อัครสาวก (๑) (๑๐ เมษายน ๒๕๕๗)
อัครสาวก (๑) อัครสาวก (อ่านว่า อัก-คฺระ-สา-วก) เป็นคำสมาสมาจากคำว่า “อัคร” ซึ่งมาจากคำสันสกฤตว่า อคฺร (อ่านว่า อัก-คฺระ) แปลว่า เลิศ ยอด มักใช้เป็นส่วนหน้าของคำ กับคำว่า “สาวก” ซึ่งมาจากคำภาษาบาลีว่า สาวก (อ่านว่า สา-วะ- กะ) แปลว่า ผู้ฟัง หมายถึง ศิษย์ของพระศาสดา. อัครสาวก จึงหมายถึงยอดแห่งศิษย์ของพระศาสดา เรียกว่า พระอัครสาวก
พระอัครสาวกของพระสมณโคดมหรือพระพุทธเจ้าในปัจจุบันได้แก่ พระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เป็นเลิศทางปัญญา และพระโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้เป็นเลิศทางอิทธิปาฏิหาริย์. ส่วนพระอัครสาวกผู้หญิง เรียกว่า พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี พระอัครสาวิกาเบื้องขวา ผู้เป็นเลิศทางปัญญา และพระอุบลวัณณาเถรี พระอัครสาวิกาเบื้องซ้าย ผู้เป็นเลิศทางอิทธิปาฏิหาริย์
ที่มา : บทวิทยุรายการ “รู้ รัก ภาษาไทย” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ
เมื่อบวชแล้ว พระอุปติสสะได้นามใหม่ว่า พระสารีบุตร ส่วนพระโกลิตตะได้นามใหม่ว่า พระโมคคัลลานะ และด้วยเป็นผู้มีบารมีญาณและภูมิปัญญาสูง พระอัครสาวกทั้งสองจึงมิได้บรรลุอรหัตตผลพร้อมเหล่าบริวาร
หลังจากบวชแล้ว ๗ วัน พระโมคคัลลานะได้รับพุทโธวาทจึงบรรลุพระอรหันต์ ณ บ้านกัลลวาลมุตตคามแห่งแคว้นมคธ ส่วนพระสารีบุตรนั้นหลังจากบวชแล้ว ๑๕ วัน ได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาจึงบรรลุพระอรหันต์ ในยามเช้าแห่งวันมาฆปุรณมีดิถีพระจันทร์เพ็ญเสวยมาฆฤกษ์ ณ ถ้ำสุกรขาตาข้างภูเขาคิชฌกูฏ แขวงเมืองราชคฤห์
พระสารีบุตรนั้นได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะ คือ เลิศกว่าผู้อื่น ในด้านเป็นผู้มีปัญญามาก สามารถแสดงอริยสัจได้เท่าเทียมกับพระศาสดา ทั้งยังได้รับการยกย่องเป็นพระธรรมเสนาบดีพระอัครสาวกเบื้องขวา เอตทัคคะในด้านมีปัญญามาก คือ เป็นแม่ทัพฝ่ายธรรม เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระศาสนา เมื่อภิกษุมาทูลลาพระศาสดา พระองค์จะตรัสให้ไปลาพระสารีบุตรก่อน และท่านเป็นผู้ได้รับการสรรเสริญในด้านความกตัญญู ด้วยท่านถือว่าพระอัสสชิเถระเป็นผู้ให้ความสว่างเป็นคนแรกเมื่อทราบว่าพระอัสสชิอยู่ ณ ทิศใด ในเวลาจำวัด (นอน) ท่านต้องหันศีรษะไปทางทิศนั้นเสมอ และแม้ราธพราหมณ์ซึ่งเคยตักบาตร พระสารีบุตรเพียงทัพพีเดียวท่านก็จดจำได้และเป็นผู้สงเคราะห์ให้ราธพราหมณ์ได้บวชในพระพุทธศาสนา
ส่วนพระโมคคัลลานะนั้นได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะพระอัครสาวกเบื้องซ้าย ในด้านมีฤทธิ์ คือ มีความเป็นเลิศในหลายด้านโดยเฉพาะด้าน มโนมยิทธิ คือ มีฤทธิ์ทางใจ อีกทั้งเป็นผู้มีความรู้ในการก่อสร้างพระบรมศาสดามอบให้เป็นผู้อำนวยการควบคุมงานก่อสร้างวัดบุพพารามมหาวิหารและโลหะปราสาทที่นางวิสาขาสร้างถวาย ณ เมืองสาวัตถีอันเป็นวัดที่พระบรมศาสดาเสด็จไปประทับอยู่ ๖ พรรษา ท่านได้รับการยกย่องเป็นพระธรรมเสนาบดีและเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย คู่กับพระสารีบุตรผู้เป็นพระธรรมเสนาบดีและอัครสาวกเบื้องขวา
จำนวนพระสาวกในช่วง ๙ เดือนแรกที่ทรงประกาศพระศาสนา คือ นับตั้งแต่วันวิสาขบูชา หรือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือน ๖ จนถึง วันมาฆบูชา หรือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือน ๓ มีพระอรหันต์สาวกจำนวน ๑,๓๔๕ รูปดังนี้
- ๑. พระปัญจวัคคีย์ จำนวน ๕ รูป
- ๒. พระยสะและสหาย จำนวน ๕๕ รูป
- ๓. พระภัททวัคคีย์ จำนวน ๓๐ รูป
- ๔. พระภิกษุที่เคยเป็นชฎิล จำนวน ๑,๐๐๓ รูป
