ประวัติ
หนังสือ สมุดภาพแดนพุทธภูมิ งานพระราชทานเพลิงศพศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ (2545) ได้กล่าวถึงประวัติของ ศาสตราจารย์ ธรรมศักดิ์ ดังนี้ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน
2450 เป็นบุตรของ พระยาธรรมสารเวทย์ภักดี ศรีสัตยาวัตตาพิริยพาหะ (ทองดี ธรรมศักดิ์) อดีตอธิบดีศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษ และคุณหญิงชื้น มีพี่น้อง 2 คน คือ นายบรรจง ธรรมศักดิ์ และ นางชุมวิทยากิจ
(ฉวี โปตระนันทน์) มีบ้านเดิมอยู่หลังวัดอรุณ ราชวรารามเริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนทวีธาภิเษกแล้วย้ายมาเรียนที่โรงเรียนอัสสัม เมื่อเรียนจบได้ไปทำงานที่กระทรวงยุติธรรมกับเจ้าพระยา
อภัยราชา
ทั้งนี้สืบเนื่องจากบิดาเป็นเจติบัณฑิตทางกฎหมายและท่านเองก็รักวิชากฏหมายและอยากเป็นผู้พิพากษา
ต่อมาในปี 2471 ท่านได้เป็นเนติบัณฑิต และในปี 2471 สอบชิงทุนรพีบุญนิธิ ได้ที่ 1 ในจำนวน 62 คน ไปเรียน ณ ประเทศอังกฤษ สมัยนั้นการเดินทางไปต่างประเทศต้องไปทางเรือ ท่านเดินทางโดยเรือของบริษัทอีสท์เอเซียติค
ไปเรียนจบเนติบัณฑิตอังกฤษได้ภายในเวลา 2 ปี 3 เดือน (ปกติเรียน 3 ปี) จึงเดินทางกลับประเทศไทยโดยเรือเตริกูนิมารูของประเทศญี่ปุ่น เมื่อกลับมาแล้ว ได้กลับเข้ารับราชการในกระทรวงยุติธรรมตามเดิม ต่อมาได้สมรสกับ นางสาวพงา หรือ ท่านผู้หญิงพงา ธรรมศักดิ์ ในปัจจุบัน และมีบุตรชาย 2 คน คือ นายชาติศักดิ์ และ นายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ เมื่อรับราชการจนเป็นผู้พิพากษาแล้วท่านมีเงินเดือน 200
บาท
ในตอนแรกและต่อมาได้เพิ่มขึ้นตามลำดับจนถึง 300 บาท ได้มีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง จึงมาขอซื้อที่ให้แม่หลบภัยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในซอยภิรมย์ภักดีจากเจ้าคุณภิรมย์ภักดี ท่านบอกว่ามีเงินเก็บจากการรับราชการอยู่ 4,000 บาท ขอซื้อที่ในราคา 2,000 บาทและปลูกบ้านในราคา 2,000 บาท ได้ที่มากว้าง
20 วา ลึก 36 วา รวมแล้วเกือบ 2 ไร่ ติดซอยภิรมย์ภักดี ตอนนั้นตก
8
ตารางวาละ 2.80 บาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2487 คุณแม่ก็ถึงแก่กรรมในระหว่างสงครามโดยหนีไปอยู่ที่ลำลูกกาโดยทางเรือตลอดเวลาที่รับราชการในหน้าที่ตุลาการ ได้ยึดมั่นในคติและแบบอย่างของพระยาลัดพลีธรรมปคัลภ์ ผู้บังคับบัญชา ซึ่งท่านได้ถือเป็นต้นแบบ เพราะถือว่างานตุลาการนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จิตใจที่บริสุทธิ์ยุติธรรม และได้ถือคตินี้ไว้ตลอดชีวิตข้าราชการตุลาการ
ท่านมีความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการตามลำดับจนถึงตำแหน่งสุดท้ายคือ
ปลัดกระทรวงยุติธรรมในส่วนของการศึกษานั้น ท่านเข้ามาคลุกคลีกับวงการศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่ปี 2479 ถึงปี 2511 ได้ดำรง
ตำแหน่ง คณบดีคณะนิติศาสตร์ และในวันที่ 1 เมษายน 2514 ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในช่วงเวลาระหว่างดำรงตำแหน่งอธิการบดีท่านได้ริเริ่มโครงการสำคัญหลายโครงการทั้งทางด้านการบริหารด้านการปกครองและด้านวิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ริเริ่มโครงการขยายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แต่ยังทำไม่ได้เพราะขาดงบประมาณ
ในช่วงสุดท้ายของการเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เกิดวิกฤตการณ์สำคัญคือ 14 ตุลามหาวิปโยค เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2516 จนถึง 14 ตุลาคม 2516 ท่านจึงได้รับพระบรมราชโองการจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ท่านเข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าว เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม
2516 ท่านได้เล่าว่า “ระยะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นระยะที่มีทุกข์แสนสาหัส เป็นทุกข์ที่สุดในชีวิตของผม เพราะเหตุว่า มันเป็นไปด้วยความหนัก คืองานหนัก ไม่กลัว แต่ใจมันหนัก มันหนักไปหมด และไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตอนนั้นถ้าผมไม่ได้อาศัยหลักธรรมของพระพุทธศาสนาแล้ว ผมคงพ่ายแพ้ชีวิตอย่างไม่เป็นท่าเลย” นั่นคือมุมมองจากตัวท่านเอง แต่ในทัศนะของประชาชนร้อยละ 88 สงสาร รักและชอบในวิธีปฏิบัติงานของท่าน
ทางด้านสื่อมวลชน (สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์) ยังกล่าวถึงท่านว่า “ ที่ประชาชนชมเชยรัฐบาลอันได้แก่ ไม่มีรัฐบาลใดมีน้ำใจใสสะอาด ยอมปล่อยให้เสรีภาพแก่ประชาชนเท่ารัฐบาลชุดนี้ คือยินยอมรับคำร้องทุกข์จากประชาชนด้วยน้ำใจเป็นธรรมและพอใจในความซื่อสัตย์ของนายกรัฐมนตรี”ผลงานอันสำคัญของท่านนอกจากให้กำเนิด ป.ป.ป แล้ว ท่านสามารถยกร่างรัฐธรรมนูญให้สภาฯ พิจารณาและมีมติเห็นชอบได้สำเร็จเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2517
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นแม่บทปกครองประเทศ รวมที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีนับได้เกือบ 1ปี ขาดไปเพียง 7 วันเท่านั้น
ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เป็นองคมนตรี 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2511 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 26
มีนาคม 2518 และโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เป็นประธานองคมนตรี ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2518 ท่านกล่าวว่า “เท่าที่ผมได้สัมผัสกับงาน ในฐานะองคมนตรี ก็เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานมาก เรียกว่าเป็นประจำวันประจำสัปดาห์ทีเดียวก็ว่าได้ งานขององคมนตรีที่เป็นงานหลักก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ เป็นผู้รับพระบรมราชโองการที่ท่านทรงปรึกษาถ้ารับสั่งการใดมาก็ให้ปฏิบัติตามนั้น งานที่ใหญ่จริง ๆ
และรายละเอียดมาก คือ
9
งานกฏหมาย”ในส่วนของพระพุทธศาสนานั้น ท่านมีความรอบรู้ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ความสนใจทางพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นเมื่อท่านอายุ 20 ปี ท่านได้บวชอุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อแม่ที่วัดเบญจมบพิตร
จากการบวชท่านได้กล่าวว่า “ผมประหลาดใจว่าในโลกนี้ ยังมีวิชาอย่างพระพุทธศาสนาที่ลึกซึ้งกว่าวิชาอื่น ๆ ในทางโลกอีกหรือ กระผมเกิดความรู้สึกและประทับใจอย่างแนบแน่นจนถึงทุกวันนี้ มิเสียแรงที่เราเกิดมา เราเพิ่งได้พบวิถีชีวิต อันแท้จริง ในพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เอง”ท่านมีงานสำคัญอย่างยิ่งหลายงานที่ท่านได้มีส่วนร่วมก่อตั้งทางพระพุทธศาสนา ท่านเป็นหนึ่งในสามที่ร่วมก่อตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ขึ้นในปี พ.ศ. 2477
ในตอนแรกท่านเป็นเลขานุการและต่อมาได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมฯ และดำรงตำแหน่งนี้ถึง 10ปี และจากการที่ท่านได้เป็นผู้แทนของพุทธสมาคมฯ ร่วมกับคณะผู้แทนไทยอีกหลายท่านร่วมกับชาวพุทธทั้งโลกได้พร้อมใจกันต่อตั้งองค์
การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พสล.) ขึ้นในประเทศไทย และท่านได้ดำรงตำแหน่งประธาน พสล. สืบต่อจาก ม.จ.หญิงพูนพิศมัยดิสกุล