พระพุทธเจ้าปรินิพพานเมื่อใด

 ย้อนรำลึกเหตุการณ์ “พุทธปรินิพพาน"

 ล่วงผ่านพุทธศาสนกาล ๒๕๖๔ ปี 

++ พระยามารกราบบังคมทูลขอโปรดเสด็จดับขันธ์ ปฐมบทสู่การปรินิพพาน

 ในวันเพ็ญเดือนมาฆะ(เดือน ๓) ก่อนพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน พระยาวัสวดีมาร มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ ปาวาลเจดีย์ เมืองเวสาลี กราบทูลขอให้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน ดังปรากฏความในมหาปรินิพพานสูตรว่า

“...ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ พรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคสมบูรณ์แล้ว กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค ฯ

------------------------------------------------------------------------

++ พระพุทธเจ้าทรงปลงพระชนมายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ เมืองเวสาลี

 ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าได้ตอบแก่พระยามารว่า 

“...ดูกรมารผู้มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน...ดูกรอานนท์ 

วันนี้เมื่อกี้นี้ ตถาคตมีสติสัมปชัญญะปลงอายุสังขารแล้ว ที่ปาวาลเจดีย์ ฯ...” และเมื่อทรงปลงพระชนมายุสังขารแล้ว “ ...ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และขนพองสยองเกล้าน่าสะพรึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น...”

-----------------------------------------------------------------------

++  นายจุนทกัมมารบุตร ถวายสุกรมัทวะ 

 เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเมืองปาวา นายจุนทกัมมารบุตร นิมนต์พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์รับถวายภัตตาหาร ณ เรือนของตน ครั้งนั้นได้จัดโภชนาหารอันประณีตชื่อว่า “สุกรมัทวะ” ถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้ามีพระดำรัสให้ถวายสุกรมัทวะแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ส่วนเหลือเท่าใดให้นำไปฝังเสียทั้งหมด “...พระผู้มีพระภาครับสั่งกะนายจุนทกัมมารบุตรว่า ดูกรนายจุนทะ ท่านจงฝังสุกรมัททวะที่ยังเหลือเสียในหลุม เรายังไม่เห็นบุคคลในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ซึ่งบริโภคสุกรมัททวะนั้นแล้ว จะพึงให้ย่อยไปด้วยดีได้นอกจากตถาคต...”

--------------------------------------------------------------------

++ ทรงประชวรลงพระโลหิต ++

หลังจากเสวยภัตตาหารซึ่งนายจุนทกัมมารบุตรถวายแล้ว ก็ทรงประชวรถึงกับพระบังคล(ขับถ่าย)เป็นเลือด ดังปรากฏความว่า “...ลำดับนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว

ก็เกิดอาพาธอย่างร้ายแรง มีเวทนากล้าเกิดแต่การประชวรลงพระโลหิต ใกล้จะนิพพาน ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นเวทนาเหล่านั้นไว้ มิได้ทรงพรั่นพรึง ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า มาไปกันเถิดอานนท์ เราจักไปยังเมืองกุสินารา...”

------------------------------------------------------------------------

++ ทรงกระหายน้ำระหว่างทางไปกุสินารา ++

ในระหว่างทางเสด็จไปเมืองกุสินารา พระพุทธเจ้าทรงกระหายน้ำ จึงกล่าวแก่พระอานนท์ว่า “..ดูกรอานนท์ เธอจงช่วยนำน้ำมาให้เรา เราระหาย จักดื่มน้ำ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อกี้นี้ เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ข้ามไปแล้วน้ำนั้นน้อย ถูกล้อเกวียน

บดแล้ว ขุ่นมัวไหลไปอยู่ แม่น้ำกกุธานทีนี้อยู่ไม่ไกล มีน้ำใสจืด เย็น ขาว มีท่าราบเรียบ น่ารื่นรมย์ พระผู้มีพระภาคจักทรงดื่มน้ำในแม่น้ำนี้ และจักทรงสรงสนานพระองค์...” พระพุทธเจ้าทรงดำรัสสั่งถึง ๓ ครั้ง พระอานนท์จึงไปตักน้ำมาถวายตามรับสั่ง และเมื่อถึงแม่น้ำก็พบว่าน้ำที่ขุ่นมัวนั้นกลับใสสะอาดอย่างอัศจรรย์ด้วยฤทธานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า 

------------------------------------------------------------------------

++ ปุกกุสมัลลบุตรถวายผ้าสิงคิวรรณ ++

 ระหว่างทางไปเมืองกุสินารา ปุกกุสมัลลบุตรเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และสนทนาธรรมเรื่องบรรพชิตย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันสงบ หลังได้ฟังพุทธาธิบายแล้วเกิดความเลื่อมใสปวารณาตนเป็นอุบาสก มีพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ และในกาลนั้นได้น้อมถวาย “ผ้าสิงคิวรรณ” ดังปรากฏความว่า “...ลำดับนั้น ปุกกุสมัลลบุตรสั่งบุรุษคนหนึ่งว่า ดูกรพนายท่านจงช่วยนำคู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงของเรามา บุรุษนั้นรับคำปุกกุสมัลลบุตรแล้ว นำคู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงของเขามาแล้ว ปุกกุสมัลลบุตร จึงน้อมคู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนั้น เข้าไปถวายแด่พระผู้มีพระภาค…”

-----------------------------------------------------------------------

++ ทรงไสยาสน์ ณ อัมพวัน ริมฝั่งน้ำกกุธานที ++

 ก่อนถึงเมืองกุสินารา พระพุทธเจ้าทรงสรงน้ำในแม่น้ำกกุธานที และทรงไสยาสน์ ณ อัมพวัน                  ดังปรากฏความว่า “...ครั้นแล้วเสด็จลงสู่แม่น้ำกกุธานที ทรงสรงแล้ว เสวยแล้ว เสด็จขึ้น เสด็จไปยังอัมพวัน ตรัสเรียกท่านพระจุนทกะมารับสั่งว่า ดูกรจุนทกะ เธอจงช่วยปูผ้าสังฆาฏิซ้อนกันเป็นสี่ชั้นให้เรา เราเหน็ดเหนื่อยนัก จักนอนพัก...” 

------------------------------------------------------------------------

++ ทรงไสยาสน์ใต้ต้นรังคู่ ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา++

 เมื่อออกจากอัมพวันริมฝั่งแม่น้ำกกุธานีแล้ว “...ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยังฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำหิรัญวดี เมืองกุสินารา และสาลวันอันเป็นที่แวะพักแห่งพวกเจ้ามัลละ ครั้นแล้วรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธอจงช่วยตั้งเตียงให้เรา หันศีรษะไปทางทิศอุดร ระหว่างไม้สาละทั้งคู่ เราเหน็ดเหนื่อยแล้ว จักนอน ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ตั้งเตียงหันพระเศียรไปทางทิศอุดรระหว่างไม้สาละทั้งคู่ พระผู้มีพระภาคทรงสำเร็จสีหไสยาโดยพระปรัสเบื้องขวา ทรงซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท มีพระสติสัมปชัญญะฯ…”

------------------------------------------------------------------------

++ ทรงตรัสสังเวชนียสถาน ++

 พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “...ดูกรอานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่งเหล่านี้ เป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา...ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จักมาด้วยความเชื่อว่าพระตถาคตประสูติในที่นี้ก็ดี พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ก็ดี พระตถาคตทรงยังอนุตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้ก็ดี พระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้ก็ดี ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ มีจิตเลื่อมใสแล้ว จักทำกาละลง ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ…”

----------------------------------------------------------------------

++ พระอานนท์แจ้งข่าวแก่มัลลกษัตริย์ ++ 

 ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้ามีพระดำรัสให้พระอานนท์เข้าไปแจ้งข่าวแก่เหล่ามัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินารา ดังปรากฏความว่า “...จงไปเถิดอานนท์ เธอจงเข้าไปใน เมืองกุสินารา แล้วบอกแก่พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลายพระตถาคตจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้ พวกท่านจงรีบออกไปกันเถิดๆ พวกท่านอย่าได้มีความร้อนใจในภายหลังว่า พระตถาคตได้ปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราไม่ได้เฝ้าพระตถาคตในกาลครั้งสุดท้าย ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปในเมืองกุสินาราลำพังผู้เดียว...” 

------------------------------------------------------------------------

 ครั้งนั้นสุภัททปริพาชก เดินทางมายังสาลวโนทยาน และกล่าวกับพระอานนท์เพื่อขอโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอานนท์กล่าวว่า “...อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตเลย พระผู้มีพระภาคทรงลำบากแล้ว แม้ครั้งที่สอง แม้ครั้งที่สาม...” พระผู้มีพระภาคทรงได้ยินถ้อยคำท่านพระอานนท์เจรจากับสุภัททปริพาชก จึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า “...อย่าเลยอานนท์ เธออย่าห้ามสุภัททะ สุภัททะจงได้เฝ้าตถาคต สุภัททะจักถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งกะเรา จักมุ่งเพื่อความรู้ มิใช่มุ่งความเบียดเบียน อนึ่ง เราอันสุภัททะถามแล้ว จักพยากรณ์ข้อความอันใดแก่สุภัททะนั้น สุภัททะจักรู้ทั่วถึงข้อความนั้นโดยฉับพลันทีเดียวฯ...” และเมื่อได้ฟังธรรมแล้ว “...พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้สุภัททปริพาชกบวชเถิด...” นับเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้ายที่ได้บรรพชาต่อหน้าพระพุทธเจ้า

------------------------------------------------------------------------

++ ตรัสพระธรรมและวินัยจักเป็นศาสดา ++

“...ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้วพระศาสดาของพวกเราไม่มี ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา…”

------------------------------------------------------------------------

 “...ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาพวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิดฯ นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคตฯ…”

------------------------------------------------------------------------

 เมื่อจะเข้าสู่พระปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงเข้าฌานและสมาบัติไปตามลำดับจนถึงนิโรธสมาบัติ “...แล้วก็กลับเข้ารูปาวจรสมาบัติทั้ง ๔ แลอรูปาวจรสมาบัติทั้ง ๔ โดยอนุโลมแลปฏิโลม กลับไปกลับมาโดยปคุณานุโยคอันรวดเร็วถึง ๒๔ แสนโกฏิสมาบัติ...เมื่อออกจากจตุต์ถฌานในวาระเปนที่สุด ก็ดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานในสมัยกาลระหว่างนั้น ในวันวิศาขบุณมีราตรีปัจจุสสมัย... ขณะนั้นอันว่าปฐวีกัมปนาการก็บังเกิดปรากฎพิฦกพึงกลัวทั่วโลกธาตุทั้งปวง อีกทั้งห้วงมหรรณพก็กำเริบตีฟองคนองคลื่นครืนครั่น นฤนาทสนั่นในมหาสมุทสาคร ทั้งหมู่มัจฉาชาติมังกรผุดดำกระทำให้ศัพท์สำนานนฤโฆษ ครุวณาดุจเสียงปริเทวกถาแซร่ซร้อง โสกาดุรกำสรด ทั้งขุนเขาพระสิเนรุราชบรรพตก็น้อมยอดโอนอ่อน มีอาการปานประหนึ่งว่ายอดหวายอันอัคคีลน อเนกมหัศจรรย์ก็บันดานทั่วเมทนีดลสกลนภากาศ ปางเมื่อพระบรมโลกนารถ เข้าสู่พระปรินิพพาน...”

------------------------------------------------------------------------

++ สังเวคกถาแห่งท้าวสหัมบดีพรหม++

สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จักต้องทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก แต่พระตถาคตผู้เป็นศาสดาเช่นนั้น หาบุคคลจะเปรียบเทียบมิได้ในโลก เป็นพระสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระกำลัง ยังเสด็จปรินิพพานฯ

------------------------------------------------------------------------

++ สังเวคกถาแห่งพระอินทร์++

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป               ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นเป็นสุขฯ

------------------------------------------------------------------------

++ สังเวคกถาแห่งพระอนุรุธะ ++

ลมอัสสาสะปัสสาสะของพระมุนีผู้มีพระทัยตั้งมั่น คงที่ ไม่หวั่นไหว ทรงปรารภสันติ ทรงทำกาละ  มิได้มีแล้ว พระองค์มีพระทัยไม่หดหู่ ทรงอดกลั้นเวทนาได้แล้ว ความพ้นแห่งจิตได้มีแล้ว เหมือนดวงประทีปดับไปฉะนั้นฯ

------------------------------------------------------------------------

++  สังเวคกถาแห่งพระอานนท์

เมื่อพระสัมพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยอาการอันประเสริฐทั้งปวงเสด็จปรินิพพานแล้ว ในครั้งนั้นได้เกิดความอัศจรรย์น่าพึงกลัว และเกิดความขนพองสยองเกล้าฯ

พระพุทธเจ้าปรินิพพานปีไหน

คัมภีร์พุทธศาสนาทั้งนิกายเถรวาทและนิกายมหายานบันทึกตรงกันว่า พระโคตมพุทธเจ้าประสูติ 623 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระองค์ทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ระหว่าง 80 ปีก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราชซึ่งเป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ 543 ปี ก่อนคริสตกาลตามตำราไทยซึ่งอ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทย และตรงกับ 483 ปีก่อนคริสตกาลตาม ...

พระพุทธเจ้าปรินิพพานเมื่ออายุกี่ปี

พระพุทธเจ้า ปรินิพพาน 24.พระพุธเจ้าปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวัน 15 ค ่า เดือน6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของ พุทธศักราช วันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ได้แก่วันวิสาขบูชา

พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้อย่างไร

++ พระพุทธเจ้าทรงปลงพระชนมายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ เมืองเวสาลี ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าได้ตอบแก่พระยามารว่า “... ดูกรมารผู้มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน...

พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารก่อนปรินิพพานกี่เดือน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเผยแผ่ศาสนาเป็นเวลาถึง 45 ปี เพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติ ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ทรงปลงอายุสังขารว่า “นับแต่นี้ไปอีก 3 เดือน ตถาคตจักดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน” พุทธประวัติ ตอน เส้นทางพุทธดำเนินก่อนปรินิพพาน

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

ไทยแปลอังกฤษ แปลภาษาไทย โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน lmyour แปลภาษา แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ไทยแปลอังกฤษ ประโยค แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แปลภาษาอาหรับ-ไทย Terjemahan พจนานุกรมศัพท์ทหาร หยน แปลภาษา มาเลเซีย ไทย Bahasa Thailand ข้อสอบภาษาอังกฤษ พร้อมเฉลย pdf บบบย tor คือ จัดซื้อจัดจ้าง การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 ชขภใ ยศทหารบก เรียงลําดับ ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง เขียน อาหรับ แปลไทย แปลภาษาอิสลามเป็นไทย Google map กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมออนไลน์ กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย ค้นหา ประวัติ นามสกุล อาจารย์ ตจต แจ้ง ประกาศ น้ำประปาไม่ไหล แปลบาลีเป็นไทย แปลภาษา ถ่ายรูป แปลภาษาจีน แปลภาษามลายู ยาวี โรงพยาบาลภมูพลอดุยเดช ที่อยู่ Google Drive Info TOR คือ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ช่างไฟฟ้า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อบรมฟรี 2566 กลยุทธ์ทางการตลาด มีอะไรบ้าง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีอะไรบ้าง การประปาส่วนภูมิภาค การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 ขขขขบบบยข ่ส ข่าว น้ำประปา วันนี้ ข้อสอบโอเน็ต ม.6 มีกี่ตอน ตารางธาตุ ประปาไม่ไหล วันนี้