Ҷ�Գ�ԡ���ɰ� �չ�������� �طѵ�� ������ͧ���ѵ�� �����ɰ�㨺ح ���ҧ�ç�ҹ����Ѻ��Ԩҡ�ҹ�褹�ҡ���ء�ѹ ���������� "Ҷ�Գ�ԡ�" ����� ����ա���������Ѻ��Ҷ� �ԴҪ��� ��ع���ɰ� ��ô�����ҡ����� ������Ҫ��� �ҧ�ح��ѡ��� �պص� � �� ���� ���� �ոԴ� � �� ��� ������ѷ�� ������ѷ�� �������� ����ӴѺ
�طѵ������Ѻ����ѷ�Ի�ԾҪ� ������ѹ�ҹѺ��;�оط���ʹ����˵����ͧ�ҡ ����˹�觷�ҹ�Թ�ҧ价Ӹ��СԨ������ͧ�Ҫ���� �¾ѡ�������ҹ��ͧ�� ��ҹ����繤�㹺�ҹ�����¡Ѻ��èѴ�������� ����¡Ѻ���էҹ�Ѵ����§������ ���Դ���������Ҵ㨨֧�����㹺�ҹ��� "�ШѴ�ҹ����" ����ͤ�㹺�ҹ�ͺ����Һ����稨�ԧ���� �طѵ�Ш֧�Ѵ�Թ��Թ�ҧ��ѧ����յ�ѹ��觾�оط�ͧ���зѺ���� ������������ ��оط������������ "�طѵ���ҹ������Ҩ��ʴ��������ѧ" ������ҹ��������ҧ��� �պ���仡�Һ��оط�ͧ��
�ӴѺ��鹾�оط�������ʴ�غؾ�ԡ���ô�طѵ�� ��ҹ��Ԩ�óҵ��������ؾ���ʴһѵ�Լ� �繾�����ºؤ�� �ѧ��� �طѵ�Ш֧��حҵ��ͧ������������Ҿ�����ѵ���������ʧ������� ���������� � �ѹ ��ѹ�ش���� �طѵ�Ш֧������Ҹ�Ҿ�оط���Ҿ���������ǡ����������ͧ���ѵ�����ͷ���ҹ������¡���ػ������оط���ʹ�
��оط���ҵ������ "�����Ңͧ���Ш��Թ���ʶҹ���ʧ�ʧѴ" �طѵ�����㨤����������Һ��Ҿ��ͧ��ç�Ѻ���������� ������Թ�ҧ��Ѻ��ѧ���ͧ���ѵ�� ��ҹ�֧�͡���Ǩ��ʶҹ���ѧ����� ��о����ʶҹ��������������ԭ������� ��� �ǹ���વ �֧���仵Դ�����еѴ�Թ㨫�����Ҥҷ���٧�ҡ �������Ңͧ���Թ������વ��ͧ����֧���˵� ����ͷ�Һ�֧�Դ��ѷ����Т��������ҧ�Ѵ�Ѻ��ҹ���ɰմ��� ��Т�����طѵ����������વ�繪����Ѵ����
��������ҧ���稨֧���駪����Ѵ��� �Ѵવ�ѹ�������� ��оط�����ʴ��һ�зѺ���������оط���ʹ����������ҹҹ ���ͧ���ѵ�������ͧ�ٹ���ҧ��������оط��ҹҷ���Ӥѭ���˹������¾ط���ŵ�ͨҡ���ͧ�Ҫ���� ������ ���շ�ҹ�طѵ��������غ�ʡ���������ػ��������Ӥѭ��;�оط���ʹ�
อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือ สุทัตตอนาถปิณฑิกคฤหบดี เป็นชาวสาวัตถี (แคว้นโกศล) ในสมัยพุทธกาล มีชีวิตร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า เดิมท่านมีนามว่าสุทัตตะเศรษฐี เกิดในตระกูลของสุมนะเศรษฐีผู้เป็นบิดา ท่านเป็นเศรษฐีที่ใจบุญ ชอบช่วยเหลือคนตกยาก ทำให้ท่านถูกเรียกจากชาวเมืองสาวัตถีว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี แปลว่า เศรษฐีผู้เป็นที่พึ่งของคนยาก (แปลตามศัพท์ว่า เศรษฐีผู้มีก้อนข้าวให้กับคนยากจน)
อนาถบิณฑิกเศรษฐี
ภาพวาดสุทัตตอนาถปิณฑิกคฤหบดี ภายในพุทธวิหารศรีลังกา เมืองสาวัตถี
