อาณาจักรสุโขทัย
อาณาจักรสุโขทัยก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๗๘๑ หลังจากที่พ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางหาวรวมกำลังพลขับไล่ขอมซึ่งมีอำนาจปกครองดินแดนทั่วไปในสุวรรณภูมิได้สำเร็จ ประกาศตนเป็นอิสระ พ่อขุนบางกลางหาวขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ปกครองกรุงสุโขทัย มีพระนามว่า “ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์”
อาณาจักรสุโขทัยมีอำนาจและพัฒนาบ้านเมืองจนเจริญถึงขีดสุดในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ( พ.ศ. ๑๘๒๒ – ๑๘๔๒ ) และมีการขยายอาณาเขตลงไปทางตอนใต้จนตลอดแหลมมลายู รวมทั้งส่งเสริมพระพุทธศาสนา นำมาซึ่งการพัฒนาศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมและประติมากรรม ที่สำคัญ มีการประดิษฐ์อักษรไทยหรือลายสือไทซึ่งจารึกบนหลักศิลา สิ่งเหล่านี้ถือเป็นรากฐานแห่งความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติไทยสืบมาจนทุกวันนี้
นอกจากกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยจะทรงมีความเข้มแข็งและมีความสามารถในด้านการรบแล้ว ยังทรงเป็นผู้นำในทางการค้า หลักฐานที่เชื่อได้ว่าสุโขทัยเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าปรากฎข้อความในหลักศิลาจารึกว่า “ ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า....” และยังมีการค้นพบเตาเผาเครื่องสังคโลกจำนวนมากที่อำเภอสวรรคโลก แสดงให้เห็นถึงปริมาณการผลิตเครื่องสังคโลก ซึ่งเป็นสินค้าออกที่สำคัญของสุโขทัย
การค้าขายในอาณาจักรสุโขทัยพบว่ามีการใช้สื่อกลางการแลกเปลี่ยนรูปแบบต่างๆ ดังปรากฏในจดหมายเหตุจีนเจินละฟุงถู่จี้ของเจ้าต๋ากวาน ซึ่งเดินทางผ่านอาณาจักรสุโขทัยเพื่อไปเยือนอาณาจักรเขมรประมาณ พ.ศ. ๑๘๓๙ – ๑๘๔๐ ความว่า “....การค้าเล็กน้อยจ่ายกันเป็นข้าวหรือพืชผลอื่นๆ หรือสิ่งของที่มาจากเมืองจีน ถัดมาก็ใช้ผ้า ส่วนการค้าใหญ่ๆ ใช้ทองและเงิน”
แต่สื่อกลางการแลกเปลี่ยนที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวสุโขทัยคือ เงินพดด้วง ซึ่งเป็นเงินตราที่ชาวสุโขทัยผลิตขึ้นใช้เอง ทำด้วยโลหะเงิน สัณฐานกลม ปลายขาเงินยาวแหลมและชิดกัน มีรูขนาดใหญ่ระหว่างขา มีตราประทับเพื่อแสดงถึงแหล่งผลิต และรอยบากเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของเนื้อเงิน
พดด้วงในยุคแรกมีรอยบากเล็กและไม่ค่อยเรียบร้อย แต่ในยุคต่อมา รอยบากใหญ่และลึกทำได้เรียบร้อยขึ้น ปลายขาเงินงอพับเข้าหากัน จนกระทั่งในยุคหลังจึงทำรอยบากเล็กลงที่เรียกเงินชนิดนี้ว่า “ เงินพดด้วง” สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคำว่า “ ขดด้วง” เนื่องจากมีลักษณะเหมือนตัวอ่อนของด้วงที่งอขดอยู่ในรังไหม ภายหลังจึงเพี้ยนเสียงมาเป็นเงิน “ พดด้วง”
การผลิตเงินพดด้วงในสมัยสุโขทัย ทางราชการเปิดโอกาสให้เจ้าเมืองประเทศราช ตลอดจนพ่อค้าและประชาชนผลิตขึ้นใช้เองได้ เพื่อความสะดวกและคล่องตัวในการติดต่อค้าขาย จึงพบเงินพดด้วงที่มีตราประทับแตกต่างกันหลายตรา โดยอาจเป็นตราของผู้ผลิต ของเจ้าเมืองหรือของผู้มีอำนาจรับรองเนื้อเงินก็ได้ ตราที่พบบนพดด้วงมีตั้งแต่ ๑ ตรา ไปจนถึง ๗ ตรา ตราที่พบส่วนใหญ่ได้แก่ ราชสีห์ ช้าง หอยสังข์ ธรรมจักร บัว กระต่ายและราชวัติ
นอกจากนี้ ยังพบว่าในสมัยสุโขทัยมีการนำโลหะชนิดอื่นซึ่งไม่ใช่โลหะเงิน เช่น ดีบุก ตะกั่ว สังกะสี มาหลอมให้มีลักษณะคล้ายพดด้วง แต่มีขนาดใหญ่กว่า เรียกแตกต่างกัน เช่น พดด้วงชิน เงินคุบ เงินชุบ หรือ เงินคุก ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเพื่อใช้เป็นน้ำหนักชั่งสิ่งของหรือเป็นเครื่องรางของขลัง
นอกจากพดด้วงซึ่งใช้เป็นเงินหลักแล้ว ชาวสุโขทัยยังใช้ “ เบี้ย” เป็นเงินปลีกสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าราคาต่ำด้วย ดังปรากฏหลักฐานในหลักศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นศิลาจารึกในสมัยพญาลิไท ได้บันทึกถึงการบำเพ็ญทานว่า “ คิดพระราชทรัพย์ที่พระราชทานคือ ทองหมื่นหนึ่ง เงินหมื่นหนึ่ง เบี้ยสิบล้าน หมากสองล้าน จีวร๔๐๐”
หลังจากเรืองอำนาจมาเกือบ ๒๐๐ ปี อาณาจักรสุโขทัยได้เสื่อมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกผนวกเข้าเป็นเมืองบริวารของกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๑๙๘๑ ในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ ๔ กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย
(เงินตราในสมัยสุโขทัย)
ไทยผลิตเงินตราขึ้นใช้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย! เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใครในโลก!!
เผยแพร่: 7 ก.ค. 2563 17:31 โดย: โรม บุนนาค
ในสมัยโบราณกาลนานมา เมื่อเริ่มมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน คนยุคนั้นใช้ทั้ง ลูกปัด เปลือกหอย อัญมณี แม้แต่เมล็ดพืช เป็นสื่อกลาง และได้มีการพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ สำหรับชนชาติไทย
ข้อมูลของกองกษาปณ์กล่าวว่า มีการนำโลหะมาใช้เป็นเงินตราตั้งแต่สมัยสุโขทัย เรียกว่า “เงินพดด้วง” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนเงินตราใดในโลก แสดงให้เห็นถึงความเจริญของชาติไทยที่ได้ผลิตเงินตราขึ้นใช้เอง และใช้ต่อมาเป็นเวลายาวนานราว ๖๐๐ปี จนถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีการนำเงินเหรียญและเงินกระดาษตามแบบตะวันตกมาใช้
เงินพดด้วง ทำขึ้นจากแท่งเงิน ทุบปลายงอเข้าหากัน แล้วตอกตราแผ่นดินประจำรัชกาลลงไป มีสัณฐานกลมคล้ายตัวด้วง จึงเรียกกันว่า “เงินพดด้วง” แต่ชาวต่างประเทศกลับเรียกว่า
“เงินลูกปืน” (BULLET MONEY)
เงินพดด้วงในสมัยสุโขทัย มีตราประทับไว้มากกว่า ๒ ดวง เป็นสัตว์ชั้นสูง เช่น วัว กระต่าย หอยสังข์ และราชสีห์ เป็นต้น
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เงินพดด้วงก็ยังมีลักษณะคล้ายกับของกรุงสุโขทัย แต่ตรงปลายที่งอจรดกันไม่แหลมเหมือนพดด้วงสุโขทัย ตราที่ประทับเป็นตราจักรและตราประจำรัชกาล เช่น ครุฑ ช้าง ราชวัตร พุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นต้น
ในสมัยกรุงธนบุรี ก็ยังใช้เงินพดด้วง ซึ่งผลิตขึ้นใช้เพียง ๒ ชนิด คือ ตราตรีศูล และตราทวิวุธ
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เงินพดด้วงประทับตราจักร
ซึ่งเป็นตราแผ่นดิน กับประทับตราประจำรัชกาล คือ รัชกาลที่ ๑ ตราบัวอุณาโลม รัชกาลที่ ๒ ตราครุฑ รัชกาลที่ ๓ ตราปราสาท รัชกาลที่ ๔ ตรามงกุฎ รัชกาลที่ ๕ ตราพระเกี้ยว
ส่วนเบี้ย ซึ่งใช้เป็นเงินตราในสมัยก่อนเหมือนกัน เป็นเปลือกหอยขนาดเล็ก พ่อค้าต่างชาติได้นำมาจากหมู่เกาะมัลดีฟส์ ใช้เป็นเงินตราซื้อสินค้าไทย และขายหอยเบี้ยให้ไทย ใช้แก้ความขัดสนที่ไม่มีเงินตราแลกเปลี่ยน แต่เงินเบี้ยเป็นเงินที่มีค่าต่ำสุดในระบบเงินตรา เหมือนเศษสตางค์ มีอัตราแลกเปลี่ยน ๑๐๐ เบี้ยต่อ ๑ อัฐ หรือ ๑ สตางค์ครึ่งเท่านั้น
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีชาวต่างประเทศเข้ามาค้าขายกับไทยมากขึ้น จนเงินพดด้วงที่ทำด้วยมือไม่ทันกับความต้องการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯให้ผลิตเหรียญกษาปณ์เงินด้วยเครื่องจักรที่นำมาจากประเทศอังกฤษ ในปี ๒๔๐๑ จึงเริ่มผลิตเหรียญบาท สลึง และเฟื้อง ต่อมาเมื่อนำเครื่องจักรขนาดใหญ่เข้ามาจึงโปรดเกล้าฯให้สร้างโรงกษาปณ์ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานนามว่า “โรงกษาปณ์สิทธิการ” ผลิตได้จำนวนมาก ทั้งยังผลิตเงินตราราคาต่ำด้วยดีบุกด้วยเพื่อใช้แทนเบี้ยหอย
สำหรับเงินกระดาษ หรือ ธนบัตร
เพื่อใช้ชำระในมูลค่าสูงๆ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯได้โปรดเกล้าให้พิมพ์ออกมาใช้ตั้งแต่ปี ๒๓๙๖ เรียกว่า “หมาย” มีมูลค่าตั้งแต่ เฟื้อง สลึง บาท ตำลึง ชั่ง อีกทั้งยังโปรดเกล้าฯให้พิมพ์ใบพระราชทานเงินตรา หรือ “เช็ค” ขึ้นด้วย แต่ทว่าเงินกระดาษ รวมทั้งเช็คพระราชทานที่ไม่เคย “เด้ง” ก็ไม่ได้รับความนิยม จึงมีใช้เฉพาะในรัชกาลที่ ๔ เท่านั้น
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการเปลี่ยนแปลงการเงินครั้งสำคัญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่ามาตราเงินของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คือ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง
เฟื้อง เป็นระบบที่ยุ่งยาก ในปี ๒๔๔๑ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ปรับปรุงใหม่ โดยใช้เป็น บาท และสตางค์ เท่านั้น คือ ๑๐๐ สตางค์ เป็น ๑ บาท อันเป็นมาตราเงินไทยที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่าง คือโปรดเกล้าฯให้นำพระบรมรูปของพระองค์ประทับลงบนเหรียญ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นำพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ประทับลงบนเหรียญกษาปณ์
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงพยายามจะนำธนบัตรซึ่งตอนนั้นเรียกกันว่า “เงินกระดาษหลวง” ออกมาใช้ในปี ๒๔๓๖ แต่ก็ไม่ได้รับความนิยม จนในปี ๒๔๔๕ เมื่อมีระบบธนาคารพาณิชย์เกิดขึ้น มีการซื้อขายกันเป็นเงินจำนวนมาก การใช้เหรียญกษาปณ์จึงยุ่งยากในการนับ ธนบัตรได้รับความนิยม จึงโปรดเกล้าฯให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติประกาศเลิกใช้เงินพดด้วงทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๔๗ เป็นต้นมา
เราใช้เงินกระดาษกันอย่างจริงจังมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ เป็นเวลา ๑๐๐ กว่าปีแล้ว แต่วันนี้เงินกระดาษก็ทำท่าว่าจะหมดอนาคต เพราะเงินอิเล็กทรอนิกส์กำลังแทรกเข้ามามีบทบาทมากขึ้นทุกที เห็นทีว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีก ซึ่งก็เป็นธรรมดาของโลก ใครที่ตกขบวนตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลง อย่างกดลงทะเบียนเวปคนไทยไม่ทิ้งกัน หรือเยียวยาเกษตรกรไม่เป็น ระวังถึงตอนนั้นแม้มีเงินก็อาจจะอดข้าวได้ เพราะกดไม่เป็น