การจัดเก็บภาษีอากรในสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2310)
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีการจารึกในประวัติศาสตร์ว่า เป็นยุคที่มีการจัดเก็บภาษีอากรรุ่งเรืองมาก การก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 1893 ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง ได้สร้างพระนครขึ้นที่ริมหนองโสน แล้วทำการราชาภิเษกทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี ขนานนามราชธานีว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา ในช่วงตลอดอายุกรุงศรีอยุธยา เป็นเวลา 417 ปี บ้านเมืองมีทั้งความเจริญและความเสื่อม ในสมัยที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมาก คือ สมัยสมเด็จพระรามาธิบดี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แต่ในบางรัชสมัยพระมหาธรรมราชาและพระเพทราชา การจัดเก็บภาษีอากรในสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า ส่วยสาอากร ได้มีการแบ่งการจัดเก็บออกเป็น 4 ประเภท คือ จังกอบ อากร ส่วย และฤชา โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. จังกอบ หรือ จำกอบ เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากการชักส่วนสินค้า ที่นำเข้ามาจำหน่ายตามที่ได้อธิบายข้างต้น
2. อากร หมายถึง ส่วนที่เก็บจากผลประโยชน์ที่ราษฎรทำมาหาได้ในการประกอบการต่างๆเช่น ทำนา ทำไร่ ทำสวน ฯลฯ หรือการได้รับสิทธิจากรัฐบาลไปกระทำการ เช่น ต้มกลั่นสุรา เก็บของในป่า จับปลาในน้ำ ฯลฯ เช่น อากรค่านา อากรสวน อากรสุรา อากรค่าน้ำ เป็นต้น การเก็บอากรอาจจัดเก็บเป็นตัวเงินหรือเป็นสิ่งของ ถือเป็นภาษีที่จัดเก็บตามหลักผลประโยชน์ที่ได้รับจากรัฐไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
3. ส่วย ความหมายของส่วย สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงสันนิษฐานว่า คำว่า ส่วย
- สิ่งของที่รัฐบาลเรียกร้องเอาจากเมืองที่อยู่ภายใต้ปกครอง หรืออยู่ในความคุ้มครองเป็นค่าตอบแทนการปกครองหรือคุ้มครอง ส่วยตามความหมายนี้จึงมีลักษณะเป็นเครื่องราชบรรณาการ
- เงินช่วยราชการตามที่กำหนดเรียกเก็บจากราษฎรชายที่มิได้รับราชการทหารเป็นรายบุคคล เนื่องจากสังคมไทยแต่ดั้งเดิม มีระบบเกณฑ์แรงงานจากราษฎร โดยรัฐไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง แต่จะให้ความคุ้มครองทางกฎหมายเป็นการตอบแทน ทั้งนี้เดิมราษฎรที่ถูกเกณฑ์แรงงาน จะมาประจำการเป็นเวลาปีละ 6 เดือน โดยผู้ที่ไม่มารับราชการเมื่อถึงเวรของตน จะต้องเสียส่วยเรียกว่า ส่วยแทนแรง เพื่อที่ราชการจะได้จ้างคนมาทำงานแทน ส่วยแทนแรง เพื่อที่ราชการจะได้จ้างคนมาทำงานแทน ส่วยแทนแรงนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเงินรัชชูปการในระยะต่อมา ( รัชกาลที่ 6 )
- เงินที่ทางราชการกำหนดให้ราษฎรร่วมรับภาระในการกระทำบางอย่าง เช่น เกณฑ์ให้ช่วยสร้างป้อมปราการ เป็นต้น
- ทรัพย์มรดกของผู้มรณภาพซึ่งต้องถูกริบเป็นของหลวง อันเนื่องจากเกินกำลังของทายาทที่จะเอาไว้ใช้สอย เป็นต้น
4. ฤชา คือค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเรียกเก็บจากราษฎรซึ่งได้รับประโยชน์จากรัฐเป็นการเฉพาะตัว เช่น ผู้ใดจะขอโฉนดตราสาร เพื่อมิให้ผู้อื่นบุกรุกแย่งชิงที่เรือกสวนไร่นา จักต้องเสียฤชาแก่รัฐ เป็นต้น ฤชาที่สำคัญได้แก่ ค่าธรรมเนียม และค่าปรับทางการศาล
เมื่อพิจารณาตามลักษณะการจัดเก็บภาษีอากรข้างต้น จะเห็นว่ามีการจัดเก็บภาษีทั้งในรูปของการบังคับจัดเก็บจะได้รับประโยชน์ในทางอ้อม คือ กรณีจังกอบและส่วย ส่วนอีกกรณีหนึ่งคือในรูป ที่ผู้ถูกจัดเก็บจะได้รับผลประโยชน์จากรัฐโดยตรง คือ อากรและฤชา
ในขณะเดียวกัน เมื่อมีการศึกษาค้นคว้าถึงวิวัฒนาการในด้านการบริหารงานจัดเก็บในสมัยกรุงศรีอยุธยา จะพบว่าในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นช่วงเวลาที่มีการปฏิรูประบบการปกครองแผ่นดินครั้งใหญ่ ทั้งในด้านการวางระเบียบทางการคลัง การส่วยสาอากร ฯลฯ โดยพระองค์ได้ทรงแบ่งการบริหารการปกครองออกเป็น 4 ส่วน เรียกว่า จตุสดมภ์ โดยแต่ละส่วนมีหน้าที่ดังนี้
- เวียง เรียกว่า นครบาล มีหน้าที่ราชการปกครองท้องที่ และดูแลทุกข์สุขของราษฎรพลเมือง
- วัง เรียกว่า ธรรมธิกรณ์ มีหน้าที่ว่าราชการศาลหลวง และว่าราชการอรรถคดีในพระราชสำนัก
- คลัง เรียกว่า โกษาธิบดี มีหน้าที่ราชการจัดการพระราชทรัพย์ เก็บส่วยสาอากรซึ่งเป็นผลประโยชน์แผ่นดิน
- นา เรียกว่า เกษตราธิบดี มีหน้าที่ปฏิบัติราชการเกี่ยวกับ เรื่องนาและสวน การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ทั้งนี้โดยรูปแบบการบริหารงานฯของพระองค์ข้างต้น ได้ถูกใช้เป็นแบบอย่างรูปแบบการปกครองต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา :: หนังสือที่ระลึกในการเปิดอาคารกรมสรรพากร 2 กันยายน 2540
คะแนนเต็ม 30 คะแนน ข้อสอบมี 30 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน
1.คุณสมบัติพื้นฐานสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์คือข้อใด *
มีความรู้ทางประวัติศาสตร์.
มีจิตนาการต่อเรื่องราวต่างๆ
2.การวิเคราะห์เปรียบเทียบหลักฐานชิ้นหนึ่งกับหลักฐานชิ้นอื่น มีจุดประสงค์เพื่ออะไร *
เพื่อพิจารณาความน่าเชื่อถือของหลักฐาน
เพื่อพิจารณาว่าเป็นหลักฐานปลอมหรือไม่
เพื่อพิจารณาว่าหลักฐานใดคือหลักฐานชั้นต้น
เพื่อจัดหมวดหมู่หลักฐานที่สอดคล้องกันเข้าไว้ด้วยกัน
3.ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการวิเคราะห์เรื่องราว หรือเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ *
ทำให้ได้รับการยกย่องจากคนในสังคม
ทำให้มีความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล
ทำให้สามารถแยกแยะเรื่องราวต่างๆ ได้ดี
ทำให้มีความสามารถในการรวบรวมข้อมูล
4.จากคำกล่าวที่ว่า "รูปแบบการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จำลองมาจากสมัยอยุธยาตอนปลาย" นักเรียนสามารถทราบได้จากอะไร *
การดำเนินชีวิตของราษฎรทั่วไป
5.รายได้หลักของราชการไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้มาจากอะไร *
6.สินค้าในข้อใดจัดเป็นสินค้าต้องห้ามในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งห้ามนำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร *
7.ชนชั้นใดที่เป็นเจ้าชีวิตและได้รับการยกย่องจากราษฎร ว่ามีลักษณะเป็นสมมุติเทพ และธรรมราชา *
8.ระบบศักดินาส่งผลต่อสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในข้อใดมากที่สุด *
เกิดระบบชนชั้นในสังคมมากที่สุด
เกิดการแบ่งอำนาจการปกครองที่ชัดเจน
เกิดการกระจายการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ทำให้คนในสังคมมีฐานะและอภิสิทธิ์ที่เท่าเทียมกัน
9.ไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเตรียมรับศึกพม่าในสงครามเก้าทัพ แตกต่างจากสงครามครั้งก่อนๆ อย่างไร *
ยกทัพใหญ่ไปตั้งรับข้าศึกถึงชายแดน
10.ข้อใดกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ถูกต้อง *
ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของการทำสงคราม
จะเป็นการค้าขายแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมักมีชาวตะวันตกเข้ามาแทรกแซง
ไทยต้องเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อยุติสงครามภายในเป็นบางครั้ง
11.การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด *
12.ถ้านักเรียนต้องรับผิดชอบในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้กับชาติตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 5 ควรต้องทำตามข้อใด *
ตัดสัมพันธ์กับชาติตะวันตก
13.หัวใจสำคัญของการปฎิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 คืออะไร *
การตั้งหน่วยงานให้เหมาะสมกับบ้านเมือง
14.สนธิสัญญาบราว์ริงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยข้อใดมากที่สุด *
15.ข้อใดคือจุดมุ่งหมายของการปฎิรูปการศึกษาของไทย สมัยรัชกาลที่ 5 *
เพื่อเอาใจชาติตะวันตกที่พัฒนาแล้ว
รองรับแรงงานที่กำลังขยายตัว
ให้ไทยมีความทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ
สร้างบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถเพื่อรับราชการ
16.การวางระเบียบปฎิบัติให้กับพระสงฆ์ธรรมยุตินิกาย ของสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ เมื่อครั้งทรงผนวช ก่อให้เกิดผลสำคัญอย่างไร *
ทำให้คนไทยนิยมบวชเป็นพระสงฆ์มากขึ้น
เกิดความแตกแยกระหว่างพระสงฆ์สองนิกาย
พระสงฆ์เข้าไปมีบทบาทในการปกครองอาณาจักร
เกิดการปรับปรุงข้อวัตรปฎิบัติให้รัดกุมยิ่งขึ้นในหมู่พระสงฆ์มหานิกาย
17.ข้อใดเป็นผลจากการตราพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ร.ศ.124 *
ยกเลิกระบบไพร่โดยสิ้นเชิง
ทำให้รู้กำลังพลได้อย่างถูกต้อง
การเข้ารับราชการเป็นระบบมากขึ้น
ป้องกันผู้ที่หลบเลี่ยงการเป็นทหารได้
18.ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับสาระสำคัญของสนธิสัญญาบราว์ริง *
ให้มีการเปิดเสรีทางการค้า
ไทยเก็บภาษาีสินค้าขาเข้าได้เพียงร้อยละ 3
พ่อค้าและผู้ซื้อสามารถขายสินค้าทุกชนิดได้ทั่วประเทศ
ชาวอังกฤษและคนในบังคับอังกฤษต้องขึ้นศาลกงศุลอังกฤษ
19.การที่ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่งผลดีต่อประเทศไทยอย่างไร *
ได้ดินแดนที่เคยเสียไปกลับคืน
ได้แก้ไขสนธิสัญญาที่เสียเปรียบ
สามารถขยายตลาดการค้าได้กว้างขวาง
ได้เงินกู้จากต่างประเทศเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ
20.ดร.ฟรานซิส บี แซร์ เป็นผู้แทนไทยในการเจรจากับต่างประเทศในเรื่องใด *
ต่อรองลดราคาค่าปฎิกรรมสงคราม
แก่ไขสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาค
ขอปรับปรุงเส้นเขตแดนกับฝรั่งเศษ
21.สาเหตุสำคัญที่ทำให้คณะราษฎ์ ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คือข้อใด *
ความกลัวจะเสียอำนาจของขุนนาง
22.การจัดตั้งขบวนการเสรีไทยของคนไทยผู้รักชาติ ส่งผลดีต่อชาวไทย ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงอย่างไร *
23เพราะเหตุใดประเทศไทยจึงต้องมีการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ *
เป็นแนวทางการบริหารงานของรัฐบาล
เป็นแนวทางสำหรับการลงทุนในอนาคต
เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ
เป็นแนวทางในการจัดสรรและใช้ทรัพยากรให่เกิดประโยชน์สูงสุด
24.ข้อใดเป็นพื้นฐานทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย *
พระมหากษัตริย์ ประชาธิปไตย
25.จากพระราชนิพนธ์ เรื่องพระมหาชนก คนไทยสามารถนำเรื่องใดไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน *
26.ทุกข้อกล่าวถึงที่ตั้งของทวีปยุโรบได้ถูกต้อง ยกเว้นข้อใด *
27.ความพยายามที่จะล้มเลิกระบบเก่าก่อนการปฎิวัติฝรั่งเศษ กระทำขึ้นเพื่อเหตุผลในข้อใด *
เพื่อจัดกฎหมายให้เป็นระบบ
เพื่อความเสมอภาคทางสังคมและการเมือง
เพื่อลดอำนาจความขัดแย้งของสภาฐานันดร
28.การสำรวจทางทะเลและการแสงหาอาณานิคม ส่งผลดีต่อการปฎิวัติอุตสาหกรรมในลักษณะใด *
มีแหล่งวัตถุดิบและตลาดสินค้ามาก
มีการคมนาคมติดต่อถึงกันทั่วโลก
มีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างทวีปยุโรบกับทวีปเอเชีย
29.สงครามกลางเมืองอเมริกัน คศ.1861-1865 มีสาเหตุสำคัญมาจากอะไร *
การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ
ความไม่พอใจเรื่องสีผิวและเชื้อชาติ
30."มูลาตโต" เป็นคำที่ใช้เรียกพวกที่มีเชื้อชาติผสมระหว่างข้อใด *
ห้ามส่งรหัสผ่านใน Google ฟอร์ม