ข้อมูลทั่วไปชื่อเดิมสุทัตตะพระนามเดิมสุทัตตะเศรษฐีชื่ออื่นอนาถปิณฑิกเศรษฐี, สุทัตตเศรษฐีสถานที่เกิดสาวัตถีเอตทัคคะผู้เป็นทายกผู้เลิศฐานะเดิมชาวเมืองสาวัตถีนามบิดาสุมนเศรษฐีวรรณะเดิมแพศย์ราชวงศ์สุมนะสถานที่รำลึกสถานที่อนาถบิณฑิกสถูป เมืองสาวัตถีหมายเหตุผู้ถวายวัดเชตวันมหาวิหารในศาสนาพุทธอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ไปค้าขายและได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าที่เมืองราชคฤห์จนบรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านจึงมีศรัทธาสร้างวัดเชตวันมหาวิหารถวายแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเงินจำนวนมาก ท่านได้เป็นผู้ให้ความอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์อย่างดีมาก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จประทับจำพรรษาที่วัดพระเชตวันที่ท่านสร้างมากกว่าที่ประทับใด ๆ ถึง 19 พรรษา
เรื่องราวของอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีปรากฏมากมายในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องราวที่แสดงถึงความศรัทธา ความมีสติปัญญา และความเอาใจใส่ในการบำรุงพระพุทธศาสนา ทำให้ท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็น อุบาสกผู้เลิศในการเป็นผู้ถวายทาน (เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายก)
อนาถบิณฑิกสถูป ซากบ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีภายในเมืองสาวัตถี
- วัดเชตวันมหาวิหาร อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ อนาถบิณฑิกคหบดีสร้างพระเชตวัน. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก . เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ เอกบุคคลบาลี. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก . เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
คำว่า ‘เศรษฐี’ ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า ‘เศรษฐิน’ หมายความว่า บุคคลที่ดีที่สุด เป็นผู้นำ มีชื่อเสียง และมีเกรียรติ ในขณะที่ภาษาบาลีจะตรงกับคำว่า ‘เสฏฐี’ หมายความว่า ผู้มีทรัพย์มาก เป็นนายธนาคาร เป็นผู้อยู่ในเมือง เป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวย และเป็นหัวหน้ากลุ่มอาชีพต่าง ๆ
เศรษฐีมาจากวรรณะแพศย์ที่มีฐานะร่ำรวย ได้แก่พวกพ่อค้า ชาวนา ชาวสวน และอาชีพต่าง ๆ เช่น ช่างทอ ช่างทอง ช่างจักสาน ช่างปั้นหม้อ เป็นต้น กลุ่มเหล่านี้เมื่อผลิตสินค้าจะนำไปขายด้วยตนเอง จึงรวมอยู่ในกลุ่มพวกพ่อค้า
อาชีพของเศรษฐีมักทำการค้าขาย บรรทุกสินค้าลงเกวียนค้าขายระหว่างเมือง หรือเป็นผู้ควบคุมระบบการเงินการค้า ฯลฯ แต่เศรษฐีที่ทำนาก็มี เช่น จากเรื่องกุรุธรรมชาดก กล่าวถึงเศรษฐีมีไร่ข้าวสาลี, จากพระธัมมปทัฏฐกถา กล่าวถึงนายปุณณะ ผู้ทำงานรับจ้างอยู่ที่บ้านของสุมนเศรษฐี ได้ออกไปไถนาให้เศรษฐีในวันนักขัตฤกษ์ หรือจากเรื่องนางวิสาขา ตอนที่นางจะเดินทางไปอยู่บ้านสามี ธนัญชัยเศรษฐีผู้เป็นพ่อได้ให้เงินและสิ่งของต่าง ๆ ไปด้วย เช่น โคจำนวนมาก อุปกรณ์ทำนา ไถ ผาล เป็นต้น
วรรณะแพศย์จึงเป็นกลุ่มที่ร่ำรวยจากการค้าขาย บางคนถึงขั้นเศรษฐีมีทรัพย์มาก ฐานะทางสังคมเลื่อนสูงจนเกือบทัดเทียมวรรณะพราหมณ์เลยทีเดียว แต่ในพุทธศาสนามักไม่กล่าวถึงเรื่องชนชั้นวรรณะมากนัก จะกล่าวถึงวรรณะแพศย์ว่าเป็นพวก ‘คหบดี’ ซึ่งเศรษฐีในพระไตรปิฎกก็มักเป็นกลุ่มคนที่เลื่อมใสพระพุทธศาสนา ชอบทำบุญทำทาน ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาหลายด้าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี เดิมชื่อสุทัตตะเกิดในครอบครัวเศรษฐี ทำการค้าขายกับต่างเมือง จึงรู้จักคุ้นเคยกับเมืองราชคฤห์เป็นอย่างดี (เมืองของภรรยา) เลื่อมใสพระพุทธศาสนามาก ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ป่าสีตวัน ได้ฟังธรรมเทศนาจนบรรลุโสดาบัน ปวารณาตัวเป็นอุบาสก นับถือพระพุทธศาสนา ต่อมาได้ซื้อที่ดินจากสวนเชตวันของเจ้าเชตราชกุมารมาในราคาที่แพงมาก นำมาสร้างอารามขนาดใหญ่ถวายนั่นคือ ‘เชตวนาราม’ รวมเงินค่าที่ดินและจัดงานเฉลิมฉลองอารามเป็นเงินกว่า 54 โกฏิ (1 โกฏิ = 10 ล้าน)
นอกจากนี้ อนาถบิณฑิกเศรษฐียังไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นประจำ มักถวายข้าวของแก่พระภิกษุและสามเณรด้วยเสมอ รวมถึงมักนิมนต์พระสงฆ์มารับภัตตาหารที่บ้านวันละ 2,000 รูปเป็นประจำ ดังนั้น อนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศในทางถวายทานฝ่ายอุบาสก
แต่ความร่ำรวยก็เปรียบดั่งสายน้ำ มีขึ้นย่อมมีลง อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เช่นกัน ท่านเคยทรัพย์สินร่อยหรอลงมาก เพราะให้คนกลุ่มหนึ่งกู้ยืมเงินแก่กว่า 18 โกฏิ แต่ไม่ได้คืน และทรัพย์สินของตระกูลที่ฝังไว้ใกล้แม่น้ำ ถูกน้ำกัดเซาะจนทรัพย์สินจมลงในแม่น้ำหมดสิ้น อนาถบิณฑิกเศรษฐีไม่สามารถบำรุงพระพุทธศาสนาได้ดีอย่างแต่ก่อน เช่นว่า ถวายปลายข้าวกับน้ำผักดอง แต่ก็ยังคงพยายามถวายทานแก่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุมาโดยเสมอ
อนาถบิณฑิกเศรษฐีรู้สึกไม่สบายใจที่ถวายทานได้ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน พระพุทธเจ้าจึงเทศนา ตรัสเวลามสูตร กล่าวถึงการถวายทานที่ได้ผลมาก มิได้ขึ้นอยู่กับสิ่งของว่าดีหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้ถวาย และตรัสถึงเรื่องการทำทานที่ได้ผลมากให้ฟัง ต่อมาอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ได้กลับมาร่ำรวยอีกตามเดิม
นางวิสาขา
เป็นบุตรของธนัญชัยเศรษฐี เป็นหลานของเมณฑกเศรษฐี ในสมัยนั้นแคว้นโกศลของพระเจ้าปเสนทิไม่มีเศรษฐี พระเจ้าปเสนทิจึงขอเศรษฐีจากแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสารมาหนึ่งคน นั่นคือธนัญชัยเศรษฐี ระหว่างที่เดินทางมายังแคว้นโกศล ธนัญชัยเศรษฐีพึงพอใจสถานที่แห่งหนึ่ง จึงขออนุญาตพระเจ้าปเสนทิอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ซึ่งทรงอนุญาตสร้างเมืองบริเวณนั้น ชื่อ ‘สาเกต’
นางวิสาขาได้แต่งงานกับปุณณวัฒนะ บุตรชายของมิคารเศรษฐี แห่งเมืองสาวัตถี ธนัญชัยเศรษฐีให้ช่างทองจำนวน 500 คน ทำเครื่องประดับชื่อ ‘มหาลคาปสาธน์’ สำหรับเจ้าสาว ซึ่งเป็นเครื่องประดับที่มีความงดงามมาก และมีราคาสูงถึง 9 โกฏิ ค่าจ้างช่างอีกกว่า 1 แสน ใช้เวลาทำนาน 4 เดือน
เมื่อจะส่งนางวิสาขาไปอยู่บ้านสามี ธนัญชัยเศรษฐีจัดสิ่งของไม่ว่าจะเป็น กหาปณะ ทองคำ เงิน ทองแดง สำริด ผ้าไหม เนยใส น้ำมัน น้ำอ้อย ข้าว และอุปกรณ์ในการทำนาอย่างละ 500 เล่มเกวียน รวมถึงโคจำนวนมากและคนรับใช้ชายหญิงติดตามนางวิสาขาไปอีกด้วย
มิคารเศรษฐีนับถือพวกอาชีวก แต่เมื่อนางวิสาขานิมนต์พระพุทธเจ้าและพระภิกษุมารับภัตตาหารที่บ้าน มิคารเศรษฐีมีโอกาสฟังธรรมเทศนาจนเกิดเลื่อมใสตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล นับแต่นั้นจึงนับถือนางวิสาขาเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยทำท่านพบแสงสว่าง มิคารเศรษฐีตอบแทนนางวิสาขาด้วยการทำเครื่องประดับชุดใหม่ให้ เห็นว่ามหาลคาปสาธน์นั้นหนัก สวมใส่ลำบาก จึงทำเครื่องประดับชื่อ ‘ฆนมัฏฐกะ’ ให้ มีราคาถึง 1 แสนกาปณะ วันมอบเครื่องประดับได้จัดงานฉลอง ให้นางวิสาขาอาบน้ำหอม 16 หม้อ และนิมนต์พระพุทธเจ้ามาเสวยภัตตาหารด้วย
นางวิสาขาเลื่อมใสพระพุทธศาสนามานาน นางมักนิมนต์พระภิกษุมาฉันอาหารที่บ้านวันละ 2,000 รูปทุกวัน ต่อมา นางวิสาขาได้ขายเครื่องประดับมหาลคาปสาธน์ ได้เงินจำนวนมากมาสร้างมิคาระมาตุปราสาทในบุพพารามถวายแก่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุ โดยนางได้บริจาคทรัพย์ซึ่งรวมค่าซื้อที่ดินสร้างปราสาท และใช้ในการฉลองเป็นเงินทั้งสิ้น 27 โกฏิ
นางวิสาขาได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นมหาอุบาสิกาที่เชื่อถือได้ ด้วยเหตุที่นางวิสาขาถวายของต่าง ๆ แก่พระพุทธศาสนามากมาย จึงได้รับการยกย่องให้เป็นเลิศในทางถวายทานฝ่ายอุบาสิกา
โฆสกเศรษฐี
โฆสกเศรษฐี เป็นผู้มั่งคั่งแห่งเมืองโกสัมพี ใฝ่ใจทำบุญและบริจาคทานมาก ทั้งนี้เพราะในวัยเยาว์ใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบาก เนื่องจากชาติกำเนิดมิได้เกิดในครอบครัวเศรษฐี มารดาเป็นโสเภณี หลังจากคลอดจึงนำท่านไปทิ้งที่กองขยะ มีผู้พบจึงนำไปเลี้ยง ต่อมาเศรษฐีคนหนึ่งซื้อโฆสกเศรษฐีมาเลี้ยงดูในราคา 1 พันกหาปณะ เพราะทราบคำทำนายว่าเด็กที่เกิดในวันที่โฆสกเศรษฐีเกิด ในภายหน้าจะเป็นเศรษฐีผู้ประเสริฐ
เศรษฐีผู้นี้หมายมั่นว่า หากภรรยาที่กำลังใกล้คลอดได้บุตรเป็นหญิง ก็จะให้แต่งงานกัน ปรากฏว่าภรรยาคลอดได้บุตรชาย เศรษฐีจึงคิดกำจัดโฆสกเศรษฐีเพราะต้องการให้บุตรชายได้ตำแหน่งต่อจากตน แต่พยายามหลายครั้งก็กำจัดโฆสกเศรษฐีไม่สำเร็จ จนในท้ายที่สุดโฆสกเศรษฐีก็ได้เป็นทายาทสืบต่อตำแหน่งเศรษฐี
ภายหลังโฆสกเศรษฐีทราบความจริงว่าเศรษฐีซึ่งพ่อบุญธรรมของท่านพยายามฆ่าท่านมาหลายครั้งหลายคราว จึงรู้สึกว่าตัวเองมีกรรมมาก สมควรจะสร้างบุญกุศล จึงสร้างโรงทานแล้วสละทรัพย์วันละ 1 พันกหาปณะ เพื่อให้ทานแก่คนจนและคนเดินทางไกล
โฆสกเศรษฐีเป็นเพื่อนกับเศรษฐีสองคนชื่อกุกกุฏเศรษฐีและปาวาริกเศรษฐี ทั้งสามได้ฟังพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้าจึงเกิดความเลื่อมใส เดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เมืองสาวัตถี เมื่อได้ฟังธรรมเทศนาจึงบรรลุโสดาบันทั้งสามคน เมื่อกลับมายังเมืองโกสัมพีจึงได้สร้างอารามถวายพระภิกษุท่านละแห่ง และให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาเรื่อยมา อารามที่โฆสกเศรษฐีสร้างคือ ‘โฆสิตาราม’ แห่งเมืองโกสัมพี ถือเป็นอารามที่สำคัญแห่งหนึ่ง
จิตรกรรมพระพุทธเจ้าโปรดพระราชบิดา จิตรกรรมฝาผนัง พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ (ภาพจาก หนังสือ จิตรกรรมฝาผนังพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ กรมศิลปกร พ.ศ. 2557)โกสิยเศรษฐี
เศรษฐีที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นล้วนแต่เป็นผู้มีความคิดดี มีใจทำบุญทำทาน แต่ต่างจากโกสิยเศรษฐี ผู้ที่มีความตระหนี่ จนทำให้มีความเป็นอยู่ไม่สบายนัก แม้จะมีทรัพย์สินมากมายก็ตาม
โกสิยเศรษฐีมีทรัพย์สินกว่า 80 โกฏิ อาศัยอยู่เมืองราชคฤห์ ท่านมีความตระหนี่มาก แม้กระทั่งภรรยาและบุตรก็ไม่ได้สงเคราะห์ให้ดี ท่านยังกินและใช้แต่สิ่งไม่ดี จนได้ชื่อว่า ‘มัจฉริโกสิยเศรษฐี’ ทรัพย์สมบัติที่มีมากกลับไม่ได้ใช้ประโยชน์แก่กิจการใดเลย
วันหนึ่งโกสิยเศรษฐีพบชายคนหนึ่งกำลังกินขนมเบื้อง รู้สึกอยากกินมากแต่กลับมาบ้านไม่ยอมบอกให้ใครทราบหรือให้ใครทำให้กิน เพราะกลัวว่าหากมีคนทำให้กินคนอื่นก็จะพลอยได้กินด้วย ก็จะทำให้สิ้นเปลือง เวลาผ่านไปความอยากนี้ไม่หาย โกสิยเศรษฐีกลับยิ่งซูบผอมลงจนภรรยาเห็นผิดสังเกต ซักไซร้จนได้ความว่าสามีอยากกินขนมเบื้อง นางจึงอาสาทำให้ แต่โกสิยเศรษฐีไม่ต้องการให้ทำ เพราะกลัวคนอื่นจะกินด้วย นางจึงเสนอทำแต่พอกินเฉพาะ โกสิยเศรษฐี นาง และบุตร แต่โกสิยเศรษฐีเห็นว่าภรรยาและบุตรไม่มีความจำเป็นต้องกิน ดังนั้น นางจึงทำขนมเบื้องให้โกสิยเศรษฐีเพียงคนเดียว โกสิยเศรษฐีจึงสั่งให้ขึ้นไปทำขนมเบื้องบนปราสาท 7 ชั้น ปิดประตู่ใส่กลอนทุกชั้นป้องกันคนมาขอขนมเบื้องกิน
พระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ที่เชตวนารามเล็งเห็นว่าโกสิยเศรษฐีและภรรยาจะได้บรรลุโสดาบัน จึงให้พระโมคคัลลานะไปทรมาณโกสิยเศรษฐี เมื่อพระโมคคัลลานะปรากฏลอยอยู่เหนือปราสาทก็ทำให้โกสิยเศรษฐีไม่พอใจเพราะอุตส่าห์หลบมาอยู่บนปราสาทแล้ว จากนั้นได้ออกอุบายต่าง ๆ นานาไล่พระโมคคัลลานะแต่ไม่เป็นผล โกสิยเศรษฐีจึงจำยอมให้ขนมเบื้องแผ่นหนึ่งเพื่อตัดรำคาญ ปรากฏว่าเมื่อจะหยิบขนมเบื้องชิ้นหนึ่ง ชิ้นอื่น ๆ ก็ติดกันขึ้นมาทั้งหมด จะดึงแยกจากกันก็ไม่ออก จนโกสิยเศรษฐีเหน็ดเหนื่อยและหมดความอยากกินขนมเบื้องไปสิ้น
พระโมคคัลลานะจึงได้แสดงธรรมแก่โกสิยเศรษฐีและภรรยาจนทั้งสองเกิดความเลื่อมใส แล้วจึงพาทั้งสองมายังเชตวนารามเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้รับฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์จึงบรรลุโสดาปัตติผลทั้งสองคน นับแต่นั้นโกสิยเศรษฐีก็หันมานับถือพระพุทธศาสนา เลิกเป็นคนตระหนี่ หันมาทำบุญทำทานเป็นประจำ นำทรัพย์สินมาอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาด้วยความเต็มใจ
จิตตเศรษฐี
จิตตเศรษฐีเป็นผู้ที่เลื่อมใสพระพุทธศาสนามากอีกคนหนึ่ง ความพิเศษอย่างหนึ่งของเศรษฐีผู้นี้คือ ท่านมีความรู้ในพระธรรมมาก บรรลุถึงขั้นอนาคามี มีความสามารถในด้านการแสดงธรรมจนได้รับการยกย่องให้เป็นเอตทัคคะในทางแสดงธรรมฝ่ายอุบาสก
จิตตเศรษฐีใจบุญสุนทาน เป็นที่นับถือของประชาชน ท่านอุปถัมภ์พระศาสนาด้วยการทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ บริจาคสวนมะม่วงของตนสร้างอารามที่ ‘อัมพาฏกวัน’ จนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมใส เป็นทายก กัปปิยการก เป็นอุปัฏฐากแก่สงฆ์
นอกจากเศรษฐีทั้งหลายดังกล่าวมาแล้ว ยังมี โชติกเศรษฐีแห่งเมืองราชคฤห์ ที่ได้บวชเป็นภิกษุจนบรรลุพระธรรมถึงพระอรหันต์, ชฎิลเศรษฐีแห่งแคว้นมคธ ที่ได้บวชเป็นภิกษุจนบรรลุพระธรรมถึงพระอรหันต์เช่นกัน, ปุณณเศรษฐี และกากวัลลิยเศรษฐี เป็นต้น
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า เศรษฐีเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทต่อพระพุทธศาสนาอย่างมาก เมื่อได้ฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าจึงเกิดความเลื่อมใส จึงยินดีสละทรัพย์สินเพื่อทำนุบำรุงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาในทุกด้าน เช่น การถวายภัตตาการ ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนการสร้างอารามถวายพระพุทธเจ้าและพระภิกษุ โดยเฉพาะ เชตวนามราม สถานที่สำคัญมากที่หนึ่งที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับที่นี่นานถึง 19 พรรษา ซึ่งมากกว่าที่อื่น ๆ
อ่านเพิ่มเติม :
- พระพุทธเจ้า กับการเสด็จป่ามะม่วงของ “อัมพปาลี” นางนครโสเภณี ก่อนวาระสุดท้าย
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิก