข้วั 2 ข้ัว คือ แคโทด (Cathode) และ แอโนด (Anode) 2.ไดโอดจะยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นได้ เมอ่ื แอโนดมศี ักย์ไฟฟ้าสงู กวา่ แคโทด 3.พจิ ารณาภาพตอ่ ไปนีแ้ ล้วตอบคาถามให้ถูกตอ้ ง กข ภาพนี้คอื สัญลักษณ์ของไดโอด ก หมายถึง ขั้วแอโนด ข หมายถงึ ข้ัวแคโทด 4.พจิ ารณาวงจรต่อไปนี้แลว้ ตอบคาถามให้ถกู ตอ้ ง +- +- +- +- วงจร ก วงจร ข 4.1วงจร ก ไดโอดจะนากระแสไฟฟา้ หรอื ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นได้ เนือ่ งจาก ศกั ย์ไฟฟา้ ท่ีแอโนดสูงกวา่ ศักย์ไฟฟา้ ท่ีแคโทด 4.2วงจร ข ไดโอดจะไม่นากระแสไฟฟ้าหรือไม่ยอมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผ่าน เนื่องจาก ศกั ย์ไฟฟ้าท่ีแอโนดตา่ กว่า ศกั ยไ์ ฟฟ้าทีแ่ คโทด 5.จงบอกสภาวะของไดโอด ดงั แสดงในรูปว่าอยู่ในสภาวะ ON หรือ OFF 5.1 5.2 +5 V 0 V +5 V +7 V สถานะ ON สถานะ OFF 5.3 5.4 -6 V -3 V สถานะ ON -2 V +3 V สถานะ OFF

6หน่วยท่ี ไฟฟ้า ใบงานเรอ่ื ง ทรานซสิ เตอร์และไอซี คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 สาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ ชื่อ-นามสกลุ ......................................................................ชน้ั ...............เลขที่........... คาช้ีแจง ให้นักเรียนเติมเครือ่ งหมาย  หนา้ ขอ้ ความทเ่ี หน็ ดว้ ย และเตมิ เครื่องหมาย  หน้าข้อความท่ไี ม่เห็นดว้ ย 1.ทรานซิสเตอร์ทาจากสารกึ่งตวั นา 2 ชนดิ และนาสารท้ังสองมาประกบกัน 2.เมอ่ื แบ่งทรานซิสเตอร์ตามลักษณะของการประกบของสารกงึ่ ตัวนาแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ชนิด คือ N และ B 3.ในการพิจารณาชนดิ ของทรานซิสเตอร์จากสญั ลกั ษณท์ ่กี าหนดอยู่ ให้สังเกตทหี่ วั ลกู ศรท่ีขา E 4.ทรานซิสเตอรจ์ ะทางานไดก้ ต็ ่อเมือ่ ต่อให้ขา C มศี ักย์ไฟฟา้ สงู กว่าขา B และ ให้ศกั ยไ์ ฟฟา้ ที่ขา B สงู กวา่ ขา E 5.ถา้ รหัสหรอื เบอรข์ องทรานซิสเตอรม์ ีตวั อักษร A และ B ปรากฏอยู่ เชน่ 2 SA…. 2 SB… จะเป็นทรานซสิ เตอรช์ นิด PNP 6.ถ้ารหัสหรือเบอรข์ องทรานซิสเตอร์มตี วั อักษร C และ D ปรากฏอยู่ เช่น 2 SC 373 หรอื เขยี นเปน็ C 373 จะเป็นชนิด NPN 7.ทรานซิสเตอรจ์ ะทาหนา้ ท่เี หมอื นสวิตซ์ปิด – เปดิ วงจรไฟฟา้ 8.การนากระแสไฟฟ้าของทรานซสิ เตอร์ขึน้ อย่กู ับชนดิ ของสารกึง่ ตัวนา 9.การตอ่ ออดไฟฟ้าให้เกดิ เสยี งดงั และทางานได้เม่อื ปิดวงจรไฟฟ้า ต้องต่อข้ัวบวกของออดไฟฟ้า เข้ากับขั้วลบของแบตเตอรีใ่ นวงจรไฟฟ้า 10.ไอซี เป็นการยอ่ สว่ นวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ให้มีขนาดเลก็ ลง ทรานซิสเตอรช์ นดิ ตา่ งๆ ไอซี (Integrated Circuit)

6หนว่ ยที่ ไฟฟ้า ใบงานเรื่อง สัญลกั ษณพ์ ื้นฐานในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ คะแนน มาตรฐาน ว2.3 ม.3/6-7 สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ชือ่ -นามสกุล......................................................................ชน้ั ...............เลขท่ี........... คาชีแ้ จง นาข้อความทีก่ าหนดให้เตมิ ลงหนา้ สัญลกั ษณห์ รอื แผนภาพวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ให้ถกู ตอ้ ง ไมโครโฟน // มอเตอร์ // ลาโพง // ฟวิ ส์ // หม้อแปลงอากาศ // ลวดตัวนา ตวั เก็บประจุชนดิ คงที่ // ตวั เกบ็ ประจุแปรคา่ ได้ // แบตเตอร่หี รือแรงดันไฟฟา้ ตวั ต้านทานคงที่ // ตวั ต้านทานแปรคา่ ได้ // ไดโอด // ไดโอดเปลง่ แสง ลวดตวั นาเช่อื มต่อกัน // ทรานซิสเตอร์ NPN // ทรานซิสเตอร์ PNP // หม้อแปลงแกนเหลก็ อุปกรณ์ / ชนิด สัญลกั ษณ์ แบตเตอรห่ี รือแรงดันไฟฟ้า + หรือ - ตวั เก็บประจชุ นดิ คงท่ี ตัวเกบ็ ประจแุ ปรค่าได้ M ลวดตวั นา หรือ ลวดตัวนาเช่อื มตอ่ กัน หมอ้ แปลงอากาศ หมอ้ แปลงแกนเหลก็ ฟวิ ส์ ลาโพง ไมโครโฟน มอเตอร์ ตวั ตา้ นทานคา่ คงที่ ตัวตา้ นทานแปรคา่ ได้ ทรานซสิ เตอร์ NPN ทรานซิสเตอร์ PNP ไดโอด ไดโอดเปล่งแสง

แบบฝกึ หดั ท้ายหน่วย เรื่อง ไฟฟ้า คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นเลือกข้อทถี่ กู ตอ้ งทีส่ ดุ 1.การตอ่ วงจรไฟฟา้ ภายในบ้าน เคร่อื งใช้ไฟฟ้าควรตอ่ แบบ 7.เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหน่งึ มีตัวเลขกากบั วา่ 1,100 W 110 ใด V AC ข้อความใดถกู ต้อง ก.แบบอนุกรม ข.แบบขนาน ก.เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ชนดิ นจี้ ะมกี ระแสไฟฟ้าไหลผ่าน 100 ค.แบบผสม ง.แบบใดก็ได้ แอมแปร์ 2.เพราะเหตใุ ดสายสง่ ไฟฟ้าแรงสงู จงึ ต้องเป็นสายเปลอื ย ข.หากใช้เคร่อื งใช้ไฟฟา้ ชนิดนต้ี ้องใชห้ ม้อแปลงชนิดแปลง ก.ระบายความรอ้ นได้ดี ขน้ึ ข.เพื่อใหม้ ีน้าหนักเบา ค.นาไปใช้กบั ไฟฟ้ากระแสสลบั 110 โวลต์ หรือ 220 ค.ลดคา่ ใชจ้ ่ายท่ไี ม่จาเปน็ โวลต์ ก็เกดิ ความรอ้ นเท่ากัน ง. เปลือกหุ้มจะทาใหค้ วามต้านทานไฟฟา้ สูงขึ้น ง.เครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ชนิดนใี้ ช้กบั ไฟฟา้ กระแสสลับ ความตา่ ง 3.บา้ นหลังหนงึ่ ใชฟ้ วิ สข์ นาด 15 แอมแปร์ ถา้ นาหลอด ศกั ย์ 110 โวลต์ โดยใชพ้ ลังงานไฟฟ้าวินาทีละ 1,100 ไฟฟ้าซึ่งเขียนขา้ งหลอดว่า 220 V 110 W มาตอ่ แบบ จลู ขนาน จะตอ่ ได้ประมาณกห่ี ลอดโดยทฟี่ ิวสไ์ มข่ าด 8.โลหะในข้อใดมคี วามตา้ นทานไฟฟ้านอ้ ยที่สดุ ก.30 หลอด ข.40 หลอด ก.อะลมู เิ นยี ม ข.ทองแดง ค.60 หลอด ง.80 หลอด ค.เงนิ ง.นิโครม 9.พิจารณาลวดที่ทาดว้ ยโลหะชนิดเดียวกันทงั้ สามเสน้ ดงั 4.ข้อใดเป็นสมบัติของฟิวส์ ภาพ ข้อใดกลา่ วถกู ต้อง ก.มีความนาไฟฟา้ สงู เส้นท่ี 1 เส้นท่ี 2 ข.มีจดุ หลอมเหลวสงู เสน้ ท่ี 3 ค.มีจุดหลอมเหลวตา่ ง.มีความตา้ นทานไฟฟ้ามาก 5.ข้อใดเป็นหน้าทขี่ องทรานซสิ เตอร์ ก.เก็บประจไุ ฟฟา้ ไวใ้ ช้ ก.เส้นท่ี 1 มคี วามตา้ นทานมากกวา่ เสน้ ท่ี 3 ข.เป็นสวิตซ์ปดิ และเปดิ วงจร ค.เป็นตวั ตา้ นทานท่ีมคี า่ เปลี่ยนแปลงตามแสงที่ตกกระทบ ข.เส้นที่ 1 มคี วามตา้ นทานน้อยกว่าเสน้ ที่ 2 ง.เป็นตัวต้านทานท่ีเปล่ยี นค่าได้โดยการหมุนหรอื เล่ือนป่มุ ปรบั ค่า ค.เสน้ ที่ 2 มีความตา้ นทานมากกวา่ เสน้ ท่ี 3 6.ก่อนท่จี ะเสยี บเตา้ เสยี บของอุปกรณ์ไฟฟา้ ภายในบ้านกับ เต้ารบั ควรพิจารณาสง่ิ ใดเป็นอนั ดบั แรก ง.เสน้ ที่ 2 มคี วามต้านทานนอ้ ยกวา่ เส้นที่ 3 ก.วัตต์ ข.โอหม์ ค.โวลต์ ง.แอมแปร์ 10.ถ้าเครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าในบ้านใชก้ าลังไฟเฉลย่ี 300 วัตต์ที่ 220 โวลทใ์ น 1 วนั จะเสยี ค่าไฟฟา้ สาหรบั เดอื นมีนาคม เท่าไหร่ ถา้ คา่ ไฟฟา้ ยูนิตละ 1 บาท ก.216 บาท ข.223.20 บาท ค.2,160 บาท ง.2,232 บาท

7หนว่ ยท่ี ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชวี ภาพ

หนว่ ยที่ ระบบนิเวศ ใบงานเรอื่ ง ประชากรในระบบนิเวศ คะแนน 7 และความหากหลายทางชีวภาพ มาตรฐาน ว1.1 ม.3/1 สาระ วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ ช่ือ-นามสกุล......................................................................ชั้น...............เลขที่........... คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามต่อไปนใ้ี ห้ถูกต้อง และนาข้อความทีก่ าหนดใหเ้ ตมิ ลงในแผนภาพใหส้ มบูรณ์ 1.ประชากร หมายถงึ ส่ิงมีชีวติ ชนิดเดียวกนั ทีอ่ าศยั อยู่ในบริเวณเดยี วกันในชว่ งเวลาใดเวลาหน่ึง 2.ความหนาแนน่ ของประชากร หมายถึง สดั สว่ นของจานวนประชากรทง้ั หมดท่ีอาศัยอยู่ในบรเิ วณใดบริเวณหนึ่งต่อ พนื้ ท่ีหรือปริมาตรทีป่ ระชากรอาศัยอยู่ 3.ขนาดของประชากร หมายถงึ จานวนของประชากรทอ่ี าศัยอยูใ่ นพ้ืนทที่ ีก่ าหนด หรือแหล่งที่อยู่เดียวกนั 4.ปัจจัยพื้นฐานทส่ี ง่ ผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากร คอื อาหาร น้า และอากาศ 5.สวนหย่อมมพี นื้ ท่ี 25 ตารางเมตร มผี เี สือ้ 75 ตัว ความหนาแน่นของประชากรผเี สื้อเทา่ กบั 3 ตัวต่อตารางเมตร การเกดิ / การตาย / การอพยพเขา้ / การอพยพออก / ประชากรลดลง / ประชากรเพม่ิ ขน้ึ อาหาร / น้า / แก๊สออกซเิ จน / แหล่งทอ่ี ยู่ / โรคระบาด / สารพษิ / ความเป็นกรด-เบส สภาพดนิ ฟา้ อากาศ / แสงสวา่ ง อุณหภมู ิ ความชืน้ / พฤตกิ รรมระหวา่ งประชากรดว้ ยกันเอง ประชากร การตาย สาเหตกุ าร การเกดิ ประชากร ลดลง เปล่ียนแปลงขนาด เพิม่ ขึ้น การ การ อพยพ ของประชากร อพยพเขา้ ออก ปัจจยั ท่มี ผี ลตอ่ การเปล่ยี นแปลงขนาดของประชากร ปัจจัยจากดั ขน้ั พ้ืนฐานทสี่ ่งผลโดยตรงตอ่ ประชากร ปจั จัยอืน่ ๆท่ีส่งผลต่อประชากร น้า สภาพดินฟา้ อากศ แสงสวา่ ง อุณหภูมิ ความช้ืน อาหาร ความเปน็ กรด - เบส แหล่งทอี่ ยู่ แก๊สออกซเิ จน โรคระบาด สารพิษ พฤตกิ รรมระหวา่ งประชากรด้วยกนั เอง

หนว่ ยที่ ระบบนเิ วศ ใบงานเร่ือง ระบบนิเวศ คะแนน 7 และความหากหลายทางชวี ภาพ มาตรฐาน ว1.1 ม.3/1 สาระ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ ชือ่ -นามสกุล......................................................................ช้ัน...............เลขท่ี........... คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปนี้ใหถ้ กู ตอ้ ง และนาข้อความท่ีกาหนดใหเ้ ติมลงในแผนภาพให้สมบรู ณ์ 1.ระบบนเิ วศ หมายถึง ระบบทกี่ ล่มุ สิ่งมชี ีวติ ในแหลง่ ที่อยู่เดยี วกนั มีความสมั พนั ธซ์ ง่ึ กันและกนั มคี วามสมั พันธ์กับ สง่ิ ไมม่ ชี วี ติ ในแหล่งทอี่ ยนู่ ้นั และมกี ารถา่ ยทอดพลังงานและการหมุนเวียนของสารเกิดขึน้ ในระบบด้วย 2.ระบบนิเวศประกอบด้วย กล่มุ สิ่งมีชีวติ และ แหล่งทอี่ ยู่ 3.ระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่รวมระบบนิเวศทั้งหมดในโลก เรยี กว่า โลกของสิง่ มชี วี ิต หรอื ชีวภาค (Biosphere) 4.ระบบนเิ วศขนาดใหญแ่ บง่ เปน็ 4 ชนิด ได้แก่ ระบบนเิ วศแหลง่ น้าจืด ระบบนิเวศทะเล ระบบนเิ วศป่าชายเลน และระบบนเิ วศป่าไม้ 5.องค์ประกอบสาคัญในระบบนิเวศมี 2 ส่วน คือ 1. องคป์ ระกอบท่ีไมม่ ีชีวติ หรอื องค์ประกอบทางกายภาพ ไดแ้ ก่ น้า ดิน แสงสว่าง อุณหภมู ิ อากาศ ความเป็นกรด-เบส 2. องค์ประกอบทมี่ ชี วี ติ หรือชีวภาพ ได้แก่ คน สตั ว์พชื จลุ ินทรีย์ 6.สง่ิ มชี วี ติ ในระบบนิเวศแบ่งเปน็ 3 ชนิด ได้แก่ ผู้ผลิต(Producer) ผู้บริโภค(Consumer) และผูย้ อ่ ยสลาย (Decomposer) 7.จงอธิบายความหมายของคาตอ่ ไปน้ี 7.1 ผ้ผู ลิต(Producer) ส่งิ มชี วี ติ ที่สามารถสรา้ งอาหารได้เองตามธรรมชาตโิ ดยกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง 7.2 ผบู้ รโิ ภค(Consumer) สง่ิ มีชีวิตท่สี ร้างอาหารเองไม่ได้จาเป็นตอ้ งกนิ ผู้ผลิตหรอื ผูบ้ ริโภคด้วยกันเองได้แก่คนและ สัตวต์ ่างๆ 7.3 และผยู้ อ่ ยสลาย(Decomposer) สิ่งมีชวี ติ ทีท่ าหน้าทีย่ ่อยสลายซากพชื ซากสัตวใ์ ห้เนา่ เปอื่ ยผพุ งั กลายเปน็ แร่ธาตุต่างๆ ลงสู่ดนิ และนา้ 8.นาข้อความทกี่ าหนดใหเ้ ติมลงในแผนภาพให้สมบูรณ์ H2O / C6H12O6 / O2 / CO2 CO2 H2O แสงสวา่ ง C6H12O6 O2 H2O คลอโรฟิลล์ 9.แผนภาพด้านบน คอื กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 9.1 CO2 คือ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ 9.2 H2O คอื น้า 9.3 C6H12O6 คอื นา้ ตาลกลโู คส 9.4 O2 คอื แก๊สออกซเิ จน 10.ตน้ หมอ้ ข้าวหม้อแกงลิง กาบหอยแครง และสาหร่ายข้าวเหนียว มบี ทบาทใดในระบบนิเวศ จดั เป็นผูผ้ ลติ (Producer)

หนว่ ยที่ ระบบนิเวศ ใบงานเรือ่ ง การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ คะแนน 7 และความหากหลายทางชวี ภาพ มาตรฐาน ว1.1 ม.3/2-4 สาระ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ช่อื -นามสกลุ ......................................................................ชน้ั ...............เลขที่........... คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นใช้ภาพต่อไปน้ปี ระกอบการตอบคาถามขอ้ 1-5 1.ความสัมพันธใ์ นภาพเรยี กว่า สายใยอาหาร (Food We) 2.จงเขียนโซอ่ าหารแสดงการถ่ายทอดพลังงานทุกโซอ่ าหาร หญา้ หนู งู หมาปา่ เหย่ียว หญ้า กระตา่ ย งู หมา เหยย่ี ว หญา้ กระตา่ ย หมาป่า เหยี่ยว หญ้า หนอน นก เหยีย่ ว หญา้ ตั๊กแตน แมงมุม นก เหยย่ี ว หญา้ ตัก๊ แตน แมงมมุ กบ เหยี่ยว 3.ผู้บริโภคลาดบั ท่ี 2 ได้แก่ งู หมาปา่ นก แมงมุม 4.ถ้าพืชและสัตวต์ ายลงพลังงานจะถ่ายทอดใหก้ ับ ผยู้ ่อยสลายอินทรียสาร (Decomposer) ซ่งึ ไดแ้ ก่ แบคทเี รีย เหด็ รา 5. ให้นักเรียนเลือกโซอ่ าหารจากขอ้ 2 มา 1 โซ่อาหาร แลว้ นามาเขยี นแผนภาพพีระมดิ พลงั งาน แผนภาพพีระมดิ พลังงาน โซอ่ าหาร หญ้า ต๊ักแตน แมงมุม นก เหย่ยี ว

หน่วยที่ ระบบนเิ วศ ใบงานเร่อื ง การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ คะแนน 7 และความหากหลายทางชวี ภาพ มาตรฐาน ว1.1 ม.3/2-4 สาระ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ ชื่อ-นามสกุล......................................................................ชั้น...............เลขท่ี........... ตอนท่ี 1 ให้นักเรยี นนาคาหรอื ขอ้ ความทกี่ าหนดให้ เติมลงหนา้ ขอ้ ความทีม่ คี วามสมั พันธก์ ัน ภาวะการได้ประโยชนร์ ว่ มกัน / ภาวะพึ่งพากนั / ภาวะอิงอาศยั ภาวะมีการแขง่ ขัน / ภาวะปรสิต / การล่าเหยอื่ 1.นกทารงั บนต้นไม้ 2.ไลเคน (Lichen) (รากับสาหรา่ ย) 3.มดดากบั เพล้ยี 4.โพรโทซวั ในลาไส้ปลวก 5.ต้นไม้ชนิดตา่ งๆขึ้นบรเิ วณเดยี วกัน 6.กาฝากกับต้นไม้ 7.ปลาฉลามกบั เหาฉลาม 8.สงิ โตกินม้าลาย 9.แบคทีเรียไรโซเบยี มในปมรากพืชตระกูลถว่ั 10.ปเู สฉวนกับดอกไม้ทะเล 11.ปลาใหญ่กนิ ปลาเล็ก 12.นกเอยี้ งกับควาย ตอนที่ 2 จงเติมเคร่อื งหมายแสดงความสมั พนั ธข์ องสิ่งมีชีวติ และยกตัวอยา่ งสิง่ มชี วี ติ ท่ีมีความสมั พนั ธ์ตามท่ีกาหนดให้ (กาหนดให้ + แทนการได้ประโยชน์ , - แทนการเสียประโยชน์ , 0 แทนการไม่ได้ไม่เสียประโยชน์) ลักษณะการอยูร่ ่วมกนั เม่ืออยู่ร่วมกัน ตวั อย่างสิ่งมีชีวิต การล่าเหย่อื สงิ่ มีชวี ิต ชนิดที่ 1 ส่งิ มชี ีวติ ชนิดที่ 2 สิงโตกับม้าลาย ภาวะปรสิต + - เหบ็ กับสนุ ัข ภาวะอิงอาศยั + - กล้วยไม้กบั ตน้ ไม้ใหญ่ ภาวะพ่งึ พากัน + 0 ไลเคน (รากับสาหร่าย) ภาวะมกี ารแข่งขนั + + หอยเชอรีแ่ ละหอยโขง่ พนั ธุ์ พน้ื เมอื งของไทย ภาวะการได้ประโยชน์รว่ มกนั -- + + นกเอ้ยี งกบั ควาย

หนว่ ยท่ี ระบบนเิ วศ ใบงานเรอื่ ง การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ คะแนน 7 และความหากหลายทางชวี ภาพ มาตรฐาน ว1.1 ม.3/5-6 สาระ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ ชอ่ื -นามสกลุ ......................................................................ชั้น...............เลขท่ี........... คาชี้แจง ให้นกั เรียนเตมิ คาหรอื ขอ้ ความลงในช่องวา่ งให้ถกู ต้อง 1.แนวปฏบิ ัตกิ ารจดั การกบั ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมท่นี ยิ มนามาใชเ้ พ่อื สร้างจติ สานึกแก่ประชาชนโดยสากล คอื ใช้หลัก 7 R ซึ่งได้แก่ 1.1 REUSE คอื การรู้จักหมนุ เวยี นนาส่งิ ของที่ใช้แลว้ กลับมาใช้ใหม่ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสุด 1.2 REDUCE คอื การรูจ้ กั ทะนถุ นอมบารงุ รกั ษาส่งิ ทใี่ ชอ้ ยใู่ ห้อายุคงทนท่ีสดุ 1.3 REVENAL คอื การรจู้ ักตอ่ เติมตกแต่งสิง่ ทมี่ อี ย่ใู ห้ใชป้ ระโยชน์ไดม้ ากขึน้ 1.4 RECOVERY คือ การร้จู กั รกั ษาทรพั ยากรและส่งิ แวดลอ้ มใหพ้ กั ฟืน้ กอ่ นจะสูญหายและใชป้ ระโยชนต์ ่อ 1.5 RECYCLE คือ การรจู้ ักหมนุ เวียนนาสง่ิ ของทีท่ ้ิงกลบั มาผ่านกระบวนการใหม่และนาไปใช้ประโยชน์ 1.6 REPAIR คอื การรู้จักซอ่ มแซมฟนื้ ฟูสิ่งของท่ีสกึ หรอให้สามารถใช้ประโยชน์ไดอ้ ีก 1.7 REJECT คอื การรู้จกั ปฏเิ สธหรืองดการใช้สงิ่ ของทท่ี าลายและสร้างมลพิษใหก้ บั ส่ิงแวดลอ้ ม 2.นักเรียนมีความคดิ เหน็ อยา่ งไรกับการนาสัตวป์ ่าบางชนิดมาเปน็ อาหารหรือนามาเลย้ี ง การนาสัตว์ปา่ มาเป็นอาหารมมี าเปน็ เวลาชา้ นานแล้ว ซง่ึ สตั ว์ปา่ หลายชนิดกไ็ ดพ้ ฒั นาจนกระท่ังกลายเปน็ เล้ยี งไป สัตว์ ปา่ หลายชนดิ ตามธรรมชาติคนก็ยงั นิยมใช้เน้ือเป็นอาหารอยู่ เชน่ หมูปา่ เกง้ กวาง กระจง กระทิง นกเขาเปล้า นกเปด็ น้า ตะกวด แย้ เปน็ ต้น อวยั วะของสตั ว์ป่าบางอยา่ ง เช่น นอแรด กระโหลก เลียงผา เขากวางออ่ น เลือด และกระเพาะคา่ ง ดีของหมี ดีงูเห่า กย็ ังมีผนู้ ยิ มดัดแปลงเป็นอาหาร หรอื ใช้เปน็ เครอ่ื งยาสมุนไพรอกี ดว้ ย (คาตอบ ตามความคดิ เหน็ ของนกั เรียน) 3.กจิ กรรมใดบ้างที่มวี ตั ถุประสงคเ์ พ่ือการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ 3.1กิจกรรมในโรงเรยี น การเขา้ คา่ ยอนุรกั ษ์สิ่งแวดลอ้ ม การปลกู ป่าชายเลน 3.2กจิ กรรมในท้องถิ่นหรือระดบั ประเทศ การรณรงคใ์ หใ้ ชถ้ งุ ผา้ แทนถงุ พลาสติก 4.จงอธบิ ายการเกิดการเน่าเสียของแหล่งนา้ ในหัวข้อตอ่ ไปนี้ 4.1สาเหตุ เนื่องจากมีการทิง้ ขยะลงในแหลง่ นา้ ปลอ่ ยน้าเสียจากบ้านเรอื นลงสูแ่ หล่งนา้ 4.2ผลกระทบต่อคนในชุมชน น้าสง่ กล่นิ เหมน็ คนในชมุ ชนขาดแคลนนา้ สาหรับอุปโภค บริโภค 4.3วิธกี ารปอ้ งกนั /วิธีการแกป้ ัญหา ทกุ คนท่อี าศัยอยใู่ นชุมชนตอ้ งมีความตระหนกั ในการดูแลรักษาแหลง่ นา้ สรา้ ง จติ สานึกให้คนในชมุ ชนช่วยกนั ดูแลรักษาแหล่งนา้ ไม่ทิง้ ขยะหรอื ปล่อยน้าเสยี ลงสแู่ หลง่ นา้ ในชมุ ชน 5.นกั เรยี นมแี นวทางในการอนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมทย่ี ่งั ยนื อยา่ งไรบา้ ง จงอธบิ าย ทาใหท้ รพั ยากรธรรมชาตมิ ปี รมิ าณเพ่มิ ขน้ึ และเพ่มิ คณุ ภาพรวมทัง้ ใช้ทรพั ยากรธรรมชาติให้เกดิ ประโยชน์สงู สุด การรักษา ทรัพยากรธรรมชาติใหอ้ ย่ใู นสภาพเดิม เช่น ทาใหเ้ ปน็ พื้นท่ีพักผอ่ นหยอ่ นใจ เป็นประโยชน์และมีคุณค่าทางนเิ วศวิทยา การเลอื กใชส้ ิ่งแวดล้อมได้อยา่ งคุม้ คา่ ควบคู่ไปกบั การพัฒนาทาใหเ้ กดิ ความสมดลุ ของทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละเป็นการ จดั การกบั ทรพั ยากรธรรมชาติใหม้ ีพอใชใ้ นอนาคตให้ย่ังยืนตอ่ ไป ไดแ้ ก่ การอนุรักษป์ า่ ไม้ การอนรุ กั ษน์ ้า การ อนรุ ักษ์ดิน และการอนุรกั ษ์สตั วป์ ่า

แบบฝกึ หัดท้ายหนว่ ย เรอื่ ง ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นเลอื กขอ้ ทถี่ กู ต้องทส่ี ดุ 1.ความสัมพันธ์ระหวา่ งส่ิงมีชวี ติ ในระบบนิเวศ ภาวะใดมี 6.ข้อใดเป็นผลของปัจจยั ชีวภาพทม่ี ตี ่อจานวนประชากรของ บทบาทในการควบคมุ สมดุลของจานวนประชากรสิง่ มีชวี ิต สงิ่ มชี ีวติ ตามธรรมชาตมิ ากที่สดุ ก.ดินถลม่ ข.น้าท่วม ก.ภาวะการล่าเหย่อื ค.การอพยพเขา้ ง.ไฟไหมป้ ่า ข.ภาวะการไดป้ ระโยชน์ร่วมกนั 7.การหมักขยะอนิ ทรยี ์ในทท่ี ่ีมปี ริมาณออกซิเจนตา่ หรอื ไม่มี ค.ภาวะองิ อาศัย เลย จะไดแ้ กส๊ ชนิดใดมากทีส่ ดุ ง.ภาวะพ่ึงพากนั ก.แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ 2.ความสัมพนั ธใ์ นข้อใดถกู ตอ้ ง ข.แกส๊ มเี ทน ก.มดดากบั เพลย้ี -ภาวะปรสิต ค.แกส๊ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ข.เหาฉลามกบั ปลาฉลาม-ภาวะพึ่งพากนั ง.แกส๊ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ค.แบคทเี รยี ในลาไสใ้ หญ่-ภาวะไดป้ ระโยชน์รว่ มกนั 8.ปัจจัยทางกายภาพที่มอี ทิ ธิพลต่อการอพยพยา้ ยถ่นิ ของ ง.ผีเสอื้ กบั ดอกไม้-ภาวะเกื้อกลู กนั สตั ว์มากที่สดุ คอื ข้อใด 3.ปริมาณพลงั งานทถ่ี ่ายทอดไปตามโซอ่ าหารลดลงเรอื่ ย ๆ ก.แสง ข.อณุ หภูมิ เนื่องจากสาเหตุใด ค.ความช้นื ง.ชนิดของอาหาร ก.ผู้บริโภคไมส่ ามารถใช้ประโยชนจ์ ากอาหารทกี่ นิ เข้าไปได้ 9.วัฏจักรของสารในข้อใดไม่มกี ารหมนุ เวยี นสูบ่ รรยากาศ ทั้งหมด ก.วฏั จกั รคาร์บอน ข.อาหารทผ่ี ้บู ริโภคกนิ เข้าไปถูกเปล่ยี นเป็นพลังงานความ ข.วฏั จักรฟอสฟอรสั รอ้ นจนหมด ค.วฏั จักรน้า ค.ผบู้ รโิ ภคพืชและผ้บู ริโภคสตั วเ์ ปลย่ี นเปน็ พลงั งานไม่ ง.วฏั จักรไนโตรเจน เทา่ กนั 10.แบคทีเรียในปมรากถว่ั มีหนา้ ที่อย่างไรในวฏั จกั ร ง.ขณะทถ่ี า่ ยทอดพลงั งานจากผูบ้ ริโภคสผู่ ู้บรโิ ภคอกี อันดับ ไนโตรเจน หนึง่ มกี ารสญู เสยี พลงั งาน ก.เปล่ียนเกลอื แอมโมเนยี มเปน็ ไนไตรต์ 4.บริเวณใดพบจานวนชนดิ ของสงิ่ มชี ีวิตต่อพน้ื ทีม่ ากทสี่ ดุ ข.เปล่ยี นไนไตรเ์ ป็นไนเตรตสะสมในดนิ ก.หบุ เขา ข.ปา่ ดิบชน้ื ค.ตรงึ ไนโตรเจนในดนิ ให้เปลีย่ นเป็นสารประกอบ ค.ทงุ่ หญ้า ง.ป่าชายเลน ไนเตรต 5.การเพิม่ จานวนของสัตว์ในข้อใดมผี ลต่อการลดแกส๊ ง.ตรึงไนโตรเจนในอากาศมาเปน็ สารประกอบไนเตรตใน คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศมากที่สุด รากถั่ว ก.ปะการงั ข.ดาวทะเล ค.ปลิงทะเล ง.เมน่ ทะเล

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชว้ี ดั กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสิง่ ไมม่ ชี ีวิตกับส่ิงมีชวี ิต และ ความสัมพันธร์ ะหว่างสิง่ มีชีวติ กับสิ่งมชี วี ติ ต่างๆ ในระบบนิเวศการถา่ ยทอดพลงั งาน การเปลี่ยนแปลงแทนทใี่ นระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมตี ่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมแนวทางในการอนรุ กั ษ์ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปัญหาสง่ิ แวดลอ้ มรวมทัง้ นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ตวั ช้ีวัด ว 1.1 ม.3/1 อธบิ ายปฏสิ ัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศทไี่ ด้จากการสารวจ ว 1.1 ม.3/2 อธบิ ายรปู แบบความสัมพนั ธ์ระหว่างสงิ่ มชี ีวิตกบั ส่งิ มชี ีวิตรูปแบบต่างๆ ในแหลง่ ทอ่ี ยู่เดียวกนั ทีไ่ ด้จากการสารวจ ว 1.1 ม.3/3 สรา้ งแบบจาลองในการอธบิ ายการถ่ายทอดพลังงานในสายใยอาหาร ว 1.1 ม.3/4 อธบิ ายความสมั พันธ์ของผผู้ ลิต ผบู้ ริโภค และผยู้ อ่ ยสลายสารอนิ ทรีย์ในระบบนิเวศ ว 1.1 ม.3/5 อธิบายการสะสมสารพิษในสิง่ มชี ีวติ ในโซ่อาหาร ว 1.1 ม.3/6 ตระหนกั ถึงความสมั พนั ธข์ องสง่ิ มชี วี ิต และสงิ่ แวดลอ้ มในระบบนิเวศ โดยไมท่ าลายสมดุลของระบบนเิ วศ มาตรฐาน ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมสารพันธกุ รรม การ เปล่ียนแปลงทางพนั ธกุ รรมที่มีผลต่อส่งิ มีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและววิ ฒั นาการของสง่ิ มีชีวิต รวมท้ังนาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ตวั ช้ีวัด ว 1.3 ม.3/1 อธบิ ายความสัมพันธร์ ะหว่าง ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซม โดยใช้แบบจาลอง ว 1.3 ม.3/2 อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมจากการผสมโดยพิจารณาลกั ษณะเดยี วท่ีแอลลีลเด่น ข่มแอลลีลดอ้ ยอย่างสมบูรณ์ ว 1.3 ม.3/3 อธบิ ายการเกิดจโี นไทปแ์ ละฟโี นไทปข์ องลกู และคานวณอัตราสว่ นการเกิดจโี นไทป์ และฟีโนไทป์ของรนุ่ ลกู ว 1.3 ม.3/4 อธบิ ายความแตกต่างของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ และไมโอซสิ ว 1.3 ม.3/5 บอกได้วา่ การเปลี่ยนแปลงของยนี หรือโครโมโซมอาจทาใหเ้ กิดโรคทางพนั ธกุ รรม พร้อมทงั้ ยกตัวอยา่ ง โรคทางพันธุกรรม ว 1.3 ม.3/6 ตระหนกั ถึงประโยชนข์ องความรู้เรอื่ งโรคทางพันธกุ รรม โดยรวู้ ่าก่อนแตง่ งานควรปรกึ ษาแพทยเ์ พ่ือตรวจ และวนิ จิ ฉัยภาวะเสย่ี งของลกู ทอ่ี าจเกดิ โรคทางพนั ธุกรรม ว 1.3 ม.3/7 อธิบายการใช้ประโยชนจ์ ากส่ิงมชี ีวติ ดดั แปรพันธกุ รรม และผลกระทบทีอ่ าจมีตอ่ มนษุ ย์และสิง่ แวดล้อม โดยใชข้ ้อมูลท่รี วบรวมได้ ว 1.3 ม.3/8 ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของส่งิ มีชีวิตดดั แปรพันธกุ รรมทีอ่ าจมตี อ่ มนุษย์และส่งิ แวดล้อมโดยการ เผยแพร่ความรูท้ ่ีไดจ้ ากการโตแ้ ย้งทางวิทยาศาสตร์ ซ่งึ มีขอ้ มูลสนบั สนนุ ว 1.3 ม.3/9 เปรยี บเทียบความหลากหลายทางชวี ภาพในระดับชนิดส่ิงมีชวี ิตในระบบนเิ วศต่างๆ ว 1.3 ม.3/10 อธบิ ายความสาคญั ของความหลากหลายทางชวี ภาพท่มี ตี อ่ การรกั ษาสมดลุ ของระบบนิเวศและตอ่ มนษุ ย์ ว 1.3 ม.3/11 แสดงความตระหนกั ในคณุ คา่ และความสาคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีสว่ นร่วมในการดแู ล รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ชีว้ ัด กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหว่างสมบัติของสสารกบั โครงสร้างและ แรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลีย่ นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการ เกิดปฏิกิริยาเคมี ตัวชี้วดั ว 2.1 ม.3/1 ระบุสมบัติทางกายภาพและการใชป้ ระโยชน์วสั ดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก และวัสดุผสมโดย ใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ และสารสนเทศ ว 2.1 ม.3/2 ตระหนกั ถงึ คุณค่าของการใชว้ ัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวสั ดผุ สม โดยเสนอแนะแนว ทางการใชว้ สั ดอุ ย่างประหยดั และคุ้มคา่ ว 2.1 ม.3/3 อธบิ ายการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี รวมถึงการจดั เรยี งตัวใหมข่ องอะตอมเม่อื เกิดปฏิกริ ยิ าเคมโี ดยใช้ แบบจาลองและสมการขอ้ ความ ว 2.1 ม.3/4 อธบิ ายกฎทรงมวล โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ว 2.1 ม.3/5 วิเคราะหป์ ฏกิ ิรยิ าดูดความร้อน และปฏิกิรยิ าคายความรอ้ น จากการเปลีย่ นแปลงพลังงาน ความรอ้ นของปฏกิ ิรยิ า ว 2.1 ม.3/6 อธบิ ายปฏิกิรยิ าการเกิดสนิมของเหลก็ ปฏิกิรยิ าของกรดกับโลหะ ปฏิกิรยิ าของกรดกับเบส และปฏกิ ริ ิยาของเบสกับโลหะ โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจักษ์ และอธบิ ายปฏกิ ริ ิยาการเผาไหม้ การเกดิ ฝนกรด การสังเคราะหด์ ว้ ยแสง โดยใชส้ ารสนเทศ รวมท้ังเขยี นสมการขอ้ ความแสดง ปฏกิ ิรยิ าดังกลา่ ว ว 2.1 ม.3/7 ระบปุ ระโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมีท่ีมตี ่อสงิ่ มีชีวติ และส่งิ แวดลอ้ ม และยกตวั อยา่ งวธิ ีการ ปอ้ งกนั และแก้ปญั หาท่เี กิดจากปฏิกริ ิยาเคมที ่พี บในชวี ติ ประจาวนั จากการสบื ค้นขอ้ มลู ว 2.1 ม.3/8 ออกแบบวิธแี กป้ ญั หาในชีวิตประจาวัน โดยใช้ความรูเ้ ก่ียวกับปฏิกิรยิ าเคมีโดยบรู ณาการ วิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตรเ์ ทคโนโลยี และวศิ วกรรมศาสตร์ มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปลีย่ นแปลงและการถ่ายโอนพลงั งานปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างสสารและ พลงั งานพลังงานในชีวิตประจาวนั ธรรมชาตขิ องคล่ืน ปรากฏการณ์ ทเ่ี กี่ยวข้องกบั เสียง แสง และคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมท้ังนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ตัวชวี้ ดั ว 2.3 ม.3/1 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศกั ยก์ ระแสไฟฟ้า และความต้านทาน และคานวณปริมาณท่ี เกี่ยวข้องโดยใช้สมการ V = IR จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ว 2.3 ม.3/2 เขยี นกราฟความสัมพันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟา้ และความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ ว 2.3 ม.3/3 ใชโ้ วลตม์ ิเตอร์ แอมมเิ ตอรใ์ นการวดั ปรมิ าณทางไฟฟ้า ว 2.3 ม.3/4 วเิ คราะห์ความต่างศักย์ไฟฟา้ และกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้ เม่ือตอ่ ตัวตา้ นทานหลายตัวแบบอนกุ รมและ แบบขนานจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ว 2.3 ม.3/5 เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดงการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและขนาน ว 2.3 ม.3/6 บรรยายการทางานของชิ้นส่วนอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์อย่างงา่ ยในวงจรจากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ ว 2.3 ม.3/7 เขียนแผนภาพและตอ่ ช้ินส่วนอเิ ลก็ ทรอนิกส์อยา่ งงา่ ยในวงจรไฟฟา้

มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชี้วดั กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ว 2.3 ม.3/8 อธบิ ายและคานวณพลังงานไฟฟ้าโดยใชส้ มการ W = Pt รวมทั้งคานวณคา่ ไฟฟ้าของเคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ในบา้ น ว 2.3 ม.3/9 ตระหนักในคุณคา่ ของการเลอื กใชเ้ ครอื่ งใช้ไฟฟา้ โดยนาเสนอวิธีการใชเ้ คร่อื งใช้ไฟฟ้า อยา่ งประหยัดและปลอดภยั ว 2.3 ม.3/10 สรา้ งแบบจาลองทอี่ ธิบายการเกิดคล่นื และบรรยายสว่ นประกอบของคลื่น ว 2.3 ม.3/11 อธบิ ายคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และสเปกตรัมคลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ จากขอ้ มูลทีร่ วบรวมได้ ว 2.3 ม.3/12 ตระหนกั ถงึ ประโยชน์และอนั ตรายจากคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ โดยนาเสนอการใช้ประโยชนใ์ นด้านตา่ งๆ และ อันตรายจากคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าในชีวิตประจาวนั ว 2.3 ม.3/13 ออกแบบการทดลองและดาเนินการทดลองด้วยวธิ ที ่ีเหมาะสมในการอธบิ ายกฎการสะท้อนของแสง ว 2.3 ม.3/14 เขียนแผนภาพการเคลอ่ื นท่ีของแสง แสดงการเกิดภาพจากกระจกเงา ว 2.3 ม.3/15 อธบิ ายการหักเหของแสงเมอ่ื ผ่านตวั กลางโปรง่ ใสที่แตกต่างกนั และอธบิ ายการกระจายแสงของแสงขาว เมอื่ ผ่านปริซึมจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ ว 2.3 ม.3/16 เขยี นแผนภาพการเคลอื่ นทีข่ องแสงแสดงการเกิดภาพจากเลนส์บาง ว 2.3 ม.3/17 อธบิ ายปรากฏการณ์ทเ่ี กีย่ วกบั แสง และการทางานของทัศนอปุ กรณ์จากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ ว 2.3 ม.3/18 เขยี นแผนภาพการเคล่ือนทขี่ องแสง แสดงการเกดิ ภาพของทศั นอุปกรณ์และเลนส์ตา ว 2.3 ม.3/19 อธิบายผลของความสว่างที่มีต่อดวงตาจากข้อมลู ทไี่ ดจ้ ากการสบื คน้ ว 2.3 ม.3/20 วดั ความสว่างของแสงโดยใช้อปุ กรณว์ ดั ความสวา่ งของแสง ว 2.3 ม.3/21 ตระหนกั ในคณุ ค่าของความรเู้ รื่อง ความสวา่ งของแสงที่มตี ่อดวงตา โดยวิเคราะหส์ ถานการณป์ ัญหาและ เสนอแนะการจดั ความสวา่ งให้เหมาะสมในการทากิจกรรมตา่ งๆ สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และ ระบบสุริยะ รวมทงั้ ปฏสิ ัมพนั ธ์ภายในระบบสุริยะทส่ี ง่ ผลตอ่ ส่งิ มชี ีวติ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ ตัวช้ีวัด ว 3.1 ม.3/1 อธิบายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทิตย์ดว้ ยแรงโนม้ ถ่วงจากสมการ F = (Gm1m2)/r2 ว 3.1 ม.3/2 สร้างแบบจาลองทอ่ี ธบิ ายการเกดิ ฤดู และการเคลือ่ นทป่ี รากฏของดวงอาทิตย์ ว 3.1 ม.3/3 สร้างแบบจาลองที่อธบิ ายการเกิดขา้ งขึน้ ข้างแรม การเปลี่ยนแปลงเวลาการขึ้นและตกของดวงจันทร์ และ การเกดิ น้าขึน้ นา้ ลง ว 3.1 ม.3/4 อธิบายการใชป้ ระโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศและยกตวั อย่างความก้าวหนา้ ของโครงการสารวจอวกาศ จาก ขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาไทย โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน lmyour แปลภาษา แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ไทยแปลอังกฤษ ประโยค แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แปลภาษาอาหรับ-ไทย Terjemahan พจนานุกรมศัพท์ทหาร หยน แปลภาษา มาเลเซีย ไทย Bahasa Thailand ข้อสอบภาษาอังกฤษ พร้อมเฉลย pdf บบบย tor คือ จัดซื้อจัดจ้าง การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 ชขภใ ยศทหารบก เรียงลําดับ ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง เขียน อาหรับ แปลไทย แปลภาษาอิสลามเป็นไทย Google map กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย ค้นหา ประวัติ นามสกุล อาจารย์ ตจต แจ้ง ประกาศ น้ำประปาไม่ไหล แปลบาลีเป็นไทย แปลภาษา ถ่ายรูป แปลภาษาจีน แปลภาษามลายู ยาวี โรงพยาบาลภมูพลอดุยเดช ที่อยู่ Google Drive Info TOR คือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ช่างไฟฟ้า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 กลยุทธ์ทางการตลาด มีอะไรบ้าง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีอะไรบ้าง การประปาส่วนภูมิภาค การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 ขขขขบบบยข ่ส ข่าว น้ำประปา วันนี้ ข้อสอบโอเน็ต ม.6 มีกี่ตอน ตารางธาตุ ประปาไม่ไหล วันนี้