- ๕. พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะพร้อมบริวาร จำนวน ๒๕๒ รูป
รวม ๑,๓๔๕ รูป
ขอบคุณประวัติความเป็นมา จาก www.phuttha.com
บรรยายสังเขป คำว่า “อัครสาวก”
อัครสาวก นับเนื่องเป็นคำตั้งบทนำที่มีไว้แก่ลูกคำ ในบทที่มีความต่างกันเมื่อสนธิแล้ว ได้จากคำว่า อัคร- นั้น ซึ่งหมายถึง ที่เป็นเลิศหรือเป็นยอด จึงเรียกว่า อัคระ แต่ที่มีชื่อมากและกล่าวขนานนามในอรรถะบรรยาย เกี่ยวกับตำนานสาวกและสาวิกาในศาสนามาเป็นอาทิ ตรงสำคัญที่ถูกต้องที่สุดคือ หมายถึง อัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา ในที่ ภิกษุ และภิกษุณี รวมเป็น ๔ รูป แต่ทั้งหมดทั้งนั้นโดยปริยายหมายถึง พระมหาสาวกสาวิกาในพระนราสภพุทธเจ้าอันเป็นเอตทัคคะ และพระสาวกในที่เป็นพระอสีติก็ปรากฏว่าควรเรียก ด้วยนาม อัคร- คือตลอดพระสาวกผู้ที่เนื่องด้วยพระพุทธเจ้าในเหตุการณ์สำคัญต่างๆในสมะยพุทธกาลทั้งหมด ก็ถูกรวมเรียกในที่ๆเป็นอัครธรรม ถูกรวมเรียกโดยนัยบรรยายเป็นปริยายเดียว ว่า คือเป็นอัคระ คืออัครสาวก ดังที่ปรากฏมาในพระไตรปิฎก แต่ที่เรียกในทางศาสนาพุทธนั้น ส่วนใหญ่ในหลักสำคัญแล้วหมายถึง พระโมคคัลลา และพระสารีบุตร พระอัครมหาสาวก ว่าเป็นพระอัครสาวก
ส่วนคำว่า อัครสาวก ในที่อื่นๆอีก โดยมากแล้ว หมายถึง พระอัครทูต ๑๒ พระองค์ ซึ่งเป็นนักบุญผู้ประทานกิจการแห่งคริสตจักรในนามขององค์ศาสดาเยซู ในศาสนาคริสต์ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว คำวิเศษนามว่า อัคร- นั้นใช้แก่ทุกเรื่องราว เช่นในที่เสนาบดีสำคัญที่เก่ง มีสามารถ ก็เรียกว่า อัครเสนาบดี หรือมีความเป็นใหญ่ เป็นที่สุดในที่พระชายา ก็ใช้คำว่า อัคร- เรียกว่า อัครชายาเป็นต้น ความดีเลิศในคุณลักษณะที่ดีเรียกว่า อัครฐาน
ฉะนั้นเหตุการณ์ เรื่องราว ตลอดบุคคลที่ตามประกอบอยู่นั้น หากกล่าวมีศักดิ์ศรี มีเกียรติยศเป็นพิเศษแล้ว ก็อาจถูกเรียกว่าเป็นองค์เอก เป็นอัครบุคคลด้วยนามนั้นๆได้ทั้งหมด
แก้ความกำกวมนั้นกำหนด ชื่อบทความ การสรา้งบทความให้ได้ชื่อตรงกับบทความจริงๆ ก็จึงต้องยากและกำกวมไปด้วย ซึ่งต้องฝ่าฟันมากเพื่อลดข้อขัดข้องในความไม่ประจวบเหมาะนี้ จึงจะได้บทความที่มีตัวบทพอดีตรงกับชื่อ
คำว่า
อัคร,อัคร- พอที่จะเก็บคำ ในที่แผนกพจนานุกรม ก็ย่อมได้ไม่มีปัญหา ประกอบลูกคำอื่นๆต่อ ย่อมบันทึกและประกอบด้วยได้อีกมาก แต่! แต่หากกำหนดคำว่า อัครสาวก ให้เป็นชื่อบทความต้องมาสร้างแล้ว ก็เหมือนดูจะทำไม่ได้ เพราะแต่ละศาสนาใช้คำว่า อัครสาวก นี้ ถึงเรื่องศาสนาของตนแต่อย่างเดียว แต่โดยมาก ชื่อบทความด้วยชื่อนี้ จึงเป็นบทความที่สร้างได้ยาก
และยังคงเป็นบทความที่ขาดหาย ถึงแม้ถ้าหากใช้หน้าเปลี่ยนทางต่างๆมากแล้ว แต่ก็จะต้องตั้งบทแก้ความกำกวมไว้ด้วย
พระนาม พระอัครสาวก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า [1] | ||
๑. | พระพุทธเจ้าวิปัสสี | พระติสสะ และพระขัณฑะ |
๒. | พระพุทธเจ้าสิขี | พระสัมภวะ และพระอภิภู |
๓. | พระพุทธเจ้าเวสสภู | พระอุตตระ และพระโสณะ |
๔. | พระพุทธเจ้ากกุสันธะ | พระสัญชีวะ และพระวิธูระ |
๕. | พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ | พระอุตตระ และภิยโยสะ |
๖. | พระพุทธเจ้ากัสสปะ | พระภารทวาชะ และพระติสสะ |
๗. | พระพุทธเจ้าโคตมะ | พระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตร |
หมายเหตุ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
- ↑ พระพุทธเจ้ามีมากนับจำนวนไม่ถ้วน ในที่นี้ยกมาเป็นเพียงตัวอย่างใน ๗ พระองค์จวบถึงพุทธกาลพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน