เชื่อว่าหลายๆ คนคงไม่คุ้นกับคำว่า วงแหวนแห่งไฟ แต่หากบอกว่าเกี่ยวข้องกับภูเขาไฟ ???? รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก คิดว่าน่าสนใจพอไหม??? เรามาทำความรู้จักกันหน่อยแล้วจะรู้สึกว่า ทุกอย่างมันใกล้ตัวจริงๆ รวมถึงในแต่ละการเปลี่ยนแปลงมันกระทบได้ทั้งโลกได้เลย ... ตามมาดูกันได้เลยครับ
วงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แนวเทือกเขารอบมหาสมุทรแปซิฟิก” (Circum-Pacific Belt) คือ แนวภูเขาไฟที่ยังคงคุกรุ่นและร่องลึกก้นสมุทรที่มีความยาวรวมกันกว่า 40,000 กิโลเมตร ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของปรากฏการณ์แผ่นดินไหวกว่าร้อยละ 90 ที่เกิดขึ้นบนโลก
วงแหวนแห่งไฟประกอบไปด้วยภูเขาไฟทั้งหมด 452 ลูก หรือกว่าร้อยละ 75 ของภูเขาไฟทั้งหมดที่ปรากฏอยู่บนโลก โดยครอบคลุมพื้นที่ในมหาสมุทรและประเทศในทวีปต่าง ๆ รวมกันถึง 31 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศโบลิเวีย บราซิล แคนาดา โคลัมเบีย ชิลี ฮอนดูรัส อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ฟิจิ และสหรัฐอเมริกา
การกำเนิด “วงแหวนแห่งไฟ”
วงแหวนแห่งไฟ เกิดจากการเคลื่อนที่เข้าหากันของแผ่นเปลือกโลกหรือแผ่นธรณีภาค (Plate) เมื่อหลายล้านปีก่อน ซึ่งก่อให้เกิดการมุดตัวลงซ้อนกันในบริเวณที่เรียกว่า “เขตมุดตัวของเปลือกโลก” (Subduction Zone) ใต้มหาสมุทร และการมุดตัวลงของแผ่นธรณีภาคนี้ ได้ก่อให้เกิดร่องลึกใต้มหาสมุทรและการหลอมละลายของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งผลักดันให้หินหนืด (Magma) เคลื่อนตัวขึ้นมาตามรอยแยกจนกลายเป็นต้นกำเนิดของแนวภูเขาไฟที่ในภายหลังอาจยกตัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำจนเกิดเป็นแนวเทือกเขา หรือ หมู่เกาะกลางทะเล
วงแหวนแห่งไฟ คือริเวณที่ขอบของแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ชนกันหรือเคลื่อนที่ผ่านกันจนก่อให้เกิดแนวเทือกเขาที่มีลักษณะคล้ายเกือกม้า โดยเกิดจากการเคลื่อนที่มาชนกันและมุดตัวซ้อนกันของแผ่นธรณีจำนวนมาก เช่น การชนกันของแผ่นธรณีภาคนาซคา (Nazca Plate) และแผ่นธรณีภาคอเมริกาใต้ ซึ่งก่อให้เกิดเทือกเขาแอนดีส (Andes) หรือการมุดตัวลงใต้บริเวณหมู่เกาะอะลูเชียน (Aleutian Islands) จนถึงทางใต้ของประเทศญี่ปุ่นของแผ่นธรณีภาคแปซิฟิก
นอกจากนี้ยังรวมถึงการซ้อนทับกันของแผ่นธรณีภาคขนาดเล็กหลายแผ่นบริเวณทางตอนใต้ของวงแหวนแห่งไฟ ซึ่งมีจุดเริ่มตั้งแต่หมู่เกาะมาเรียน่า (Mariana Islands) ของฟิลิปปินส์ เกาะบัวเกนวิลล์ (Bougainville) ของตองกา และนิวซีแลนด์ที่ต่อเนื่องไปยังแนวเทือกเขาอัลไพน์ (Alpine) ตั้งแต่บริเวณเกาะชวาและเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียผ่านเทือกเขาหิมาลัยและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งแนวภูเขาไฟและรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกนี้ เป็นต้นกำเนิดของปรากฏการณ์แผ่นดินไหวมากถึงร้อยละ 27 ของปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ร่องลึกก้นสมุทรและรอยเลื่อนในวงแหวนแห่งไฟ (Oceanic Trenches and Faults)
ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา (อังกฤษ: Mariana Trench, Marianas Trench) เป็นชื่อธรณีวิทยาทางทะเลของร่องลึกก้นสมุทรที่ลึกที่สุดในโลก และเป็นจุดที่ต่ำที่สุดของเปลือกโลกเท่าที่ทราบกันในปัจจุบัน ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนามีตำแหน่งอยู่ที่ก้นมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และอยู่ในแนวตะวันออกและแนวใต้ของหมู่เกาะมาเรียนา ณ พิกัด 11° 21’ เหนือ และ 142° 12’ ตะวันออก ใกล้เกาะกวม
ลักษณะ
ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาเป็นแนวเขตที่แผ่นธรณีแปรสัณฐาน หรือที่เรียกชื่อในภาษาอังกฤษว่า "Tectonic Plates" สองแผ่นมาชนกัน ณ บริเวณเขตมุดตัวของเปลือกโลก (subduction zone) โดยแผ่นธรณีแปซิฟิก เป็นฝ่ายลอดลงไปใต้แผ่นธรณีมาเรียนา ก้นของร่องลึก ณ จุดนี้ที่มีชื่อเรียกว่า "แชลเลนเจอร์ดีป" (Challenger Deep) อยู่ลึกกว่าความสูงของยอดเขาเอเวอเรสต์ที่อยู่บนแผ่นดิน ความลึกมากสุดของร่องที่วัดได้ ณ จุดนี้ ลึกมากถึง 10,911 เมตรจากระดับน้ำทะเล และหากวัดละติจูดและ ส่วนอ้วนจากแรงเหวี่ยงแถบเส้นศูนย์สูตร (equatorial bulge) จะได้ระยะของจุดลึกสุดของร่องได้ 6,366,400 เมตรจากจุดใจกลางของโลก ในขณะที่มหาสมุทรอาร์กติกซึ่งมีความลึกมากที่สุดประมาณ 4,500 เมตร แต่เมื่อวัดพื้นผิวก้นมหาสมุทรถึงจุดใจกลางโลกกลับได้ระยะ 6,353,000 เมตร ใกล้จุดใจกลางโลกมากกว่าร่องลึกบาดาลมาเรียนาถึง 13 กิโลเมตร
รอยเลื่อนแซนแอนเดรอัส (San Andreas Fault)
รอยเลื่อนแซนแอนเดรอัส (อังกฤษ: San Andreas Fault) เป็นรอยเลื่อนที่พาดผ่านรัฐแคลิฟอร์เนีย ทางภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกา มีความยาวเป็นระยะทางกว่า 1,300 กิโลเมตร พาดผ่านใกล้เมืองสำคัญของประเทศ ได้แก่ แซนดีเอโก ลอสแอนเจลิส และแซนแฟรนซิสโก รอยเลื่อนแห่งนี้เกิดจากการที่ขอบของแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือกับแผ่นเปลือกโลกแปซิฟิกเคลื่อนที่สวนกัน โดยแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือจะเคลื่อนตัวลงใต้ แต่แผ่นเปลือกโลกแปซิฟิกจะเคลื่อนตัวขึ้นไปทางเหนือ ทำให้เกิดการเสียดสีและแตกเป็นแนวรอยเลื่อนอย่างเห็นได้ชัดเจน และเกิดแผ่นดินไหวขึ้นถ้ามีการเคลื่อนตัวอย่างรุนแรง ซึ่งแผ่นดินไหวในบริเวณนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่ไม่มีความรุนแรงมาก อยู่ในระดับแมกนิจูด 2.0 ซึ่งถือเป็นแผ่นดินไหวระดับเบาจนคนอาจจะไม่มีรู้สึก แต่มีการคาดการณ์กันว่าแผ่นดินไหวในแมกนิจูด 6.0 ขึ้นไปจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุก 20-30 ปี
รอยเลื่อนแห่งนี้ถูกตรวจพบเป็นครั้งแรกทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียในปี ค.ศ. 1895 โดยศาสตราจารย์แอนดรูว์ ลอว์สัน นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งเบิร์กลีย์ หลังจากแผ่นดินไหวปี ค.ศ. 1906 ที่แซนแฟรนซิสโก เขาจึงพบว่ามันมีความยาวมากกว่า 1,300 กิโลเมตรจากทางตอนเหนือจนถึงตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
รอยเลื่อนควีนชาร์ลอตต์ (Queen Charlotte Fault)
Queen Charlotte Fault เป็นความผิดปกติในการเปลี่ยนแปลงเชิงรุกที่ทำเครื่องหมายขอบเขตของแผ่นอเมริกาเหนือและแปซิฟิก มันคือสลิปการนัดหยุดงานด้านขวาของแคนาดาเทียบเท่ากับรอยเลื่อนซานแอนเดรียสทางใต้ในแคลิฟอร์เนีย รอยพระบาทสมเด็จพระราชินีนาถชาร์ลอตต์เป็นทางแยกสามทางทางทิศใต้ที่มีเขตมุดตัวของแคสคาเดียและสันเขาเอ็กซ์พลอเรอร์
ตามหมู่เกาะควีนชาร์ลอตต์ (ปัจจุบันคือ Haida Gwaii) ซึ่งอยู่ทางเหนือของทางแยกสามทาง Queen
Charlotte Fault ยังคงดำเนินต่อไปทางเหนือตามแนวชายฝั่งอะแลสกาที่เรียกว่า Fairweather Fault ทั้งสองส่วนนี้เรียกรวมกันว่า Queen Charlotte-Fairweather Fault System ความผิดนั้นเป็นต้นเหตุของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ใหญ่มาก และใหญ่มาก การศึกษาข้อบกพร่องของสมเด็จพระราชินีชาร์ล็อตต์ได้ให้ข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อผิดพลาดที่คล้ายคลึงกันทั่วโลก
ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นและการเกิดแผ่นดินไหวในวงแหวนแห่งไฟ ในวงแหวนแห่งไฟ ภูเขาไฟที่ยังคงคุกรุ่น (Active Volcanoes) ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ตามแนวขอบของวงแหวนด้านทิศตะวันตก ตั้งแต่ประเทศรัสเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ไปจนถึงนิวซีแลนด์์ เช่น
ภูเขาไฟเขาตัมโบรา (Mount Tambora)
เขาตัมโบรา (อินโดนีเซีย: Gunung Tambora) ตั้งอยู่บนเกาะซุมบาวา ประเทศอินโดนีเซีย มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,850 เมตร ภูเขาไฟลูกนี้ได้เคยระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1815 ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 71,000 คน และส่งผลกระทบไปยังทั่วทุกมุมโลก และเป็นต้นเหตุของปีที่ไร้ฤดูร้อนในปีค.ศ. 1815 ซึ่งเป็นปีที่อากาศในช่วงฤดูร้อนผิดจากปกติ ที่มีผลในการทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารของยุโรปเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดานานสองปี
การปะทุในปีค.ศ. 1815
ดูบทความหลักที่: การปะทุของเขาตัมโบรา พ.ศ. 2358
เมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1815 เขาตัมโบราได้เกิดปะทุขึ้น โดยแรงปะทุนั้นทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวได้ยินไกลไปถึง 850 กิโลเมตร ชาวบ้านได้รายงานว่า ต้นไม้บนเกาะล้มระเนระนาด และลาวาไหลนองท่วมพื้นบริเวณรอบภูเขาไฟ ทำให้ทุ่งนาถูกทำลาย และท้องฟ้าในบริเวณนั้นมืดมัว เพราะไร้แสงอาทิตย์นานถึง 2 วันการปะทุของเขาตัมโบราในครั้งนั้นได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดินฟ้าอากาศกับการระเบิดของภูเขาไฟดียิ่งขึ้น เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้รายงานว่า หลังจากที่เขาตัมโบราปะทุได้ไม่นานผิวโลกก็ได้รับแสงอาทิตย์น้อยลงถึงร้อยละ 20 และอุณหภูมิของอากาศในแถบซีกโลกเหนือได้ลดลงมาก เพราะในบรรยากาศเหนือโลกมีฝุ่น และละอองภูเขาไฟปะปนมากมาย ซึ่งเถ้าถ่านเหล่านี้ต้องใช้เวลานานหลายปีจึงจะตกสู่โลกหมด
ภูเขาไฟปินาตูโบ (Mount Pinatubo)
เขาปีนาตูโบ (ตากาล็อก: Bundok Pinatubo; อังกฤษ: Mount Pinatubo) เป็นภูเขาไฟประเภทกรวยสลับชั้นที่มีพลังอยู่ ตั้งอยู่บนเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ บริเวณทิวเขาซัมบาเลส เหนือกรุงมะนิลา ทหารสเปนค้นพบเมื่อครั้งล่าอาณานิคมเมื่อ พ.ศ. 2099 เป็นที่รู้จักจากการระเบิดครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2534 ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ปินาตูโบเป็นภาษาตากาล็อกแปลว่าปลูก
ลักษณะภูมิศาสตร์
เขาปีนาตูโบเป็นภูเขาไฟประเภทกรวยสลับชั้นที่มีพลังอยู่ มีความสูง 1,750 เมตร อายุราว 9,000 ปี ก่อนการระเบิดถูกปกคลุมไปด้วยป่าดงดิบ และเป็นพื่นที่เกษตรกรรมในการปลูกข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และพืชชนิดอื่น ๆ มีทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟอยู่
การระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2534
การระเบิดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2534 หลังจากสงบลง 600 ปี พื้นที่โดยรอบ 20 กิโลเมตรรู้สึกถึงการระเบิดและถูกปกคลุมด้วยเถ้าภูเขาไฟจนมืดมิดทันที เกิดสะเก็ดภูเขาไฟทำลายสิ่งก่อสร้างในพื้นที่ ลาวาที่ไหลออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟเข้าทำลายบ้านเรือนประชาชน เกิดโคลนถล่มและน้ำท่วม และก่อให้เกิดแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ลอยขึ้นสู่บรรยากาศชั้นสตราโทสเฟียร์ถึง 25 ไมล์ และได้ไปผสมกับความชื้นทำให้เกิดเป็นเมฆปกคลุมอยู่รอบโลกถึง 21 วัน นักธรณีวิทยาได้กล่าวไว้ว่า การระเบิดครั้งนี้เป็นครั้งที่รุนแรงและยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการจดบันทึกไว้ โดยกลุ่มก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจะยังคงปกคลุมและหมุนอยู่รอบโลกไปอีกถึง 5 ปี คาดว่ามีประมาณ 20 ล้านตัน ถึงแม้ว่าการระเบิดของภูเขาปินาตูโบจะส่งสารเคมีไปทั่วโลกทั้งซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ อาคารหลายแห่งถล่มลงมาเพราะการทับถมของหินพัมมิซ ทำให้ทางการเร่งอพยพประชาชนกว่า 40,000 - 331,00 คนออกจากพื้นที่ โรงเรียนหลายแห่งถูกปิด และมีผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเพราะเถ้าภูเขาไฟเป็นจำนวนมาก
ผลกระทบจากการระเบิด
ขณะการระเบิดหลายพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ ระบบสาธารณูปโภคได้รับความเสียหาย ทางการระงับเที่ยวบินที่มุ่งหน้าผ่าเกาะลูซอนทั้งหมด มีผู้ได้รับผลกระทบจากการระเบิด 2.1 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 857 คน ความเสียหายประเมินเป็นมูลค่า 3925.5 ล้านเปโซ พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลายไป 150 ตารางกิโลเมตร พื้นที่การเกษตรเสียหาย 800 ตารางกิโลเมตร ทางด้านปศุสัตว์มีสัตว์เลี้ยงของเกษตรกรตาย 800,000 ตัว
ภูเขาไฟลูอาเปทู (Mount Ruapehu)
Mount Ruapehu (/ ˈruːəˌpeɪhuː/; Māori: [ˈɾʉaˌpɛhʉ]) เป็น stratovolcano ที่ยังคุกรุ่นอยู่ทางตอนใต้สุดของเขตภูเขาไฟเทาโปในนิวซีแลนด์ อยู่ห่างจาก Ohakune ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 23 กม. (14 ไมล์) และ 23 กม. (14 ไมล์) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของชายฝั่งทางใต้ของทะเลสาบเทาโป ภายในอุทยานแห่งชาติตองการิโร สกีรีสอร์ทหลักๆ ของเกาะเหนือและมีเพียงธารน้ำแข็งเท่านั้นที่อยู่บนเนินเขา
Ruapehu ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นที่ใหญ่ที่สุดในนิวซีแลนด์ เป็นจุดที่สูงที่สุดในเกาะเหนือและมียอดเขาหลักสามแห่ง: Tahrangi (2,797 ม.), Te Heuheu (2,755 ม.) และ Paretetaitonga (2,751 ม.) หลุมอุกกาบาตที่ลึกและกระฉับกระเฉงอยู่ระหว่างยอดเขาและเต็มไปด้วยน้ำระหว่างการปะทุครั้งใหญ่ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Crater Lake (Māori: Te Wai ā-moe) ชื่อรัวเปฮู แปลว่า "หลุมแห่งเสียง" หรือ "หลุมระเบิด" ในภาษาเมารี
ภูมิศาสตร์
Ruapehu ตั้งอยู่ในใจกลางของเกาะเหนือของนิวซีแลนด์ ห่างจาก Ohakune ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนิวซีแลนด์ 23 กิโลเมตร (14 ไมล์) และ 23 กม. (14 ไมล์) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของชายฝั่งทางใต้ของทะเลสาบเทาโป ภายในอุทยานแห่งชาติ Tongariro รัวเปฮูเป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดและอยู่ทางใต้สุดของอุทยานแห่งชาติ โดยมีปริมาตรประมาณ 110 กม.3ภูเขาไฟล้อมรอบไปด้วยที่ราบวงแหวนของวัสดุภูเขาไฟ ซึ่งสร้างจากแหล่งลาฮาร์ เถ้า และเศษดินถล่ม
มีเส้นทางเข้าถึง Ruapehu สามเส้นทาง และแต่ละเส้นทางจะนำไปสู่ลานสกีหนึ่งในสามแห่งที่พบบนทางลาด ทางหลวงหมายเลข 48 นำไปสู่หมู่บ้านวาคาปาปาที่เชิงเขา จากนั้นถนนทางเข้าจะนำไปสู่หมู่บ้านอิวิเคาที่ฐานของลานสกีวาคาปาปาบนเนินลาดทางตะวันตกเฉียงเหนือ ถนนทางเข้าจาก Ohakune นำไปสู่ลานสกี Turoa บนทางลาดตะวันตกเฉียงใต้ และเส้นทางขับเคลื่อนสี่ล้อนำไปสู่เส้นทาง Desert Road (ทางหลวงหมายเลข 1) ไปยังลานสกี Tukino บนเนินลาดด้านตะวันออก
หลุมอุกกาบาตที่ยังคุกรุ่นของรัวเปฮู หรือที่เรียกกันว่า Crater Lake (Te Wai ā-moe) ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของที่ราบสูงซัมมิท และตามชื่อก็บอกไว้ เต็มไปด้วยทะเลสาบที่อบอุ่นและเป็นกรด ทางออกของทะเลสาบอยู่ที่หัวหุบเขา Whangaehu ที่ซึ่งแม่น้ำ Whangaehu เกิดขึ้น แม่น้ำวังเกฮูขึ้นชื่อเรื่องลาฮาร์ที่ทำลายล้างซึ่งเกิดจากการปะทุของรัวเปฮู ในอดีต การปะทุได้สร้างเขื่อนเทเฟรข้ามช่องระบายน้ำหลายครั้ง โดยล่าสุดคือในปี พ.ศ. 2488 และ พ.ศ. 2539 เขื่อนเหล่านี้ล้มเหลวในปี พ.ศ. 2496 และ พ.ศ. 2550 ตามลำดับ ทำให้เกิดการระเบิดของทะเลสาบปล่องภูเขาไฟในแต่ละครั้ง ซึ่งส่งลาฮาร์ที่ทำลายล้างลงไปในแม่น้ำ ลาฮาร์ในปี 1953 เป็นสาเหตุของภัยพิบัติ Tangiwai ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 151 ราย มีลาฮาร์ที่ใหญ่กว่าเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2405 และ พ.ศ. 2438
ธารน้ำแข็งทั้งหมด 18 แห่งได้รับการยอมรับบน Ruapehu โดยหกแห่งได้รับการตั้งชื่อ พบธารน้ำแข็งสองแห่งในปล่องภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่: แห่งหนึ่งอยู่ทางด้านเหนือของปล่องใต้ยอดเขา Paretetaitonga และอีกแห่งอยู่ทางใต้ ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งแห่งเดียวในนิวซีแลนด์ น้ำแข็งส่วนใหญ่บนเกาะรัวเปฮูมีธารน้ำแข็งเพียงสามแห่งเท่านั้น: วังเกฮู ที่ราบสูงซัมมิต และธารน้ำแข็งมังกาโทเอนุย ธารน้ำแข็งที่ราบสูงซัมมิทไม่ใช่ธารน้ำแข็งในความหมายที่แท้จริง แต่เป็นทุ่งน้ำแข็งที่เติมปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว และน้ำแข็งที่นั่นมีความหนามากกว่า 130 เมตร ธารน้ำแข็ง Whangaehu เลี้ยงแม่น้ำ Whangaehu และธารน้ำแข็ง Mangatoetoenui เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาหลักของแม่น้ำ Waikato ซึ่งเกิดขึ้นเป็นชุดของลำธารบนเนินเขาทางทิศตะวันออกของ Ruapehu ทางด้านตะวันตกของภูเขา มีลำธารหลายสายที่เกิดขึ้นที่นั่น เช่น แม่น้ำวากาปาปาและแม่น้ำมังนุยโอเตอาโอซึ่งเป็นแหล่งอาหารของแม่น้ำวางกานุย
ธารน้ำแข็งของรัวเปฮูตั้งอยู่ทางเหนือของการก่อตัวของน้ำแข็งถาวรในนิวซีแลนด์ ดังนั้นจึงมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การสำรวจธารน้ำแข็งที่ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 พบว่าธารน้ำแข็งทั้งหมดได้บางลงและถอยห่างออกไป ยกเว้นธารน้ำแข็งด้านเหนือของปล่องภูเขาไฟ ซึ่งหนาและยาวขึ้นหลังจากการปะทุของทะเลสาบปล่องภูเขาไฟในปี พ.ศ. 2496 ทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบลดลง
สภาพภูมิอากาศ
รัวเปฮูมีภูมิอากาศแบบทุนดราขั้วโลก (Köppen: ET) บนเนินเขาตอนบน โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง -4–15 °C ในฤดูร้อน และ −7–7 °C ในฤดูหนาว ขึ้นอยู่กับระดับความสูงและเมฆมาก บนพื้นที่ลาดด้านล่าง รัวเปฮูมีภูมิอากาศแบบมหาสมุทรใต้ขั้ว (Köppen: Cfc)
ทิศทางลมที่แพร่หลายในภูมิภาคนี้เป็นทิศตะวันตกหรือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และสภาพแรงลม (เช่น ความเร็วลมที่สูงกว่า 33 นอต (61 กม./ชม.)) เป็นเรื่องปกติบนภูเขา ปริมาณน้ำฝนทางฝั่งตะวันตกของเกาะรัวเปฮูมีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าฝั่งตะวันออกเนื่องจากเงาฝน หมู่บ้านวากาปาปาได้รับฝนเฉลี่ย 2,200 มม. ต่อปี ในขณะที่ทะเลทรายรันจิโปทางตะวันออกของรัวเปฮูได้รับฝนมากกว่า 1,500 มม. เล็กน้อยต่อปีเล็กน้อย หิมะตกโดยเฉลี่ยที่ระดับความสูง 1,500 เมตร