การเติม s es ที่คำกริยา ก็คล้ายกันกับการเติม s es ที่ท้ายคำนาม เพื่อทำคำนามให้เป็นนามพหูพจน์ทุกประการ ยกเว้นท้ายกริยาที่ลงท้ายด้วย o เท่านั้นที่แตกต่างนิดหนึ่ง เพราะกริยาที่ลงท้ายด้วย o ให้เติม es อย่างเดียว ไม่เหมือนคำนามที่เติม s บ้าง es บ้าง
หากประธานเป็นเอกพจน์ กริยาเติม s,es ส่วนประธานพหูพจน์ไม่ต้องเติมนะครับ หลักการเติมมีดังนี้
1. เติม s หลังคำกริยาปกติทั่วๆ ไป เช่น
คำเดิมคำอ่านเติม sคำอ่านคำแปลcomeคัมcomesคัมสมาcutคัทcutsคัทสตัดdrinkดริงคdrinksดริงคสดื่มfeelฟีลfeelsฟีลสรู้สึกeatอีทeatsอีทสกินswimสวิมswimsสวิมสว่ายน้ำ
2. เติม es หลังคำกริยาที่ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, z และ o เช่น
คำเดิมคำอ่านเติม sคำอ่านคำแปลcatchแค็ทชcatchesแค็ชเช็สจับkissคิสkissesคิสเส็สจูบmissมิสmissesมิสเส็สคิดถึงteachทีชteachesทีชเช็สสอนwashวอชwashesวอชเช็สล้างbuzzบัสbuzzesบัสเส็สส่งเสียงหึ่งๆfixฟิกสfixesฟิกเซ็สซ่อมmixมิกสmixesมิกเซ็สผสมgoโกgoesโกสไปdoดูdoesดัสทำ
- ถ้าลงท้ายด้วย -shes ให้ออกเสียง เช็ส ต่อท้าย แต่ ช ช้างออกเสียงคล้ายไล่ไก่
- ถ้าลงท้ายด้วย -ches ให้ออกเสียง เช็ส ต่อท้าย และช ช้างออกเสียงเหมือน ช ช้างของไทย
- ถ้าลงท้ายด้วย -ses ให้ออกเสียง เซ็ส ต่อท้าย
- ถ้าลงท้ายด้วย -zes ให้ออกเสียง เส็ส ต่อท้าย แต่ต้องทำเสียงสั่น ๆ ในลำคอหน่อย
3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y มี 2 ประการดังนี้
หน้า y เป็นสระ ( a , e , i , o , u ) ให้เติม s ได้เลย เช่น
คำเดิมคำอ่านเติม sคำอ่านคำแปลbuyบายbuysบายสซื้อplayพเลplaysพเลสเล่นsayเซsaysเซสพูดpayเพpaysเพสจ่ายstayสเตstaysสเตสพักobeyเชื่อฟังobeysโอเบสเชื่อฟังsurveyเซอเว๊surveysเซอเว๊สสำรวจenjoyอินจ๊อยenjoysอินจ๊อยสสนุกdestroyดิสตร๊อยdestroysดิสตร๊อยสทำลาย
แต่หน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
คำเดิมคำอ่านเติม sคำอ่านคำแปลflyฟลายfliesฟลายสบินcryครายcriesครายสร้องไห้studyสตัดดิstudiesสตัดดิสเรียนtryทรายtriesทรายสพยายามfryฟรายfriesฟรายสทอดcopyค๊อพพิcopiesค๊อพพิสคัดลอกmodifyม๊อดดิฟายแก้ไขม๊อดดิฟายสแก้ไข
ครับ….สำหรับหลักการเติม s es หลังคำกริยาทั้ง 3 ข้อก็มีด้วยประการะ…ฉะนี้แล…
ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ เว็บไซต์ "ภาษาอังกฤษออนไลน์" อันดับ 1 ของเมืองไทย แหล่งเรียนรู้บนโลกออนไลน์ ที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ และเก่งได้ด้วยตนเอง กล้ารับรองว่านี่คือคลังแห่งการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดในเมืองไทย
เพื่อนๆกำลังสงสัยกันอยู่ใช่ไหมว่าทำไมเราต้องเติม s และ es หลังกริยาด้วยวันนี้ แอดมินจากเพจ Engduo Thailand จะมาไขข้อสงสัยกันว่าทำไมถึงต้องเติม s และ es หลังกริยา ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจเบื้องต้นกันก่อนว่า
Photograph: Grammar Monster
นามทั้งหมดมี 2 ประเภทได้แก่ นามที่นับได้(countable noun) และ และนามที่นับไม่ได้(uncountable noun) เรามาดูกันว่านามทั้ง 2 ประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร
นามนับได้ (countable noun) คือ
คำนามที่นับได้ ก็คือเราสามารถนับได้จริงๆ นับเป็นชิ้นๆ อันๆ มองเห็นได้ชัดเจน เช่น apple นี่ก็เป็นนามนับได้ เพราะเราเห็นเป็นผลหนึ่งผลเลย pen ก็นับได้เพราะเราเห็นเป็นแท่งๆ
นามนับไม่ได้ (uncountable noun) คือ
คำนามที่เราไม่รู้จะนับยังไงเพราะเรามองไม่เห็นความชัดเจนจากมันเช่น water – เพราะมันเป็นของเหลว เรานับไม่ได้แน่นอน เราจะนับได้ก็ต่อเมื่อมันอยู่ในกล่องบรรจุภัณฑ์เช่น A bottle of water – นำ 1 ขวด นอกจากนั้นนามนับได้จะมีพวกนามธรรมที่เรามองไม่เห็นเช่น honesty (ความซื่อสัตย์) ที่เราไม่รู้ว่ามันหน้าตาเป็นยังไง
หากนักเรียนเข้าใจเรื่องคำนามนับได้ – ไม่ได้แล้ว ทีนี้เราก็จะมาแต่งประโยคกัน ในภาษาไทยนั้น ไม่ว่าประธานจะเป็นอะไร เราก็ใช้กริยาเหมือนกันหมดเช่น
- ฉันกิน
- เขากิน
- หล่อนกิน
เราใช้คำว่า “กิน” หมดเลยในภาษาไทย แต่!!!! มันไม่ใช่แบบนี้กับภาษาอังกฤษ ถ้าเหตุการณ์ที่เราจะพูด มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน หรืออะไรก็ได้ที่มันเป็นความจริง เป็นนิสัย กิจวัตรต่างๆ เราจะใช้ tense ที่เรียกว่า “Present Simple Tense” ก็คือ ใส่ประธาน + กริยาช่อง 1 ไปเลย
ความงงของคนไทยคือ แล้วทำไมบางทีกริยาต้องเติม s ด้วยหล่ะ!! คือกฏมันมีแบบนี้ครับนักเรียน ไม่ต้องเครียดไป ก่อนจะเริ่มกันเรามาทบทวนความรู้กันหน่อย
ทบทวนความรู้
คำกริยารูป เอกพจน์ ได้แก่ is, does, has, คำกริยารูปที่ เติม s/es คำกริยารูป พหูพจน์ ได้แก่ are, do, have, คำกริยารูปที่ ไม่ได้เติม s/es
ใน present simple tense เราจะใช้คำกริยารูปเอกพจน์ กับคำนามเอกพจน์ เช่น
- Tim walks to school every day.
และจะใช้คำกริยารูปพหูพจน์ กับคำนามพหูพจน์ เช่น
- My friends walk to school every day
ถ้าประธานมี 1 คน(เรียกว่า ประธานเอกพจน์)นะครับนักเรียน (1 คน/สิ่งเท่านั้นนะครับ) เราจะต้องเอากริยามาเติม s/ es เช่น
- Aof loves to eat Thai food. – ออฟชอบกินอาหารไทย ไม่ใช่
- Jane love to eat Thai food. ตรงนี้ผิด เพราะ love ไม่เติม s
หรือถ้าเป็น verb to be เราก็จะใช้ is/was นะครับ หรือถ้าเป็น verb to have เราจะใช้ has นะครับ
- John is happy because he works out every day.
- Jimmy has a lot of money so he goes shopping every week.
- The baby is crying now.
- My cat has been sick for four days.
1. เติม s หลังคำกริยาได้ทั่วๆไปเลย
- eat eats
- walk walks
- stay stays
2. ถ้าคำกริยาลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, z และ o เราต้องเติม es หลังกริยานั้นๆ
- miss misses
- wish wishes
- watch watches
- fix fixes
- buzz buzzes
- go goes
ประเด็นคือ ให้เราฝึกฟอร์มประโยคบ่อยๆ เพราะเวลาใช้จริงๆ จะได้ไม่ลืม!
- Tom goes to school every day.
- Jack cooks dinner for his wife twice a week.
- She has to work every Sunday.
Engduo Thailand
คอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ตัวต่อตัว พูดได้ชัวร์ ใช้ได้จริง
ถ้าประธานมีมากกว่า 1 คน (นามพหูพจน์) รวมถึง you ด้วยนะครับเราไม่ต้องเติม s ที่กริยานะครับ ปล่อยมันไปเลยครับ เช่น
- Jack and Tom want to eat out tonight. แจ็คและทอมอยากออกไปทานข้าวข้างนอกคืนนี้
- We have to study hard. พวกเราต้องเรียนให้หนักๆ
ถ้าเป็น verb to be เราก็จะใช้ are/were นะครับ ถ้าเป็น verb to have เราจะใช้ have นะครับ
คำที่ไม่เข้าพวกหน่อยก็คือ “I” นี่แหละครับ “I” (ฉัน) ดูเหมือนว่าจะมีคนเดียว เอ๊ะเติม s ที่กริยาป่าวนะ? “I” ให้ใช้กริยาที่ไม่เติม s นะครับ เช่น
- I drive my car to work every day.
- I have a lot of friends.
ข้อควรระวัง
อย่าสับสนระหว่างพจน์ของคำนามและพจน์ของคำกริยา คำนามเอกพจน์ คือคำนามที่ไม่ได้เติม s/es อย่างเช่น student, cat, table คำนามพหูพจน์ คือคำนามที่เติม s/es อย่างเช่น students, cats, tables
สรุป
คำกริยาเอกพจน์ คือคำกริยาที่เติม s/es อย่างเช่น eats, walks, goes คำกริยาพหูพจน์ คือคำกริยาที่ไม่ได้เติม s/es อย่างเช่น eat, walk, go
เวลาใช้ เราจะต้องใช้คำนามเอกพจน์ กับคำกริยาเอกพจน์ และใช้คำนามพหูพจน์กับคำกริยาพหูพจน์ หรือถ้าจะจำแบบง่ายๆก็คือ เราจะเติม s/es คำนามและคำกริยาสลับกัน ถ้าคำนามเติม s/es คำกริยาก็ไม่ต้องเติม แต่ถ้าคำนามไม่ได้เติม s/es คำกริยาก็จะต้องเติม แทน ยกตัวอย่างเช่น
- My cat eats very fast. (แมวของฉันกินเร็วมาก)
- My cats eat very fast. (บรรดาแมวๆของฉันนั้นกินเร็วมาก)
(จริงๆแล้ว คำนามพหูพจน์บางคำก็ไม่ได้ลงท้ายด้วย s/es หลักการนี้ใช้เพื่อให้จำได้ง่ายเท่านั้น)
อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งฝึกฝนยิ่งหัดพูด อ่าน ฟัง และ เขียนทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้ไวขึ้นแอดมินหวังว่าบทความนี้จะช่วยเพื่อนๆได้ไม่มากก็น้อย แรกๆในการฝึกอาจจะไม่ชินและอาจจะลืมเติม s ได้ แต่ต้องฝึกต่อไปเรื่อยๆนะครับ ทำไปเรื่อยๆ ให้มันเป็นนิสัย สุดท้ายมันจะได้เองครับ ทางสถาบัน Engduo Thailand ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